ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Seventeen] Vanilla Twilight #minwon #soonhoon

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 13

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 241
      21
      12 ก.พ. 64


    Chapter 13


     

    “อี ชาน...


                สิ้นเสียงของซองยอนก็ตามมาด้วยความเงียบงันที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวคนพูดเอง ก็ในเมื่อมันเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเลยสักนิด ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งหลุดออกมาจากปากของเธอไปก็ตาม


                ดวงตาสีเฮเซลที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีทองจ้องมองคนตรงหน้าราวกับกำลังประเมินอะไรบางอย่าง ก่อนจะได้ข้อสรุปออกมาพร้อม ๆ กับที่เสียงซูนยองอุทานอย่างตกใจดังมาจากข้างตัว


                “แมว...งั้นเหรอ?”


                สปลินเตอร์ต่างหากล่ะ


                ซองยอนแก้ไขคำพูดของเพื่อนร่วมบ้านในใจ


                อันที่จริงแล้วที่วิญญาณหนุ่มว่าไว้ก็ไม่ผิดนักหรอก เพราะสปลินเตอร์ก็เป็นแมวชนิดหนึ่ง


                แค่เป็นแมวปีศาจเท่านั้นเอง


                “แฟรี่...งั้นเหรอ?” เด็กหนุ่มคนนั้นมองเธอพร้อมกับเอ่ยคล้ายล้อเลียนซูนยอง เสียงหัวเราะแผ่วเบานั่นทำให้คนฟังอดไม่ได้ที่จะต้องเม้มปากอย่างหงุดหงิด


                ขณะเดียวกันข้างตัวของซองยอน เยบินที่ตอนนี้กำลังจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มปริศนาด้วยดวงตาสีแดงเจิดจ้าก็พึมพำกึ่งเปรยขึ้นมา


                “เพิ่งรู้ว่ามีสปลินเตอร์ที่ทำงานกับนักล่าปีศาจด้วย”


                คำพูดที่ทำให้อี ชานต้องเปลี่ยนไปมองคนพูดแทน ในขณะที่ซองยอนหันไปสบตากับวิญญาณหนุ่มอย่างประหลาดใจ


    ราวกับจะรู้ว่าเพื่อนร่วมบ้านกำลังงุนงง หญิงสาวที่ยังคงยิ้มเย็นอยู่ก็เอ่ยต่อ


    “กลิ่นเลือดเวอร์นอนที่ตัวนายชัดพอ ๆ กับกลิ่นของฮง จีซูเลยนะ”


    เด็กหนุ่มตรงหน้าพวกเขายิ้มกว้าง


    “เข้าใจอะไรง่ายดีนี่”


                “สรุปว่านายคือแมวกัดเวอร์นอนเหรอ” ซูนยองหลุดปากออกมาอย่างประหลาดใจ


                เพราะไม่ได้มีความสามารถในการควบคุมธรรมชาติเหมือนแฟรี่ และไม่ได้มีพลังในการใช้สายตาและดมกลิ่นเช่นเดียวกับมนุษย์หมาป่า ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่สามารถบอกได้ว่าคนตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันแน่


                ความสามารถของวิญญาณมีเพียงจำแนกมนุษย์และระบุช่วงอายุไขเท่านั้น


                หากถึงแบบนั้น ซูนยองก็ยังคงเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้เร็วที่สุดเสมอ


                “นายกัดเด็กนั่นเพื่อกันไม่ให้คุณจีซูเข้ามาในถนนเส้นนี้สินะ”


                เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทว่ายังคงไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาต่อ


                “อี ชาน... ใช่ไหม” ซองยอนตัดสินใจเรียกชื่อคนตรงหน้าอีกครั้ง “นายเป็นใครกันแน่?”


                ดวงตาสองสีของคนฟังเป็นประกายขึ้นมา “ดูเหมือนว่าแม้แต่สปลินเตอร์ก็ยังไม่สามารถหลบแฟรี่ได้สินะ”


                “ต้องการอะไรจากพวกเรา...”


                คราวนี้ชานหัวเราะออกมาจริง ๆ


                “ถามผิดแล้วล่ะมั้ง...” เด็กหนุ่มลากเสียงยาว ก่อนเอ่ยออกมาด้วยประโยคที่ทำให้บรรดาคนฟังต้องนิ่งงันไปอย่างประหลาดใจ


    “พวกคุณต่างหากที่ต้องการตัวผม”

     

     

     





     

     

                เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังห้องนั่งเล่นชี้เลยเลขสองไปนานแล้ว หากถึงอย่างนั้น แสงไฟในบ้าน vanilla twilight ก็ยังคงสว่างไสวอยู่


                มินกยูที่นั่งกอดหมอนอิงโซฟาอยู่อดไม่ได้ที่หาวออกมา วันนี้เป็นวันที่เด็กหนุ่มใช้พลังงานมากกว่าปกติ และความวุ่นวายเหล่านั้นก็กำลังแผลงฤทธิ์ หากถึงจะง่วงนอนเพียงใดเขาก็ยังยืนกรานที่จะเข้าร่วมประชุมฉุกเฉินยามดึกในครั้งนี้


                ใครมันจะยอมพลาดเรื่องสำคัญแบบนี้กัน


                เพราะถึงเด็กหนุ่มกับวอนอูจะเรียกได้ว่าคว้าน้ำเหลวในภารกิจตามหาแมวนั่น แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมบ้านที่แยกไปอีกกลุ่มจะไม่ใช่แบบนั้น


                มั้งนะ...


                “ทำไมไม่จับกลับมา”


                คำถามเรียบง่ายแต่แฝงแววหงุดหงิดของคนเป็นรูมเมททำให้ซูนยองที่นั่งใกล้เขาต้องเหล่ตามองเล็กน้อย


                “จะให้จับยังไง พอเด็กนั่นพูดจบปุ๊ป พวกฉันก็โผล่มาที่ถนนเส้นเดิมปั๊ปเลย ยังไม่ทันได้ขยับด้วยซ้ำ” วิญญาณหนุ่มว่า ใบหน้าโปร่งใสนั่นมีแววหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยมีซองยอนพยักหน้าเป็นลูกคู่พร้อมเสริม


    “ถนนที่เวอร์นอนสร้างก็ถูกทำลายไปด้วยค่ะ”


    สายตาทุกคู่ของคนฟังที่เหลือหันกลับไปยังสมาชิกคนสุดท้ายที่ได้เผชิญหน้ากับแมวเจ้าปัญหา


    “ตามกลิ่นไม่ได้แล้วเหมือนกัน” เยบินบอกสั้น ๆ “ทุกอย่าง... เหมือนจะหายวับไปเลย”


    คนฟังที่เหลือขมวดคิ้ว ในขณะที่อารอนถอนหายใจ


    “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรปล่อยไปเฉย ๆ รึเปล่า”


    “เป็นไปไม่ได้หรอก เด็กนั่นลบทุกอย่างซะเกลี้ยง ขนาดถนนที่เวอร์นอนสร้างยังไม่เหลือ” ซูนยองค้านแกมบ่น


    ในบรรดาสมาชิกทั้ง 3 ที่ได้เจอกับสปลินเตอร์ วิญญาณหนุ่มดูเป็นคนไม่สบอารมณ์มากที่สุด หากถึงแบบนั้น มินกยูก็ยังเชื่อว่าเขาสามารถจับอารมณ์เกรี้ยวกราดของซองยอนได้ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามซ่อนไว้ก็ตาม จะมีเพียงแต่เยบินเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทางเฉยเมยเช่นเดิม


    เพื่อนร่วมบ้านที่เหลืออยู่ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน เว้นเพียงแต่เด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่


    สมองของเขามประมวลผลอย่างรวดเร็วก่อนได้ข้อสรุปที่เห็นได้ชัดว่า นอกจากผี แวมไพร์ แฟรี่ พ่อมดแล้ว ตอนนี้ยังมีแมวปีศาจอีกด้วย


    อ่อ... มีนักล่าอีกหนึ่ง


    “สรุปว่าแมวที่เราตามหาเป็นแมวของคุณฮงเหรอครับ” เขาถามออกมาอย่างสงสัย “ผมนึกว่านักล่าจะตามฆ่าอะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์เสียอีก”


    “ตามปกติก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ” คุณหมอประจำบ้านหันมาตอบ “แต่เอาเข้าจริงแล้ว พวกเราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องของพวกนักล่าเหมือนกัน”


    “แต่ขึ้นชื่อว่านักล่าก็ควรต้องจัดการอมนุษย์ทั้งหมดเลยไหม” ซูนยองเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีแดงของวิญญาณหนุ่มฉายแววครุ่นคิด “แล้วทำไมถึงมาทำงานกับแมวปีศาจได้ล่ะ”


    นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่ดวงตาสีแดงคู่จะเหล่ไปหาอารอนอีกครั้ง


    “พี่อารอนไม่รู้อะไรจริง ๆ เหรอ”


    “ทำไมถึงคิดว่าฉันรู้ล่ะ” คนถูกถามย้อน


    “ก็เขาว่าพ่อมดแม่มดมักมาคู่กับแมวดำไม่ใช่รึไง”


    “แมวที่พวกฉันเลี้ยงไม่ใช่สปลินเตอร์สักหน่อย” อารอนตอบ ดวงตาสีทองของพ่อมดหนุ่มบ่งบอกถึงความอ่อนใจยามเอ่ยต่อ“แล้วอีกอย่างก็เลิกเลี้ยงแต่แมวดำตั้งนานแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็เลี้ยงสัตว์ทั่ว ๆ ไปเหมือนพวกนายนั่นแหละ”


    “งั้นมีคนรู้จักที่ทำงานกับสปลินเตอร์บ้างไหม” วอนอูถามขึ้นมาบ้าง “แบบ... ทำสัญญาร่วมกันเพื่อเสริมเวทมนต์ของแต่ล่ะฝ่ายไรงี้”


    “ไม่มี”


    หากยังไม่ทันให้ได้ซักไซ้พ่อมดหนุ่มต่อ ซองยอนที่นั่งฟังเงียบ ๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา


    “คนที่ใช้เวทมนต์อยู่ร่วมกันสปลินเตอร์ไม่ได้ค่ะ”


    เด็กสาวบอกเสียงแผ่ว


    “หือ?”


    “สปลินเตอร์เป็นแมวปีศาจก็จริง แต่พลังที่โดดเด่นของมันก็คือการ ลบล้างเวทมนต์ ค่ะ” แฟรี่สาวอธิบายต่อ “คำสาป พันธสัญญา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถูกสร้างด้วยเวทมนต์ สปลินเตอร์สามารถทำลายได้หมด”


    คำบอกเล่าที่เรียกให้สมาชิกทุกคนในห้องนั่งเล่นหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียว


    “เลือดของเวอร์นอนถึงไม่สามารถทำอะไรอี ชาน ได้อย่างที่พวกเรากลัวไงคะ”


    “...”


    มีแต่ความเงียบงันหลังจากที่ซองยอนพูดจบ ทุกสายตาที่จับจ้องล้วนแต่เต็มไปด้วยความงุนงง สงสัย หรือแม้กระทั่งตกตะลึง


    ก่อนที่มันจะทวีคูณขึ้นเมื่อเด็กสาวเอ่ยต่อ


    “เพราะแบบนั้น... บางที... เรื่องที่อี ชานบอกอาจจะไม่เกี่ยวกับเวอร์นอนก็ได้ค่ะ


    ดวงตาสีเฮเซลของคนพูดหันมามองมินกยูที่นั่งข้าง ๆ


    “ฉันคิดว่ามันเกี่ยวกับมินกยูและพี่วอนอู”


    สายตาทุกคู่หันไปมองผู้ถูกกล่าวถึงโดยพร้อมเพรียงกัน


    มินกยูเผลอยกมือเพื่อลูบแผลที่ต้นคอโดยไม่รู้ตัว


    ลบล้างคำสาปงั้นเหรอ...


    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฮง จีซู”


    ใครบางคนยังมีคำถามต่อ


    “ฉันเดาได้แค่นี้แหละค่ะ” ซองยอนตอบพร้อมกับยักไหล่ ในขณะที่รูมเมทของแฟรี่สาวทวนอย่างสนใจ


    “ลบคำสาปงั้นเหรอ...”


    “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันก็คงไม่ต้องงมอยู่ตั้งนานหรอกมั้ง” อารอนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แม้ในมือของชายหนุ่มจะกำลังรื้อค้นสมุดจดส่วนตัวอยู่ก็ตาม “ฉันกับวอนอูแทบจะพลิกตำราทั้งหมดเลยนะ ไม่เห็นมีอะไรบอกเรื่องสปลินเตอร์เลย”


    “ก็ใช่ว่าจะเจอแมวปีศาจได้ง่าย ๆ นี่”


    มินกยูได้แต่นั่งมองการถกเถียงที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ดูเหมือนว่าเขาน่าจะง่วงนอนเกินไป หรือไม่รู้อะไรเลยเกินกว่าจะออกความเห็นได้


    หากถึงแบบนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยังคงจับจ้องเพื่อนร่วมบ้านทีคนละอย่างพินิจ


                มีบางอย่างที่เด็กหนุ่มสงสัย...


                บางอย่างที่ดูเหมือนว่าสมาชิกคนอื่นของบ้านได้มองข้ามมันไป


    ทำไมฮง จีซูและอี ชานถึงรู้ว่าพวกเขาออกจากบ้านเพื่อตามหาแมวนั้นได้ล่ะ









         ความสงสัยนั้นยังคงติดอยู่ในใจแม้กระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนแล้วก็ตาม


         สมาชิกที่เป็นมนุษย์หนึ่งเดียวของบ้านยังคงตาสว่าง แม้ว่าตอนนี้เพื่อนร่วมบ้านคนอื่นจะกำลังทยอยออกไปทำงานจนเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว


         มินกยูพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย เขานอนไม่หลับ และการนอนไม่หลับนั่นก็ทำพิษเสียจนวันนี้เด็กหนุ่มไปเรียนไม่ไหว


         พักผ่อนไม่เพียงพอ

         

         อารอนที่แวะมาดูอาการบอกแบบนั้นหลังจากที่ตรวจร่างกายของเขาเสร็จ

         

         อันที่จริงแล้วทั้งเขาและซองยอนพยายามเสนอตัวไปช่วยวอนอูทำงานที่ห้องสมุดในวันนี้ เผื่อจับสังเกตอะไรจากบรรณารักษ์คนใหม่ได้ แต่วอนอูปฏิเสธมันอย่างไม่ไยดี

         

         แน่นอนว่าบรรดาสมาชิกรุ่นใหญ่ที่เหลือต่างยืนกรานให้มินกยูนอนพักเป็นอยู่ที่บ้าน ส่วนซองยอนก็ต้องไปเรียนเช่นเดียวกัน และไม่ต้องพูดถึงเวอร์นอนที่โดนคุณหมอหนุ่มลากไปที่คลินิกด้วยกันตั้งแต่เช้า

         

         ทุกคนพยายามทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

         

         แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความเครียดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอารอนและวอนอู

         

         เขากำลังจะเคลิ้มหลับไปยามที่ได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้องนอน

         

         มินกยูฝืนตัวลุกขึ้นมากึ่งนอนกึ่งนั่งบนเตียง แม้จะยังปวดหัวและมึน ๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอนที่เห็นวิญญาณหนุ่มประคองถาดอาหารเข้ามา

         

         “วอนอูบอกว่านายไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า” ซูนยองอธิบาย ก่อนวางนมกับขนมปังลงตรงหน้า “กินก่อนแล้วค่อยกินยาแล้วกัน”

         

         มินกยูเอ่ยขอบคุณเพื่อนร่วมบ้านเบา ๆ ในขณะที่วิญญาณหนุ่มนั่งลงที่ข้างเตียงของเขา

         

         ซูนยองนั่งมองเด็กหนุ่มกินขนมปังเงียบ ๆ รอจนเขาจัดการของในถาดตรงหน้าใกล้หมดแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

         

         “รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”

         

         มินกยูพยักหน้า

         

         “เหลือแค่ปวดหัวเท่านั้นแหละครับ” เขาว่า “ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว วันนี้พี่จะติวให้ผมต่อเลยไหม”

         

         “เอาตัวเองให้รอดก่อนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องติวเถอะ”  วิญญาณประจำบ้านบอกพร้อมกับส่ายหัว “กินยาซะ ฉันจะได้รายงานวอนอูกับพี่อารอน”

         

         คนฟังหัวเราะ แต่ยอมหยิบยาเม็ดกลมใส่ปากอย่างว่าง่าย

         

         “ผมไม่ได้ไม่สบายหนักเสียหน่อย พี่ไม่ต้องมาดูแลขนาดนี้ก็ได้”

         

         “ฉันขัดสองคนนั่นได้ที่ไหนกัน” ซูนยองบ่น “แล้วนายก็หน้าซีด แถมมือสั่นขนาดนั้น ทำตัวเป็นคนป่วยหน่อยน่า”

         

         มินกยูอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนจะยอมรับคำแต่โดยดี


         “โอเคครับ”

         

         ถึงจะตกปากรับคำไปแล้ว หากเด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมนอนพักต่ออย่างที่ร่างโปร่งใสตรงหน้าบอก


         ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังเพื่อนร่วมบ้านของตัวเองด้วยสายตาที่ทำให้คนถูกมองต้องถอนหายใจ


         “อะไรอีกล่ะ” ซูนยองถามเสียงงึมงำ


         ในคราวแรก มินกยูคิดอยากจะถามถึงข้อสงสัยที่เขาคิดไม่ตกมาตั้งแต่เมื่อคืน หากเมื่อขยับริมฝีปาก คำถามแรกกลับกลายเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกันสักนิด


         “พี่ไม่ต้องไปห้องสมุดกับคุณวอนอูเหรอครับ”


         “ทำไมต้องไปล่ะ?” วิญญาณหนุ่มย้อนอย่างงุนงง


         “ก็คุณฮงอยู่ที่ห้องสมุด...”


         “ไม่ต้องเป็นห่วงวอนอูหรอกน่า” เพื่อนร่วมบ้านเขาว่าพลางโบกมือ “หมอนั่นรับมือได้สบาย ยังไงเสีย คุณฮงอะไรนั่นก็เป็นมนุษย์ แถมมีหน้าที่การงานค้ำคออีก คงจะลุกมาทำอะไรวอนอูโจ่งแจ้งไม่ได้หรอก”


         “แต่...”


         อะไรบางอย่างในดวงตาสีแดงที่จ้องกลับมาทำให้มินกยูต้องหยุดคำพูดที่กำลังจะเอ่ยค้านออกมาไว้ที่ปลายลิ้น


         ซูนยองกอดอก ก่อนเอนตัวไปด้านหลังทั้ง ๆ ที่ยังคงมองมาที่เขาอยู่


         “เป็นห่วงวอนอูเหรอ?”


         คำถามธรรมดาทั่วไป หากทำให้คนฟังต้องกระพริบตาปริบ ๆ อย่างพูดไม่ออก เด็กหนุ่มพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ต้องเงียบไปอีกครั้ง


         คำถามของซูนยองดูเหมือนจะจี้อะไรบางอย่างในใจของมินกยูได้ตรงจุด


         เป็นห่วง


         คำสั้น ๆ ที่ดูราวจะเป็นการสรุปความรู้สึกว้าวุ่นในใจตั้งแต่เมื่อคืนของเขาได้ดีที่สุด


         “ก็เป็นห่วงเพื่อนร่วมบ้าน... ไม่ได้เหรอครับ”

         

         คำตอบง่าย ๆ ที่ตัวคนพูดเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่ากำลังบอกตัวเองหรือคนตรงหน้ากันแน่


         มีรอยยิ้มบางที่มุมปากของคนฟังคล้ายรู้ทัน แต่ซูนยองก็ใจดีพอที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมาต่อ และมินกยูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ


         “เมื่อคืนฉันกับเยบินเอาสัญลักษณ์ที่กระดุมของคุณฮงไปค้นดู ก็เลยพอจะเดาได้ว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะมาจากตระกูลที่ถนัดไปทางล่าปีศาจ” วิญญาณประจำบ้านยังใจดีมากพอที่จะอธิบายต่อ


         “เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงรูมเมทของฉันหรอก ห่วงเวอร์นอนดีกว่า แถมมีเรื่องกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรกขนาดนั้น”


         “เวอร์นอนเป็นปีศาจ...?” ดวงตาสีดำสนิทของมินกยูเบิกกว้างอย่างตกใจ หลังจากจับอะไรได้คร่าว ๆ จากคำพูดของเพื่อนร่วมบ้าน


         ร่างโปร่งใสตรงหน้ามองเขาเป็นเชิงถามว่าไม่รู้จริง ๆ เหรอ และเมื่อระลึกได้ว่าเด็กหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์อยู่ เพื่อนร่วมบ้านของเขาก็ยอมเล่าต่อ


         “ลูกครึ่งน่ะ”


         “อ่า...” มินกยูพูดไม่ออกอีกครั้ง


         ที่ผ่านมา เขาเดินไปโรงเรียนพร้อมแฟรี่และลูกครึ่งปีศาจสินะ...


         ซูนยองหัวเราะออกมาหลังจากเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม


         “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”


         “ผมแค่งงน่ะ” มินกยูบอก เด็กหนุ่มนิ่งไปสักพัก ก่อนถามต่ออย่างสงสัย “แต่ถ้าคุณฮงเป็นนักล่าจริง จะโผล่มาหาเวอร์นอนตรง ๆ แบบนี้ทำไมกันล่ะครับ”


         “ไม่รู้สิ” วิญญาณหนุ่มยักไหล่ “นั่นคือสิ่งที่พวกฉันสงสัยอยู่เหมือนกัน”


         สมาชิกที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวของบ้านถอนหายใจออกมาเล็กน้อย


         อะไรบางอย่างบอกมินกยูว่าเป้าหมายของจีซูไม่ใช่เด็กหนุ่มลูกครึ่งปีศาจคนนั้น


         บางที... อาจจะเป็นเพราะหัวหน้าบรรณารักษ์คนใหม่ไม่ได้มีท่าทีคุกคามเวอร์นอน


         ปฏิกิริยาที่มีต่อเขาและวอนอูเมื่อคืนต่างหากที่มินกยูคิดว่ามันผิดปกติ


         “ถ้าไม่มีคำถามอะไรอีกก็นอนพักได้แล้ว” ซูนยองเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป “ฉันต้องออกไปข้างนอก อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”


         “พี่จะไปไหนอ่ะ” เด็กหนุ่มถามอย่างแปลกใจ


         “ฉันมีนัดกันคุณจีฮุน”


         มินกยูชะงักไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาคงแปลกประหลาดเสียจนซูนยองต้องยิ้มออกมา


         “ฉันมีนัดคุยเรื่องงานกับคุณจีฮุนที่ร้านอาหารแถวนี้แหละ จะไปเช็กด้วยว่าเมื่อวานเขาสงสัยอะไรรึเปล่า”


         “มาถึงขนาดนั้นถ้าไม่สงสัยก็แปลกแล้ว” คนฟังว่า ก่อนชะงักเมื่อนึกอะไรได้ “พี่จะกินข้าวกับคุณจีฮุนเหรอครับ”


         “ใช่ ทำไมเหรอ”


         วิญญาณหนุ่มถามกลับ


         “ไหนว่ากินอะไรไม่ได้ไง”


         “ก็กินอะไรไม่ได้ไง”


         มินกยูมองคนตรงหน้าด้วยสายตางุนงงอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้คนถูกมองต้องถอนหายใจแทน


         “ฉันกินอะไรไม่ได้ก็จริง แต่ก็ทำเป็นกินได้ไง” เจ้าตัวนิ่งไปชั่วครู่คล้ายกับกำลังใช้ความคิดในการอธิบายให้เขาฟัง “มันเป็นความเคยชินน่ะ ฉันก็แค่ทำเหมือนกินได้ แต่ก็ไม่รู้รสชาติอะไรหรอก หรือถ้านายทำให้ฉันตกใจตอนนั้นก็อาจจะสำลักได้ แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน”


         “ฟังดู... ว่างเปล่าจังเลยนะครับ”


         คนตรงหน้าหัวเราะออกมากับคำพูดของเขา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


         “ฉันตายไปแล้วนะ มินกยู”


         เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่มินกยูรู้สึกว่าภายใต้รูปร่างชายหนุ่มอายุปลาย 20 นั่น แท้จริงแล้วควอน ซูนยองคือผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผ่านอะไรมามากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการถึง

     

     

     




     

     


         อี จีฮุนนั่งรออยู่แล้วยามที่ซูนยองเปิดประตูของร้านอาหารเข้าไป


         “รุ่นน้องคุณเป็นไงบ้างครับ” หลานชายคุณอีถามเขาอย่างเป็นห่วง หลังจากที่ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


         “ไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำแผลนิดหน่อยน่ะ” ซูนยองตอบ ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าราวกับกำลังค้นหาความผิดปกติด้วยดวงตาที่ตอนนี้เป็นสีดำสนิท


         “ดีแล้วครับ” จีฮุนว่าอย่างโล่งอก “ผมนึกว่าจะเป็นอะไรเยอะเสียอีก เห็นเลือดออกเยอะขนาดนั้น”


         “แผลไม่ลึกน่ะ” คนที่นั่งฟังตรงข้ามบอก “ผมต้องขอโทษคุณมากกว่าที่พาไปเจอเรื่องวุ่นวายแบบนั้น”


         หลานชายของคุณอีหัวเราะเบา ๆ


         “ไม่เป็นไรครับ ได้ออกกำลังกายก็ดีเหมือนกัน”


         ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะหมายถึงเรื่องที่พวกเขาวิ่งตามเจ้าแมวสีดำตัวโตเมื่อวานด้วยกัน คิดแล้วชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่อยากถอนหายใจ


         ใครจะรู้ว่าแมวดำนั่นจะกลายเป็นแมวปีศาจไปได้


         แค่คิดเขาก็หงุดหงิดจะแย่แล้ว


         ว่าแต่ในตอนนั้นเขาให้เหตุผลกับจีฮุนว่าไงกันนะ ทำไมคนเจ้าตัวถึงได้ยอมวิ่งตามมันไปพร้อมกับเขาล่ะ


         “แล้วที่ไม่เจอแมวตัวนั้นก็คงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”


         ดังราวจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จีฮุนจึงถามขึ้นมาอีกอย่างเป็นกังวลและสงสัย


         “ไม่เป็นไรครับ ตอนแรกแค่จะวิ่งตามเพราะอยากเจอเจ้าของน่ะ” ซูนยองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดวนไปวนมาและอธิบายเรื่อยเปื่อยในสิ่งที่ไม่จำเป็น “ก็แค่... อยากรู้ว่ามันฉีดวัคซีนรึยัง”


         เหตุผลงี่เง่า...


         ชายหนุ่มด่าตัวเองในใจ


         หากแต่เมื่อคนตรงหน้าเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และหันไปสนใจกับแบบแปลนของโรงเรียนที่เขาหยิบมาให้ดูแทน ซูนยองก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก


         ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตามที


         ท่าทางไม่ติดใจสงสัยอะไร และเปลี่ยนมาสนใจกระดาษในมือแทนนั้น ทำให้คนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


         โชคดีที่จีฮุนเป็นคนเข้าใจง่าย


         ความคิดสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับหลานชายของคุณอี  ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมาจริงจังกับการพูดคุยถึงแผนการปรับปรุงคร่าว ๆ แทน     


         ทว่าลึกลงไปแล้ววิญญาณหนุ่มก็รู้ดีว่ามันเป็นความเข้าใจง่าย... ที่ง่ายจนเกินไป ราวกับว่าคนตรงหน้าพยายามเชื่อทุกคำพูดของเขามากกว่าที่จะเชื่ออย่างสนิทใจจริง ๆ


         หากถึงแบบนั้น ซูนยองก็เลือกที่จะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ และปัดความรู้สึกชอบกลนั้นทิ้งไป


         เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา

     

     

     

     

     

    TBC.


    TalK: ในบ้านหลังนี้คู่ที่มีความลับมากที่สุดก็คงจะเป็นซูนฮุนนี่แหละค่ะ 55


    ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ

    Mianami


    ปล. เด็กดีโฉมใหม่นี่แอบใช้ยากเหมือนกันนะเนี่ย 55

      

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×