ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #6 : CHAP 6

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 56


     

    CHAPTER 6

     

     

    “คิดถึงกูมากรึไง?”

     

    “เชี่ยไค นี่คือคำทักทายเวลารับสายของมึงใช่ป่ะ?”

     

    ทันทีที่รับโทรศัพท์จงอินก็กรอกเสียงเอือมๆลงไปเพราะรู้อยู่แล้วว่าปลายสายเป็นใคร ชานยอลส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆมาให้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะแยกกันหลังซ้อมเสร็จเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

     

    “เออๆ  มึงโทรมามีไร?”

     

    จงอินยกยิ้มขำ ร่างสูงเปิดประตูกระจกเพื่อออกไปยืนคุยที่ระเบียงสูดอากาศเย็นๆตอนกลางคืนไปด้วย วันนี้ฟ้าโปร่งทำให้มองเห็นดาวมากมายบนนั้น นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้แหงนหน้ามองฟ้าค่ำจากระเบียงหอตัวเอง

     

    “กูจะโทรมาบอกมึงว่าพรุ่งนี้เย็นกูมีประชุมอาจจะเข้าไปซ้อมช้าหน่อย ฝากมึงไปรับแพคฮยอนให้ด้วยแล้วกัน”

     

    “โอเค แต่พูดก็พูดเหอะ แพคฮยอนมันก็ไม่ได้เป็นง่อยนะ เดินมาเองก็ได้มั้ง เห็นมึงเทียวไปรับทุกเย็น”

     

    “ไม่ได้เว้ย! รักเขาแล้วก็ต้องดูแลเขาให้เสมอต้นเสมอปลายดิวะ คนนี้กูรักจริง จีบจริง มดจะไม่ให้ไต่ ริ้วไรจะไม่ให้เฉียด นี่ถ้ายุงบินมาเกาะนะ กูจะไม่ตบมันให้ตายแต่จะเอามาเด็ดขาเด็ดปีกให้ทรมานก่อนข้อหาจะมาดูดเลือดว่าที่แฟนกู”

     

    “ไอ้บ้า มึงนี่เว่อร์ตลอดศกจริงๆ”

     

    จงอินหัวเราะเสียงดังหลังจากฟังความซาดิสม์เลือดเย็นที่ปาร์คชานยอลคิดกระทำต่อยุง ใครๆก็บอกว่าเพื่อนเขาคนนี้หล่ออารมณ์ดี แต่จงอินคิดว่ามันหล่อแต่เสียสติมากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่านี่เป็นนิสัยที่ชวนคบหาของชานยอลมันเหมือนกัน

     

    ร่างหนาในชุดลำลองสบายๆหันหลังพิงขอบระเบียงขณะที่มือยังแนบโทรศัพท์ไว้กับหู ได้ยินเสียงปลายสายบ่นอะไรมาอีกแป๊บนึง ก่อนที่บางประโยคจะพุ่งพรวดมาทะลุรูหูเขาอย่างจัง

     

    “มึงเหอะไค เพลาๆหน่อยกับคยองซูน่ะ วันนี้ทำเป็นดุ สุดท้ายก็ฟินตัวเกือบแตก กูเห็นนะครับ”

     

    จงอินนึกอยากจะถามเหลือเกินว่าทำไมไอ้เพื่อนคนนี้มันจะเห็นอะไรบ่อยๆนัก ตกลงที่ให้สอนแพคฮยอนกับเซฮุนนี่ไม่ได้สอนเลยใช่มั้ย มัวแต่เอาเวลามาแอบมองเขาสอนคยองซูอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

     

    พูดไปแล้วก็นึกถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมง อันเป็นต้นเรื่องที่ทำให้เขาฟินตัวเกือบแตกอย่างที่ชานยอลมันว่าจริงๆ

     

    หลังจากพักดื่มน้ำเสร็จ คยองซูกลับขึ้นมาบนเบาะอีกครั้งด้วยหน้าตาน่ารักที่เหมือนตื่นตกใจกับอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา ความจริงจงอินก็พอรู้หรอกว่าตัวเองใช้อารมณ์ในการสอนคยองซูวันนี้มากไป มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ กีฬาจะเอาอารมณ์เข้ามาเล่นไม่ได้ เขาเลยตัดสินใจให้คยองซูได้พักเพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลาทำสมาธิควบคุมจิตใจให้มากกว่าเดิมด้วย

     

    ตากลมโตไหวระริกมองมาที่เขาเหมือนอยากจะถามว่าจะให้ทำอะไรต่อ จงอินยังคงตีหน้านิ่ง กอดอกเหมือนอย่างที่ทำบ่อยๆ แล้วออกปากสั่งให้คยองซูทบทวนท่าตบเบาะตั้งแต่ท่าแรกจนถึงท่าที่ 7 ที่เพิ่งสอนไป

     

    คนตัวบางทำตามอย่างว่าง่ายแถมยังทำได้ถูกต้องแม่นยำจนนึกอยากจะปรบมือดังๆแล้วให้รางวัลด้วยการหอมแก้มสักสองสามฟอด วิธีของเขายังใช้ได้ผลเสมอไม่ว่ากับใคร ทั้งแพคฮยอน เซฮุน ต่างก็ถูกสอนให้แม่นพื้นฐานด้วยการทวนของเก่าซ้ำทั้งนั้น เมื่อสิ้นสุดการตบเบาะท่าที่ 7 โดยจงอินก็พอใจกับผลงาน กัปตันทีมจึงตัดสินใจสอนท่าตบเบาะท่าสุดท้ายให้คยองซูในวันนี้เลย

     

    ตบเบาะท่าที่ 8 ก็เหมือนๆกับที่ทำมา คือเป็นการยืนขึ้นหันตบเบาะซ้าย-ขวา ยืนจัดท่าทางเหมือนตบเบาะท่าที่ 4 แต่แค่ไม่ได้ล้มลงไปข้างหลังตบ 2 มือ แต่ถ้าจะตบมือซ้ายก็ให้หันไปทางด้านขวาแล้วล้มลงตบเบาะซ้าย ถ้าจะทำอีกข้างก็สลับกัน คนที่ตบเบาะทุกท่าที่ผ่านมาได้แม่นแล้วอย่างคยองซูจึงไม่มีปัญหาในการรับของใหม่

     

    แต่ทว่า ตอนที่ให้ตบแค่ท่าสุดท้ายท่าเดียวไปเรื่อยๆน่ะมันไม่มีอะไรหรอก แต่ปัญหามันมาเกิดก็ไอ้ตอนที่ให้ทบทวนทุกท่าที่ฝึกมาตั้งแต่แรก ท่าละ 20 ครั้ง นี่แหละ แถมยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับจงอินเสียด้วย

     

    “ยกแขนให้มันขนานกับพื้นสิ! แขนอย่าตก ห้ามลดระดับแขน!!

     

    พอล่วงเข้าสู่ท่าที่ 6 ปั๊บ ความเมื่อยล้าที่รวมเข้าด้วยกันกับความเหนื่อยสะท้อนออกมาเป็นหยดเหงื่อ เสียงหอบหายใจ และร่างกายที่ค่อยๆผ่อนลงตามสัญชาตญาณก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น จงอินรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแค่นี้ก็นับว่าคยองซูฝึกหนักจนเกินตัวไปแล้วด้วยซ้ำ แต่คนอย่างเขาน่ะยอมไม่ได้หรอก ถ้าหละหลวมไปแม้แต่ขั้นตอนเดียวคนที่จะเป็นอันตรายก็คือตัวคยองซูเอง

     

    ร่างเล็กหายใจหอบแล้วชำเลืองตามองผู้สอนที่ยืนทำหน้านิ่งมองมาอยู่ แอบเห็นคนน่ารักกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึกเล่นเอาแทบเสียศูนย์ กำลังตั้งท่าจะหันหน้านี้ทำเป็นไม่สนใจก่อนตบะจะแตกหากแต่คำพูดที่ตามออกมากลับยิ่งทำให้จงอินแทบอยากจะวิ่งเอาหัวไปชนกำแพงห้องตายให้รู้แล้วรู้รอด

     

    เสียงเล็กๆ เอ่ยค่อยๆ เบาๆ เจือเสียงหอบน้อยๆ กล่าวถ้อยคำออดอ้อน

     

     

    “จงอิน...เหนื่อยแล้วอ่ะ ขอพักแป๊บนึงได้มั้ย นะ...นะ...”

     

     

     

    ว้อทททททททททททททททททททททททท!?

     

    แทบอยากจะแหกปากตะโกนพร้อมเอามือกุมหัววิ่งแจ้นไปทั่วเบาะซ้อมเสียเดี๋ยวนั้นแหละ! เกิดอะไรขึ้นกับโดคยองซู!? ทำไมจู่ๆมาอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานอะไรแบบนี้!!?? ทุกทีไม่มี เรียกว่าไม่กล้าจะพูดด้วยเลยด้วยซ้ำ!!

     

    จงอินไม่กล้าเหลือบสายตากลับไปมอง กลัวจะโดนเสียงหวานอ่อนเอ่ยอ้อนไม่พอจะไปเจอกับหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าฟัดทำสีหน้าท่าทางให้อยากล่วงละเมิดกันซะตรงนี้ เขาลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอไปอย่างยกลำบาก ไม่ได้! ต้องทำใจแข็งเข้าไว้!!

     

    “จงอินอ่า...นายเล่นให้ทำติดๆกันแบบนี้ฉันหายใจไม่ทันนะ เมื่อยมากๆด้วย ขอพักแป๊บเดียวนะ นาทีเดียวก็ได้นะ นะครับ...นะ...นะ...”

     

     

    โอยยยยยยยยยยย ทำไมฟังแล้วดูติดเรทวะ!(?)

    แล้วอย่ามาหลายนะ แค่นะเดียวนี่ก็แทบอยากจะเลื้อยเข้าไปก้มหัวเคารพนบนอบแทบตักแล้วครับคนดี

     

    จงอินไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคยองซู แต่ที่รู้ๆคือเขากำลังจะตายกับลูกอ้อนที่ชกเต็มหน้าจนแทบน็อค ค่อยๆหันหลับไปหาคนที่ยังนั่งค้างอยู่ในท่าตบเบาะท่าที่ 6 แขนเหยียดตรงสั่นเล็กๆจากความเมื่อยล้า แต่อะไรก็ไม่เท่าหน้าตาที่บ่งบอกชัดว่าอยากพักอย่างที่ปากพูดจริงๆ

     

    พอได้เห็นตากลมโตมองมาอย่างอ้อนวอน ริมฝีปากสีอ่อนเม้มแน่น ใบหน้าขาวเนียนพราวระยับด้วยหยดเหงื่อ ร่างบอบบางที่เริ่มจะสั่นเพราะความเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า ทุกอย่างทำให้จงอินยอมแพ้ เขายอมพยักหน้าเบาๆ อนุญาตให้คยองซูพักได้ก่อนที่หัวใจเขาจะกระเด็นกระดอนออกมาข้างนอก

     

    “แค่ 1 นาทีเท่านั้นนะ ขยับแขนขาให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายซะ”

     

    “อื้อ! ขอบคุณมากนะจงอิน นายใจดีที่สุดเลย”

     

    มียิ้มตบท้ายให้ด้วย

     

    พระเจ้าครับ...หากคิมจงอินคนนี้เคยทำผิดต่อคู่แข่งคนใดไว้ขอให้กลับมาล้างตาแก้แค้นกับลูกด้วยการแข่งขัน แต่โปรดอย่าส่งนางฟ้านางสวรรค์มาแก้แค้นกันด้วยรอยยิ้มหวานๆกับเสียงอ้อนๆแบบนี้เลย ต่อให้เทพแค่ไหน เก่งเท่าไหร่ก็ตายได้ง่ายๆเลยนะครับ!

     

    เมื่อถึงจุดที่ไม่ไหวจะทน จงอินตัดสินใจเดินหนีไปหาเพื่อนตัวสูงที่ยืนรอเซฮุนกับแพคฮยอนผลัดกันเข้าท่าทุ่ม ชานยอลหันมายังไม่ทันจะเอ่ยว่าอะไรกูถูกเทพไคคว้าสาบเสื้อแล้วเหวี่ยงทุ่มลงไปกับเบาะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าสัญชาตญาณนักกีฬากับปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายสั่งให้ชานยอลตบเบาะเซฟตัวเองได้อย่างสวยงาม

     

    “มึงเป็นเชี่ยไรเนี่ย!?

     

    ลุกขึ้นนั่งได้ก็ถามไอ้บ้าที่จู่ๆนึกจะทุ่มก็ทุ่มคนอื่นเขาอย่างไม่มีบอกล่าว แถมทุ่มเสร็จยังจะมายืนยิ้มหน้าระรื่นได้อย่างนี้อีก จงอินหันมาคว้าสาบเสื้อยูโดของชานยอลแล้วเขย่าจนอีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอนแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

     

    ชานยอลที่เป็นผู้เคราะห์ร้ายโดนมันทั้งทุ่มทั้งเขย่าเป็นติ้วในศาลเจ้ากำลังจะอ้าปากด่า แต่เสียงของคยองซูที่ตะโกนมาบอกว่าพร้อมจะตบเบาะต่อแล้วก็เรียกวิญญาณไอ้โค้ชจอมโหดกลับเข้าสู่ร่างของคนผิวเข้มได้อีกครั้ง จงอินสามารถปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งได้ไวยังกับเปลี่ยนหน้ากาก ละมือจากร่างสูงของเพื่อนสนิทแล้วเดินตรงมาหาคนตัวเล็กที่นั่งรออยู่ ทิ้งให้ชานยอลอ้าปากค้างพลางนึกเจ็บใจไอ้อดีตคู่ต่อสู้ตัวแสบอยู่ในใจ

     

    ต่อจากนั้นคยองซูก็ตบเบาะต่อไปอย่างขยันขันแข็ง เหมือนต่างคนต่างกลับสู่โหมดปกติของตัวเองทั้งคู่ แต่จะมีบ้างที่ตากลมใสลอบส่งสายตามาบอกว่าขอพักหายใจก่อนสักเดี๋ยว จงอินเห็นก็ต้องพยายามทำใจเข็งให้กับลูกอ้อนที่นึกจะมาก็มา แต่ก็ยังใจดียอมให้เว้นจังหวะการตบเบาะบ้างเพื่อให้อีกฝ่ายได้ปรับจังหวะการหายใจ

     

    เรียกได้ว่ากว่าจะจบการฝึกวันนี้ได้ทำเอาใจหายใจคว่ำ กลัวเหลือเกินว่าไอ้ที่ทำเป็นโหดเป็นดุตลอดเวลาที่ผ่านมาจะมาพังลงกับลูกอ้อนพิฆาต ให้ตายสิ คนอย่างคิมจงอินผู้ที่ได้รับฉายาว่าเทพไคไร้พ่ายจะมาปราชัยให้กับคนตัวเล็กๆอย่างโดคยองซูน่ะมันไม่ถูกต้องนะ

     

    ต่อไปนี้ต้องระวังให้มาก จะอ้อนแค่ไหนก็เหอะแต่จะไม่ยอมใจอ่อนให้ง่ายๆหรอก จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อย่าหวังว่าจะเล่นกับหัวใจฉันให้มันมากไปกว่านี้เลย โดคยองซู

     

     

     

    “กูดูอาการแล้วนี่มึงยังชอบเขามากๆเหมือนเดิมเลยใช่มั้ยล่ะ?”

     

    เสียงของชานยอลเรียกสติที่หลุดลอยไปไกลของจงอินให้กลับมาอีกครั้ง รู้ตัวอีกทีเขาก็ยิ้มเสียจนเมื่อยแก้มไปหมด ร่างสูงถอนหายใจ พลิกตัวหันกลับมามองท้องฟ้าประดับแสงดาวอีกครั้ง เผลอเห็นเป็นหน้าใครบางคนอยู่บนนั้นด้วย

     

    ก็ว่าไปอย่างนั้น...กะอีแค่ห้ามความคิดตัวเองยังทำไม่ได้เลย คิมจงอิน

     

    “ไม่ว่ะชานยอล...”

    จงอินเงียบไปชั่วอึดใจแล้วจึงพูดต่อเสียงเบา

     

     

    “กูว่ากูชอบเขามากกว่าเดิมอีก”

     

     

    ได้ยินเสียงพรูลมหายใจพร้อมเดาะลิ้นเบาๆจากอีกฝั่งของสาย คิดเอาไว้อยู่แล้ว จงอินน่ะมันฉลาดเรื่องวางแผนการเล่นบนสนามแข่ง แต่เวลาต้องสู้กับหัวใจตัวเองล่ะโง่บรมเลยล่ะ

     

    “กูว่านะ ถ้ามึงยังชอบเขามากๆแบบนี้มึงก็ควรจะรีบแสดงออกให้เป็นเรื่องเป็นราวได้แล้ว ชอบก็จีบเลยมึง ปล่อยไว้เดี๋ยวก็ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกหรอก”

     

    “...แต่กูยังไม่พร้อมว่ะชานยอล เขามาแบบไม่ทันตั้งตัว กูยังจูนความรู้สึกตัวเองไม่ได้”

     

    “เออๆ งั้นก็ตามใจมึงละกัน ตราบเท่าที่คยองซูยังโผล่มาซ้อมที่เบาะอยู่มึงก็ยังมีโอกาส แต่มึงอย่าลืมล่ะ เขาอยู่ด้วยข้อผูกมัดของมึง ถ้ามึงยังไม่ชัดเจนจนถึงเวลาที่เขาเอาหนึ่งอิปป้งมาให้มึงได้ ปล่อยให้เขาแก้สิ่งที่มัดตัวเอาไว้ได้แล้วจากไป มึงจะยิ่งเสียใจกว่าความผิดพลาดครั้งแรกของมึงอีกนะไค กูเตือนไว้ก่อน”

     

    จงอินเงียบไปราวกับพยายามใช้ความคิดประมวลคำพูดจริงจังของเพื่อน ไม่บ่อยนักที่ชานยอลจะพูดอะไรยาวยืดและมีสาระได้แบบนี้ แต่ทุกครั้งที่พูดมันสามารถตักเตือนสั่งสอนอะไรหลายๆอย่างให้จงอินได้เสมอ

     

    ถอนหายใจเสียงเบาแล้วพูดอะไรต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยคำบอกลาเพื่อวางสาย จงอินถือโทรศัพท์เครื่องหรูไว้ในมือ หน้าจอปรากฏวอลเปเปอร์รูปตัวเขาเองบนแท่นอันดับ 1 ในแม็ทซ์ที่เขาภูมิใจมากที่สุด ก่อนที่แสงสว่างจะค่อยๆวูบลง ระบายลมหายใจทิ้งอีกครั้ง จ้องมองไปที่โทรศัพท์หน้าจอดำแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

     

    มือหนาปลดล็อกแล้วเลื่อนหาหมายเลขที่แม้ไม่ได้เมมชื่อไว้แต่ก็จำทุกตัวเลขได้ขึ้นใจ เบอร์โทรศัพท์ที่ได้มาจากการเนียนเล่นมุกตลกก่อนที่ชานยอลจะพาเจ้าตัวส่งกลับหอในวันนั้น ปลายนิ้วลังเลที่จะกดโทรออก ชะงักค้างไว้นานนับนาทีก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพิมพ์ชื่อเจ้าของเบอร์แทน เขายังขี้ขลาดที่จะทำอะไรให้ชัดเจนจริงๆ

     

    โดคยองซูมีอิทธิพลกับหัวใจมากกว่าที่คิด

    มากเสียจนจงอินเกือบพลาดพลั้งเสียคะแนนอิปป้งให้ตั้งแต่คนตัวเล็กยังเพิ่งจะตบเบาะได้ด้วยซ้ำ

     

     

    ++++++++++++++++++++++++

     

     

    “วันนี้ฉันจะสอนนายม้วนตัวตบเบาะ ซึ่งมันเป็นเบสิคที่สำคัญมากๆสำหรับการเล่นยูโดและก็ยากที่สุดในพื้นฐานการตบเบาะทั้งหมดด้วย”

     

    จงอินกอดอกพูดพลางทอดสายตาคมกริบมองไปยังคนที่นั่งฟังตาแป๋วอยู่ด้วย หลังจากที่ให้คนตัวบางได้ทบทวนท่าตบเบาะตั้งแต่ท่าแรกจนท่าสุดท้ายก็คิดว่าน่าจะปลอดภัยพอที่จะให้คยองซูได้ฝึกในขั้นต่อไปได้แล้ว

     

    การม้วนหน้าตบเบาะ คือเทคนิคการม้วนตัวเพื่อที่จะไปอยู่ในท่าตบเบาะข้างซ้ายหรือขวาตามที่ได้ฝึกมาก่อนหน้านี้ จะแตกต่างจากการม้วนหน้าธรรมดาตรงที่ใช้บริเวณตั้งแต่ปลายนิ้วก้อยตลอดลำแขนไปจนถึงไหล่เป็นกงล้อในการม้วน หัวจะไม่ถึงเบาะ และเมื่อม้วนตัวไปแล้วจะต้องจัดท่าการตบเบาะให้ถูกต้อง ในขั้นต้นจะให้นั่งก่อนแต่ต่อไปจะต้องยืนและจะต้องกระโดดตัวม้วนข้ามสิ่งกีดขวางให้ได้

     

    ที่สำคัญ การม้วนตัวตบเบาะจะมีประโยชน์มากในการเซฟตัวเอง ไม่เฉพาะกับการเล่นยูโด แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุในชีวิตจริงก็สามารถใช้เทคนิคการม้วนหน้าตบเบาะไปป้องกันตัวเองได้ พวกสตั๊นแมนหรือคนที่แสดงคิวบู๊ทั้งหลายก็ต้องฝึกเทคนิคการม้วนตัวเช่นนี้เพื่อกระจายแรงกระแทกเหมือนกัน

     

    พูดไปคงยากจะเห็นภาพ ยิ่งพูดปากเปล่าให้คยองซูฟังเฉยๆก็คงยิ่งจะทำให้งงและคิดว่าคงทำไม่ได้พาลให้ใจเสียไปเปล่าๆ จงอินใช้หลักว่าต้องให้ร่างกายทดลองทำ ให้ค่อยๆเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ใช่จากคนอื่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด เมื่อได้ลองผิดลองถูกเดี๋ยวร่างกายก็จะเข้าใจมันเอง

     

    “ก่อนอื่น นายม้วนหน้าเป็นหรือเปล่า?”

     

    สิ้นเสียงทุ้มคยองซูหันมามองคนถามทันที ตากลมโตเบิกกว้างพลางกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ร่างสูงในชุดยูโดพ่นลมหายใจออกมา แค่นี้คงพอจะบอกได้แล้วว่าทำเป็นหรือไม่เป็น เชื่อแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยเล่นกีฬาอะไรมาก่อนเลยจริงๆ

     

    “ไม่เป็นไร ม้วนหน้าไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ใจนายว่าจะกล้าทำหรือเปล่าแค่นั้นเอง”

     

    พูดพลางย่อตัวลงนั่งข้างๆร่างบางที่นั่งฟังอยู่บนเบาะ จงอินให้คยองซูนั่งยองๆ วางมือทั้ง 2 ข้างลงกับเบาะแล้วเก็บคอ

     

    “เวลาม้วนจำไว้ว่าอย่าให้หัวปักพื้น ใช้เท้าทั้ง 2 ถีบตัวเองให้พุ่งไปข้างหน้า ถ้ากลัวก็หลับตาซะ ใช้ความรู้สึกเอา”

     

    คยองซูพยักหน้าเหมือนว่าจะเข้าใจแต่เรียวฟันเล็กก็แอบขบแน่นบนริมฝีปากล่างอย่างนึกกังวล จงอินเข้าใจดี คนที่ไม่เคยม้วนหน้ามาก่อนจะกลัวมาก เพราะถ้าทำไม่ถูกแล้วหัวจะปักเบาะและทำให้นึกกลัวว่าคอจะหัก ซึ่งจริงๆแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าคยองซูเข้าใจและจดจำหลักการเก็บคอได้แม่นเขาคิดว่าคงไม่น่ามีปัญหา

     

    คนสอนส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายลองม้วนตัวไป คยองซูหันมามองราวกับจะถามว่าต้องทำจริงๆเหรอ แต่เมื่อได้รับคำตอบกลับมาเพียงหน้าเรียบนิ่งกับสายตาเย็นๆก็จำต้องเข้าใจและทำใจสู้มันต่อไปอย่างหลีกหนีไม่ได้

     

    ทว่าทันทีที่คยองซูหลับหูหลับตาแล้วพุ่งตัวม้วนหน้าไปก็เล่นเอาจงอินต้องอ้าปากเบิกตากว้างแทบจะลุกขึ้นพุ่งเข้าไปคว้าคนตัวเล็กไว้ไม่ทัน ยิ่งเห็นหน้าตาเหยเกหลังจากม้วนตัวมั่วๆให้หัวปักเบาะแบบนั้นก็ยิ่งชัดเจนว่าคยองซูคงจะเจ็บพอดู

     

    มือหนาคว้าไหล่บางแล้วดึงให้กลับมายังจุดเดิมที่นั่งอยู่เมื่อกี้ หัวใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นท่า ยังดีที่มีจังหวะที่คยองซูเก็บคอไม่อย่างนั้นล่ะคงอันตรายกว่านี้แน่

     

    “ฉันบอกนายไม่เข้าใจหรือไงว่าอย่าให้หัวปักเบาะ!?

     

    ตะคอกเสียงดังจนอีกคนสะดุ้ง คยองซูเม้มริมฝีปากแน่นมองกลับมาอย่างหวาดๆ ขณะที่จงอินพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นๆ เขาไม่ได้โกรธคยองซูที่ทำไม่ได้ ไม่มีใครที่ไม่เคยทำแล้วทำได้ในครั้งแรก แต่เขาเป็นห่วงคนตรงหน้ามากกว่า คนๆนี้ร่างกายบอบบางยังกับอะไรดี ขืนทำอะไรให้กล้ามเนื้อทำงานผิดรูปบ่อยๆก็พอดีกัน

     

    จงอินพ่นลมหายใจหนักๆก่อนจะจัดท่าให้คยองซูใหม่ นั่งยองเหมือนเดิม มือสองข้างวางบนเบาะ มือหนาบางบนหัวทุยแล้วกดให้อีกคนก้มเก็บคอจนคางชิดอก ในเมื่อยังทำด้วยตัวเองไม่ได้เห็นทีคงต้องคอยเซฟให้จนกว่าจะมั่นใจและทำได้ด้วยตัวเอง

     

    “ยกสะโพกขึ้น”

     

    พอออกปากบอกคนตัวเล็กยังไม่ขยับอะไร แต่เมื่อเขาส่งสายตาดุๆไปให้คยองซูก็ค่อยๆยกตัวขึ้นเล็กน้อยอย่างที่บอก จงอินยังวางมืออยู่บนศีรษะเล็ก ขณะที่มืออีกข้างสอดเข้าไปตรงช่วงท้องจนทั้งท่อนแขนแกร่งรองร่างบางเอาไว้

     

    “พอฉันบอกให้ไป ให้ถีบเท้าทั้ง 2 ข้างไปข้างหน้า ฉันจะเซฟคอกับช่วยส่งแรงให้นายเอง”

     

    แม้จะพูดอย่างนั้นแต่คยองซูก็ยังมีท่าทีหวาดกลัวที่จะม้วนหน้าอยู่ดี จงอินส่ายหัวเบาๆ ริมฝีปากคมหยักยกยิ้มบางๆ

     

    “เชื่อใจฉัน คยองซู”




    50% NOW
     
     
     

     

    จงอินแอบเห็นคยองซูกลืนน้ำลายลงคอลงไปอย่างยากลำบาก แต่ก็อยากจะยิ้มกว้างจนปากฉีกถึงหูในวินาทีต่อมาเมื่อคยองซูพยักหน้าน้อยๆแล้วหันกลับไปก้มลงเก็บคอจนคางชิดอก ดวงตากลมหลับปี๋ พร้อมจะม้วนหน้าโดยมีเขาคอยประคองเซฟเอาไว้ให้

     

    “ฟังฉันนะ แค่นายเก็บคอให้ดีแล้วออกแรงถีบจากเท้า ยันตัวเองเหมือนกำลังจะยืนแต่ให้พุ่งดีดตัวไปข้างหน้าด้วย หัวนายจะไม่ลงพื้นและนายจะไม่เจ็บ ฉันจะคอยส่งแรงให้ พร้อมนะ ไป!

     

    สิ้นเสียงดังในท้ายประโยค คนตัวเล็กทำตามอย่างที่คนสอนบอกทุกอย่าง บวกเข้ากับแรงที่มือใหญ่ข้างหนึ่งจับที่ขาของเขาแล้วช่วยส่งแรงให้พุ่งไปข้างหน้าทำให้คยองซูสามารถม้วนหน้าไปได้อย่างสวยงามปลอดภัย อีกสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนช่วยๆมากคือท่อนแขนแกร่งที่รองอยู่ตรงท้อง จงอินทำอย่างนั้นเพื่อที่เขาจะได้มีช่องว่างให้ยืดตัว ไม่ใช่ขดตัวกลมแล้วไม่กล้าถีบตัวเอง

     

    เมื่อม้วนตัวไปได้สำเร็จลุล่วงคยองซูก็ถอนหายใจยาวพรืดก่อนจะหันหน้ากลับไปหาคนสอนที่นั่งอยู่ที่เดิมด้านหลัง รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าหวานขัดกับหน้าหล่อๆที่เรียบเฉยเสียจนนึกว่าเป็นภาพวาดสีน้ำมัน

     

    ถีงมันจะดูงี่เง่าถ้าจะดีใจกับเรื่องเล็กๆแค่นี้ก็ตามแต่เขายอมรับว่าตัวเองกำลังดีใจมากจริงๆ คยองซูก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามลองม้วนหน้าด้วยตัวเอง ในอดีตเขาเคยทดลองมันมาแล้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก็ทำไม่ได้สักที หัวของเขาปักลงกับพื้นจนเจ็บไปหมด สุดท้ายก็ล้มเลิกความพยายามไป

     

    อีกแล้ว...เป็นอีกครั้งแล้วที่ผู้ชายคนนี้ช่วยทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้อีกก้าว

     

    “ขอบใจนะจงอิน!

     

    “เฮ้ย! ทำอะไรของนาย!?

     

    จงอินเกือบจะเซล้มไปข้างหลังเมื่อจู่ๆคนตัวบางก็พุ่งกระโจนเข้ามากอดเขาเสียเต็มรัก หัวใจงี้เต้นโครมครามจนจะหลุดออกมาข้างนอก เมื่อกี้อุตส่าห์ตีหน้านิ่งทั้งๆที่อยากจะยิ้มให้กับความสำเร็จครั้งแรกของเจ้าตัวใจจะขาด แล้วมาเล่นทำอย่างนี้ใครจะไปอดยิ้มไว้ได้ไหว ที่สุดก็ต้องยิ้มออกมาให้นิสัยเด็กๆของร่างเล็กแต่ยังดีที่คยองซูกอดเขาอยู่เลยไม่ต้องพะวงว่าจะถูกเห็นรอยยิ้มนี้เข้า

     

    คยองซูกอดอีกคนอยู่อย่างนั้นแน่นก่อนจะผละตัวออกมาแล้วหัวเราะแห้งๆเมื่อเพิ่งจะรู้ตัวว่าดีใจจนเผลอทำอะไรไม่เข้าท่าออกไป แต่ทำไมจังหวะที่ละตัวออกมาเหมือนจะเห็นจงอินยิ้ม ไหงมองอีกทีกลายเป็นหน้าเย็นชาเหมือนเดิมแล้วนะ สงสัยคงจะดีใจจนเบลอไปเองจริงๆ

     

    “แฮะๆ ขอโทษนะ ฉันดีใจมากไปหน่อย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันม้วนหน้าได้เลยนะ”

     

    “ดีใจตอนนี้ยังเร็วไป ให้ม้วนให้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีฉันคอยเซฟให้ก่อนเถอะ”

     

    “แต่เพราะมีจงอินคอยเซฟให้ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยที่จะทำนะ ฉันเชื่อจงอิน ฉันรู้อยู่แล้วว่านายคงไม่ปล่อยให้ฉันต้องเจ็บหรอก...”

     

    ประโยคพร้อมรอยยิ้มหวานเชื่อมใจนั้นทำให้จงอินเผลอสะดุดลมหายใจ คยองซูพูดออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่คิดอะไร แต่คงไม่คาดคิดว่าทำให้คนที่ได้ฟังคิดไปไกลกว่านั้น

     

    จงอินยังคงเงียบและมองคนตรงหน้านิ่งค้างไปนานจนคยองซูต้องช้อนตามองคนที่เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก รอยยิ้มหวานยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากสีอ่อน พลันเมื่อดึงสติกลับมาได้และรู้ว่ากำลังถูกคนที่ตัวเองชอบจ้องอยู่ก็ต้องแสร้งกะพริบตาถี่ๆหลายครั้ง

     

    “...จริงมั้ย?”

    เสียงหวานถามต่อเนื่องจากประโยคก่อนหน้าคล้ายไม่มั่นใจ

     

    จงอินกระแอมไอแล้วหลบสายตาใสซื่อที่รู้สึกเหมือนกำลังกวาดต้อนเขาอยู่ รอยยิ้มของคยองซูยังคงน่ามองและน่าจดจำเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน และไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ เวลานี้ คิมจงอินจะได้รับมันมาแล้วจริงๆ

     

    “พูดมากน่ะ! จะหาเรื่องอู้ใช่มั้ย?”

     

    “เปล่าซักหน่อย”

    คยองซูยู่หน้าเมื่อถูกกล่าวหา

     

    “ถ้างั้นก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ฉันจะเซฟให้นายอีกแค่ 3 ครั้งแล้วนายจะต้องลองทำเอง คราวนี้ทำไม่ได้ฉันก็จะไม่ช่วยแล้วนะ”

     

    คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วยิ้มพลางจัดท่าทางเตรียมจะม้วนหน้าต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าจงอินทำตามอย่างที่ปากพูด แขนแกร่งยังคงรองเซฟไว้ที่ท้อง ขณะที่มืออีกข้างเตรียมจับขาอีกคนเพื่อช่วยยกส่งแรงเวลาม้วนตัวไปข้างหน้า

     

    อะไรบางอย่างบอกคยองซูว่าจงอินไม่ได้มีนิสัยอย่างที่แสดงออก และนั่นทำให้เขากล้าที่จะพูดคุยกับจงอินมากขึ้น อาจจะเป็นรอยยิ้มที่คิดว่าตัวเองตาฝาดไป อาจจะเป็นสายตาห่วงใยที่ส่งมาให้เวลาเขาทำผิดแทนที่จะดุหรือโกรธ หรือบางที อาจจะเป็นเส้นบางๆของความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างที่ผูกเขากับคิมจงอินเอาไว้ แต่มันเลือนรางเสียจนคยองซูเลิกที่จะสนใจมันไปหลายต่อหลายครั้ง

     

    ผ่านพ้น 3 ครั้ง ที่ยังต้องมีใครอีกคนคอยช่วยเซฟและส่งแรงเสริมให้ คยองซูสามารถม้วนหน้าได้ด้วยตัวเองจริงๆ แถมยังม้วนได้ดีขึ้นเรื่อยๆจนจงอินเผลอหลุดปากชมออกไป เรียกร้อยยิ้มสดใสให้คนตัวเล็กที่แทบไม่เคยได้รับคำชมออกจากปากคนสอนสุดโหดคนนี้เลยสักครั้ง แต่พอรู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้ว จงอินก็ได้แค่ตีหน้านิ่งแล้วกวาดสายตาไปทางอื่นโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ามันไม่เนียนเลยสักนิด

     

    อันที่จริงแล้วการม้วนหน้าเป็นแค่พื้นฐานก่อนจะให้ม้วนตัวตบเบาะ เพราะอย่างว่า ถ้าหากคนกลัวการม้วนตัวไปข้างหน้าแล้วครั้นจะมาสอนเทคนิคการม้วนตัวแล้วยังต้องไปตบเบาะให้ถูกท่าอีกคงจะยาก จากม้วนตัวคงจะกลายเป็นกลิ้งไปกับเบาะเสียหมด

     

    คยองซูผ่านการม้วนหน้ามาได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องแล้ว หนำซ้ำเจ้าตัวยังดูมีความสุขกับความสำเร็จในการม้วนหน้าของตัวเองอีก ร่างเล็กม้วนแล้วม้วนอีก ม้วนอยู่นั่นจนมึนหัวเอง ลำบากจงอินต้องพ่นลมหายใจหนักๆแล้วมานั่งนวดขมับให้คยองซูหายมึนหัวอยู่พักใหญ่ นี่เขากำลังสอนเด็กประถมอยู่หรือเปล่านะ

     

    “เอาล่ะ ต่อไปฉันจะสอนนายม้วนตัวตบเบาะ ฉันคิดว่านายคงจะรู้ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆคืออะไร?”

     

    “เก็บคอ”

     

    “ถูกต้อง”

    รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่มุมปากคมหลังจากที่คยองซูตอบถูก แค่จำหลักสำคัญได้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

     

    “อันดับแรกต้องนั่งลงกับเบาะแบบนี้ ทำตามฉัน”

     

    จงอินพูดพร้อมกับที่ตัวเองย่อตัวลงนั่งห่างจากคยองซูประมาณช่วงตัวเพื่อให้มีระยะห่างระหว่างกันจะได้ไม่ม้วนตัวไปโดนกันเอง อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างแข็งขันแล้วจัดท่านั่งตามอีกคน

     

    ร่างสูงวางวางเข่าซ้ายลงกับเบาะแต่ยกส้นเท้าขึ้นให้มีแค่ปลายเท้าสัมผัสกับพื้น เข่าอีกข้างตั้งชัน  วางมือซ้ายลงกับเบาะโดยให้ท่อนแขนตึง มือขวาเหยียดตรง วางปลายนิ้วแตะลงกับเบาะโดยหันฝั่งนิ้วก้อยไปทางข้างหน้า พอลองทำท่าในลักษณะนี้แล้วหลังของเราจะก้มโค้งนิดๆโดนอัตโนมัติ ขณะที่ซีกหนึ่งของแขนขวาก็เตรียมเป็นวงล้อรองให้เราม้วนไปข้างหน้าได้แล้ว

     

    “ถ้าสมมติว่านายต้องการจะตบเบาะข้างซ้ายก็ให้จัดท่าแบบนี้ คือวางมือซ้ายไว้กับเบาะ วางเข่าซ้ายไว้กับเบาะ ให้แขนขวาเป็นกงล้อไว้หมุนพาตัวพุ่งไปข้างหน้า เท้าทั้งสองข้างก็ให้ส่งแรงถีบไปพร้อมๆกันเหมือนเวลาจะม้วนหน้านั่นแหละ”

     

    “ยากอ่ะจงอิน”

     

    คนน่ารักทำหน้าเมื่อยแต่จงอินกลับมองว่ามันดูน่ารักน่าชังจนอยากจะหยิกแก้มขาวๆนั่นสักทีด้วยความหมั่นเขี้ยว จงอินพรูลมหายใจเบาๆ ลุกจากท่าที่ตัวเองนั่งแล้วเขยิบมาจัดท่าคยองซูที่ยังทำผิดอยู่บ้างเล็กน้อยให้ถูกต้อง

     

    “ตบเบาะ 8 ท่าที่ผ่านมามันก็ไม่ง่ายหรอกนะ แต่ก็เห็นนายผ่านมันมาได้เองนี่”

     

    ปากก็พูดไปขณะที่ตาและมือยังคงจับส่วนนั้นส่วนนี้ของร่างกายคยองซูให้จัดอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่ถูกต้อง คิ้วเรียวเล็กขมวดชนกันยุ่งด้วยความกังวล เมื่อไหร่ที่ต้องเริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ๆมันก็อดกังวลไม่ได้ทุกที

     

    “เวลาจะพุ่งม้วนไปข้างหน้าก็ให้ยกสะโพกขึ้นเหมือนตอนม้วนหน้า ใช้แรงส่งจากเท้าถีบตัวเองออกไป พอม้วนไปเสร็จก็ให้จัดท่าตบเบาะข้างซ้าย สำคัญคือนายต้องเก็บคอและใช้ท่อนแขนด้านขวาเป็นกงล้อหมุนไปให้ดี เพราะถ้านายถีบตัวไม่แรงมันจะกลายเป็นกลิ้งไปกับเบาะ”

     

    ลุกขึ้นยืนเพื่อพิจารณาดูท่าเตรียมพร้อมของคยองซูหลังจากที่จัดแก้ไขให้เรียบร้อยแล้ว จงอินพยักหน้านิดๆกับตัวเองเมื่อเห็นว่าท่าทางเหมาะสมพร้อมจะม้วนตัว เขาถอยตัวเองออกมายืนห่างจากคยองซูเพื่อให้อีกฝ่ายเตรียมม้วนตัวตบเบาะ

     

    “เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองนะคยองซู นายมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ผ่านตรงนี้ไปได้นายก็จะได้ฝึกเข้าท่าทุ่มแล้วนะ” เสียงทุ้มพูดให้กำลังใจแม้เนื้อเสียงจะเรียบนิ่ง

     

    “ถ้าฉันบอกให้ไป ให้เก็บคอแล้วม้วนตัวอย่างที่บอก โอเคมั้ย?”

     

    “ต...แต่...”

     

    “พร้อม ไป!

     

    ไม่ได้เว้นจังหวะให้เสียเวลาจงอินก็รีบออกคำสั่งก่อนที่คยองซูจะคิดนั่นคิดนี่ให้เสียความมั่นใจไปมากกว่านี้ ซึ่งนับได้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายบอบบางนั้นกับเสียงคำสั่งของเขาทำงานควบคู่กันไปได้ดีหลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับการสอนการฝึกกันอยู่หลายอาทิตย์

     

    ทันทีที่บอกให้ทำ คยองซูก็ม้วนตัวพุ่งไปข้างหน้าจริง แต่คงเพราะเป็นครั้งแรกเลยทำให้ทุกอย่างผิดไปหมด นอกจากเจ้าตัวจะหดแขนขวาที่อุตส่าห์ย้ำนักย้ำหน้าว่าให้ใช้เป็นกงล้อเวลาม้วนเข้ามาติดตัวทำให้กลายเป็นไหล่ที่ลงกระแทกกับเบาะเต็มๆ คยองซูยังตื่นเต้นจนจัดท่าตบเบาะไม่ถูกอีก

     

    สุดท้ายคนตัวเล็กก็ลุกขึ้นมานั่งทำหน้าเบ้เหมือนเด็กน้อยพร้อมจะโยเยหลังจากล้มเหลวในการฝึกครั้งแรกอย่างดูไม่ได้ มือบางลูบไหล่กับคอซีกขวาของตัวเองป้อยๆเพราะปวดหนึบจากแรงกระแทกที่ทำผิดท่า

     

    จงอินถอนหายใจยาวพรืดแล้วเดินเข้าไปหาคนที่นั่งหน้าซึมด้วยความผิดหวังอยู่บนเบาะ ย่อตัวลงนั่งข้างหน้าคนตัวเล็ก แล้วรอยยิ้มเล็กๆก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากคมหยัก มือหนาเอื้อมไปยีกลุ่มผมชื้นเหงื่อของอีกคนเบาๆอย่างลืมตัว

     

    เขารู้แค่ว่าใจที่เข้มแข็งมากขึ้นจนกล้าที่จะเสี่ยงและทดลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำของคยองซูมันทำให้คนๆนี้ดูน่ารักมาก มากเสียจนจงอินไม่อยากจะให้คนเก่งคนนี้ต้องทำหน้ายุ่งเพราะเสียกำลังใจกับความผิดพลาดในครั้งแรก

     

    ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองหน้าร่างหนาในชุดยูโดที่กำลังอมยิ้มพลางยีหัวเขาอย่างเอ็นดู ลืมคิดไปชั่วขณะว่าปกติแล้วจงอินวางตัวเป็นคนสอนสุดโหดขนาดไหน ตอนนี้แค่นึกหมั่นไส้รอยยิ้มที่ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กจอมงอแงแค่นั้นแหละ จำไว้เลยนะคิมจงอิน!

     

    “ลองทำใหม่นะ คราวนี้เดี๋ยวฉันจะช่วยเซฟนายไว้ให้ เชื่อใจฉัน แล้วอย่าลืมเชื่อในตัวเองด้วยล่ะ คยองซู”




     

    TBC.



    นี่เป็นคลิปน้องๆตัวน้อยที่เบาะยูโดที่จันทบุรีกำลังฝึกม้วนตัวตบเบาะกันค่ะ มีรุ่นพี่ไปเก็บภาพไว้เมื่อตอนเปิดสอนเยาวชนภาคฤดูร้อน ที่เบาะนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการเล่นยูโดของกระจกเลยล่ะค่ะ  เมื่อก่อนก็ต้องมาฝึกตบเบาะอย่างน้องๆในคลิปหรือแบบที่คยองซูในเรื่องทำนี่แหละค่ะ ดูๆไปแล้วก็น่ารักดีเนอะ ทำผิดทำถูกมั่วกันไปหมด 5555* แต่ที่น้องผู้ชายในคลิปทำนี่ถือว่าถูกต้องใช้ได้นะคะ สามารถเซฟตัวเองได้แล้ว ถ้าใครอ่านแล้วงงๆก็ลองดูน้องๆตบเบาะกันดูนะคะ เราลงไว้ให้ 2 คลิป ลองดูแล้วจินตนาการตามกันเนอะ ^^ 

     







     

    Mirror* Talk : โฮฮฮฮฮฮ ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่านที่ปล่อยให้รอไปหลายวัน TTvTT มันสืบเนื่องมาจากกีฬามหาลัย ยาวมาจนถึงว่าเราต้องไปออกค่ายกับที่ภาคทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ แถมยังไปตากน้ำค้างอย่างหนักเลยทำให้เป็นไข้อยู่เสียหลายวัน พออาการเริ่มดีขึ้นก็มาเขียนส่วนที่เหลือต่อให้ทุกคนทันทีเลยค่ะ ฮืออออ ขอโทษจริงๆนะคะ

    สำหรับตอนนี้ เราเข้าใจว่าคงมีหลายๆคนงงกับการม้วนตัวตบเบาะ ซึ่งต้องขอยอมรับหน้าด้านๆเลยว่าเราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เข้าใจกันจริงๆ TTvTT ทำได้ดีที่สุดแค่เอาวิดีโอมาให้ดูกันนะคะ การม้วนตัวตบเบาะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ถ้าได้ลองทำบ่อยๆจะเข้าใจและร่างกายจะปรับชินไปเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นการเล่นกีฬามันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเนอะ ในเรื่องนี้เราเอาความรู้มาพอให้ทุกคนเห็นภาพคร่าวๆไม่ได้คาดหวังถึงขนาดว่าใครจะสามารถฝึกได้ที่บ้านทันทีอะไรแบบนี้ แต่ถ้าใครสงสัยอยากฝึกยังไงก็บอกเรานะ เผื่อจะแนะนำที่ฝึกของแต่ละจังหวัดให้ได้ ฮา ตอนนี้มันอาจจะรวบรัดไปสักนิด แต่ต่อๆไปเราจะพยายามทำให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้นนะคะ TTvTT

    ส่วนหลายๆคนที่เป็นห่วงอาการเข่าของเรา ต้องขอกราบขอบพระคุณทุกคนจากใจจริงๆค่ะ TTvTT บอกตรงๆว่ามันทำใจยากนะกับการที่ต้องหยุดทำในสิ่งที่ทำมาตลอด 13 ปี แต่ในเมื่อร่างกายเรามันถึงเวลาแล้วก็คงต้องพอจริงๆ แค่นี้เราก็ฝืนทนใช้กายนี้กับกีฬาที่เรารักมาอย่างหนักหน่วงเหลือเกินแล้วล่ะค่ะ มันไม่ใช่แค่เอ็นขาดนะ เรายังเคยบาดเจ็บส่วนอื่นๆมากอีกนักไม่ถ้วน แต่ทั้งหมดมันผ่านมาได้เพราะใจจริงๆ ลองเรารักอะไรแล้วต่อให้เจ็บแค่ไหนเราก็ทนไหวค่ะ TvT

    ตอนหน้าสัญญาว่าจะมาลงให้เร็วขึ้น แต่อาจจะลดทอนในส่วนของรายละเอียดยิบย่อยลงไปบ้าง เพราะนอกจากบางอย่างมันไม่สามารถอธิบายให้เห็นแบบหมดจดได้จริงๆแล้วเรากลัวว่ากว่าฟิคเรื่องนี้จะจบ น้องคยองซูจะได้เข้าท่าทุ่มมันจะเลยไปสิบปีนะ 55555* บางทีเลยจำเป็นต้องลดทอนรายละเอียดบางส่วนไปเพื่อความรวดเร็วนะคะ แต่รับรองว่าคนอ่านจะได้ความรู้ของยูโดไม่มีขาดตกแน่นอนค่ะ

     

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นด้วยหัวใจค่ะ TTvTT คุณคือคนที่ต่อลมหายใจให้นักยูโดทุกคนในเรื่องและคนเขียนได้จริงๆค่ะ งื้ออออออออ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×