ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #29 : CHAP 28

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.88K
      21
      18 ก.ค. 56

     

     

    CHAPTER 28

     

     

    “ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอพี่วันนี้”

     

    จงอินในชุดยูโดหลุดลุ่ยเพราะเพิ่งรันโดริเสร็จพูดกับพี่ชายหน้าหวานซึ่งเพิ่งเดินผ่านประตูห้องชมรมเข้ามา ลู่หานมองหน้าน้องขายตัวสูงนิ่งๆ ก่อนจะส่งยิ้มตอบกลับคนตัวบางข้างหลังจงอินที่ยิ้มพลางก้มหัวทักทาย

     

    “พี่ลู่หานหายไปพักใหญ่เลยนะครับ”

     

    “อืม แล้วนายเป็นยังไงบ้างคยองซู? ดูท่าทางจะคล่องขึ้นเยอะนะเนี่ย” พูดพลางส่งสายตาเหมือนสำรวจร่างเล็กที่กำลังจัดชุดยูโดของตัวเองให้เรียบร้อยไปด้วย ดูก็รู้ว่าคงเพิ่งรันโดริกับกัปตันทีมที่ยืนอยู่ข้างหน้า

     

    “อ่า...ไม่หรอกครับ ยังโดนจงอินทุ่มเละเป็นโจ๊กอยู่เลย”

     

    “อ้าว ทำไมแกโหดงี้วะ? ไม่ถนอมอย่างนี้ต่อไปดูแลเขาได้มั้ยเนี่ย?” ส่งสายตาเชิงล้อไอ้คนยืนเช็ดเหงื่อไปด้วย

     

    “เฮ้ยๆ ไม่เกี่ยวเลย! ก็นายนั่นแหละยังเปิดช่องว่างอีกตั้งเยอะ โดนทุ่มซะตอนนี้จะได้รู้ว่าพลาดตรงไหน ดีกว่าปล่อยให้ไปโดนทุ่มบนสนามแข่ง” ต้นประโยคหันมาปฏิเสธเสียงแข็งกับพี่ชายหน้าหวาน แต่ประโยคถัดมาหันไปพูดกับคนตัวบางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เสียงที่ใช้พูดกับอีกคนอ่อนลงไปเยอะแม้ประโยคจะยังดุเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

     

    ลู่หานระบายลมหายใจ ส่ายหัวพลางมองหน้าเด็กทั้งสองคนแล้วแอบคลี่ยิ้ม ไอ้คนหนึ่งอยู่ในชุดยูโดเป็นไม่ได้ต้องเข้มงวดกับลูกทีมตลอดจนติดเป็นนิสัย ส่วนอีกคนก็ถูกฝึกมากับมือจนโอนอ่อนคล้อยเชื่อฟังเขาตลอด ดูอย่างตอนนี้ก็พยักหน้าไปยิ้มไปขณะฟังจงอินบ่น บรรยากาศหวานๆ กลางเสียงทุ่มตึงตังแบบนี้เห็นทีคงจะจริงอย่างที่คนเป็นน้องโทรมาเล่าให้ฟังวันก่อนว่าความรักของตัวเองก้าวไปได้มากกว่าเดิมเยอะ

     

    ขณะกำลังมองคู่รักนักกีฬาเบื้องหน้าเพลินๆ ร่างสูงของนักกีฬาในทีมอีกคนก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาจงอินกับคยองซู ลู่หานเลยอดไม่ได้ที่จะสงสัยไปด้วย เขามองคนอายุน้อยกว่าทั้งสามคนและพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้มองเลยไปถึงใครบางคนตรงท้ายเบาะ

     

    “แพคฮยอนท่าทางไม่ดีเลยว่ะ” ชานยอลพูดเสียงกังวลแล้วหันไปมองทางคนที่พูดถึงซึ่งกำลังยืนเป็นหุ่นอยู่

     

    “เรื่องน้ำหนักใช่มั้ย?”

     

    “อืม ท่าทางจะต้องรีด**แล้วล่ะ ตั้งแต่กลับมาจากแม็ทซ์เชื่อมความสัมพันธ์ก็ไม่ลงอีกเลย หรือถ้าลงวันหนึ่งๆ ก็ลงน้อยมาก ซ้อมหนักตั้งขนาดนี้แถมวิ่งเช้าวิ่งเย็นยังหายไปแค่ขีดสองขีด” พูดไปก็เหลียวไปมองซ้ำอีกด้วยความเป็นห่วง

     

    “หน้าก็ดูซีดๆ ด้วยนะ” คยองซูช่วยเสริมเมื่อมองตามชานยอลไปด้วย

     

    “งั้นก็ให้พักก่อนเถอะ ฝืนมากไปก็ไม่ดี อีกอย่าง...” จงอินชำเลืองมองลู่หานซึ่งยืนฟังอยู่ด้วย “ให้น้องได้หยุดคุยกับบางคนที่ยอมเข้ามาให้เห็นหน้าเห็นตากันสักหน่อย ไหนๆ ก็ยังสับรางกับเด็กตัวสูงนั่นได้เป๊ะขนาดนี้ โอกาสดีๆ คงไม่ได้มีบ่อยๆ”

     

    คยองซูแอบหัวเราะคิกหลังจบประโยคของจงอิน ส่วนลู่หานก็ทำหน้าเอือมใส่ไอ้น้องชายตัวแสบที่กำลังส่งยิ้มกวนๆ มาให้ พูดไปก็ตลกดีเหมือนกัน ทุกคนก็พอจะรู้ว่าเขากับจื่อเทากำลังหาทางใกล้ชิดกับเซฮุนเหมือนกันแต่กลับไม่เคยมาชนกันทั้งสองขบวนเลยสักทียังกับตกลงกันไว้ ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ลู่หานก็ไม่ได้อยากจะเขม่นกับน้องชายของเพื่อนเก่าอย่างอู๋อี้ฟานสักเท่าไรนัก

     

    หลังจากชานยอลเป็นคนเดินไปบอกให้เซฮุนกับแพคฮยอนที่กำลังเข้าท่าด้วยกันอยู่ลงมาพักก่อน แพคฮยอนเดินออกมาข้างเบาะโดยที่มีคนตัวสูงตามขนาบข้างระวังว่าจะวูบกะทันหัน ส่วนเซฮุนกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิม

     

    ตาเรียวสวยที่บัดนี้บอบช้ำจนน่ากลัวเหลียวมองบางคนข้างเบาะ ใบหน้าน่ารักเรียบนิ่ง ปกติแล้วเซฮุนจะรู้เทคนิคการหายใจดีว่าถ้าเหนื่อยมากๆ ต้องผ่อนลมหายใจออกทางปาก แต่ในตอนนี้ริมฝีปากซีดเซียวไม่ขยับราวกับพยายามกลั้นลมหายใจ

     

    เด็กหนุ่มดูราวกับภาพวาดสีน้ำมันที่สวยงามแต่น่าเศร้าหมอง ยิ่งหยาดน้ำใสเริ่มก่อตัวอีกครั้งก็ยิ่งสร้างบรรยากาศชวนหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ

     

    ลู่หานถอนหายใจเสียงเบา จับจ้องมองภาพวาดที่ว่านั้นซึ่งเคยแต่งแต้มด้วยความสดใสนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นเบาะ ตรงไปหาร่างบอบบางที่หันหน้าหลบไปอีกทาง แล้วบทสนทนาระหว่างคนสองคนไม่มีใครอื่นล่วงรู้ได้ก็เริ่มต้นขึ้นเงียบๆ มีเพียงใบหน้าจริงจังกับหยดน้ำตาที่พรั่งพรู

     

    “เซฮุนจะไหวหรือเปล่า?” เอ่ยเสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยินซ้ำยังถูกกลบด้วยเสียงหอบหายใจของเจ้าตัวเอง

     

    “ก่อนจะห่วงน้อง ห่วงตัวเองก่อนดีมั้ยแพคฮยอน” กัปตันทีมพูดกับคนที่นอนแผ่นอยู่บนเบาะยูโดแต่ยังไม่วายหันไปมองน้องรหัสของตัวเองที่กำลังเคลียร์กับลู่หาน

     

    ชานยอลที่เพิ่งประคองร่างบางให้นอนลงกำลังช่วยแกะปมสายยูโดให้แล้วเปิดเสื้อยูโดออกให้กว้าง แพคฮยอนสวมบอดี้สูทอยู่ข้างในอีกชั้น คอเสื้อที่ปิดขึ้นไปจนเกือบถึงคางคงจะทำให้ผู้ใส่หายใจลำบากไม่น้อย แพคฮยอนถึงได้พยายามโกยอากาศหายใจกระชั้นเช่นนี้

     

    ใบหน้าหล่อเหล่าของคนตัวสูงเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็น หัวคิ้วเข้มแทบจะชนกัน มือสองข้างก็ยังพัลวันอยู่กับการดึงเสื้อของคนตัวเล็กให้คลายออกเพื่อช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น แพคฮยอนหันไปมองหน้าเครียดๆ ของคนที่ปกติจะกวนประสาทตลอดเวลาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

     

    “เป็นอะไร? ทำยังกับฉันจะตาย”

     

    “ยังจะมาพูดอีกนะพยอนแพค!! ตอนเข้าท่าอยู่หายใจไม่ทันทำไมไม่บอก หน้านายซีดเป็นกระดาษแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” คำพูดราวกับดุเด็กน้อยแบบนั้นยิ่งทำให้คนได้ยินยิ่งหยุดยิ้มไม่ได้ รวมถึงจงอินและคยองซูที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วย

     

    ทำไมจงอินจะไม่รู้ล่ะ ว่าเพื่อนของเขคอยหันไปมองแพคฮยอนบ่อยแค่ไหน ยิ่งระยะหลังมาที่ต้องพยายามรีดน้ำหนักจนร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรงเรื่อยๆ ชานยอลก็ยิ่งมองแพคฮยอนตอนซ้อมตลอดเวลาจนแทบไม่มีสมาธิจะรันโดริเลยด้วยซ้ำ อย่างเมื่อกี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหันมองบ่อยๆ คงไม่มีทางรู้หรอกว่าแพคฮยอนหายใจผิดจังหวะไป ชานยอลจะเป็นคนแรกที่เห็นอาการผิดปกติของแพคฮยอนทุกครั้ง

     

    “ยกหัวขึ้นหน่อย” ปากพูดแต่มือก็ขยับไปประคองหัวทุยให้ยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเอาเสื้อยูโดที่พับแทบหมอนรองไว้ให้อีกฝ่ายหนุน “หายใจให้สุดปอดแล้วอย่ารีบปล่อยออกนะ หายใจสะดวกไหม? ฉันพับหนาไปหรือเปล่า?”

     

    แพคฮยอนยิ้มนิดๆ แล้วส่ายหน้า คนตัวสูงสั่งห้ามร่างเล็กที่นอนอยู่พูดคุยอะไรอีกเพื่อปรับลมหายใจให้เร็วที่สุด แพคฮยอนเลยได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบนั้น ปลายนิ้วยังคงชาหนึบเพราะร่างกายได้รับน้ำปริมาณน้อยกว่าที่ควรจะได้รับต่อวัน เหงื่อที่ควรจะไหลโชกกลับแทบไม่ปรากฏบนใบหน้า ริมฝีปากแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลียอยู่เรื่อยๆ

     

    ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างเบาะไม่มีใครคิดจะขึ้นไปซ้อมต่อ แม้แต่ประธานชมรมอย่างจงอินก็ยังปล่อยให้ลู่หานกับเซฮุนได้ปรับความเข้าใจกันได้เต็มที่ พวกเขาจึงเลือกจะนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม ผลัดกันนวดแขนนวดขาให้แพคฮยอนบ้าง หรือไม่ก็สอนเทคนิคกดล็อคกันอยู่ท้ายเบาะ

     

    รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลู่หานเดินลงมาจากเบาะแล้วกล่าวลาพวกเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเดินออกไป หันไปมองน้องเล็กบนเบาะก็พบว่ายังยืนนิ่งเหม่อมองเบาะยูโดไร้ทิศทาง น้ำตาแห้งเหือดไปแล้วเหลือไว้แต่เพียงความคิดบางอย่างที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจล่วงรู้ได้

     

    ทุกคนได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้จนกระทั่งวันที่จงอินเดินเข้ามาในห้องชมรมหลังเวลาเริ่มซ้อมไปแล้วเล็กน้อยพร้อมกับเอกสารบางอย่างในมือ

     

    ประธานชมรมบอกให้ทุกคนหยุดซ้อมก่อนแล้วมารวมตัวกันท้ายเบาะ เขาแผ่เอกสารมากมายลงกับเบาะขณะที่คนอื่นๆ เริ่มเข้ามานั่งล้อมวงรอบๆ เหมือนอย่างที่เคยทำเวลามีเรื่องต้องคุยกัน

     

    เอกสารที่ว่าคือระเบียบการและใบสมัครเข้าแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย แม็ทซ์การแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดในระดับอุดมศึกษาภายในประเทศ ไม่จำกัดลำดับสาย ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดฝีมือว่าจะเป็นทีมชาติหรือแค่มือสมัครเล่น ขอเพียงแค่ยังมีสถานะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ตนศึกษาอยู่

     

    กีฬาที่จัดอยู่ในการแข่งขันนี้มีหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับทางสมาคมจะอนุมัติซึ่งแน่นอนว่ายูโดเป็นหนึ่งในกีฬาที่มีการแข่งขันด้วย ระเบียบการแข่งขันส่วนใหญ่ไม่ต่างจากแม็ทซ์เป็นทางการทั่วไป คือแบ่งตามเพศและรุ่นน้ำหนัก การแข่งขันมีทั้งหมด 5 วันแบ่งตามรุ่นน้ำหนักไป โดยวันหนึ่งจะชิงชัยกันทั้งหมด 4 เหรียญทองของรุ่นที่แข่งในวันนั้นๆ

     

    นักกีฬาจะต้องชั่งน้ำหนักตามรุ่นของตัวเองก่อนวันแข่ง  1 วัน พูดง่ายๆ คือถ้ารุ่นของตัวเองจะต้องแข่งพรุ่งนี้ เย็นวันนี้ก็ต้องมาชั่งน้ำหนักภายในเวลาที่กำหนด (ประมาณ 3 ชั่วโมง) ทั้งนี้เพื่อให้นักกีฬาที่ลดน้ำหนักได้มีเวลารีดน้ำหนักออกจนกว่าจะปิดตาชั่ง และหากเป็นแม็ทซ์ใหญ่ระดับนี้แล้วจะมีแพทย์มาตรวจร่างกายก่อนชั่งน้ำหนักด้วย

     

    “ทางที่ดีฉันอยากให้นายคุมน้ำหนักให้ได้ก่อนวันชั่งนะ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องวัดความดัน” จงอินบอกคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดหามีการตรวจร่างกายก่อนชั่งน้ำหนัก

     

    “จะพยายามแล้วกันนะ”

     

    “ไม่เป็นไร ค่อยๆ ลดไป ยังมีเวลา” เมื่อคนที่นั่งหน้าซีดไม่ต่างจากวันก่อนพยักหน้ารับ จงอินก็หันไปหยิบกระดาษอีกใบที่เคยใช้ก่อนหน้านี้มาวางซ้อนอยู่ข้างหน้าระเบียบการต่างๆ

     

    “รุ่นเป็นไปตามนี้ใช่มั้ย?” ปลายปากกาจรดลงบนแผ่นกระดาษ

     

    คยองซูคุ้นหน้าคุ้นตากระดาษลงรุ่นน้ำหนักแผ่นนี้เพราะจำได้ว่าครั้งแรกที่เข้ามาซ้อมจงอินก็เคยหยิบมันออกมาแล้วถามว่าใครจะลงรุ่นอะไร มันจึงมีทั้งชื่อแพคฮยอนในรุ่น -55 กิโลกรัม ชื่อของเขารุ่น -60 กิโลกรัม ชื่อของจงอินรุ่น -66 กิโลกรัม และชื่อของชานยอลรุ่น -73 กิโลกรัม เว้นก็แต่เซฮุนที่ตกลงกันว่าปีนี้ให้ว่างไปก่อนเพราะไม่มีรุ่นลงพอดี

     

    “ถ้าไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอะไรฉันจะคีย์ข้อมูลให้ตามนี้นะ แล้วก็เอาสำเนาบัตรนักศึกษามากับรูปถ่ายนิ้วครึ่งมาด้วย ต้องส่งไปคู่กับใบสมัคร ขอภายในวันพรุ่งนี้แล้วกัน”

     

    “พี่จงอินฮะ...” พูดจบทำท่าจะลุกกลับถูกรั้งไว้ด้วยเสียงของน้องเล็ก ไม่เพียงแค่จงอินแต่เป็นทุกคนที่หันไปมองเซฮุนเป็นตาเดียว เพราะไม่รู้กี่วันเข้าไปแล้วที่เซฮุนเซื่องซึมจนแทบไม่พูดไม่จากับพี่ๆ คนไหนเลย

     

    “คือเซฮุน...” เอ่ยแล้วเงียบลงเหมือนกำลังชั่งใจก่อนจะมองหน้าจงอินแล้วพูดออกมาอีกครั้ง “เซฮุนขอลงแข่งด้วยได้มั้ย?”

     

    “แต่มันซ้อนรุ่นนะเซฮุน แล้วพี่ก็ไม่ยอมให้นายลดไปเล่นรุ่น -50 แน่”

     

    “แล้วถ้าเป็นรุ่นโอเพ่นที่ยังว่างอยู่ล่ะฮะ?”

     

    ความเงียบเข้าจู่โจมฉับพลันโดยไม่มีใครให้สัญญาณ สายตาทุกคู่เมองตรงไปยังผู้พูด โอเพ่นเวทหรือรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักเป็นรุ่นที่ไม่ว่าใครจะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ลงแข่งได้ เป็นรุ่นที่วัดกันที่เทคนิคแต่ก็ต้องอาศัยความแข็งแรงด้วยไม่น้อย

     

    “เซฮุน...”

     

    “ให้เซฮุนลงนะฮะ”

     

    ยิ่งถูกสายตาเจือความเศร้าหมองเว้าวอนยิ่งทำให้จงอินพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าเซฮุนจะสู้ไม่ได้ พวกเขาทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าเซฮุนมีฝีมือขนาดไหน แต่ที่ไม่อยากให้เสี่ยงลงตั้งแต่แรกก็เพราะน้องยังใหม่อยู่มาก คนที่เพิ่งจะได้สัมผัสสนามแข่งอยู่ไม่กี่ครั้งจะมาลงรุ่นใหญ่ขนาดนี้ในแม็ทซ์ใหญ่ระดับประเทศ บอกตรงๆ ว่าจงอินยังไม่กล้าพอจะให้น้องเสี่ยงบาดเจ็บถ้าต้องแข่งกับคนตัวใหญ่กว่า

     

    เมื่อไม่ได้รับคำตอบมือบางถึงเอื้อมคว้ามือคนเป็นพี่เอาไว้ พยายามจ้องลึกเข้าไปเพื่อบอกความตั้งใจของตัวเอง แต่จงอินคิดว่าการตัดสินใจของเซฮุนในครั้งนี้คงไม่พ้นเกี่ยวกับที่คุยกับลู่หานวันนั้นแน่ๆ

     

    “ก็ได้ แต่นายต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมนะ โอเพ่นเป็นรุ่นที่คนตัวเล็กเจ็บกันได้ง่ายที่สุด นายจะต้องแข่งกับคนที่ตัวใหญ่กว่าแค่ไหนก็ไม่รู้ แข็งแรงเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เทคนิคอย่างเดียวบางครั้งก็ไม่พอหรอกนะ” ที่สุดก็ตกลงยอมและทำได้แค่เตือนน้องเล็กของทีมเท่านั้น เซฮุนเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ กลับมา ดวงตาที่มุ่งมั่นยังคงแฝงความเศร้าเร้นไว้

     

    หลังจากนัดหมายให้เตรียมหลักฐานการสมัครต่างๆ นานามาให้ในวันพรุ่งนี้แล้ว การซ้อมก็ดำเนินต่อเหมือนปกติ จงอินเปลี่ยนชุดตามขึ้นมาซ้อมทีหลัง โดยวันนี้โปรแกรมการซ้อมจะเน้นไปที่การฝึกชิงจับ เล่นรันโดริ รวมถึงเล่นเนวาซ่าเหมือนแข่งจริง เนื่องจากกีฬามหาลัยใกล้เข้ามาทุกทีพวกเขาจึงจำเป็นต้องฝึกเทคนิคการเล่นให้มากขึ้น

     

    ขายาวๆ เสียบตัดหน้าได้จังหวะพอดิบพอดีเสียแต่ว่าแรงบังคับท่อนบนกลับไม่มีเลยสักนิด จงอินจึงได้โอกาสหลบฉากออกแล้วดันไหล่กว้างนั้นสุดแรง พอมีระยะห่างระหว่างกันแล้วเขาก็ไม่รอช้า รีบสวนกลับท่าถนัดของตัวเองทันที ตอนแรกคิดว่าจะต้องต่อจังหวะสองด้วยซ้ำแต่พอร่างสูงลอยหวืดขึ้นกลางอากาศเขาเลยต้องดึงให้สุดแรงเพื่อทุ่มลงมา

     

    “สมาธิไม่มีเลยนะมึงนี่” บอกกับคนที่นอนตบเบาะด้วยหน้าเครียดๆ พร้อมกับดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาด้วย เสียงหอบถูกแทรกด้วยเสียงถอนใจเฮือกใหญ่

     

    “ไม่โอเคขึ้นเลยเหรอวะ?” ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบให้คำถามที่พอจะรู้กันอยู่ หน้าหล่อหันไปมองคนเดิมที่มองอยู่ทุกวัน ท่ามกลางเสียงเคลื่อนไหวกายและเสียงทุ่มตึงตังแม้อยู่ตรงนี้ก็ยังได้ยินเสียงหอบหายใจชัดเจน

     

    “อดข้าวด้วย แถมยังเริ่มอดน้ำแล้ว”

     

    “อันตรายนะมึง นี่ยังเหลืออีกเท่าไหร่?”

     

    “อีกกิโล” จงอินเงยหน้าขึ้นจากสายดำที่กำลังมัดแล้วมองหน้าคนตอบ คิ้วเข้มแอบขมวดเล็กน้อยขณะมองเพื่อนตัวสูงที่ยังมองไปที่ใครอีกคนอยู่เหมือนเดิม

     

    “นี่รีดไม่ลงเลยเหรอวะ? เหลืออีกกิโลทั้งๆ ที่อดขนาดนี้กูว่าเริ่มแย่แล้วนะ มึงดูแลแพคฮยอนดีๆ กูล่ะไม่อยากให้ไปรีดหน้าตาชั่ง**เลยจริงๆ” ชานยอลพยักหน้ารับ

     

    “งั้นมึงวนไปเล่นรันกับแพคฮยอนเถอะ ให้เซฮุนพักแล้วให้คยองซูมาเล่นรันกับกู”

     

    ในเมื่อใจจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นซ้อมให้ตายยังไงชานยอลก็คงจะยังถูกทุ่มอยู่เหมือนเดิม จงอินและชานยอลก้มเคารพกันก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปทางแพคฮยอนกับเซฮุนที่กำลังรันโดริกันอยู่ พูดอะไรอยู่พักหนึ่งคนตัวเล็กก็เคารพกันแล้วเซฮุนแยกออกมายืนข้างเบาะข้างๆ คยองซู ครู่หนึ่งคนตัวเล็กก็เดินมาหาเขา

     

    ใบหน้าน่ารักฉายแววซื่อเหมือนไม่เข้าใจที่จู่ๆ เขาก็ยิ้มให้ ลองขยับเว้นระยะห่างถอยออกมาเพื่อเตรียมเคารพก่อนรันโดริแต่กัปตันทีมก็ยังยืนนิ่งคลี่ยิ้มมองมาเหมือนเดิม จนตอนนี้คยองซูชักหงุดหงิดจนต้องเบ้หน้าใส่

     

    “อะไรของนาย เรียกฉันมารันโดริหรือมาให้จ้องหน้า” เสียงหวานแหวขึ้น

     

    “ก็อยากมองหน้าก่อนรันโดริไม่ได้เหรอ?”

     

    “มองเสร็จแล้วก็ทุ่มฉันเนี่ยนะ” คยองซูเบาะปากใส่จนคนมองต้องหลุดหัวเราะออกมา มือหนาบีบจมูกรั้นเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว

     

    “ก็อยากทำหน้าน่ารักทำไมล่ะ”

     

    คำพูดชวนเขินพร้อมเสียงหัวเราะแบบนั้นมันทำให้หน้าคยองซูร้อนผ่าวทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลยสักนิด แสร้งทำหน้าเคืองๆ ใส่แล้วผลักไหล่หนาออกไปเบาๆ

     

    “จะรันก็รีบรันเลย! ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นพูดดี ตอนรันโดริกับฉันล่ะโหดเอาๆ” ก้มเคารพแบบมัดมือชก จงอินเลยต้องยอมก้มเคารพด้วยแม้ริมฝีปากคู่นั้นยังหยุดยิ้มไม่ได้ก็ตาม

     

    “ก็ต้องโหดสิ  โดนฉันทุ่มมากๆ จะได้รู้จักป้องกันตัวเอง โดนเฉพาะเนวาซ่านี่ห้ามเลยนะ! ถ้านายโดนใครกดล็อคเข้าล่ะก็ฉันเอาตายแน่! ตั้ง 25 วิเลยนะคยองซู”

     

    “โอ้ยยยย ทำไมไม่มีใครบอกฉันมาก่อนเลยว่าจริงๆ แล้วกัปตันทีมที่นี่ขี้โวยวายแถมยังขี้หวงเป็นเด็กแบบนี้ เมื่อก่อนตอนแรกๆ นายแอ๊บโหดดุฉันใช่มั้ยจงอิน!?

     

    คยองซูบ่นพร้อมกับแอบเลื่อนสายตาจากสาบเสื้อตรงหน้าเหลือบมองใบหน้าหล่อคม อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรแต่ชิงจังหวะนั้นเข้าจับแขนเสื้อคยองซูทันที สัญชาตญาณเป็นตัวบอกเองว่าควรจะทำยังไงต่อไป ร่างเล็กสะบัดปลดการจับนั้นได้อย่างอัตโนมัติโดยที่สมองยังไม่ทันสั่งด้วยซ้ำ การถูกฝึกถูกทำซ้ำๆ ทำให้ร่างกายตอบโต้เองได้จริงๆ

     

    พักใหญ่กว่าที่จะได้เข้าจับกันจริงๆ เทคนิคการปัดป้องและปลดมือคู่ต่อสู้ของคยองซูพัฒนาขึ้นมาก แม้แต่ตอนเข้าชิงจับแล้วการพาลากเข้าหาจังหวะตัวเองก็นับว่าทำได้ดี เหลือก็แต่การเข้าท่าที่คยองซูยังไม่คมพอ ทุกครั้งที่รันโดริจงอินจึงพยายามบีบให้คยองซูเข้าท่าบ่อยๆ ร่างกายจะได้จดจำและคุ้นชิน เวลาแข่งจริงๆ จะได้ไม่กลัวเข้าท่า

     

    จังหวะต่อเนื่องถือเป็นไม้เด็ดของคนตัวเล็ก คยองซูบิดตัวจากจังหวะสองที่เข้าอิปป้อนหลอกๆ มาสอดขาดเกี่ยวขายาวของจงอิน ยื้อไม่ยอมล้มอยู่สักพัก เมื่อคยองซูใส่แรงเข้าไปมากขึ้นในที่สุดจงอินก็ล้มลงตบเบาะโดยมีร่างของคนทุ่มทับตามลงมาด้วย

     

    เสียงหอบหายใจดังแผ่วอยู่ใกล้ๆ จงอินพยายามเตือนตัวเองซ้ำๆ ว่านี่คือเวลาซ้อม การซ้อมคู่กับคยองซูอันตรายตรงที่เจ้าตัวมักจะทำให้คู่ซ้อมปั่นป่วนโดยไม่ตั้งใจเสมอ หลายต่อหลายครั้งที่ได้เห็นใบหน้าระยับหยดเหงื่อและเสียงหอบน้อยๆ เขาแทบอยากจะฟัดคนน่ารักกลางเบาะเสียเดี๋ยวนั้น

     

    บอกข้อแก้ไขเพิ่มติดนิดหน่อย คยองซูพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นจากตัวจงอิน มือเล็กยื่นไปจับมือคนถูกทุ่มแล้วฉุดดึงขึ้นมาด้วย ดวงหน้าหวานหันกลับไปมองอีกฟากหนึ่งของเบาะเมื่อเห็นว่าชานยอลต้องผลัดไปเล่นรันโดริกับเซฮุนแล้วให้คนตัวเล็กอีกคนไปพักอีกแล้ว

     

    “แพคฮยอนจะไหวมั้ยจงอิน?” สูดอากาศหายใจพลางเอ่ยถามเสียงเบา

     

    “ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับร่างกายเจ้าตัวเองนั่นล่ะ แต่อย่างน้อยมีชานยอลคอยดูแลอยู่ก็พออุ่นใจได้บ้าง หมอนั่นน่ะไม่ปล่อยให้แพคฮยอนลดน้ำหนักเกินขีดจำกัดของร่างกายหรอก” จงอินตอบขณะหันมองเพื่อนตัวสูงที่พักนี้ทำหน้าเครียดบ่อยจนเริ่มชินตา

     

    คยองซูพยักหน้าพลางครางอือในลำคอตอบ กัปตันทีมตัวสูงเห็นแล้วก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ ถึงจะเข้ามาหลังสุดแต่ตอนนี้คยองซูดูไม่เหมือนสมาชิกใหม่ของพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นฝีมือยูโดหรือความผูกพันที่มีให้กันในทีม ถึงอาจจะยังไม่รู้ผลกระทบของการรีดน้ำหนักเพื่อแข่งขันดีนักแต่คยองซูเองก็ห่วงแพคฮยอนไม่น้อยไปกว่าพวกเขาเหมือนกัน

     

    “คยองซูอ่า...” ลองเรียกดู อีกฝ่ายหันกลับมาพลางเลิกคิ้ว

     

    “ถ้าฉันต้องรีดน้ำหนักจนหมดแรงแบบนั้นนายจะดูแลฉันมั้ย?”

     

    คำถามไม่เข้าท่าแต่กลับทำให้คนถูกถามหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาแปลกๆ สายตาอ่อนโยนระคนออดอ้อนที่ส่งมาให้แทบไม่เคยได้เห็นในยามที่อีกฝ่ายอยู่ในชุดยูโด คยองซูเม้มริมฝีปากคิดครู่ใหญ่

     

    “ต้องคิดนานขนาดนั้นเลยเหรอ?” พอคิดนานไปไม่ตอบสักทีก็ถูกเสียงเหมือนน้อยใจจู่โจมเข้าให้

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ฉันคิดว่าอย่างจงอินคงไม่ต้องให้ใครมาดูแลหรอกมั้ง นายดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”

     

    “ใจร้ายจริงๆ เลยนายนี่ นักกีฬาที่ลดน้ำหนักจนถึงขั้นต้องรีดออกน่ะกำลังใจสำคัญที่สุดนะ ในช่วงเวลาที่คิดว่าอดทนต่อไม่ไหวแล้ว คนที่อยู่ข้างๆ กันนี่แหละคือแรงผลักดันสำคัญ”

     

    “พูดแบบนี้แสดงว่าเคยเป็นมาก่อนแล้วเหมือนกันล่ะสิ”

     

    “ก็ต้องเคยสิ” หวังจะให้คำตอบเป็นอีกแบบแต่พอได้ยินอย่างนี้คยองซูก็นึกฉุนตงิดๆ ขึ้นมาเหมือนกัน แถมยังตอบออกมาหน้าตาเฉยเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

     

    “อ๋อเหรอ งั้นใครล่ะ? คนที่อยู่ข้างๆ นายคอยช่วยดูแลตอนนายกำลังจะขาดน้ำขาดอาหารตายน่ะ” ได้ยินเสียงสะบัดแบบนี้จงอินยิ่งต้องพยายามกลั้นยิ้ม คนน่ารักแทบหันหน้าไปอีกทางขณะเอ่ยประโยคนี้ เขากลั้วหัวเราะในลำคอแล้วตอบคนที่ทำท่าไม่อยากจะคุยต่อ

     

    “ก็พี่ลู่ไง สงสารสุดๆ เลยล่ะตอนนั้น ทีมตัวเองหรือก็ไม่ใช่ยังจะต้องมาหอบหิ้วฉันไปถึงตาชั่ง”

     

    ถึงจะเคลียร์พร้อมหัวเราะตบท้ายประโยคแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนคนน่ารักจะยังฉุนไม่หาย ตาโตๆ เหลือบมองเขาอย่างเคืองๆ แว้บหนึ่งก่อนจะก้มหน้าจัดสายจัดชุดตัวเองให้เรียบร้อย เป็นสัญญาณบอกว่าจะเคารพแล้วหนีไปเล่นรันโดริกับคนอื่นแทนแล้ว

     

    “งั้นก็ให้พี่ลู่หานดูแลนายต่อไปนั่นแหละดีแล้ว ขอบคุณนะที่มารันด้วย” พูดอย่างไม่รักษาเยื่อใยแล้วก้มเคารพทำทีเพื่อบังคับให้คู่ซ้อมต้องยอมก้มหัวเคารพด้วย จงอินไม่ไม่ทางเลือก เขาเคารพกลับแม้จะยังยกยิ้มไม่คลาย

     

    พอเคารพเสร็จคนตัวเล็กก็หมุนตัวกลับ เตรียมจะเดินไปทางเซฮุนที่ยืนว่างอยู่ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกมือหนาฉุดรั้งแขนข้างหนึ่งเอาไว้เสียก่อน คยองซูหันกลับมามองหน้ามุ่ยผิดกับอีกฝ่ายที่ดูจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน

     

    “มีอีกอย่างที่นายอาจไม่รู้” พูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะขยับตัวไปใกล้อีกนิด “ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะทำให้เรายิ้มได้ในช่วงเวลาที่ร่างกายไม่มีแรงจะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ”

     

    ดวงตาคมเข้มคู่นั้นสะกดใจได้ทุกครั้งที่ได้จับจ้อง รอยยิ้มมากเสน่ห์ยากจะขัดขืน เสียงทุ้มตรึงใจสะกดเขาไว้อยู่กับที่แล้วรับฟังถ้อยความที่เอ่ยต่อไป

     

    “และสำหรับฉัน คนๆ นั้นคือนายแค่คนเดียว”

     

    คยองซูไม่ปฏิเสธหากจะบอกว่าจงอินใช้หลักจิตวิทยาในการคุมทีมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แต่เขาก็เพิ่งจะมารู้ระยะหลังนี่เองว่าจงอินใช้จิตวิทยาทำให้หัวใจคนอื่นสั่นไหวได้เก่งกาจไม่แพ้กัน ควบคุมทุกความรู้สึกของคนฟัง ใช้ใบหน้าและรอยยิ้มมากเสน่ห์นั้นทำให้ลมหายใจปั่นป่วนไปหมด

     

    ทิ้งเวลาให้ล่วงผ่านพร้อมสองสายตาที่สบประสานกันอยู่พักใหญ่กว่าที่มือหนาจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ คนตัวเล็กเพิ่งรู้ตัวตอนนั้นเองว่านิ่งงันราวกับถูกสะกดให้เป็นหิน ลมหายใจปรับให้สู่ภาวะปกตินานแล้วแต่หัวใจกลับเต้นรัวเร็ว จงอินยังคงส่งยิ้มมาให้ก่อนจะกวักมือเรียกน้องเล็กของทีมที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลให้มาหา

     

    “จะรันโดริกับเซฮุนต่อไม่ใช่เหรอ?” พูดออกมาพลางหัวเราะขัน ทำเอาคนเพิ่งรู้สึกตัวต้องเบ้หน้า

     

    ...ร้ายกาจจริงๆ คิมจงอิน...

     

     

    กว่าจะซ้อมเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยหอบไปตามๆ กันเพราะวันนี้จงอินเน้นให้ทุกคนได้รันโดริกันอย่างเต็มที่ ตลอดเวลากว่าสามชั่วโมงจึงแทบไม่ได้หยุดพัก แถมตอนท้ายยังต้องเล่นเนวาซากันอีก ทำเอาแขนขาเมื่อยล้ากันไปหมด

     

    แพคฮยอนที่อาการไม่สู้ดีนักยังสามารถกัดฟันทนซ้อมกับเพื่อนๆ จนเลิกซ้อมจนได้ แต่ตลอดเวลาก็มีชานยอลคอยถามไถ่อาการอยู่ใกล้ๆ ถ้าเมื่อไหร่แพคฮยอนบอกว่าเริ่มชาปลายนิ้ว คนตัวสูงจะรีบปรี่เข้ามาแล้วบีบนวดให้ทั้งสองมือ ถ้าเมื่อไหร่แพคฮยอนเริ่มหอบผิดปกติ ชานยอลจะดึงตัวแพคฮยอนมาเล่นกับตัวเองแทน

     

    สุดท้ายเมื่อเลิกซ้อมชานยอลก็ขอตัวไปส่งแพคฮยอนก่อน จงอินเลยรับปากจะไปส่งเซฮุนให้แทน ถึงแม้ช่วงนี้บรรยากาศในทีมจะมัวหมองไปหน่อยเพราะมีทั้งคนที่ต้องเยียวยารักษาตัวเองทั้งทางจิตใจและร่างกาย แต่การดูแลกันในทีมเหมือนคนในครอบครัวก็ยังคงเหมือนเดิม

     

    จงอินส่งเซฮุนถึงหน้าหอพร้อมกำชับให้น้องพักผ่อนให้มากๆ เด็กตัวขาวจึงส่งยิ้มมาให้คนเป็นพี่แม้จะเป็นยิ้มที่เบาบางเหลือเกิน แต่อย่างน้อยทั้งจงอินและคยองซูก็ชื้นใจขึ้นมาได้บ้างที่ได้เห็นน้องเล็กกลับมายิ้มได้อีกครั้งหลังจากที่เซื่องซึมไปเป็นอาทิตย์

     

    มอเตอร์ไซค์คันเดิมหยุดลงที่จุดหมายปลายทางถัดไป คนตัวเล็กกระโดดลงจากเบาะเพราะขายังคงหยั่งไม่ถึงพื้นเหมือนทุกที ทำเอาคนที่ทุกทีจะต้องจับมือพาลงแอบเดาะลิ้นขัดใจ คยองซูยิ้มพลางอุ้มชุดยูโดชื้นเหงื่อไว้ในอ้อมแขนแล้วเอ่ยลาคนที่มารับมาส่งถึงหอทุกวัน

     

    “ขอบคุณมากนะ กลับดีๆ ล่ะจงอิน”

     

    “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเรียกก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังเดินเข้าหอ คยองซูหันกลับมาพลางเลิกคิ้วถาม

     

    คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาร่างเล็กช้าๆ รอยยิ้มอบอุ่นส่งไปให้กระทั่งกายอยู่ห่างกันแค่เพียงก้าวเดียว ตากลมโตมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย แต่ริมฝีปากสีอ่อนนั้นก็ยังคงยกยิ้มให้เหมือนทุกทีที่จงอินมาส่งเสมอ

     

    แล้วจู่ๆ ใบหน้าหล่อจัดก็โน้มลงมาใกล้แก้มขาวข้างหนึ่ง คยองซูรู้ได้ในตอนนั้นว่าคนตรงหน้ากำลังจะทำอะไร ร่างเล็กขยับถอยเล็กน้อยทำเอาจงอินชะงักไป แผงฟันเล็กกัดริมฝีปากล่างของตัวเองพร้อมช้อนสายตารู้สึกผิดขึ้นมอง

     

    “...หน้ามีแต่เหงื่อ”

     

    พอได้ฟังเหตุผลจากเสียงเล็กๆ ที่เอ่ยค่อยๆ นั้นแล้วจงอินก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงเบา เขายืดตัวออกมาแล้วยีกลุ่มผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายแทน

     

    “กลับถึงห้องก็อาบน้ำแล้วเป่าผมให้แห้งด้วยล่ะ ไม่งั้นจะเป็นหวัดนะ”

     

    “อืม”

     

    “คยองซู...”

     

    เป็นอีกครั้งที่เสียงทุ้มเรียกชื่อหยุดขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปในหอ คยองซูหันกลับมาเหมือนเดิมแต่กลับถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาประชิดตัวใกล้ขนาดนี้

     

    ริมฝีปากแตะกันเบาๆ ทันทีที่หันกลับไปหา

     

    “ปากนายคงไม่เลอะเหงื่อหรอกใช่มั้ย?”

     

     

     

    มือบางผลักประตูห้องปิดก่อนจะหันหลังพิงแล้วพรูลมหายใจออกมายาวยืด สองมือยังโอบกอดชุดยูโดชื้นๆ เอาไว้ ใบหน้ายังไม่หายร้อนผ่าวแม้จะผ่านมาตั้งหลายนาทีตั้งแต่เดินกลับเข้ามาในหอจนเข้ามาในห้องแล้ว เผลอคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ นับวันจงอินยิ่งไม่เกรงใจเขา พอไม่ว่าอะไรเข้าหน่อยก็คิดจะฉวยโอกาสกอบโกยใหญ่โต

     

    คยองซูส่ายหน้านิดๆ เมื่อคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ขยันส่งยิ้มมาให้ผิดกับช่วงแรกๆ ที่รู้จักกัน ตัดสินใจทิ้งความคิดฟุ้งๆ ของตัวเองแล้วเดินไปวางของบนโต๊ะ คลายสายที่มัดชุดยูโดเพื่อจะเอาชุดไปผึ่งลมไว้นอกระเบียง

     

    ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังเรียกเขาเสียก่อน คยองซูวางเสื้อยูโดพาดกับพนักเก้าอี้ไม้แล้วรื้อหาเครื่องมือสื่อสารที่แผดเสียงร้องในกระเป๋า ครู่หนึ่งก็หยิบมันขึ้นมาก่อนจะเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อใครที่โทรเข้ามา

     

    นับตั้งแต่วันนั้นที่ไม่ได้รับสาย เจ้าของชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ไม่ได้โทรกลับมาอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

     

    คยองซูลังเลอยู่พักหนึ่งระหว่างเสียงเพลงเรียกเข้ายังดังต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ตัดสินใจเลื่อนนิ้วกดรับสาย ค่อยๆ ยกมาแนบข้างหูอย่างไม่มั่นใจนักและกรอกเสียงลงไปเบาๆ

     

    “ฮัลโหลครับ”

     

    “คยองซูเหรอ?” เสียงเล็กนั้นคุ้นหู ใช้เวลาประมวลไม่นานก็นึกออกว่าเป็นเสียงใคร

     

    “ครับ”

     

    “เห็นมั้ยรับสายแล้ว นายนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ นะ” น้ำเสียงร่าเริงนั้นคล้ายจะหันไปพูดกับคนที่อยู่ใกล้ๆ มากกว่า คยองซูไม่ได้ยินคนที่ปลายสายกำลังพูดด้วยแต่ก็พอรู้ว่าเป็นใคร เผลอกลั้นลมหายใจจนได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อ

     

    “มีคนเขาอยากคุยด้วยน่ะ แต่ครั้งที่แล้วนายไม่รับสายก็เลยถอดใจไม่โทรมาอีก รอแป๊บนึงนะ อ้ะ! จะคุยก็คุยสักทีมัวแต่กล้าๆ กลัวๆ อยู่ได้”

     

    “ด...เดี๋ยวฮะพี่อี้ชิง!

     

    ไม่ทันเสียแล้ว เพราะทันทีที่ภาษาจีนสั้นๆ ท้ายประโยคถูกเอ่ยออกไปโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ถูกยัดใส่มือเจ้าของตัวจริง เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจก่อนจะได้ยินเสียงจางอี้ชิงคนเดิมตะโกนมาห่างๆ ว่าจะถือสายนิ่งๆ ให้เปลืองค่าโทรศัพท์ทำไม ปลายสายจึงได้กรอกเสียงลงมาค่อยๆ

     

    “...คยองซู”

     

    “พี่อู๋ฟาน...”

     

     TBC.

     

    **รีดน้ำหนัก หมายถึงการลดน้ำหนักแบบขั้นโหดสุดๆ แล้วค่ะ ปกติในกีฬาที่ต้องจำกัดน้ำหนักนับเป็นเรื่องปกติมากที่จะมีนักกีฬาลดน้ำหนักมากๆ จนถึงขั้นต้องรีด วิธีการของแต่ละกีฬาก็จะต่างกันไปนะคะ อย่างนักมวยนี่เขาก็จะลดโหดหน่อยเพราะชั่งวันต่อวันแข่งวันต่อวัน แต่ถ้าเป็นยูโดจะเป็นแบบวันเดียวจบค่ะ ชั่งวันนี้ พรุ่งนี้แข่ง รู้ผลเลย จบ วันถัดไปก็แข่งอีกรุ่น เพราะฉะนั้นถ้าชั่งน้ำหนักผ่านก็กินได้ฉลุยแล้วค่ะ แต่ก็ใช่ว่ายูโดจะชั่งวันนี้แข่งวันถัดไปอย่างเดียว ถ้าเป็นแม็ทซ์ระดับใหญ่มากๆ อย่างซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ โอลิมปิค กีฬามหาวิทยาลัยโลก จะใช้ระบบชั่งเช้ามืดแล้วแข่งตอนสายค่ะ (เห็นว่าเดี๋ยวนี้กีฬาแห่งชาติบ้านเราก็ใช้ระบบนี้แล้ว) ทั้งนี้ทั้งนั้นวิธีการรีดน้ำหนักของแต่คนละก็แตกต่างกันไปอีกค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าใครใช้วิธีไหนแล้วลดได้เร็วและมากกว่า อย่างเรานี่ลองมาหมดแล้ว 55555* ทั้งนวดน้ำมันมวยแล้วใส่ชุดตะกั่ว(ที่นักมวยใส่กัน)แล้วไปวิ่งตากแดด นั่งตากแดดตอนเที่ยง เข้าไปอบอยู่ในรถปิดกระจกกลางแดด อดข้าวอดน้ำเป็นอาทิตย์ บลาๆๆ ซึ่งถามว่าทรมานไหมคงตอบว่ามาก และถ้าถามต่อว่าแล้วเสี่ยงว่าร่างกายจะเป็นอะไรไหมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเสี่ยงค่ะ คนเราอดข้าวอดน้ำเป็นอาทิตย์ ได้จิบน้ำแค่วันละนิดหน่อยจะไม่อันตรายก็คงไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้(และไม่ตามใจปากมากไป)วิธีที่ลดได้เรื่อยๆแต่ปลอดภัยก็คือต้องค่อยๆลดปริมาณอาหารลงแล้วออกกำลังกายให้เต็มที่ก่อนหน้าจะชั่งน้ำหนักสักประมาณ 2-3 เดือนค่ะ ส่วนผลกระทบใดๆต่อการรีดน้ำหนักแพคฮยอนของเราจะสาธิตให้เห็นในเรื่องนะคะ(?)

    **รีดหน้าตาชั่ง หมายถึง ไปวิ่งลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายก่อนเวลาชั่งน้ำหนักแบบชั้นชิดค่ะ ในการชั่งน้ำหนักถ้าเลยเวลาที่กำหนดไว้แล้วจะถือว่าตกตาชั่งและไม่มีสิทธิ์แข่ง ดังนั้นนักกีฬาที่น้ำหนักยังไม่ผ่านต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรีดน้ำหนักให้อยู่ในรุ่นให้ได้ในเวลาที่กำหนด เราจะพบพวกที่ใส่ชุดตะกั่ววิ่งอยู่ใกล้ๆสถานที่ชั่งน้ำหนัก นั่นแหละค่ะพวกรีดหน้าตาชั่ง 5555* กีฬาที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักจะเข้มงวดเรื่องชั่งน้ำหนักมากค่ะ เกินหรือขาดแม้แต่ขีดเดียวก็ไม่ได้โดยเฉพาะในแม็ทซ์ใหญ่ๆ การรีดหน้าตาช่างจะได้รับผลกระทบทางร่างกายค่อนข้างหนักหนากว่ารีดน้ำหนักที่อธิบายไปก่อนหน้า เพราะต้องทำยังไงก็ได้ให้ขับน้ำออกจากร่างหายให้ได้มากที่สุดในเวลาที่จำกัด บางคนวิ่งจนไม่มีเหงื่อจะออกแล้ว บางคนแม้แต่แรงจะหายใจยังไม่มี หรือบางคนก็หมดสติไปหลายต่อหลายรอบก็มีค่ะ (แน่นอนว่าเราประสบมันมาหมดแล้วเช่นกัน 55555*)

     



     

    Mirror* talk: มาลงแล้ว มาลงแล้ววววว ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ และขอโทษล่วงหน้าถ้าตอนหน้าจะมาช้าไม่ต่างกัน TTvTT อันเนื่องมาจากหลังจากนี้จะเริ่มวุ่นๆ เรื่องรับปริญญาแล้วค่ะ อาจโผล่มาอีกทีเกือบกลางเดือนหน้าเลย แต่ขอให้มั่นใจนะคะ มาแน่ค่ะ อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว ยังไงก็จะมาเอาให้จบให้ได้นี่ล่ะค่ะ โฮฮฮฮฮฮ

    สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะบอก ขอให้ทุกคนลิ้มรสหวานระคนขมกันให้ถึงใจนะคะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะทุกคน จูบกันแล้วใช่ว่าจะเสียไปให้คนอื่นไม่ได้(?) #สักพักรองเท้าเขวี้ยงมาใส่หน้าเราพรึ่บ 555555*

    โอเคนะคะ ช่วงนี้ก็วุ่นทั้งงานราฎงานหลวง แต่ขอบคุณทุกคนมากจริงๆนะคะที่เป็นกำลังใจให้กันตลอดเลย ฮืออออ ซึ้งใจน้ำตาจะไหลท่วมห้อง

     

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรนะคะ คุยกันได้ที่ #วอป หรือ @MirrorJK ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×