คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 14
Chapter 14
เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้มินกยูที่กำลังจะเคลิ้มหลับไปต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ซูนยองออกไปหาจีฮุนได้สักพักแล้ว
ทำให้ตอนนี้ในบ้านเหลือเพียงเขาแค่คนเดียว แต่เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้นมา เด็กหนุ่มกลับรู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าที่จะลุกจากเตียงได้
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะทำเป็นไม่ได้ยินแทน
หากเสียงกริ่งกลับดังขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
ก่อนที่มันจะดังรัว ๆ ราวกับผู้มาเยือนกำลังจงใจกวนประสาท จนทำให้คนที่นอนอยู่ต้องกดหน้าลงไปกับหมอนพร้อมกับปิดหูไปด้วย
“ให้ตายสิ”
มินกยูสบถ
ก่อนยอมแพ้และลุกจากเตียงโดยดี
เด็กหนุ่มชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างอย่างหงุดหงิดเพื่อดูว่าคนที่กำลังกดกริ่งซ้ำ
ๆ นั้นเป็นใคร
หากดวงตาคมกริบที่เงยขึ้นมามองจากด้านล่างทำให้เขาต้องนิ่งไปอย่างประหลาดใจแกมหวาดหวั่น
ฮง จีซู
ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
ภายในใจของมินกยูเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโวยวายด้วยความหงุดหงิด
ยามมองผู้มาเยือนที่กำลังโบกมือให้ราวกับกำลังทักทายและบอกเป็นนัย ๆ
ว่าเจ้าตัวรู้ว่าเขาอยู่ที่บ้านในเวลานี้
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้ง
ไม่ใช่เวอร์นอน
ไม่ใช่วอนอูหรือสมาชิกคนไหนของบ้านแล้วล่ะที่เป็นเป้าหมายของนักล่าหนุ่มนั่น
มินกยูชักจะเริ่มคิดแล้วว่าบางที...
เขาต่างหากที่เป็นจุดมุ่งหมายของจีซู
รอยยิ้มจางบนใบหน้าของผู้มาเยือนทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
มินกยูถอนหายใจเล็กน้อยยามวางแก้วน้ำใบลงเล็กบนโต๊ะให้กับแขก
จากนั้นจึงทิ้งตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
“คุณบอกว่ามีธุระกับผม”
จีซูยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบช้าช้า ต่างจากดวงตาคมกริบที่มองกลับมาด้วยสายตาพินิจเสียจนคนถูกมองต้องขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด
และในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังตัดสินใจว่าเขาควรส่งข้อความบอกสมาชิกคนอื่นของบ้านดีหรือไม่
ผู้มาเยือนก็เอ่ยออกมาสั้น ๆ
“จำผมได้รึเปล่า?”
คนถูกถามทำหน้างง ๆ หากก็ยอมตอบกลับไปแต่โดยดี
“เอ่อ... คุณก็คือฮง จีซู
หัวหน้าคนใหม่ของคุณวอนอู...”
“นอกจากที่เราเจอกันที่ห้องสมุดเมื่อวานแล้ว
ไม่ได้มีใครพูดถึงผมเพิ่มเลยเหรอ?”
มินกยูนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถามของคนตรงหน้า
นี่เจ้าตัวคงไม่ได้อยากให้เขาพูดถึงเรื่องนักล่าออกมาหรอกนะ
ทว่าจีซูดูราวจะไม่ใส่ใจกับท่าทางของเขา
บรรณารักษ์หนุ่มวางแก้วน้ำในมือลง ก่อนจะเอ่ยคำถามอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้คำพูดแบบไม่เป็นทางการอีกด้วย
“ฉันมีข้อเสนอมาให้นาย”
“ข้อเสนอ?”
คนฟังทวนอย่างฉงน มินกยูรู้ตัวดีว่าตอนนี้สีหน้าของเขาคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อันที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มก็มีแต่ความสงสัยเต็มไปหมดตั้งแต่ยามที่เห็นฮง จีซูยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว
จากการบอกเล่าคร่าว ๆ ของเพื่อนร่วมบ้านคนอื่น บรรดานักล่าหรือที่เรียกกันว่าฮันเตอร์ส่วนใหญ่จะมีความถนัดในการล่าไม่เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าคนตรงหน้ามีสมาชิกคนไหนของ vanilla twilight เป็นเป้าหมาย
แต่อย่างเดียวที่พอจะคิดออกก็คือคนคนนั้นคงไม่ใช่มินกยูอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อพบว่าฮง
จีซูต้องการพบเขา
เด็กหนุ่มจึงต้องชั่งใจระหว่างความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองและความอันตรายของคนตรงหน้า
และนั่นก็ทำให้เขายอมให้หัวหน้าของวอนอูมานั่งในห้องนั่งเล่นของ
vanilla
twilight ในตอนนี้
“คงจะลำบากเพราะรอยแผลนั่นมาเยอะเลยสินะ”
คำพูดเรียบเรื่อยจากจีซูทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย
โดยเฉพาะเมื่อดวงตาคู่นั้นเลื่อนมาจับที่ต้นคอของเขาด้วยสายตารู้เท่าทัน
ตามปกติแล้วถ้าต้องออกไปข้างนอกหรือพบปะผู้คน
มินกยูมักจะใส่เสื้อที่มีปกสูงหรือพกผ้าพันคอเพื่อปกปิดรอยกัดที่ต้นคอเอาไว้ แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม
ทว่าในวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียนและนอนอยู่บ้านเฉย
ๆ อย่างวันนี้ ผ้าพันคอผืนนั้นจึงยังอยู่บนห้องของเขา
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาแตะที่ต้นคอตัวเล็กน้อย
เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“มันก็แค่แผลธรรมดา...”
“รอยกัดของแวมไพร์คงจะใช้คำว่าธรรมดาไม่ได้หรอกมั้ง”
จีซูขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ทำให้คนฟังต้องเม้มปาก
ก็ใช่... ที่ทุกคนมั่นใจว่า ฮง จีซู
เป็นนักล่าอย่างแน่นอน
แต่อารอนกับวอนอูก็ยังคงยืนยันว่าตราบใดที่ยังมีรอยแผลนี้อยู่กับเขา จะไม่มีใครหรือที่นักล่าคนไหนรู้เป็นอันขาดว่าเด็กหนุ่มคือโดเนอร์ของวอนอู
“คุณรู้?”
“ฉันถึงได้มีข้อเสนอมาให้นายไงล่ะ”
“...”
มินกยูสบตากับคนพูดอย่างสงสัย
เด็กหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง และรอให้คนตรงหน้าพูดต่อ
“ฉันสามารถลบล้างคำสาปนั่นได้นะ”
“หมายความว่าไงครับ”
“แผลที่คอนายเป็นแผลต้องคำสาปจากแวมไพร์ไม่ใช่เหรอ”
เช่นเคย... ที่คำพูดของบรรณารักษ์หนุ่มมักมาพร้อมกับประโยคคำถาม แต่ในครั้งนี้เจ้าตัวไม่ยอมรอให้เขาตอบ
ดวงตาของจีซูจับจ้องมาที่เขายามเอ่ยต่อ
“พวกเขาคงบอกว่าการมีอยู่ของมันจะช่วยปกป้องนายเอาไว้
แต่เอาเข้าจริงแล้วถ้าเทียบกับสิ่งที่ตามมา การลบมันทิ้งน่าจะดีที่สุดนะ”
มินกยูนึกเกลียดคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ
โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวยังคงพูดต่อไป
“นายคงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นโดเนอร์ให้แวมไพร์ตลอดไปหรอกใช่ไหม”
น้ำเสียงนิ่มนวลรอยยิ้มละไมบนใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิด
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวว่ามันเป็นความผิดพลาดของตัวเขาเองที่ยอมให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาในบ้าน
“ผมไม่คิดว่าคุณจะช่วยผมได้”
ก็ถ้าสมาชิกของบ้านหลังนี้ยังหาทางไม่ได้
มนุษย์ธรรมดาจะทำได้อย่างไรกัน แม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นนักล่าก็เถอะ
“คนที่จะลบคำสาปให้นายได้ไม่ใช่ฉันหรอก”
มินกยูถอนหายใจออกมา ชั่วขณะที่เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าจีซูหมายถึงอะไร
“...”
“อี ชาน คือคนที่จะช่วยนายได้” รอยยิ้มบนใบหน้าผู้มาเยือนยังคงละมุนยามอธิบาย
“อ่อ... นายรู้จักชานแล้วใช่ไหม”
คำพูดของซองยอนลอยเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง
‘พลังที่โดดเด่นของสปลินเตอร์ก็คือการลบล้างเวทมนต์’
คำสาปของเขาก็ถูกสร้างมาจากเวทมนต์ด้วยสินะ
แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
“คุณต้องการอะไร?”
แม้จะรู้ดีว่าเป้าหมายของบรรณารักษ์หนุ่มคืออะไร
แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงเลือกที่จะถามออกไป
หากสิ่งที่คนตรงหน้าตอบมากลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้
“ฉันต้องการตัวอย่างเลือดของจอน
วอนอู”
มินกยูนิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว
เดิมเขาคิดไว้ว่าคนตรงหน้าคงจะต้องการเลือดที่มีความพิเศษอย่างเวอร์นอน
ทว่านี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาคาดเดาความคิดของจีซูผิด
“ผมไม่...”
“อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยจะดีกว่านะ”
“นายคิดว่าคนในบ้านหลังนี้จะช่วยนายได้จริง
ๆ งั้นเหรอ” ผู้มาเยือนของเขาหัวเราะ ดวงตาที่มองมาทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเลยเท่านั้น
“ต่อให้มีเวลาเหลือเฟือก็ไม่มีใครนอกจากลบคำสาปนี้ได้หรอก”
มินกยูแค่นยิ้ม
รู้ดีว่าคนตรงหน้าหมายถึงอะไร
โรงเรียนที่โซลของเขาใกล้จะเปิดเทอมในอีกไม่กี่สัปดาห์แล้ว
นั่นหมายความว่าเวลาของเขาที่ vanilla
twilight กำลังจะหมดลง
ดูเหมือนว่าจีซูจะสืบเรื่องของเขามาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ถ้ายังอยากที่จะใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปอยู่
อย่าปฏิเสธฉันเลยจะดีว่านะ”
มินกยูทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน
และขดตัวนิ่งอยู่อย่างคนไม่อยากขยับตัวทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว
จีซูกลับไปแล้ว
หากบรรณารักษ์หนุ่มกลับทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ให้กับเขา และตอนนี้เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเขากำลังถือมันเอาไว้ในมืออยู่โดยที่ไม่สามารถโยนทิ้งไปได้
เขาเอื้อมมือไปหาโทรศัพท์ข้างตัว
กดเปิดข้อความเล่นไปเรื่อย จนมาหยุดที่ข้อความของมารดา
พ่อกับแม่เขากลับมาถึงเกาหลีแล้ว และเมื่อรวมกับการที่เด็กหนุ่มเหลือเวลาปิดเทอมฤดูร้อนอีกไม่กี่สัปดาห์
ทำให้อันที่จริงแล้ว มินกยูควรเตรียมตัวกลับโซลเสียแล้วด้วยซ้ำ หากกลับเขาเอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง
รู้ตัวอีกที... เขาก็อยู่ที่นี่มาได้เกือบเดือนเสียแล้ว
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างใช้ความคิด
แว่ว ๆ ได้ยินเสียงสมาชิกบางคนกลับมาถึงบ้าน
ชั่วขณะที่เขาคิดถึงเจ้าของห้องอ่านหนังสือที่เขากำลังนอนอยู่
เด็กหนุ่มเคยคิดว่าคำสาปนี้คือเงื่อนตายที่ผูกระหว่างเขากับวอนอูไว้อย่างแน่นหนา
และการที่ยังไม่มีใครหาทางคลายมันได้ก็ทำให้เขาลำบากในหลาย
ๆ เรื่อง
หากเมื่อพบว่าบางทีคำสาปนี้อาจจะยังมีหนคลี่คลายอยู่
มินกยูกลับพบว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้สึกยินดีมากเท่าที่เคยคิดเอาไว้แม้แต่น้อย
ภาพของผู้ชายตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับเปียโนตรงหน้าทำให้ซูนยองอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
นิ้วเรียวยาวที่ขยับไปตามแป้นสีขาวสลับดำตรงหน้ากำลังดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
เสียงเพลงที่พลิ้วไหวไปตามจังหวะที่คนตรงหน้าสร้างขึ้นคล้ายจะช่วยคลายความขุ่นมัวในใจของชายหนุ่มไปได้ไม่น้อย
หลังจากที่กินข้าวและพูดคุยกันเรื่องการรีโนเวทโรงเรียนสอนดนตรีเสร็จ
จีฮุนก็ชวนเขามาช่วยกันเช็กเครื่องดนตรีที่นำมาเก็บไว้ที่นั่นต่อ
วิญญาณหนุ่มคิดจะปฏิเสธในตอนแรกเนื่องจากคิดว่าตัวเองยังทำใจให้ชินไม่ได้นัก
หากคิดดูอีกที ถ้ามีการเริ่มรีโนเวทจริง ยังไงเสียเขาก็ต้องมาที่นี่อยู่ดี
และถ้ามากับจีฮุนก็คงไม่เป็นไร...
ซึ่งก็ทำให้ซูนยองในสภาพที่มีเนื้อหนังราวกับเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้มานั่งมองคนตัวเล็กกว่าเล่นเปียโนอยู่แบบนี้
จีฮุนขยับนิ้วมืออีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
และคราวนี้รอยยิ้มของคนฟังก็ยิ่งกว้างขึ้นยามได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย
L'Estate หรือ summer หนึ่งในบทเพลงสี่ฤดูของ Vivaldi
แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญหรือมีความรู้ด้านดนตรีคลาสสิคเท่าไรนัก
แต่ซูนยองก็จำท่วงทำนองเหล่านี้ได้ดี
โดยเฉพาะเมื่อมันทำให้เขานึกถึงเจ้าของคนก่อนของที่นี่
ถึงจะเป็นความทรงจำอันที่คล้ายจะลางเลือนไปแล้ว
แต่ซูนยองก็ยังจำได้ดีว่าเธอคนนั้นมีความสุขมากแค่ไหนยามที่เล่นเพลงนี้ให้เขาฟัง
และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อโรงเรียนแห่งนี้
‘ฤดูร้อน’
ฤดูที่เจ้าหล่อนชอบมากที่สุด
“คุณ...”
เสียงของจีฮุนที่ดังขึ้นทำให้เขาหลุดจากภวังค์
ก่อนพบว่าคนตรงหน้ากำลังมองมาด้วยดวงตาเป็นกังวล “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
จีฮุนหยุดเล่นไปตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่แน่ใจ
แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจ้องมาที่เขาอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร
ๆ ครับ” ชายหนุ่มรีบโบกมือ “ผมแค่เหม่อนิดหน่อยน่ะ”
“หรือว่าคุณเหนื่อย”
คนตัวเล็กกว่า “ช่วงนี้ทำงานหนักเหรอครับ”
ซูนยองหัวเราะ
“ไม่หรอกครับ”
เขาว่าพร้อมกับส่ายหัวไปด้วย วิญญาณแบบเขาจะเหนื่อยได้อย่างไรกัน แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง
“คุณเล่นเปียโนเก่งมากเลย ครั้งที่แล้วกีต้าร์ก็เจ๋งมาก”
วิญญาณหนุ่มยกนิ้วโป้งให้คนตรงหน้า
“ขอบคุณครับ”
จีฮุนหัวเราะพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับคำชมของเขา
รอยยิ้มที่ทำให้คนมองต้องชะงัก
ก่อนเอ่ยออกมาคล้ายกับหลุดปากมากกว่าที่จะต้องการพูด
“เราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริงเหรอครับ”
“ครับ?”
จีฮุนจะชักไปชั่วครู่
แล้วจึงส่ายหัวเบา ๆ
“ผมรู้สึกเหมือนเคยเจอคุณมาก่อน”
ซูนยองว่า “จริง ๆ นะ”
มันเป็นความคุ้นเคยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
ทว่าในฐานะวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไรนัก
ซูนยองเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้และเข้าใจมันดี
เพราะการที่เวลารอบตัวเดินช้ากว่าคนอื่นนั้นหมายความว่า ในบางครั้งเขาจะได้เห็นช่วงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ต้นจบโดยไม่รู้ตัว
บางที...
เขาอาจจะเคยเจอจีฮุนตอนเด็กก็ได้ และเจ้าตัวก็คงไม่รู้ เช่นเดียวกับเขาที่จำไม่ได้
ชายหนุ่มก็เหมือนเพื่อนร่วมบ้านที่มีชีวิตยืนยาวคนอื่น
เขาเลือกจะจำในสิ่งที่อยากจำเท่านั้น
คนฟังยืนยันอีกครั้ง
“ไม่นะครับ”
ซูนหัวเราะให้กับสีหน้าจริงจังของคนตรงหน้า
“งั้นเหรอครับ”
จีฮุนส่ายหัวอีกครั้งและเมื่อคนที่เปิดประเด็นเอาไว้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
เขาจึงหันกลับไปสนใจเครื่องดนตรีตรงหน้าตัวเองต่อ
ชายหนุ่มยกที่ปิดแป้นเปียโนลง
ปัดฝุ่นมันอีกครั้งเล็กน้อยโดยมีสายตาของผู้ช่วยสถาปนิกคนนั้นติดตามอยู่ตลอดเวลา
เขากำลังลุกขึ้นเพื่อไปหยิบกีต้าร์ที่อีกฝั่งของห้อง
ยามที่เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากข้างหลังอีกครั้ง
“นี่...”
ก่อนที่มันจะตามมาด้วยประโยคคำถามอันน่าแปลกประหลาดที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในห้องนี้เลยแม้แต่น้อย
คำถามที่ทำให้จีฮุนต้องยืนตัวแข็งทื่ออย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“คุณกลัวผมไหม?”
TBC.
Talk
สวัสดีค่ะ
ยังจำไม่ลืมกันใช่ไหมคะ ><
หายไปเคาะสนิมค่อนข้างนานเลย
ต้องขอโทษด้วยนะคะ อยู่ ๆ เราก็เขียนไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
เพราะแบบนั้นถ้าภาษาแปร่ง ๆ หรือเปลี่ยนไปบ้างก็บอกกันตรง ๆ ได้เลยนะคะ
การเขียนเรื่องนี้พร้อมกับเล่ห์พรหมคือยาก 55555 เรื่องโน้นก็พีเรียด เรื่องนี้ก็แฟนตาซี มู้ดสลับกันไปหมด 55 แต่จะพยายามเข็นมาให้ได้ทั้งคู่เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
Mianami
ความคิดเห็น