ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Seventeen] Vanilla Twilight #minwon #soonhoon

    ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 191
      11
      21 เม.ย. 64


    Chapter 14

     

                เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้มินกยูที่กำลังจะเคลิ้มหลับไปต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง


                ซูนยองออกไปหาจีฮุนได้สักพักแล้ว ทำให้ตอนนี้ในบ้านเหลือเพียงเขาแค่คนเดียว แต่เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้นมา เด็กหนุ่มกลับรู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าที่จะลุกจากเตียงได้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะทำเป็นไม่ได้ยินแทน


                หากเสียงกริ่งกลับดังขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่มันจะดังรัว ๆ ราวกับผู้มาเยือนกำลังจงใจกวนประสาท จนทำให้คนที่นอนอยู่ต้องกดหน้าลงไปกับหมอนพร้อมกับปิดหูไปด้วย


                “ให้ตายสิ”


                มินกยูสบถ ก่อนยอมแพ้และลุกจากเตียงโดยดี


                เด็กหนุ่มชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างอย่างหงุดหงิดเพื่อดูว่าคนที่กำลังกดกริ่งซ้ำ ๆ นั้นเป็นใคร


                หากดวงตาคมกริบที่เงยขึ้นมามองจากด้านล่างทำให้เขาต้องนิ่งไปอย่างประหลาดใจแกมหวาดหวั่น


    ฮง จีซู


    ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว


    ภายในใจของมินกยูเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโวยวายด้วยความหงุดหงิด ยามมองผู้มาเยือนที่กำลังโบกมือให้ราวกับกำลังทักทายและบอกเป็นนัย ๆ ว่าเจ้าตัวรู้ว่าเขาอยู่ที่บ้านในเวลานี้


    เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้ง


    ไม่ใช่เวอร์นอน ไม่ใช่วอนอูหรือสมาชิกคนไหนของบ้านแล้วล่ะที่เป็นเป้าหมายของนักล่าหนุ่มนั่น


    มินกยูชักจะเริ่มคิดแล้วว่าบางที... เขาต่างหากที่เป็นจุดมุ่งหมายของจีซู






     

     

     

     

    รอยยิ้มจางบนใบหน้าของผู้มาเยือนทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


    มินกยูถอนหายใจเล็กน้อยยามวางแก้วน้ำใบลงเล็กบนโต๊ะให้กับแขก จากนั้นจึงทิ้งตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม


    “คุณบอกว่ามีธุระกับผม”


    จีซูยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบช้าช้า ต่างจากดวงตาคมกริบที่มองกลับมาด้วยสายตาพินิจเสียจนคนถูกมองต้องขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด


    และในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังตัดสินใจว่าเขาควรส่งข้อความบอกสมาชิกคนอื่นของบ้านดีหรือไม่ ผู้มาเยือนก็เอ่ยออกมาสั้น ๆ


    “จำผมได้รึเปล่า?”


    คนถูกถามทำหน้างง ๆ หากก็ยอมตอบกลับไปแต่โดยดี


    “เอ่อ... คุณก็คือฮง จีซู หัวหน้าคนใหม่ของคุณวอนอู...”


    “นอกจากที่เราเจอกันที่ห้องสมุดเมื่อวานแล้ว ไม่ได้มีใครพูดถึงผมเพิ่มเลยเหรอ?”


    มินกยูนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถามของคนตรงหน้า นี่เจ้าตัวคงไม่ได้อยากให้เขาพูดถึงเรื่องนักล่าออกมาหรอกนะ


    ทว่าจีซูดูราวจะไม่ใส่ใจกับท่าทางของเขา บรรณารักษ์หนุ่มวางแก้วน้ำในมือลง ก่อนจะเอ่ยคำถามอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้คำพูดแบบไม่เป็นทางการอีกด้วย


    “ฉันมีข้อเสนอมาให้นาย”


    ข้อเสนอ?


    คนฟังทวนอย่างฉงน มินกยูรู้ตัวดีว่าตอนนี้สีหน้าของเขาคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มก็มีแต่ความสงสัยเต็มไปหมดตั้งแต่ยามที่เห็นฮง จีซูยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว


    จากการบอกเล่าคร่าว ๆ ของเพื่อนร่วมบ้านคนอื่น บรรดานักล่าหรือที่เรียกกันว่าฮันเตอร์ส่วนใหญ่จะมีความถนัดในการล่าไม่เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าคนตรงหน้ามีสมาชิกคนไหนของ vanilla twilight เป็นเป้าหมาย


    แต่อย่างเดียวที่พอจะคิดออกก็คือคนคนนั้นคงไม่ใช่มินกยูอย่างแน่นอน


    ดังนั้นเมื่อพบว่าฮง จีซูต้องการพบเขา


    เด็กหนุ่มจึงต้องชั่งใจระหว่างความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองและความอันตรายของคนตรงหน้า


    และนั่นก็ทำให้เขายอมให้หัวหน้าของวอนอูมานั่งในห้องนั่งเล่นของ vanilla twilight ในตอนนี้


    “คงจะลำบากเพราะรอยแผลนั่นมาเยอะเลยสินะ”


    คำพูดเรียบเรื่อยจากจีซูทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อดวงตาคู่นั้นเลื่อนมาจับที่ต้นคอของเขาด้วยสายตารู้เท่าทัน


    ตามปกติแล้วถ้าต้องออกไปข้างนอกหรือพบปะผู้คน มินกยูมักจะใส่เสื้อที่มีปกสูงหรือพกผ้าพันคอเพื่อปกปิดรอยกัดที่ต้นคอเอาไว้ แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม


    ทว่าในวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียนและนอนอยู่บ้านเฉย ๆ อย่างวันนี้ ผ้าพันคอผืนนั้นจึงยังอยู่บนห้องของเขา


    เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาแตะที่ต้นคอตัวเล็กน้อย


    เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท


    “มันก็แค่แผลธรรมดา...”


    “รอยกัดของแวมไพร์คงจะใช้คำว่าธรรมดาไม่ได้หรอกมั้ง” จีซูขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ทำให้คนฟังต้องเม้มปาก


    ก็ใช่... ที่ทุกคนมั่นใจว่า ฮง จีซู เป็นนักล่าอย่างแน่นอน แต่อารอนกับวอนอูก็ยังคงยืนยันว่าตราบใดที่ยังมีรอยแผลนี้อยู่กับเขา จะไม่มีใครหรือที่นักล่าคนไหนรู้เป็นอันขาดว่าเด็กหนุ่มคือโดเนอร์ของวอนอู


    “คุณรู้?”


    “ฉันถึงได้มีข้อเสนอมาให้นายไงล่ะ”


    “...”


    มินกยูสบตากับคนพูดอย่างสงสัย เด็กหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง และรอให้คนตรงหน้าพูดต่อ


    “ฉันสามารถลบล้างคำสาปนั่นได้นะ”


    “หมายความว่าไงครับ”


    “แผลที่คอนายเป็นแผลต้องคำสาปจากแวมไพร์ไม่ใช่เหรอ” เช่นเคย... ที่คำพูดของบรรณารักษ์หนุ่มมักมาพร้อมกับประโยคคำถาม แต่ในครั้งนี้เจ้าตัวไม่ยอมรอให้เขาตอบ


    ดวงตาของจีซูจับจ้องมาที่เขายามเอ่ยต่อ


    “พวกเขาคงบอกว่าการมีอยู่ของมันจะช่วยปกป้องนายเอาไว้ แต่เอาเข้าจริงแล้วถ้าเทียบกับสิ่งที่ตามมา การลบมันทิ้งน่าจะดีที่สุดนะ”


    มินกยูนึกเกลียดคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวยังคงพูดต่อไป


    “นายคงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นโดเนอร์ให้แวมไพร์ตลอดไปหรอกใช่ไหม”


    น้ำเสียงนิ่มนวลรอยยิ้มละไมบนใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิด เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวว่ามันเป็นความผิดพลาดของตัวเขาเองที่ยอมให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาในบ้าน


    “ผมไม่คิดว่าคุณจะช่วยผมได้”


    ก็ถ้าสมาชิกของบ้านหลังนี้ยังหาทางไม่ได้ มนุษย์ธรรมดาจะทำได้อย่างไรกัน แม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นนักล่าก็เถอะ


    “คนที่จะลบคำสาปให้นายได้ไม่ใช่ฉันหรอก”


    มินกยูถอนหายใจออกมา ชั่วขณะที่เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าจีซูหมายถึงอะไร


    “...”


    “อี ชาน คือคนที่จะช่วยนายได้” รอยยิ้มบนใบหน้าผู้มาเยือนยังคงละมุนยามอธิบาย “อ่อ... นายรู้จักชานแล้วใช่ไหม”


    คำพูดของซองยอนลอยเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง


    พลังที่โดดเด่นของสปลินเตอร์ก็คือการลบล้างเวทมนต์


    คำสาปของเขาก็ถูกสร้างมาจากเวทมนต์ด้วยสินะ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม


    คุณต้องการอะไร?”


    แม้จะรู้ดีว่าเป้าหมายของบรรณารักษ์หนุ่มคืออะไร แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงเลือกที่จะถามออกไป


    หากสิ่งที่คนตรงหน้าตอบมากลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้


    “ฉันต้องการตัวอย่างเลือดของจอน วอนอู”


    มินกยูนิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว เดิมเขาคิดไว้ว่าคนตรงหน้าคงจะต้องการเลือดที่มีความพิเศษอย่างเวอร์นอน ทว่านี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาคาดเดาความคิดของจีซูผิด


    “ผมไม่...”


    “อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยจะดีกว่านะ”


    “นายคิดว่าคนในบ้านหลังนี้จะช่วยนายได้จริง ๆ งั้นเหรอ” ผู้มาเยือนของเขาหัวเราะ ดวงตาที่มองมาทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเลยเท่านั้น


    “ต่อให้มีเวลาเหลือเฟือก็ไม่มีใครนอกจากลบคำสาปนี้ได้หรอก”


    มินกยูแค่นยิ้ม รู้ดีว่าคนตรงหน้าหมายถึงอะไร


    โรงเรียนที่โซลของเขาใกล้จะเปิดเทอมในอีกไม่กี่สัปดาห์แล้ว นั่นหมายความว่าเวลาของเขาที่ vanilla twilight กำลังจะหมดลง


    ดูเหมือนว่าจีซูจะสืบเรื่องของเขามาไม่น้อยเลยทีเดียว


    “ถ้ายังอยากที่จะใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปอยู่ อย่าปฏิเสธฉันเลยจะดีว่านะ”




     

     

     

     

     

    มินกยูทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน และขดตัวนิ่งอยู่อย่างคนไม่อยากขยับตัวทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว


    จีซูกลับไปแล้ว หากบรรณารักษ์หนุ่มกลับทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ให้กับเขา และตอนนี้เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเขากำลังถือมันเอาไว้ในมืออยู่โดยที่ไม่สามารถโยนทิ้งไปได้


    เขาเอื้อมมือไปหาโทรศัพท์ข้างตัว กดเปิดข้อความเล่นไปเรื่อย จนมาหยุดที่ข้อความของมารดา


    พ่อกับแม่เขากลับมาถึงเกาหลีแล้ว และเมื่อรวมกับการที่เด็กหนุ่มเหลือเวลาปิดเทอมฤดูร้อนอีกไม่กี่สัปดาห์ ทำให้อันที่จริงแล้ว มินกยูควรเตรียมตัวกลับโซลเสียแล้วด้วยซ้ำ หากกลับเขาเอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง


    รู้ตัวอีกที... เขาก็อยู่ที่นี่มาได้เกือบเดือนเสียแล้ว


    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างใช้ความคิด แว่ว ๆ ได้ยินเสียงสมาชิกบางคนกลับมาถึงบ้าน


    ชั่วขณะที่เขาคิดถึงเจ้าของห้องอ่านหนังสือที่เขากำลังนอนอยู่


    เด็กหนุ่มเคยคิดว่าคำสาปนี้คือเงื่อนตายที่ผูกระหว่างเขากับวอนอูไว้อย่างแน่นหนา และการที่ยังไม่มีใครหาทางคลายมันได้ก็ทำให้เขาลำบากในหลาย ๆ เรื่อง


    หากเมื่อพบว่าบางทีคำสาปนี้อาจจะยังมีหนคลี่คลายอยู่ มินกยูกลับพบว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้สึกยินดีมากเท่าที่เคยคิดเอาไว้แม้แต่น้อย

     

     

     





     

     

    ภาพของผู้ชายตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับเปียโนตรงหน้าทำให้ซูนยองอดไม่ได้ที่จะยิ้ม


    นิ้วเรียวยาวที่ขยับไปตามแป้นสีขาวสลับดำตรงหน้ากำลังดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เสียงเพลงที่พลิ้วไหวไปตามจังหวะที่คนตรงหน้าสร้างขึ้นคล้ายจะช่วยคลายความขุ่นมัวในใจของชายหนุ่มไปได้ไม่น้อย


    หลังจากที่กินข้าวและพูดคุยกันเรื่องการรีโนเวทโรงเรียนสอนดนตรีเสร็จ จีฮุนก็ชวนเขามาช่วยกันเช็กเครื่องดนตรีที่นำมาเก็บไว้ที่นั่นต่อ


    วิญญาณหนุ่มคิดจะปฏิเสธในตอนแรกเนื่องจากคิดว่าตัวเองยังทำใจให้ชินไม่ได้นัก หากคิดดูอีกที ถ้ามีการเริ่มรีโนเวทจริง ยังไงเสียเขาก็ต้องมาที่นี่อยู่ดี


    และถ้ามากับจีฮุนก็คงไม่เป็นไร...


    ซึ่งก็ทำให้ซูนยองในสภาพที่มีเนื้อหนังราวกับเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้มานั่งมองคนตัวเล็กกว่าเล่นเปียโนอยู่แบบนี้


    จีฮุนขยับนิ้วมืออีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม และคราวนี้รอยยิ้มของคนฟังก็ยิ่งกว้างขึ้นยามได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย


    L'Estate หรือ summer หนึ่งในบทเพลงสี่ฤดูของ Vivaldi


    แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญหรือมีความรู้ด้านดนตรีคลาสสิคเท่าไรนัก แต่ซูนยองก็จำท่วงทำนองเหล่านี้ได้ดี


    โดยเฉพาะเมื่อมันทำให้เขานึกถึงเจ้าของคนก่อนของที่นี่


    ถึงจะเป็นความทรงจำอันที่คล้ายจะลางเลือนไปแล้ว แต่ซูนยองก็ยังจำได้ดีว่าเธอคนนั้นมีความสุขมากแค่ไหนยามที่เล่นเพลงนี้ให้เขาฟัง


    และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อโรงเรียนแห่งนี้


    ฤดูร้อน


    ฤดูที่เจ้าหล่อนชอบมากที่สุด


    “คุณ...” เสียงของจีฮุนที่ดังขึ้นทำให้เขาหลุดจากภวังค์ ก่อนพบว่าคนตรงหน้ากำลังมองมาด้วยดวงตาเป็นกังวล “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”


    จีฮุนหยุดเล่นไปตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจ้องมาที่เขาอย่างเป็นห่วง


    “ไม่เป็นไร ๆ ครับ” ชายหนุ่มรีบโบกมือ “ผมแค่เหม่อนิดหน่อยน่ะ”


    “หรือว่าคุณเหนื่อย” คนตัวเล็กกว่า “ช่วงนี้ทำงานหนักเหรอครับ”


    ซูนยองหัวเราะ


    “ไม่หรอกครับ” เขาว่าพร้อมกับส่ายหัวไปด้วย วิญญาณแบบเขาจะเหนื่อยได้อย่างไรกัน แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณเล่นเปียโนเก่งมากเลย ครั้งที่แล้วกีต้าร์ก็เจ๋งมาก”


    วิญญาณหนุ่มยกนิ้วโป้งให้คนตรงหน้า


    “ขอบคุณครับ” จีฮุนหัวเราะพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับคำชมของเขา


    รอยยิ้มที่ทำให้คนมองต้องชะงัก ก่อนเอ่ยออกมาคล้ายกับหลุดปากมากกว่าที่จะต้องการพูด


    “เราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริงเหรอครับ”


    “ครับ?”


    จีฮุนจะชักไปชั่วครู่ แล้วจึงส่ายหัวเบา ๆ


    “ผมรู้สึกเหมือนเคยเจอคุณมาก่อน” ซูนยองว่า “จริง ๆ นะ”


    มันเป็นความคุ้นเคยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทว่าในฐานะวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไรนัก


    ซูนยองเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้และเข้าใจมันดี เพราะการที่เวลารอบตัวเดินช้ากว่าคนอื่นนั้นหมายความว่า ในบางครั้งเขาจะได้เห็นช่วงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ต้นจบโดยไม่รู้ตัว


    บางที... เขาอาจจะเคยเจอจีฮุนตอนเด็กก็ได้ และเจ้าตัวก็คงไม่รู้ เช่นเดียวกับเขาที่จำไม่ได้


    ชายหนุ่มก็เหมือนเพื่อนร่วมบ้านที่มีชีวิตยืนยาวคนอื่น


    เขาเลือกจะจำในสิ่งที่อยากจำเท่านั้น  


    คนฟังยืนยันอีกครั้ง


    “ไม่นะครับ”


    ซูนหัวเราะให้กับสีหน้าจริงจังของคนตรงหน้า


    “งั้นเหรอครับ”


    จีฮุนส่ายหัวอีกครั้งและเมื่อคนที่เปิดประเด็นเอาไว้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาจึงหันกลับไปสนใจเครื่องดนตรีตรงหน้าตัวเองต่อ


    ชายหนุ่มยกที่ปิดแป้นเปียโนลง ปัดฝุ่นมันอีกครั้งเล็กน้อยโดยมีสายตาของผู้ช่วยสถาปนิกคนนั้นติดตามอยู่ตลอดเวลา


    เขากำลังลุกขึ้นเพื่อไปหยิบกีต้าร์ที่อีกฝั่งของห้อง ยามที่เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากข้างหลังอีกครั้ง


    “นี่...”  


    ก่อนที่มันจะตามมาด้วยประโยคคำถามอันน่าแปลกประหลาดที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในห้องนี้เลยแม้แต่น้อย


    คำถามที่ทำให้จีฮุนต้องยืนตัวแข็งทื่ออย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้


    “คุณกลัวผมไหม?”

     





     

     

     

     

    TBC.

     


    Talk

    สวัสดีค่ะ ยังจำไม่ลืมกันใช่ไหมคะ >< หายไปเคาะสนิมค่อนข้างนานเลย ต้องขอโทษด้วยนะคะ อยู่ ๆ เราก็เขียนไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพราะแบบนั้นถ้าภาษาแปร่ง ๆ หรือเปลี่ยนไปบ้างก็บอกกันตรง ๆ ได้เลยนะคะ

    การเขียนเรื่องนี้พร้อมกับเล่ห์พรหมคือยาก 55555 เรื่องโน้นก็พีเรียด เรื่องนี้ก็แฟนตาซี มู้ดสลับกันไปหมด 55 แต่จะพยายามเข็นมาให้ได้ทั้งคู่เลยค่ะ

    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

    Mianami



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×