คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 13
Chapter 13
“อี ชาน...”
สิ้นเสียงของซองยอนก็ตามมาด้วยความเงียบงันที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวคนพูดเอง ก็ในเมื่อมันเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเลยสักนิด ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งหลุดออกมาจากปากของเธอไปก็ตาม
ดวงตาสีเฮเซลที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีทองจ้องมองคนตรงหน้าราวกับกำลังประเมินอะไรบางอย่าง
ก่อนจะได้ข้อสรุปออกมาพร้อม ๆ กับที่เสียงซูนยองอุทานอย่างตกใจดังมาจากข้างตัว
“แมว...งั้นเหรอ?”
สปลินเตอร์ต่างหากล่ะ
ซองยอนแก้ไขคำพูดของเพื่อนร่วมบ้านในใจ
อันที่จริงแล้วที่วิญญาณหนุ่มว่าไว้ก็ไม่ผิดนักหรอก
เพราะสปลินเตอร์ก็เป็นแมวชนิดหนึ่ง
แค่เป็นแมวปีศาจเท่านั้นเอง
“แฟรี่...งั้นเหรอ?”
เด็กหนุ่มคนนั้นมองเธอพร้อมกับเอ่ยคล้ายล้อเลียนซูนยอง
เสียงหัวเราะแผ่วเบานั่นทำให้คนฟังอดไม่ได้ที่จะต้องเม้มปากอย่างหงุดหงิด
ขณะเดียวกันข้างตัวของซองยอน
เยบินที่ตอนนี้กำลังจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มปริศนาด้วยดวงตาสีแดงเจิดจ้าก็พึมพำกึ่งเปรยขึ้นมา
“เพิ่งรู้ว่ามีสปลินเตอร์ที่ทำงานกับนักล่าปีศาจด้วย”
คำพูดที่ทำให้อี
ชานต้องเปลี่ยนไปมองคนพูดแทน ในขณะที่ซองยอนหันไปสบตากับวิญญาณหนุ่มอย่างประหลาดใจ
ราวกับจะรู้ว่าเพื่อนร่วมบ้านกำลังงุนงง
หญิงสาวที่ยังคงยิ้มเย็นอยู่ก็เอ่ยต่อ
“กลิ่นเลือดเวอร์นอนที่ตัวนายชัดพอ
ๆ กับกลิ่นของฮง จีซูเลยนะ”
เด็กหนุ่มตรงหน้าพวกเขายิ้มกว้าง
“เข้าใจอะไรง่ายดีนี่”
“สรุปว่านายคือแมวกัดเวอร์นอนเหรอ”
ซูนยองหลุดปากออกมาอย่างประหลาดใจ
เพราะไม่ได้มีความสามารถในการควบคุมธรรมชาติเหมือนแฟรี่
และไม่ได้มีพลังในการใช้สายตาและดมกลิ่นเช่นเดียวกับมนุษย์หมาป่า ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่สามารถบอกได้ว่าคนตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันแน่
ความสามารถของวิญญาณมีเพียงจำแนกมนุษย์และระบุช่วงอายุไขเท่านั้น
หากถึงแบบนั้น
ซูนยองก็ยังคงเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้เร็วที่สุดเสมอ
“นายกัดเด็กนั่นเพื่อกันไม่ให้คุณจีซูเข้ามาในถนนเส้นนี้สินะ”
เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ทว่ายังคงไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาต่อ
“อี
ชาน... ใช่ไหม” ซองยอนตัดสินใจเรียกชื่อคนตรงหน้าอีกครั้ง “นายเป็นใครกันแน่?”
ดวงตาสองสีของคนฟังเป็นประกายขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าแม้แต่สปลินเตอร์ก็ยังไม่สามารถหลบแฟรี่ได้สินะ”
“ต้องการอะไรจากพวกเรา...”
คราวนี้ชานหัวเราะออกมาจริง
ๆ
“ถามผิดแล้วล่ะมั้ง...”
เด็กหนุ่มลากเสียงยาว ก่อนเอ่ยออกมาด้วยประโยคที่ทำให้บรรดาคนฟังต้องนิ่งงันไปอย่างประหลาดใจ
“พวกคุณต่างหากที่ต้องการตัวผม”
เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังห้องนั่งเล่นชี้เลยเลขสองไปนานแล้ว
หากถึงอย่างนั้น แสงไฟในบ้าน vanilla
twilight ก็ยังคงสว่างไสวอยู่
มินกยูที่นั่งกอดหมอนอิงโซฟาอยู่อดไม่ได้ที่หาวออกมา
วันนี้เป็นวันที่เด็กหนุ่มใช้พลังงานมากกว่าปกติ
และความวุ่นวายเหล่านั้นก็กำลังแผลงฤทธิ์ หากถึงจะง่วงนอนเพียงใดเขาก็ยังยืนกรานที่จะเข้าร่วมประชุมฉุกเฉินยามดึกในครั้งนี้
ใครมันจะยอมพลาดเรื่องสำคัญแบบนี้กัน
เพราะถึงเด็กหนุ่มกับวอนอูจะเรียกได้ว่าคว้าน้ำเหลวในภารกิจตามหาแมวนั่น
แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมบ้านที่แยกไปอีกกลุ่มจะไม่ใช่แบบนั้น
มั้งนะ...
“ทำไมไม่จับกลับมา”
คำถามเรียบง่ายแต่แฝงแววหงุดหงิดของคนเป็นรูมเมททำให้ซูนยองที่นั่งใกล้เขาต้องเหล่ตามองเล็กน้อย
“จะให้จับยังไง พอเด็กนั่นพูดจบปุ๊ป พวกฉันก็โผล่มาที่ถนนเส้นเดิมปั๊ปเลย
ยังไม่ทันได้ขยับด้วยซ้ำ” วิญญาณหนุ่มว่า
ใบหน้าโปร่งใสนั่นมีแววหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
โดยมีซองยอนพยักหน้าเป็นลูกคู่พร้อมเสริม
“ถนนที่เวอร์นอนสร้างก็ถูกทำลายไปด้วยค่ะ”
สายตาทุกคู่ของคนฟังที่เหลือหันกลับไปยังสมาชิกคนสุดท้ายที่ได้เผชิญหน้ากับแมวเจ้าปัญหา
“ตามกลิ่นไม่ได้แล้วเหมือนกัน”
เยบินบอกสั้น ๆ “ทุกอย่าง... เหมือนจะหายวับไปเลย”
คนฟังที่เหลือขมวดคิ้ว
ในขณะที่อารอนถอนหายใจ
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรปล่อยไปเฉย
ๆ รึเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้หรอก
เด็กนั่นลบทุกอย่างซะเกลี้ยง ขนาดถนนที่เวอร์นอนสร้างยังไม่เหลือ” ซูนยองค้านแกมบ่น
ในบรรดาสมาชิกทั้ง
3 ที่ได้เจอกับสปลินเตอร์
วิญญาณหนุ่มดูเป็นคนไม่สบอารมณ์มากที่สุด หากถึงแบบนั้น มินกยูก็ยังเชื่อว่าเขาสามารถจับอารมณ์เกรี้ยวกราดของซองยอนได้
แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามซ่อนไว้ก็ตาม
จะมีเพียงแต่เยบินเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทางเฉยเมยเช่นเดิม
เพื่อนร่วมบ้านที่เหลืออยู่ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
เว้นเพียงแต่เด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่
สมองของเขามประมวลผลอย่างรวดเร็วก่อนได้ข้อสรุปที่เห็นได้ชัดว่า
นอกจากผี แวมไพร์ แฟรี่ พ่อมดแล้ว ตอนนี้ยังมีแมวปีศาจอีกด้วย
อ่อ...
มีนักล่าอีกหนึ่ง
“สรุปว่าแมวที่เราตามหาเป็นแมวของคุณฮงเหรอครับ”
เขาถามออกมาอย่างสงสัย “ผมนึกว่านักล่าจะตามฆ่าอะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์เสียอีก”
“ตามปกติก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ”
คุณหมอประจำบ้านหันมาตอบ “แต่เอาเข้าจริงแล้ว
พวกเราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องของพวกนักล่าเหมือนกัน”
“แต่ขึ้นชื่อว่านักล่าก็ควรต้องจัดการอมนุษย์ทั้งหมดเลยไหม”
ซูนยองเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีแดงของวิญญาณหนุ่มฉายแววครุ่นคิด “แล้วทำไมถึงมาทำงานกับแมวปีศาจได้ล่ะ”
นิ่งไปชั่วครู่
ก่อนที่ดวงตาสีแดงคู่จะเหล่ไปหาอารอนอีกครั้ง
“พี่อารอนไม่รู้อะไรจริง
ๆ เหรอ”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันรู้ล่ะ”
คนถูกถามย้อน
“ก็เขาว่าพ่อมดแม่มดมักมาคู่กับแมวดำไม่ใช่รึไง”
“แมวที่พวกฉันเลี้ยงไม่ใช่สปลินเตอร์สักหน่อย”
อารอนตอบ ดวงตาสีทองของพ่อมดหนุ่มบ่งบอกถึงความอ่อนใจยามเอ่ยต่อ“แล้วอีกอย่างก็เลิกเลี้ยงแต่แมวดำตั้งนานแล้ว
ตอนนี้ทุกคนก็เลี้ยงสัตว์ทั่ว ๆ ไปเหมือนพวกนายนั่นแหละ”
“งั้นมีคนรู้จักที่ทำงานกับสปลินเตอร์บ้างไหม” วอนอูถามขึ้นมาบ้าง “แบบ... ทำสัญญาร่วมกันเพื่อเสริมเวทมนต์ของแต่ล่ะฝ่ายไรงี้”
“ไม่มี”
หากยังไม่ทันให้ได้ซักไซ้พ่อมดหนุ่มต่อ
ซองยอนที่นั่งฟังเงียบ ๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“คนที่ใช้เวทมนต์อยู่ร่วมกันสปลินเตอร์ไม่ได้ค่ะ”
เด็กสาวบอกเสียงแผ่ว
“หือ?”
“สปลินเตอร์เป็นแมวปีศาจก็จริง
แต่พลังที่โดดเด่นของมันก็คือการ ‘ลบล้างเวทมนต์’ ค่ะ” แฟรี่สาวอธิบายต่อ “คำสาป
พันธสัญญา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถูกสร้างด้วยเวทมนต์ สปลินเตอร์สามารถทำลายได้หมด”
คำบอกเล่าที่เรียกให้สมาชิกทุกคนในห้องนั่งเล่นหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียว
“เลือดของเวอร์นอนถึงไม่สามารถทำอะไรอี
ชาน ได้อย่างที่พวกเรากลัวไงคะ”
“...”
มีแต่ความเงียบงันหลังจากที่ซองยอนพูดจบ
ทุกสายตาที่จับจ้องล้วนแต่เต็มไปด้วยความงุนงง สงสัย หรือแม้กระทั่งตกตะลึง
ก่อนที่มันจะทวีคูณขึ้นเมื่อเด็กสาวเอ่ยต่อ
“เพราะแบบนั้น...
บางที... เรื่องที่อี ชานบอกอาจจะไม่เกี่ยวกับเวอร์นอนก็ได้ค่ะ”
ดวงตาสีเฮเซลของคนพูดหันมามองมินกยูที่นั่งข้าง
ๆ
“ฉันคิดว่ามันเกี่ยวกับมินกยูและพี่วอนอู”
สายตาทุกคู่หันไปมองผู้ถูกกล่าวถึงโดยพร้อมเพรียงกัน
มินกยูเผลอยกมือเพื่อลูบแผลที่ต้นคอโดยไม่รู้ตัว
ลบล้างคำสาปงั้นเหรอ...
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฮง
จีซู”
ใครบางคนยังมีคำถามต่อ
“ฉันเดาได้แค่นี้แหละค่ะ”
ซองยอนตอบพร้อมกับยักไหล่ ในขณะที่รูมเมทของแฟรี่สาวทวนอย่างสนใจ
“ลบคำสาปงั้นเหรอ...”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันก็คงไม่ต้องงมอยู่ตั้งนานหรอกมั้ง”
อารอนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
แม้ในมือของชายหนุ่มจะกำลังรื้อค้นสมุดจดส่วนตัวอยู่ก็ตาม “ฉันกับวอนอูแทบจะพลิกตำราทั้งหมดเลยนะ
ไม่เห็นมีอะไรบอกเรื่องสปลินเตอร์เลย”
“ก็ใช่ว่าจะเจอแมวปีศาจได้ง่าย
ๆ นี่”
มินกยูได้แต่นั่งมองการถกเถียงที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
ดูเหมือนว่าเขาน่าจะง่วงนอนเกินไป หรือไม่รู้อะไรเลยเกินกว่าจะออกความเห็นได้
หากถึงแบบนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยังคงจับจ้องเพื่อนร่วมบ้านทีคนละอย่างพินิจ
มีบางอย่างที่เด็กหนุ่มสงสัย...
บางอย่างที่ดูเหมือนว่าสมาชิกคนอื่นของบ้านได้มองข้ามมันไป
ทำไมฮง
จีซูและอี ชานถึงรู้ว่าพวกเขาออกจากบ้านเพื่อตามหาแมวนั้นได้ล่ะ
ความสงสัยนั้นยังคงติดอยู่ในใจแม้กระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนแล้วก็ตาม
สมาชิกที่เป็นมนุษย์หนึ่งเดียวของบ้านยังคงตาสว่าง
แม้ว่าตอนนี้เพื่อนร่วมบ้านคนอื่นจะกำลังทยอยออกไปทำงานจนเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว
มินกยูพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย
เขานอนไม่หลับ และการนอนไม่หลับนั่นก็ทำพิษเสียจนวันนี้เด็กหนุ่มไปเรียนไม่ไหว
พักผ่อนไม่เพียงพอ
อารอนที่แวะมาดูอาการบอกแบบนั้นหลังจากที่ตรวจร่างกายของเขาเสร็จ
อันที่จริงแล้วทั้งเขาและซองยอนพยายามเสนอตัวไปช่วยวอนอูทำงานที่ห้องสมุดในวันนี้
เผื่อจับสังเกตอะไรจากบรรณารักษ์คนใหม่ได้ แต่วอนอูปฏิเสธมันอย่างไม่ไยดี
แน่นอนว่าบรรดาสมาชิกรุ่นใหญ่ที่เหลือต่างยืนกรานให้มินกยูนอนพักเป็นอยู่ที่บ้าน
ส่วนซองยอนก็ต้องไปเรียนเช่นเดียวกัน และไม่ต้องพูดถึงเวอร์นอนที่โดนคุณหมอหนุ่มลากไปที่คลินิกด้วยกันตั้งแต่เช้า
ทุกคนพยายามทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความเครียดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอารอนและวอนอู
เขากำลังจะเคลิ้มหลับไปยามที่ได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้องนอน
มินกยูฝืนตัวลุกขึ้นมากึ่งนอนกึ่งนั่งบนเตียง
แม้จะยังปวดหัวและมึน ๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอนที่เห็นวิญญาณหนุ่มประคองถาดอาหารเข้ามา
“วอนอูบอกว่านายไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
ซูนยองอธิบาย ก่อนวางนมกับขนมปังลงตรงหน้า “กินก่อนแล้วค่อยกินยาแล้วกัน”
มินกยูเอ่ยขอบคุณเพื่อนร่วมบ้านเบา
ๆ ในขณะที่วิญญาณหนุ่มนั่งลงที่ข้างเตียงของเขา
ซูนยองนั่งมองเด็กหนุ่มกินขนมปังเงียบ
ๆ รอจนเขาจัดการของในถาดตรงหน้าใกล้หมดแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
มินกยูพยักหน้า
“เหลือแค่ปวดหัวเท่านั้นแหละครับ”
เขาว่า “ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว วันนี้พี่จะติวให้ผมต่อเลยไหม”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องติวเถอะ” วิญญาณประจำบ้านบอกพร้อมกับส่ายหัว “กินยาซะ
ฉันจะได้รายงานวอนอูกับพี่อารอน”
คนฟังหัวเราะ
แต่ยอมหยิบยาเม็ดกลมใส่ปากอย่างว่าง่าย
“ผมไม่ได้ไม่สบายหนักเสียหน่อย
พี่ไม่ต้องมาดูแลขนาดนี้ก็ได้”
“ฉันขัดสองคนนั่นได้ที่ไหนกัน”
ซูนยองบ่น “แล้วนายก็หน้าซีด แถมมือสั่นขนาดนั้น ทำตัวเป็นคนป่วยหน่อยน่า”
มินกยูอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
ก่อนจะยอมรับคำแต่โดยดี
“โอเคครับ”
ถึงจะตกปากรับคำไปแล้ว หากเด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมนอนพักต่ออย่างที่ร่างโปร่งใสตรงหน้าบอก
ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังเพื่อนร่วมบ้านของตัวเองด้วยสายตาที่ทำให้คนถูกมองต้องถอนหายใจ
“อะไรอีกล่ะ” ซูนยองถามเสียงงึมงำ
ในคราวแรก มินกยูคิดอยากจะถามถึงข้อสงสัยที่เขาคิดไม่ตกมาตั้งแต่เมื่อคืน หากเมื่อขยับริมฝีปาก คำถามแรกกลับกลายเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกันสักนิด
“พี่ไม่ต้องไปห้องสมุดกับคุณวอนอูเหรอครับ”
“ทำไมต้องไปล่ะ?” วิญญาณหนุ่มย้อนอย่างงุนงง
“ก็คุณฮงอยู่ที่ห้องสมุด...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงวอนอูหรอกน่า” เพื่อนร่วมบ้านเขาว่าพลางโบกมือ “หมอนั่นรับมือได้สบาย ยังไงเสีย คุณฮงอะไรนั่นก็เป็นมนุษย์ แถมมีหน้าที่การงานค้ำคออีก คงจะลุกมาทำอะไรวอนอูโจ่งแจ้งไม่ได้หรอก”
“แต่...”
อะไรบางอย่างในดวงตาสีแดงที่จ้องกลับมาทำให้มินกยูต้องหยุดคำพูดที่กำลังจะเอ่ยค้านออกมาไว้ที่ปลายลิ้น
ซูนยองกอดอก ก่อนเอนตัวไปด้านหลังทั้ง ๆ ที่ยังคงมองมาที่เขาอยู่
“เป็นห่วงวอนอูเหรอ?”
คำถามธรรมดาทั่วไป หากทำให้คนฟังต้องกระพริบตาปริบ ๆ อย่างพูดไม่ออก เด็กหนุ่มพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ต้องเงียบไปอีกครั้ง
คำถามของซูนยองดูเหมือนจะจี้อะไรบางอย่างในใจของมินกยูได้ตรงจุด
‘เป็นห่วง’
คำสั้น ๆ ที่ดูราวจะเป็นการสรุปความรู้สึกว้าวุ่นในใจตั้งแต่เมื่อคืนของเขาได้ดีที่สุด
“ก็เป็นห่วงเพื่อนร่วมบ้าน... ไม่ได้เหรอครับ”
คำตอบง่าย ๆ ที่ตัวคนพูดเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่ากำลังบอกตัวเองหรือคนตรงหน้ากันแน่
มีรอยยิ้มบางที่มุมปากของคนฟังคล้ายรู้ทัน แต่ซูนยองก็ใจดีพอที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมาต่อ และมินกยูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ
“เมื่อคืนฉันกับเยบินเอาสัญลักษณ์ที่กระดุมของคุณฮงไปค้นดู ก็เลยพอจะเดาได้ว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะมาจากตระกูลที่ถนัดไปทางล่าปีศาจ” วิญญาณประจำบ้านยังใจดีมากพอที่จะอธิบายต่อ
“เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงรูมเมทของฉันหรอก ห่วงเวอร์นอนดีกว่า แถมมีเรื่องกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรกขนาดนั้น”
“เวอร์นอนเป็นปีศาจ...?” ดวงตาสีดำสนิทของมินกยูเบิกกว้างอย่างตกใจ หลังจากจับอะไรได้คร่าว ๆ จากคำพูดของเพื่อนร่วมบ้าน
ร่างโปร่งใสตรงหน้ามองเขาเป็นเชิงถามว่าไม่รู้จริง ๆ เหรอ และเมื่อระลึกได้ว่าเด็กหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์อยู่ เพื่อนร่วมบ้านของเขาก็ยอมเล่าต่อ
“ลูกครึ่งน่ะ”
“อ่า...” มินกยูพูดไม่ออกอีกครั้ง
ที่ผ่านมา เขาเดินไปโรงเรียนพร้อมแฟรี่และลูกครึ่งปีศาจสินะ...
ซูนยองหัวเราะออกมาหลังจากเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม
“ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมแค่งงน่ะ” มินกยูบอก เด็กหนุ่มนิ่งไปสักพัก ก่อนถามต่ออย่างสงสัย “แต่ถ้าคุณฮงเป็นนักล่าจริง จะโผล่มาหาเวอร์นอนตรง ๆ แบบนี้ทำไมกันล่ะครับ”
“ไม่รู้สิ” วิญญาณหนุ่มยักไหล่ “นั่นคือสิ่งที่พวกฉันสงสัยอยู่เหมือนกัน”
สมาชิกที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวของบ้านถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
อะไรบางอย่างบอกมินกยูว่าเป้าหมายของจีซูไม่ใช่เด็กหนุ่มลูกครึ่งปีศาจคนนั้น
บางที... อาจจะเป็นเพราะหัวหน้าบรรณารักษ์คนใหม่ไม่ได้มีท่าทีคุกคามเวอร์นอน
ปฏิกิริยาที่มีต่อเขาและวอนอูเมื่อคืนต่างหากที่มินกยูคิดว่ามันผิดปกติ
“ถ้าไม่มีคำถามอะไรอีกก็นอนพักได้แล้ว” ซูนยองเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป “ฉันต้องออกไปข้างนอก อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
“พี่จะไปไหนอ่ะ” เด็กหนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“ฉันมีนัดกันคุณจีฮุน”
มินกยูชะงักไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาคงแปลกประหลาดเสียจนซูนยองต้องยิ้มออกมา
“ฉันมีนัดคุยเรื่องงานกับคุณจีฮุนที่ร้านอาหารแถวนี้แหละ จะไปเช็กด้วยว่าเมื่อวานเขาสงสัยอะไรรึเปล่า”
“มาถึงขนาดนั้นถ้าไม่สงสัยก็แปลกแล้ว” คนฟังว่า ก่อนชะงักเมื่อนึกอะไรได้ “พี่จะกินข้าวกับคุณจีฮุนเหรอครับ”
“ใช่ ทำไมเหรอ”
วิญญาณหนุ่มถามกลับ
“ไหนว่ากินอะไรไม่ได้ไง”
“ก็กินอะไรไม่ได้ไง”
มินกยูมองคนตรงหน้าด้วยสายตางุนงงอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้คนถูกมองต้องถอนหายใจแทน
“ฉันกินอะไรไม่ได้ก็จริง แต่ก็ทำเป็นกินได้ไง” เจ้าตัวนิ่งไปชั่วครู่คล้ายกับกำลังใช้ความคิดในการอธิบายให้เขาฟัง “มันเป็นความเคยชินน่ะ ฉันก็แค่ทำเหมือนกินได้ แต่ก็ไม่รู้รสชาติอะไรหรอก หรือถ้านายทำให้ฉันตกใจตอนนั้นก็อาจจะสำลักได้ แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน”
“ฟังดู... ว่างเปล่าจังเลยนะครับ”
คนตรงหน้าหัวเราะออกมากับคำพูดของเขา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉันตายไปแล้วนะ มินกยู”
เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่มินกยูรู้สึกว่าภายใต้รูปร่างชายหนุ่มอายุปลาย 20 นั่น แท้จริงแล้วควอน ซูนยองคือผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผ่านอะไรมามากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการถึง
อี
จีฮุนนั่งรออยู่แล้วยามที่ซูนยองเปิดประตูของร้านอาหารเข้าไป
“รุ่นน้องคุณเป็นไงบ้างครับ”
หลานชายคุณอีถามเขาอย่างเป็นห่วง หลังจากที่ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ไม่เป็นอะไรมาก
แค่ทำแผลนิดหน่อยน่ะ” ซูนยองตอบ
ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าราวกับกำลังค้นหาความผิดปกติด้วยดวงตาที่ตอนนี้เป็นสีดำสนิท
“ดีแล้วครับ”
จีฮุนว่าอย่างโล่งอก “ผมนึกว่าจะเป็นอะไรเยอะเสียอีก เห็นเลือดออกเยอะขนาดนั้น”
“แผลไม่ลึกน่ะ”
คนที่นั่งฟังตรงข้ามบอก “ผมต้องขอโทษคุณมากกว่าที่พาไปเจอเรื่องวุ่นวายแบบนั้น”
หลานชายของคุณอีหัวเราะเบา
ๆ
“ไม่เป็นไรครับ
ได้ออกกำลังกายก็ดีเหมือนกัน”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะหมายถึงเรื่องที่พวกเขาวิ่งตามเจ้าแมวสีดำตัวโตเมื่อวานด้วยกัน
คิดแล้วชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่อยากถอนหายใจ
ใครจะรู้ว่าแมวดำนั่นจะกลายเป็นแมวปีศาจไปได้
แค่คิดเขาก็หงุดหงิดจะแย่แล้ว
ว่าแต่ในตอนนั้นเขาให้เหตุผลกับจีฮุนว่าไงกันนะ
ทำไมคนเจ้าตัวถึงได้ยอมวิ่งตามมันไปพร้อมกับเขาล่ะ
“แล้วที่ไม่เจอแมวตัวนั้นก็คงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
ดังราวจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จีฮุนจึงถามขึ้นมาอีกอย่างเป็นกังวลและสงสัย
“ไม่เป็นไรครับ ตอนแรกแค่จะวิ่งตามเพราะอยากเจอเจ้าของน่ะ” ซูนยองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดวนไปวนมาและอธิบายเรื่อยเปื่อยในสิ่งที่ไม่จำเป็น “ก็แค่... อยากรู้ว่ามันฉีดวัคซีนรึยัง”
เหตุผลงี่เง่า...
ชายหนุ่มด่าตัวเองในใจ
หากแต่เมื่อคนตรงหน้าเพียงแค่พยักหน้ารับรู้
และหันไปสนใจกับแบบแปลนของโรงเรียนที่เขาหยิบมาให้ดูแทน
ซูนยองก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตามที
ท่าทางไม่ติดใจสงสัยอะไร
และเปลี่ยนมาสนใจกระดาษในมือแทนนั้น ทำให้คนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
โชคดีที่จีฮุนเป็นคนเข้าใจง่าย
ความคิดสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับหลานชายของคุณอี ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมาจริงจังกับการพูดคุยถึงแผนการปรับปรุงคร่าว ๆ แทน
ทว่าลึกลงไปแล้ววิญญาณหนุ่มก็รู้ดีว่ามันเป็นความเข้าใจง่าย... ที่ง่ายจนเกินไป ราวกับว่าคนตรงหน้าพยายามเชื่อทุกคำพูดของเขามากกว่าที่จะเชื่ออย่างสนิทใจจริง ๆ
หากถึงแบบนั้น ซูนยองก็เลือกที่จะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ และปัดความรู้สึกชอบกลนั้นทิ้งไป
เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา
TBC.
TalK: ในบ้านหลังนี้คู่ที่มีความลับมากที่สุดก็คงจะเป็นซูนฮุนนี่แหละค่ะ 55
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ
Mianami
ปล. เด็กดีโฉมใหม่นี่แอบใช้ยากเหมือนกันนะเนี่ย 55
ความคิดเห็น