ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #7 : CHAP 7

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.56K
      25
      29 ม.ค. 56

     

    CHAPTER 7


      

    มือใหญ่ปลดสายสีดำสนิทของตัวเองออกจากเอวแล้วพาดบ่าเอาไว้ สาบเสื้อยูโดคลายออกจากกันจนเห็นมัดกล้ามเนื้อโผล่ทางช่องว่างระหว่างสาบเสื้อ จงอินยกมือยีผมของตัวเองส่งๆพลางสะบัดเล็กน้อยเพื่อไล่หยาดเหงื่อจากการเล่นรันโดริกับชานยอลเมื่อครู่

     

    ประธานชมรมทิ้งตัวลงนั่งพลางส่งขวดน้ำให้ร่างสูงอีกคนที่เดินหอบน้อยๆมาทางนี้ ชานยอลรับขวดน้ำแล้วยกขึ้นดื่มก่อนจะหันมองไปทางเดียวกันกับที่เพื่อนสนิทกำลังมองอยู่ด้วย

     

    “ไม่ให้มาพักวะ?”

     จงอินส่ายหัวแทนคำตอบที่อีกคนถามมาขณะที่ยังไม่ลดสายตาที่มองไปบนเบาะ

     

    “บอกแล้ว แต่เขาไม่ยอมลงมา”

     

    “ฟิตจังวะ มึงแอบใส่ยาอะไรให้คยองซูกินป่ะเนี่ย?”

     

    “เดี๋ยวกูถีบกระเด็นไปนู่น”

     

    ไม่พูดเปล่าแต่ยกเท้าเตรียมจะถีบอย่างที่ปากว่าจริงๆ ชานยอลเบ้หน้าก่อนจะหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆไอ้คนที่กำลังยิ้มไปมองคนตัวเล็กที่ขะมักเขม้นฝึกม้วนตัวตบเบาะไป

     

    ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคยองซูใช้เวลาไปกับการฝึกม้วนตัวตบเบาะจนตอนนี้พัฒนาขึ้นไปมาก อาจจะมีหลงๆลืมๆบ้าง ผิดพลาดไปบ้างแต่ก็นับว่าน้อยลงเรื่อยๆทุกวัน จากที่แรกๆมีจงอินคอยช่วยเซฟให้ตอนนี้ก็สามารถม้วนได้ด้วยตัวเองอย่างปลอดภัยและถูกต้องแล้ว

     

    วันนี้ก็เช่นกัน ชานยอลเห็นจงอินไปยืนคุมคยองซูม้วนตัวตบเบาะเพื่อเช็คความถูกต้องอยู่พักใหญ่ก่อนที่เพื่อนของเขาจะละออกมาเล่นรันโดริด้วยแล้วปล่อยให้คยองซูฝึกต่อไป ระหว่างเล่นรันโดริไปเห็นได้ชัดเลยว่าเทพไคไมได้มีสมาธิอยู่กับการฝึกเท่าไหร่นัก ตางี้มองไปแต่คนที่กำลังม้วนตัวตบเบาะอยู่ แต่มันก็ยังอุตส่าห์หลบการเข้าท่าทุ่มของเขาได้เกือบทุกครั้ง แต่จนกระทั่งพวกเขารันโดริกันเสร็จคยองซูก็ยังไม่เลิกฝึก

     

    แพคฮยอนกับเซฮุนหยุดเข้าท่าทุ่มกันแล้ว คนตัวบางทั้งสองคนเดินมาหาคยองซูที่กำลังนั่งจัดท่าเตรียมม้วนตัวของตัวเองอย่างเก้ๆกังๆ อาจเป็นเพราะต้องเปลี่ยนไปเป็นตบเบาะข้างขวาที่ใช้น้อยกว่าข้างซ้ายเลยยังไม่ชินท่า ทั้งๆที่มันก็แค่สลับด้านวางมือวางเท้ากับข้างซ้ายก็เท่านั้นเอง แพคฮยอนเห็นอย่างนั้นเลยใจดีเข้ามาช่วยบอก ขณะที่เซฮุนก็ช่วยจัดท่าทางให้

     

    ครู่หนึ่งคยองซูก็ม้วนตัวตบเบาะข้างขวาได้สำเร็จ แพคฮยอนยืนยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารัวๆเพื่อบอกว่าทำถูกแล้ว ส่วนเซฮุนกำลังยืนปรบมือให้ รอยยิ้มสดใสปรากฏบนริมฝีปากสีอ่อนแม้เหงื่อพราวบนใบหน้าหวานนั้นจะบอกได้เป็นอย่างที่ว่าคยองซูเหนื่อยกับการฝึกไม่น้อย

     

    เจ้าตัวเขาก็คงจะรู้แล้ว...ว่ามันเริ่มมีบางอย่างที่ต่างไปจากช่วงแรกๆ

     

    เหนื่อย แต่มีความสุข

    ร่างกายอ่อนล้า แต่ว่ายังไม่อยากหยุดพัก

     

    ความผูกพันที่เกิดขึ้นกับกีฬาค่อยๆก่อร่างสร้างขึ้นทีละนิด และเชื่อว่าต่อไปสิ่งนี้เองที่จะผูกคยองซูไว้กับยูโดมากกว่าข้อผูกมัดใดๆ

     

     

    “เฮ้ย ไม่ต้องยิ้มขนาดนั้นก็ได้มั้ง เขาแค่ม้วนตัวตบเบาะได้ ไม่ใช่ได้เหรียญทอง”

     

    ชานยอลแซวพลางกระทุ้งศอกใส่อีกคนเบาๆ คนที่นั่งยิ้มมองคนตัวเล็กบนเบาะเพิ่งจะรู้ตัวก็แสร้งหุบยิ้มแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม

     

    “กูภูมิใจในฐานะคนสอน กูผิดตรงไหน”

     

    “เอออออ ไม่ผิดครับไม่ผิด แต่กูรู้สึกว่าพักหลังมานี้คนสอนกับลูกศิษย์จะดูสนิทสนมกันขึ้นมากเลยนะ ไง? ใจอ่อนแล้วสิมึง”

     

    “ใครบอกมึง กูเปล่าซักหน่อย”

     

    จงอินเหล่ตามองพลางตอบด้วยน้ำเสียง(ที่พยายามทำให้)หนักแน่นที่สุด เพื่อนตัวสูงได้ยินแบบนั้นก็ไหวไหล่ นึกขี้เกียจจะคาดคั้นเอาคำตอบจากไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจแล้วล่ะ เพราะยังไงก็เห็นๆกันอยู่แล้วว่าทุกวันนี้สอนกันไปยังกับโลกทั้งใบมีกันอยู่สองคน ไอ้ที่เคยแข็งกระด้างใส่เขาทุกวันนี้เห็นมีแต่จะคอยแนะนั่นสอนนี้ให้อยู่เรื่อยๆ

     

    แต่เป็นแบบนี้แล้วก็ดีเหมือนกัน ชานยอลรู้สึกว่าเพื่อนของเขาคนนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ คยองซูทำให้เขาได้เห็นจงอินในมุมที่ไม่เคยได้เห็นหลายครั้ง ยิ่งเวลามันฟินกับตัวเองอยู่คนเดียวนี่โคตรอยากจะถ่ายคลิปเก็บไว้ให้รู้แล้วรู้รอด

     

    “เออไอ้ไค คยองซูตบเบาะได้แน่นขนาดนี้แล้วกูว่ามึงน่าจะหาชุดยูโดให้เขาใส่ซ้อมเป็นเรื่องเป็นราวได้แล้วนะ”

     

    ชานยอลหันกลับมาพูดเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ กัปตันทีมพยักหน้าเห็นด้วยตามที่เพื่อนพูด คยองซูตบเบาะได้แน่นแล้วจริงๆจากการที่ให้ทวนของเก่าทุกครั้งที่ขึ้นซ้อม จนตอนนี้เท่าที่ดูการม้วนตัวตบเบาะก็พอจะเซฟตัวเองได้แล้ว คงถึงเวลาที่คนตัวบางต้องมาฝึกเข้าท่าทุ่มเสียที

     

    “เดี๋ยวกูลองกลับไปหาชุดตอนเพิ่งเล่นมาให้เขาแล้วกัน อาจจะใหญ่ไปหน่อยแต่คิดว่าคงใส่ได้ เพราะตอนนั้นกูก็เล่น -60 เหมือนกัน”

     

    “ก็ดี แต่ก็อย่าให้มันเก่ามากไปแล้วกัน กูกลัวคยองซูจะไม่กล้าใส่”

    พูดพลางหัวเราะไปด้วย จงอินหันมาเหวี่ยงหน้าเอือมใส่ไอ้คนตัวสูงที่นั่งข้างๆหนึ่งที

     

    “ชุดกูทุกชุดรักษาอย่างดีเฟ้ย! กูรักกูถนอมของกู”

     

    “โดยเฉพาะชุดนี้ใช่ป่ะวะ?”

     

    เป็นอีกครั้งที่จงอินนึกอยากจะหาอะไรมาฟาดหัวไอ้เพื่อนรักที่บังอาจเล่นหูเล่นตาแซวเขาออกมาได้น่าตาเฉย เขายอมรับนะว่าชานยอลมันเป็นเพื่อนที่ดี เป็นพวกเก็บความลับเก่ง แต่บางทีไอ้การที่มันเอาความลับที่รู้ออกมาเล่นกับเขาเองนี่มันก็ชวนให้อยากทะเลาะได้บ่อยๆเหมือนกัน

     

    ใบหน้าหล่อจัดก้มลงมองสาบเสื้อด้านในของตัวเอง ที่ด้านในเสื้อฝั่งซ้าย ด้ายสีแดงถูกเย็บขมวดเอาไว้ติดไปในเนื้อผ้าหนาที่ไม่ทำให้เห็นออกมาฝั่งด้านนอกของเสื้อได้ ริมฝีปากคมเผลอยกยิ้มเมื่อนึกถึงอดีตอันเป็นที่มาของด้ายที่เขาเย็บติดกับชุดนี้ไว้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นตอนซ้อมหรือแข่ง เสมือนเป็นเครื่องรางนำโชคติดตัวไปแล้ว

     

     

     

    วันนั้นคิมจงอินก็ยังคงนั่งอยู่ข้างสนามฟุตบอลของโรงเรียนฝั่งตรงข้ามเหมือนทุกๆวัน เพียงเพื่อจะหาโอกาสเดินผ่านโรงยิมเพื่อเห็นหน้าใครคนหนึ่งซึ่งมักจะพบว่ายืนอยู่ข้างเบาะยูโดทุกวัน เมื่อกี้ลองแกล้งเดินเฉียดเข้าไปข้างในดูแล้วตามภารกิจที่ลู่หานมอบหมายให้อย่างรู้กัน จงอินยังคงพบคยองซูอยู่ที่เดิมตรงนั้น ข้างเบาะยูโด และรอยยิ้มสดใสที่อยากจะเก็บไว้ดูไปตลอด

     

    เพียงแค่เห็นแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว ไม่ได้อยากเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ ไม่ได้ต้องการให้เขารับรู้ถึงการมีตัวตน เป็นแค่คนแอบมองไปเรื่อยๆแบบนี้ก็มีความสุขดี ยิ่งอีกฝ่ายยังไม่มีใครก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดที่แอบชอบอีกด้วย

     

    เด็กหนุ่มในชุดพละถอนหายใจแล้วส่ายหัวไปมาเบาๆ นั่งยิ้มเป็นคนบ้าอยู่ข้างสนามบอลให้ได้ทุกวันจนชินชากับสายตาและเสียงหัวเราะของสมาชิกในทีมฟุตบอลของลู่หานไปแล้ว ยิ่งตอนที่กัปตันทีมไม่อยู่คุมข้างสนามคนในทีมก็ผ่อนคลายกันมากขึ้นต่างจากตอนคนตัวเล็กแต่โคตรแมนนั่นคุมซ้อม ทุกคนจริงจังกันจนแค่ยิ้มยังไม่กล้า

     

    จะว่าไปจงอินก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าลู่หานจะหายจากสนามนานไปหรือเปล่า เย็นนี้พี่ชายร่วมหอของเขาบอกว่ามีประชุมเรื่องกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ในอาทิตย์ถัดไปเลยให้คนอื่นๆซ้อมลงสนามกันไปก่อน ส่วนตัวเองจะเข้าไปประชุม เสร็จเมื่อไหร่จะกลับมาคุมซ้อมต่อ

     

    จงอินก้มหน้ามองนาฬิกา

    กว่าจะกลับมามีหวังถึงเวลาได้กลับหอก่อนแหงๆเลยพี่ลู่

     

     

    ลู่หานเดินออกมาจากห้องประชุมบนชั้น 2 ของโรงยิมพร้อมกับกระดาษสรุปการประชุมในมือ หนุ่มจีนหน้าหวานยิ้มแย้มทักทายคนอื่นๆที่เข้าร่วมประชุมด้วยกัน

     

    นับว่ากินเวลานานพอดูสำหรับการประชุมที่เพิ่งผ่านไป อาจเป็นเพราะปีนี้กรรมการฝ่ายกีฬาได้ตระเตรียมกิจกรรมต่างๆไว้มากมาย แถมยังน่าสนใจมากอย่างที่ไม่เคยมีกรรมการชุดปีไหนเคยทำอีกด้วย เขาได้ยินมาว่าคนต้นคิดไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ขวัญใจของเจ้าจงอิน โดคยองซู รองประธานฝ่ายกีฬาที่กำลังยิ้มตาปิดให้กับคนอื่นๆที่กำลังทยอยเดินออกจากห้องประชุมอยู่นั่นไง

     

    “พี่ลู่หาน ขอบคุณมากนะครับที่สละเวลาคุมทีมมาประชุมด้วย”

     

    คยองซูโค้งให้เขาก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มสวย คนอายุมากกว่ายิ้มตอบแล้วส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่ทั้งเขาและคยองซูกำลังเดินลงบันไดมาพร้อมๆกัน

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ก็งานนี้ทีมฟุตบอลเป็นความหวังของโรงเรียนเลยนี่นะ พี่จะพยายามทำให้เต็มที่เพื่อทุกฝ่ายแล้วกัน”

     

    “ผมเชื่อว่าเราต้องชนะแน่นอน พี่ลู่หานคุมทีมทั้งทีจะมีข้อผิดพลาดได้ยังไง จริงมั้ยฮะ?”

     

    “นายก็ชมพี่เกินไป แพ้ขึ้นมานี่จะไม่กล้าสู้หน้ากันเอานะ”

     

    ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน พูดก็พูดเถอะนะ ถึงจะบอกว่าทำงานที่อยู่ในแวดวงเดียวกันต้องประสานงานกัน แต่เอาจริงๆแล้วลู่หานกับคยองซูกลับไม่ค่อยได้พบปะเจอหน้าพูดคุยกันนัก ครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าเพิ่งจะได้คุยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งเขารู้สึกว่าจงอินมันชอบคนไม่ผิดจริงๆ คยองซูน่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย รอยยิ้มนั่นก็มัดใจคนที่ได้เห็นเสียอยู่หมัด

     

    คุยกันไปเดินกันไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่หน้าประตูโรงยิมชั้นล่าง ลู่หานมองไปทางสนามบอลด้านนอก เห็นนักกีฬาในทีมเตรียมจะยืดกล้ามเนื้อหลังเลิกซ้อมกันแล้ว เขาก้มหน้าลงมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าควรแก่เวลาเลิกซ้อมแล้วจริงๆ

     

    “เดี๋ยวพี่คงต้องกลับแล้วล่ะ นี่ก็เย็นมากแล้ว เรากลับบ้านยังไงเนี่ย?” หันมาถามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

     

    “อ่า...คือ...เดี๋ยวมีคนไปส่งน่ะฮะ”

     

    เสียงเล็กตอบเบาๆเหมือนขัดเขินที่จะพูดออกไป ยิ่งเวลาตอบก้มหน้างุดซ่อนรอยยิ้มอายๆกับริ้วแดงที่ข้างแก้มแบบนั้นยิ่งทำให้ลู่หานเลิกคิ้วพลางจุดยิ้มด้วยความแปลกใจ

     

    “หืม?  เรามีแฟนแล้วเหรอเนี่ย?”

     

    “ย...ยังฮะ! เอ่อ คือเป็นแค่คนที่รู้จักกันมาพักหนึ่ง ก็...พักใหญ่ๆแล้ว เขาเห็นว่ากลับช้าทุกวันเลยอาสาจะไปส่งเฉยๆน่ะฮะ”

     

    “อ่า...เหรอ”

     

    สงสัยวันนี้กลับหอไปลู่หานคงต้องเตรียมจอบ เตรียมดิน เตรียมปุ๋ยเอาไว้แล้วล่ะ

    ...เตรียมปลูกแห้วไว้ให้คิมจงอินมันกิน....

     

     

    “จริงสิฮะพี่ลู่หาน ผมเห็นมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะ”

    นิ้วเรียวเล็กชี้ตรงไปที่ข้างสนามบอล ตรงที่ร่างหนาของใครบางคนข้างสนามที่นั่งหันหลังให้เมื่อมองจากตรงนี้

     

    “นั่นมันยูนิฟอร์มชุดพละของโรงเรียนตรงข้ามนี่ครับ”

     

    “อ๋อ ใช่ นั่นน้องที่อยู่หอเดียวกันกับพี่ มันมานั่งรอกลับพร้อมกันน่ะ”

     

    ลู่หานนึกขำอยู่ในใจ

    เอาวะไอ้น้องชาย! ก่อนจะได้กินแห้วยังมีบุญที่เขายังถามถึง เอาไปบอกมันนี่คงปรีเปรมจนวิ่งรอบสนามบอลได้เลยมั้ง

     

    “ถ้างั้นผมฝากนี่ไปให้เขาหน่อยนะครับ”

     

    คยองซูพูดพลางค้นบางอย่างในถุงกระดาษอุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบกิจกรรมในงานเอาเข้ามาประชุมเมื่อกี้นี้ด้วย ก้มหน้าก้มตารื้ออยู่พักหนึ่งก็ยิ้มออกมาเมื่อหาสิ่งที่ต้องการเจอ มือเล็กหยิบด้ายสีแดงที่ถูกทำเป็นด้ายมัดข้อมือขึ้นมาแล้วยื่นให้รุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้า

     

    “นี่เป็นด้ายมัดข้อมือที่เราจะแจกนักเรียนโรงเรียนฝั่งตรงข้ามทุกคนในงานอาทิตย์หน้า ไหนๆก็มาอยู่นี่แล้วก็ให้เขาไปเลยแล้วกันนะฮะ นี่เป็นคนแรกที่ได้เลยนะเนี่ย"

     

    ยิ้มกว้างเสียจนลู่หานเผลอยิ้มตามไปด้วย คนอายุมากกว่ารับของในมืออีกฝ่ายมาแล้วกล่าวขอบคุณ คุยอะไรกันอีกนิดหน่อยก่อนจะล่ำลาแล้วต่างคนต่างแยกกันไป ลู่หานเดินกลับมาที่ข้างสนามเป็นจังหวะเดียวกันกับที่จงอินหันมาเจอเขาพอดี

     

    “อ้าวพี่ลู่ ประชุมนานจังอ่ะ ถึงเวลาเลิกซ้อมละเนี่ย ปะ! กลับหอกัน”

     

    “เดี๋ยวก่อนสิเฮ้ย พี่มีอะไรจะให้”

     

    มือเล็กของคนเป็นพี่กดไหล่กว้างของจงอินที่ผุดลุกขึ้นให้นั่งลงที่เดิมก่อน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มมองน้องชายอย่างมีเลศนัยจนจงอินต้องขมวดคิ้ว

     

    “มีไรอ่ะพี่?”

     

    ลู่หานไม่ตอบแต่ยื่นด้ายผูกข้อมือสีแดงไปตรงหน้าแทน คนอายุน้อยกว่ามองสิ่งที่อยู่ในมือพี่ชายอย่างงงๆ สลับขึ้นไปมองหน้ายิ้มๆของอีกคนแล้ววกกลับมามองด้ายแดงที่นอนนิ่งอยู่บนฝ่ามืออีกหน

     

    “มองอยู่นั่นแหละ เอ้า! เอาไปสิ มีคนฝากมาให้”

     

    “ฝากมาให้? ให้ผมเนี่ยนะ?”

    ชี้หน้าตัวเองพลางพูดเสียงสูงท้ายประโยค ลู่หายส่ายหน้าส่งแล้วแล้วยื่นมือขยับไปข้างหน้าอีก

     

    “เออ ให้เรานั่นแหละ”

     

    จงอินเลิกคิ้วมองหน้าติดจะหวานของอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อนักแต่ก็ยอมรับด้ายผูกข้อมือสีแดงจากมือมา คนตัวเล็กกว่าเท้าเอวมองหน้าน้องชายตัวแสบพลางอมยิ้ม

     

    “นี่น่ะเขาจะแจกให้นักเรียนโรงเรียนนู้นทุกคนในวันงาน แต่นายน่ะได้คนแรกเลยนะรู้มั้ย”

     

    “โห ดูเป็นคนพิเศษอ่ะ ได้ก่อนใครด้วย”

     

    หัวเราะเบาๆให้กับตัวเองพลางมองสำรวจสายมัดข้อมือสีแดงที่ถูกถักทอง่ายๆขึ้นจากเส้นด้ายดิบไปด้วย ริมฝีปากคมหยักของเด็กหนุ่มยกยิ้มน้อยๆแม้จะยังมึนๆงงๆกับการได้มันมาอยู่

     

    “เออ แล้ววันงานจะไปเอาอีกหรือจะไม่เอาก็แล้วแต่ เพราะยังไงนายคงต้องไปดูแข่งอยู่แล้วนี่ ใช่มั้ย?”

     

    “อืม แต่คงไม่ไปเอาของเขาอีกแล้วแหละ ก็ได้มาแล้วนี่นะ”

     

    “แล้วรู้มั้ยว่าใครให้มา?”

     

    “พี่นี่ก็แปลก ได้มายังไงยังไม่รู้ แล้วใครเป็นคนให้จะไปรู้ได้ไงล่ะ”

     

    “รองประธานฝ่ายกีฬาปีนี้ให้มา”

     

    “อ๋อ รองประธานฝ่ายกีฬาโรงเรียนพี่ โดคยองซูนี่เอง...”

     

     

     

    ...เฮ้ย...เดี๋ยวนะ

     

     

     

    “ห๊ะ!!! ด...โดคยองซูให้มา!!!??

     

     

    ทันทีที่สมองประมวลความได้ ไอ้คนที่นั่งยิ้มมองของที่เพิ่งได้มาใหม่ก็ตาโตอ้าปากค้างพลางลุกพรวดขึ้นมามองหน้ากัปตันทีมฟุตบอลที่กำลังกอดอกยืนยิ้มกว้างมองเขาอยู่ จงอินรู้สึกเหมือนสติสตางค์ตัวเองหายวับ ร่างกายคล้ายถูกแช่แข็งฉับพลัน สมองคิดอะไรไม่ทัน ซ้ำยังรู้สึกเหมือนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

     

    ลู่หานยิ้มล้อพลางส่ายหัวไปมาอย่างกับจะบอกว่าไอ้น้องชายตัวแสบนี่กำลังทำตัวได้ปัญญาอ่อนสุดๆ  มือเล็กดันคางคนตรงหน้าให้หุบเข้าหากันแล้วกดไหล่หนานั้นให้นั่งลงที่เดิม

     

    “ยังพูดไม่จบ จะบอกว่าเขาฝากมาแต่เขาไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นใคร”

     

    “อ...อ่า ครับ”

    เรียบร้อยพูดเพราะอยู่ในโอวาทขึ้นมาทันทีเชียวนะ

     

    “เขาเห็นว่ามีเด็กโรงเรียนฝั่งตรงข้ามมานั่งอยู่ข้างสนามบอลเลยฝากเอามาให้ก่อน อย่าดีใจไปล่ะ เดี๋ยวจะเก้อ”

     

    “ค...แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ ม...ไม่ต้อง ให้เขารู้หรอกว่าเป็นใคร แค่นี้...ก็พอ...แล้วจริงๆ”

     

    ฉิบหาย ติดอ่างขึ้นมาซะอย่างนั้น

     

    จงอินไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้ายังไง หรือควรจะทำหน้าแบบไหน เขารู้สึกเหมือนริมฝีปากตัวเองกำลังยิ้ม แต่หัวคิ้วก็ชนกัน ทั้งดีใจ ตกใจ ตื่นเต้น เล่นเอามือไม้สั่นอย่างกับคนไม่เอาไหน ขี้ปอดขี้กลัวเพราะรู้ตัวว่าเป็นคนไม่มีอะไรดีสักอย่าง สุดท้ายก็ทำได้แค่มองเขาไปเรื่อยๆแบบนี้ล่ะนะ

     

    ขณะที่คนเป็นน้องกำลังทำหน้าตาประหลาดๆอย่างไม่อาจระบุอารมณ์ได้นั้น คนที่กำลังกอดอกยืนยิ้มขำก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ รอยยิ้มหยอกล้อค่อยๆจางลงจากใบหน้าน่ามอง แล้วน้ำเสียงที่จริงจังขัดกับก่อนหน้านี้ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ

     

    “แต่จงอิน พี่ว่านะ ถ้านายชอบเขาขนาดนี้ก็รีบๆทำอะไรสักอย่างเหอะ จะมาแอบชอบแอบมองเขาไปเรื่อยๆแบบนี้มันไม่ได้นะ”

     

    “อ้าวพี่ลู่ ไหงเป็นงั้นล่ะ ทุกทีพี่กก็สนับสนุนกับการแอบชอบคยองซูของผมไม่ใช่เหรอ?”

     

    จงอินเลิกคิ้วถามพลางมองพี่ชายตัวบางที่มีสีหน้าจริงจังขึ้น ลู่หานถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้ง ดวงตากลมใสมองไปที่อีกฝ่ายซึ่งยังยิ้มระรื่นกับความตื่นเต้นเมื่อครู่

     

    “มันก็ใช่ แต่นี่มันก็นานแล้วไม่ใช่เหรอที่เอาแต่อยู่เฉยๆแบบนี้โดยไม่ทำอะไรเลย แล้วเมื่อไหร่คยองซูจะรู้ว่านายชอบเขา”

     

    “ผมว่าผมก็บอกพี่ไปหลายทีแล้วนะว่าผมพอใจแค่นี้จริงๆ ตราบเท่าที่เขายังไม่มีใครก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่จะแอบชอบเขาแบบนี้ พี่ลู่ พูดจริงๆนะ ผมยังไม่พร้อมอ่ะพี่”

     

    “คิมจงอิน”

     

    เสียงที่เกือบจะทุ้มเอ่ยเรียกชื่อคนที่ยังพูดไปยิ้มไปเสียงเข้ม ลู่หานคลายมือที่กอดอกออกแล้วบางลงบนไหล่กว้างของคนที่นั่งอยู่ มองหน้าไอ้น้องชายร่วมหอที่นั่งอยู่ ก่อนจะพูดประโยคที่เสียดแทงลึกเข้าไปถึงหัวใจคนที่ได้ฟัง

     

    “ตอนนี้ดูเหมือนคยองซูจะมีคนที่คุยๆอยู่ด้วยแล้วนะ”

     

     

     

    จงอินสะดุ้งเล็กน้อยเพราะแรงชกเบาๆที่ต้นแขน เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วหันกลับไปมองไอ้ตัวการประทุษร้าย ร่างสูงของเพื่อนร่วมทีมกำลังยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่พลางกระทุ้งศอกใส่เขาเบาๆอีก

     

    “ไง คิดอะไรเพลินเหรอมึง? หรือกำลังย้อนอดีตที่มีกับด้ายแดงที่มึงพกขึ้นสนามแข่งตลอดนั่น”

     

    พยักเพยิดหน้าไปทางสาบเสื้อด้านซ้ายของคนที่คุยอยู่ด้วย จงอินพ่นลมหายใจแล้วเหวี่ยงสายดำของตัวเองฟาดใส่ชานยอลหนึ่งครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน

     

    “เยอะไปละมึง วันนี้ท่าทางจะขาดความอบอุ่นจัด แพคฮยอนไม่รักหรือไงเลยมาปากหมาใส่กูถี่ยิบแบบนี้?”

     

    “โหยมึงหยุดเลย พูดละเซ็ง คนอะไรน่ารักบาดตับแต่ดุจนสยองไต นี่เมื่อกี้กูสอนอยู่ เผลอพูดผิดไปนิดเดียวโดนแหวใส่ยาวเลยมึง ไม่รู้ใครคนสอนใครคนเรียนกันแน่ น้องเซฮุนก็เอาแต่ขำกูอยู่นั่น หมด หมดกันความศรัทธาในตัวท่านปาร์คชานยอล”

     

    จงอินหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวเบาๆเมื่อชานยอลลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองฟ้า สองมือแบออกด้านข้างเหมือนจะถามหาความยุติธรรมจากสวรรค์ ปกติทำมันก็ดูเสียสติอยู่แล้ว นี่ยิ่งพอมันทำทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดยูโดยิ่งดูเสียสติหนักเข้าไปใหญ่ เขาเลิกสนใจไอ้สูงติ๊งต๊อง มือหนาจัดสาบเสื้อของตัวเองแล้วมัดสาย

     

    “มึงก็เลิกทำตัวปัญญาอ่อนแล้วสอนเขาจริงๆจังๆสักทีดิวะ มึงก็ใช่จะไม่เก่งที่ไหน ตำนานแห่งท่าดีด** ก็มึงเองไม่ใช่หรือไง? ทำซะไม่เหลือเค้าคนที่ถูกยอมรับให้เป็นตำนานเลยนะ”

     

    “บนสนามแข่งก็บนสนามแข่งดิวะ อยู่กับเขากูอยากเป็นตัวของตัวเอง”

     

    “เออครับ แต่บางทีมึงก็มากไปครับไอ้ยอล!

     

    หัวเราะอีกครั้งพร้อมกับที่มัดสายเสร็จพอดี จงอินเดินขึ้นไปบนเบาะ ตรงไปยังกลุ่มคยองซู แพคฮยอนและเซฮุนที่กำลังนั่งพักกันไปคุยเล่นกันไปอยู่ ทั้งสามคนหันกลับมามองคนมาใหม่ที่เดินเข้ามาถึง

     

    “หายเหนื่อยหรือยัง?”

     

    ไม่มีใครตอบคำถามนั้นนอกเสียงจากคยองซูที่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ แพคฮยอนส่งสายตาไปหาเซฮุน พากันอมยิ้มอยู่แป๊บนึงแล้วก็ชวนกันลุกออกมาจากวงสนทนา พอดีกับที่ชานยอลเดินกลับขึ้นมาบนเบาะพอดี ปล่อยให้คนสอนกับลูกศิษย์ที่สู้ปั้นมากับมือเขาได้คุยกันตามลำพังคงจะดีกว่า

     

    จงอินให้คยองซูม้วนตัวตบเบาะให้ดูอีกข้างละ 10 ครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นที่พอใจเลยทีเดียว คยองซูตบเบาะได้ดีขึ้นมากหากเทียบกับเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไม่อาจพูดได้ว่าคนตัวเล็กเป็นพวกเรียนรู้เร็ว แต่หากบอกว่าคยองซูเป็นคนที่พยายามปรับตัวได้ดีคงจะไม่ผิดนัก เขารู้ว่ามันยากแค่ไหนแต่คนๆนี้ก็พยายามจนผ่านมาได้ถึงขนาดนี้

     

     

    จงอินไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้คยองซูจะภูมิใจในตัวเองขนาดไหน

    แต่เขาน่ะภูมิใจในตัวคยองซูมาก

     

     

    “ที่จริงแล้วเมื่อนายนั่งม้วนตัวตบเบาะได้แล้ว ต่อไปจะต้องยืนม้วนตัวตบเบาะได้ และต้องม้วนตัวตบเบาะข้ามสิ่งกีดขวางให้ได้ด้วยเหมือนกัน”

     

    ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด คนที่ได้ฟังก็ถึงกับอ้าปากค้าง ตากลมโตนั้นยิ่งเบิกกว้างมากกว่าเก่า จงอินเห็นแบบนั้นก็พยายามกลั้นยิ้มก่อนจะเขกเบาๆลงบนหัวทุย

     

    “ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น มันไม่ยากอย่างที่คิดหรอก แต่เดี๋ยวฉันจะค่อยๆสอนนายไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ฉันจะให้เรียนรู้บทเรียนใหม่ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าท่าทุ่ม”

     

    “เข้า...ท่าทุ่มเหรอ?”

     

    “ใช่”

     

    ใบหน้าหล่อคมที่ตีเรียบนิ่งค่อยๆปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา คยองซูมองเขาพลางทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จงอินดึงให้คยองซูลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้าไปทางเดียวกันกับเขา

     

    “นายมาไกลมาแล้วคยองซู เกือบจะครึ่งทางแล้ว และฉันหวังว่านายคงจะไม่คิดถอยหลังกลับไปอีก”

     

    เสียงทุ้มนั้นพูดแฝงความหวั่นใจไว้อยู่ในความมั่นคง แม้จะมั่นใจแต่ก็อดกลัวไม่ได้จริงๆว่าคยองซูจะทิ้งเขาไปอีก ตอนนี้เขาไม่ใช่ไอ้เด็กไร้ความสามารถ ขี้ขลาด ไม่มั่นใจเหมือนตอนม.ปลายแล้ว เพียงแต่จงอินขอแค่เวลาที่จะเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมๆกัน เขาไม่อย่างเร่งรัด แต่อยากให้คนๆนี้เรียนรู้โลกใบใหม่ที่ไม่เคยได้รู้จักโดยที่มีเขาอยู่เคียงข้างแบบนี้

     

    อยากให้คยองซูมั่นใจว่าคิมจงอินจะไม่ปล่อยเขาเอาไว้กลางทาง

     

    “พร้อมหรือยัง?”

     

    เอ่ยถามอีกครั้งทำลายความเงียบที่เข้าโอบล้อม คยองซูหลุดออกจากภวังค์ ดวงตากลมโตมองมายังคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆแต่ทว่าหนักแน่น

     

    “อื้ม!

     

    TBC.

     


    **ท่าดีด จริงๆแล้วมันเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกท่ายูโดกลุ่มหนึ่งค่ะ รับรองว่าต่อไปจะได้เห็นมันอย่างละเอียดๆแน่นอน เป็นกลุ่มท่าทุ่มประเภทที่ใช้ขาเกี่ยวคู่ต่อสู้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศ ท่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่คนที่เล่นจะเป็นคนที่สูง เป็นพวกขายาวๆค่ะ เพราะคนพวกนี้จะได้เปรียบมากหากเล่นท่าดีด เป็นท่าที่เล่นยากเอาเรื่องเลยค่ะ โดนส่วนตัวเราไม่ได้เล่นดีดเพราะหุ่นที่โคตรจะตัน 5555* แต่ก็เคยถูกฝึกอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว แถมยังทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ฮา แต่ก็นั่นแหละ พอไปยืนบนสนามแข่งแล้วเราก็มักจะเอาท่าที่เราถนัดและมั่นใจที่สุดมาเล่น เพราะฉะนั้น กระจกยังไม่เคยทุ่มใครด้วยท่าดีดได้บนสนามแข่งเลยค่ะ 555555555555* #ขาสั้นแล้วยังไม่เจียม

     

     

    Mirror* Talk: สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนหน้านี้ตกใจกันหรือเปล่า? ฮา คือไงดี คนที่ฟอลทวิตเราก็คงจะรู้เรื่องบ้างแล้วเนอะ ส่วนใครที่ไม่ได้ฟอลก็อย่ารู้เรื่องเลย #อ้าว คือแค่เรื่องนี้มันไม่จบลงแค่ตอนที่แล้วและหายไปตลอดกาลก็พอแล้วเนอะ 555555* เอาเป็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจทำให้ใครหลายคนตกใจ เสียใจ หรือด่าคนเขียนไปแล้วอะไรก็ตาม(?)เราต้องขอโทษจากใจจริงนะคะ TvT แล้วก็ขอบคุณมากๆที่ให้กำลังใจกันและยังยืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ขอบคุณที่รักวันอิปป้งด้วย เราก็เหลือแค่นี้แหละทุกคน คนที่คงจะเล่นยูโดต่อไม่ได้แล้วอย่างเรามีแค่ตัวหนังสือที่พอจะถ่ายทอดให้ทุกคนได้เห็นโลกที่เราอยู่กับมันมาครึ่งค่อนชีวิตแค่นั้น แล้วเราก็มีความสุขจริงๆที่ได้ทำมัน จากที่ตอนแรกไม่มีความมั่นใจเลยทีจะลงฟิคเรื่องนี้ แต่พอมีคนติดตาม ทุกๆคนชอบและรอคอย มันทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาก มากอย่างที่รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ขอบสนามเตรียมขึ้นไปแข่งเลยล่ะ 55555* ขอบคุณทุกคนมากนะคะ เราจะไม่หยุดจนกว่าจะส่งคยองซูขึ้นไปบนสนามแข่งได้ เราจะไม่ทิ้งใครไว้กลางทาง เหมือนอย่างที่จงอินจะไม่ทิ้งคยองซูไว้กลางทางเหมือนกันเนอะ :)

    ก่อนจะพากันดราม่าควรหยุดไว้แค่นี้ 555555555555* ตอนหน้าคยองซูจะเริ่มต้นฝึกเบสิคในการเข้าท่าทุ่มแล้วนะคะ ไหนจะต้องฝึกม้วนตัวตบเบาะในขั้นที่สูงขึ้นด้วย เด็กขี้กลัวอย่างคยองซูไม่ได้ผ่านมันไปได้ง่ายๆแน่นอน หึหึหึ(?) เพราะฉะนั้นเป็นกำลังใจให้นักกีฬาหน้าใหม่ของพวกเราด้วยเนอะ

    ต่อจากนี้อาจจะมาต่อช้าบ้างอะไรบ้างด้วยกิจกรรมหลายๆอย่างที่เริ่มเยอะขึ้น ไหนจะช่วงใกล้เรียนจบต้องจัดการอนาคต(อันมืดมน)ของตัวเองอีก แต่เราจะพยายามมาต่อให้ได้บ่อยที่สุดนะคะ TvT

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×