ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #35 : ตอนที่ 34 ไม่เคยคิดก็คิดซะสิ 1 (โดย แบมแบม)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.92K
      37
      10 พ.ค. 61

    ตอนที่ 34

    ไม่เคยคิดก็คิดเสียสิ โดย แบมแบม

    “แบมแบม ผมรักนาย”

    เป็นเวลากว่าชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียง คำสารภาพจากเพื่อนสนิทยังคงฉายวนซ้ำๆ ในห้วงความคิด ราวกับเหตุการณ์เพิ่งเกิด ผมตกใจ อันที่จริงๆ ตกใจตั้งแต่ตอนยูคยอมเรียกว่าแบมแบม สีหน้าและสายตาจริงจังทำให้ผมหวั่นใจว่าประโยคต่อมาอาจเป็นอย่างที่คิด แล้วมันก็เป็นจริงๆ

    ของขวัญปีใหม่ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจในอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับยูคยอม ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเอะใจ แต่เป็นเพราะตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มสนิทกันยูคยอมก็เป็นแบบนี้ตลอด ตามติดตลอด อ้อนตลอด แสดงออกเหมือนเดิมตลอด จนผมได้ข้อสรุปว่านี่เป็นนิสัยปกติของหมอนั่น ดังนั้นไม่ว่ายูคยอมจะทำอะไร ผมเลยคิดว่ามันคือยูคยอมสไตล์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

    จนกระทั่งถึงวันนั้น วันที่ได้เห็นรูปถ่ายตลอดทั้งปี ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะทำอะไรเพื่อเพื่อนได้มากขนาดนั้น แต่ด้วยความที่พฤติกรรมของยูคยอมยังคงเป็นเหมือนเดิม เหมือนตลอดสามปีที่ผ่านมา ผมเลยคิดว่าตัวเองคิดมากแล้วก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป

    นายรักฉันตอนไหน ในเมื่อไม่เคยมีตอนไหนเลยที่ฉันรู้สึกว่านายเปลี่ยนไป ตั้งแต่เมื่อไรที่นายไม่ได้มองฉันเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง

    ผมถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนอน เจ็ดข้องั้นเหรอ เจ้าบ้ายูคยอม นั่นมันก็แค่บังเอิญโดฮีซื้อหนังสือพิชิตใจหญิงมา เห็นบอกว่าอเล็กซ์ไม่เคยจีบ ไม่เคยแม้แต่จะสารภาพรัก แถมขอคบได้แบบเลวร้ายสุดๆ เลยอยากให้หมอนั่นอ่าน ก่อนหน้านั้นเลยเอามาให้ผมลองอ่านดูว่ามันเข้าใจง่ายไหม แล้วผมก็แค่ดันจำมันได้เท่านั้นเอง สายตาเหลือบไปเห็นสมุดภาพที่เปิดทิ้งไว้ ผมหยิบหน้าที่เป็นพระอาทิตย์ขึ้นมาดู ทั้งๆ ที่แค่พูดไปส่งๆ แต่เจ้าลูกหมายักษ์กลับตั้งใจทำมากขนาดนี้

    ผมชอบยูคยอม มันแน่อยู่แล้วที่ผมชอบหมอนั่นมาก เพียงแต่ที่ผ่านมาผมไม่เคยมองหมอนั่นในฐานะอื่นนอกจากเพื่อนสนิท แล้วผมจะมีคำตอบให้ได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย สมุดภาพถูกวางลงด้วยใจที่หนักอึ้ง ผมลุกจากเตียงเดินออกมานอกห้อง ในตอนที่กำลังปิดประตูก็อดไม่ได้เหลือบมองไปยังห้องเดี่ยวที่อยู่ติดกัน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ดีไม่ดี กว่าจะพาตัวเองกลับห้องได้คงมีอันได้เซล้มอยู่แถวนี้ไปหลายรอบ เจ้าลูกหมาตัวนั้น ทำไมผมจะไม่รู้ละว่านิสัยจริงๆ เป็นยังไง ทั้งขี้อายขี้เขิน ไม่รู้ว่าต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหนถึงพูดแบบนั้นออกมาได้

    ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะเดินมาที่ระเบียง ก้มตัววางแขนทั้งสองข้างไว้แล้วสายตาทอดมองออกไป ผมไม่อยากตอบอะไรเลย มันน่ากลัวจนพานให้อดคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นด้วย ลบมันออกไปได้ไหมนะ ลบอย่างนั้นเหรอ ให้ตายสิ เป็นแบบนี้อีกแล้ว

    “มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบาย” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง ร่างสูงโปร่งของพี่ชายที่กำลังจะอยู่ระหว่างทางกลับห้องตัวเองหยุดมอง

    “ผมแค่ออกมาสูดอากาศ” ผมหันไปตอบ ก่อนจะเบนสายตากลับไปทอดมองเบื้องหน้าต่อ

    “แล้วไม่หนาวหรือไง” มาร์คฮยองถาม เดินมายืนอยูข้างๆ ในขณะที่ผมส่ายหัว

    “เพิ่งมาจากห้องแจ็คสันฮยองเหรอฮะ” ถามกลับ

    “อืม หมอนั่นให้ช่วยทำการบ้าน”

    คำตอบจากคำถามที่ผมเองก็แค่ถามไปอย่างนั้น ผมพยักหน้าแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก

    “นายเป็นอะไรหรือเปล่า” คำถามดังขึ้นจากพี่ชายผมแดงแต่ผมไม่ตอบ ไม่รู้จะตอบอะไร เพราะกระทั่งความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองในตอนนี้เป็นยังไงก็ยังไม่แน่ใจ ลังเล สับสน กังวล หรือกลัว

    สัมผัสอุ่นของเสื้อแขนยาวตัวใหญ่คลุมลงมาบนไหล่ ผมหันไปมองหน้าคนตัวสูงกว่าที่ไม่ได้มองกลับมา มาร์คฮยองตอนนี้เหลือแค่เสื้อยืดสีขาว ก้มตัวลงวางสองแขนลงบนระเบียงท่าเดียวกับผม ทอดสายตามองไปข้างหน้า พี่ชายข้างห้องดูไม่มีท่าทีว่าต้องการคำตอบ ผมเลยดึงสายตาตัวเองกลับมา แล้วนิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

    “ผมไม่ชอบการต้องตัดสินใจ” ผมพูดขึ้นมาในที่สุด “ไม่มีความกล้ามากพอจะไปตัดสินอะไรให้ใคร ผมเป็นคนขี้ขลาด” มือสองข้างบีบแขนตัวเองแน่น “เป็นแบบนี้มาตลอด”

    “แต่นายกล้าที่จะเปิดประตูเข้ามาในวันนั้น” คนที่ยืนเงียบอยู่นานตอบ แต่ผมส่ายหน้า นั่นเพราะผมได้รับแรงผลักดันจากทั้งแจ็คสันฮยองและยูคยอม มันเหมือนกับว่าถ้าผมไม่ทำก็จะผิดต่อสองคนนั้นด้วย

    “ฮยองรู้ไหม เวลาที่ผมเจอกับอะไรที่จัดการไม่ได้ ผมมักจะหวังให้ตัวเองมีพลังวิเศษ พลังที่ลบเหตุการณ์พวกนั้นออก ลบความทรงจำของคนคนนั้นไป”

    “แต่สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือความทรงจำ ถ้าต้องถูกนายลบออก ฉันคงไม่เหลืออะไรเลย”

    ผมหันไปมองหน้าคนพูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองสบมีแววบางอย่างสะท้อนอยู่ บางอย่างที่ทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา

    “ผมแย่มากเลยเนอะ” ยิ้มเศร้าๆ กับตัวเอง ทำไมจะไม่รู้ละว่าตัวเองแย่แค่ไหนที่คิดแบบนั้น

    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา ทั้งๆ ที่ยูคยอมพยายามมากขนาดนั้น แต่ผมกลับคิดจะลบทุกอย่างออกง่ายๆ เพียงเพราะมันทำให้ผมลำบากใจ

    “อ้วน” คำพูดเบรกอารมณ์กะทันหัน ทำผมขมวดคิ้วเข้าหากัน “อ้วน” คราวนี้หันขวับกลับไป

    “ฮยอง

    “อ้วน” มาร์คฮยองพูดหน้าตาย “เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักกับยองแจมาแล้วไม่เห็นได้ผลเลย แก้มยังย้อยอยู่เหมือนเดิม”

    มือรีบยกมาจับแก้มตัวเองอัตโนมัติ ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าตัวเองหรอกนะ แต่มาร์คฮยองเป็นพวกที่ไม่ค่อยวิพากษ์วิจารณ์อะไรบ่อยนัก พอพูดอะไรขึ้นมาแต่ละทีมันเลยน่าเชื่อถือสุดๆ เลยน่ะสิ

    “ผมไม่ได้อ้วนสักหน่อย” ลูบแก้มตัวเองแล้วปฏิเสธหน้างอ “ยูคยอมตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ” ชี้นิ้วไปยังประตูห้องเจ้าลูกหมายักษ์ที่จู่ๆ ก็ถูกลากมาเป็นเหยื่อด้วยอย่างน่าสงสาร

    คนว่าเหล่มอง “ยูคยอมตัวสูง แต่นายไม่ใช่”

    ฉึก เหมือนโดนหอกพุ่งมาปักอก “แต่ยองแจฮยอง...”

    “หมอนั่นก็สูงกว่านาย”

    ฉึก อีกอันแล้ว ผมมองหน้าตาเฉยเมยของคนตรงหน้าแบบพูดไม่ออก ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ผมไม่ได้อ้วนสักหน่อย ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครบอกว่าผมอ้วนเลยสักคน

    มือจากคนข้างๆ ยื่นมาจับแก้ม แล้วจู่ก็จับมันยืดออกอย่างแรง

    “โอ๊ย มาร์คฮยอง! เจ็บๆๆ” ผมร้องเสียงหลง หันไปฟาดมือคนลอบประทุษร้ายรัวๆ จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมปล่อย

    พี่ชายใจโหดเม้มปากแน่นแต่ดวงตากลับโค้งขึ้น นั่นมันหน้าตาพอใจสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง ผมกุมแก้มตัวเองมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ปกติแล้วมีอยู่แค่คนเดียวที่ชอบทำอะไรแบบนี้ คนที่ชอบทำร้ายผมด้วยการหยิกแก้ม ดึงแก้ม กระทั่งกัดแก้มมันมีแค่แจ็คสันฮยองคนเดียวนี่

    “ฮยองอยู่กับแจ็คสันฮยองมากจนติดเชื้อมาแล้วใช่ไหม”  

    คนโดนหาว่าติดเชื้อเหมือนจะหลุดยิ้มนิดๆ “เข้าใจแล้วว่าหมอนั่นรู้สึกยังไง”

    คำตอบที่ได้ยินทำเอาอ้าปากหวอ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ พี่ชายที่แสนดีของผมหายไปไหน

    อดีตพี่ชายที่แสนดีหันหน้ามา เอาหลังนิ้วชี้ปัดปลายจมูกผมเบาๆ ด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า

    “ปีศาจ” ผมพูดหน้างอ “ชอบแกล้งคนอื่น”

    “เปล่านี่” มาร์คฮยองปฏิเสธ

    “เปล่าได้ไง ฮยองอะเอาแต่แกล้งคนโน้นนี้ไปทั่ว”

    “จำไม่เห็นได้”

    “ฮยองแกล้งยูคยอม แกล้งแจ็คสันฮยอง แกล้งจูเนียร์ฮยอง” ผมนับนิ้วไล่รายชื่อเหยื่อที่เคยผ่านตาตัวเองมา

    “อ่า เหมือนจะคุ้นๆ” คนช่างแกล้งพยักหน้าทำท่าคิด

    “ผมด้วย” ปิดท้ายรายชื่อด้วยบุคคลที่น่าสงสารอย่างตัวเอง “ฮยองแกล้งผมหลายทีแล้วนะ”

    “ฉันไปแกล้งอะไรนาย”

    “ก็...” อ้าปากค้าง แล้วจะอธิบายยังไงล่ะ ผมมองหน้ามาร์คฮยองที่ทำเป็นเบนสายตามองทางอื่น แต่ก็เหมือนเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นแว้บหนึ่งยังไงไม่รู้ “ก็ว่าผม แกล้งผม เมื่อกี๊ก็แกล้ง”

    “เริ่มดึกก็เริ่มหนาวมากแล้วนะเนี่ย” เดี๋ยวก่อน เกี่ยวอะไรกับเรื่องดินฟ้าอากาศล่ะ มันจะเปลี่ยนเรื่องกันหน้าตาเฉยเกินไปแล้วนะ!

    ผมถอนหายใจแล้วจับเสื้อที่คลุมตัวเองอยู่ยื่นให้ เจ้าของเสื้อรับคืนไป เดินอ้อมไปด้านหลังผมแล้ววางมือสองข้างลงบนไหล่ จับผมหันหน้าเข้าหาห้องตัวเอง

    “นายก็นอนได้แล้ว”

    “เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะเข้าห้อง” ผมเอี้ยวตัวไปท้วง แต่กลับถูกดันให้เดินต่อแทนคำตอบ

    มาร์คฮยองเปิดประตู แล้วดันตัวผมเข้าไปด้านใน

    “ราตรีสวัสดิ์” โดยไม่รอให้ผมได้ทักท้วงก็ชิงพูดเสียก่อน ทำท่าจะปิดประตูแต่แล้วก็เปิดออกใหม่เหมือนเพิ่งนึกบางอย่างได้ “ฉันไม่เคยแกล้ง ฉันจริงจังเสมอถ้าเป็นเรื่องของนาย”

    ปัง พูดจบปุ๊บประตูก็ถูกปิดใส่หน้าผมอย่างรวดเร็ว ผมที่ได้แต่ยืนอึ้ง ทำไมรู้สึกเหมือนถูกปาระเบิดใส่เพิ่มอีกลูกหนึ่งเลย

     

    ติ้ดๆๆ ติ้ดๆๆ

    มือกดปิดนาฬิกา ลุกขึ้นนั่งงัวเงีย เมื่อคืนนอนยังไงก็ไม่หลับมาหลับเอาตอนเกือบสว่าง สภาพตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองแทบไม่ได้นอน เหล่มองเวลา 6 โมงเช้า เพราะกิจวัตรที่ผ่านมาทำให้ผมตั้งเวลาไว้จนชินเสียแล้วแม้จะเป็นวันหยุด ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะถ้าไม่ตื่นก็จะมีลูกหมาตัวยักษ์บุกมาถล่มล้มทับทุกทีไป พาตัวเองออกจากเตียงอย่างยากลำบาก แล้วเดินโซเซเข้าห้องน้ำ เอาเถอะ ถึงนอนต่อก็คงไม่หลับอยู่ดี

    หลังจากจัดการธุระช่วงเช้าเสร็จ ผมก็เดินห่อไหล่ล้วงกระเป๋าเสื้อแขนยาวที่ใส่ทับมาด้วยออกมาด้านนอก หนาวชะมัดเลย หันไปมองประตูห้องเพื่อนตัวโตที่ปิดสนิท วันนี้ยูคยอมไม่มาหา ปกติต่อให้เป็นวันหยุดหมอนั่นก็จะมาปลุกชวนไปวิ่ง ไม่ก็ชวนไปห้องสองฮยองข้างล่างด้วยกัน แต่วันนี้ไม่มา แต่ก็แน่ล่ะ ในเมื่อเพิ่งเกิดเหตุการณ์แบบนั้นไป เป็นผมก็คงยังไม่กล้าสู้หน้าเหมือนกัน

    ผมถอนหายใจเฮือก หยิบโทรศัพท์ที่เอาติดมาด้วยกดเข้าอินสตราแกรม โดฮีอัพรูปคู่กับอเล็กซ์ที่ทำหน้าเขินๆ เหมือนไม่ชินกับการถ่ายรูปคู่ ผมยิ้มขำก่อนจะคอมเม้นไปใต้รูป

    สรุปว่าได้อ่านหรือยังเจ็ดข้อพิชิตใจอะไรนั่น

    โดฮีตอบไวกว่าที่คิด

    อ่านไปหน้าเดียวหมอนั่นก็เขวี้ยงทิ้งหน้าตาเฉย บอกว่าใครมันจะไปทำอย่างนั้นกัน น่าอายจะตาย ไม่ได้เรื่องเลย!’

    คำตอบที่เห็นทำเอาหลุดขำ ผมยืนพิงระเบียงส่องอินสตราแกรมของเพื่อนๆ รวมทั้งคนอื่นๆ  ในหอพักเมี้ยวๆ ซึ่งมีแจ็คสันฮยองคนเดียวที่เล่น กับยูคยอมที่สมัครไว้แล้วแทบไม่เคยเข้าเลย

    เสียงประตูเปิดจากห้องซ้ายมือทำให้ผมเงยหน้าไปมอง พี่ชายผมแดงมองกลับมางงๆ

    “อรุณสวัสดิ์ฮะ” ผมทักงงๆ ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอแต่เช้าแบบนี้

    “อรุณสวัสดิ์” อีกฝ่ายทักตอบ “มายืนทำไรตรงนี้” ถามพร้อมกับเดินออกมาพร้อมถุงขยะในมือ

    “ฮยองจะไปทิ้งขยะเหรอ” ผมไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับ

    “อือ” คนถูกถามตอบสั้นๆ ตามสไตล์แล้วเดินผ่านหน้าไป แต่ไปไม่ถึงไหนก็หยุดหันกลับมา “ไปด้วยกันไหม”

    ผมมองหน้าตาเฉยเมยเป็นปกติของมาร์คฮยองที่ยืนรออยู่แล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินตามไป ยังไงก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว พอไม่มียูคยอมคอยลากไปนู่นมานี่ ผมก็นึกไม่ออกว่าต้องเริ่มทำอะไรตรงไหนก่อน ผมเดินกดโทรศัพท์ไปตลอดทาง ก้มหน้าก้มตากดจนมาร์คฮยองทิ้งขยะแล้วเดินกลับขึ้นมาก็ยังกดอยู่

    “จะเล่นไปถึงไหน” จู่ๆ โทรศัพท์ก็โดนดึงออกจากมือ ตอนนั้นถึงสังเกตว่ากลับมายืนอยู่หน้าห้องมาร์คฮยองแล้ว

    “เอาคืนมานะ ผมกำลังพิมพ์อยู่” ผมเอื้อมมือจะคว้า แต่คนอายุมากกว่ายกหนี

    “เข้ามาสิ” มาร์คฮยองไม่คืนให้ แต่หันไปเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปแทน

    ในห้องซึ่งไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เคยเป็นมา ผมเดินไปนั่งบนชุดโซฟารับแขก ในขณะที่เจ้าของห้องเดินเข้าครัว และเพราะทุกอย่างยังเหมือนเดิม พอมานั่งบนโซฟาตัวนี้เลยอดนึกถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อนไม่ได้ ผมขยับตัว รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่เหมือนเห็นภาพตัวเองนอนตัวสั่นอยู่ตรงนี้

    แก้วโกโก้ร้อนถูกยื่นมาให้ ผมเงยหน้ามองพี่ชายผมแดงที่กำลังวางจานขนมปังลงบนโต๊ะ รู้สึกร้อนๆ ที่หน้าขึ้นมานิดหน่อยเลยรีบรับมาจิบ เป็นจังหวะเดียวกับที่มาร์คฮยองเดินกลับไปเอาแก้วกาแฟของตัวเอง ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาเดี่ยวตัวใกล้ๆ กัน

    “ขนมปังสมุนไพรของยองแจ” อธิบายพลางพยักเพยิดหน้าไปทางจานที่วางอยู่

    โกโก้อุ่นๆ ทำให้ผมเริ่มผ่อนคลายเลยหยิบขนมปังมานั่งกินเงียบๆ มาร์คฮยองเองก็จิบกาแฟแล้วดูข่าวไปโดยไม่ได้ชวนคุยอะไร  

    “แบบนี้นึกถึงสมัยก่อนที่ผมชอบมากินโกโก้ที่ห้องฮยองทุกเช้าเลย” ผมพูดยิ้มๆ มาร์คฮยองชงโกโก้อร่อย

    “ตอนนี้ก็มาได้ ถ้านายอยากมา” เจ้าตัวพูด สายตายังคงมองข่าวในทีวี

    “แต่ปกติพวกเราก็ไปรวมตัวกันข้างล่างอยู่แล้ว”

    “ก็ถ้านายมา ฉันจะไม่ไป”

    เอ่อ... ผมมองใบหน้าด้านข้างของมาร์คฮยองที่คุยกับผม แต่ตาจ้องทีวีเขม็ง หรือเพราะผมเพิ่งโดนยูคยอมสารภาพมาเลยพานระแวง รู้สึกเหมือนว่าคำพูดพี่ชายคนนี้มันแปลกขึ้นทุกวัน

    “ฮยองจะทำงานหรือเปล่า ผมว่าผมไปหายองแจฮยอง...”

    “เปล่า!” มาร์คฮยองหันขวับกลับมาปฏิเสธก่อนผมจะพูดจบประโยคดีเสียอีก ทำเอาผมที่กำลังจะวางแก้วลงชะงักหันไปหา “เอ่อ ฉันหมายถึง นายอยู่เล่นกับฉันได้ถ้าไม่ได้มีธุระอะไร” เจ้าของห้องกระแอมเล็กน้อย

    ผมจับแก้วโกโก้ค้างอยู่ในท่ากึ่งลุกกึ่งนั่ง “เล่น...อะไรฮะ” ถามอย่างไม่แน่ใจนัก

    “จริงสิ คุณฮยองส่งรูปมาให้ฉันด้วย จะดูไหม” พี่ชายผมแดงข้ามไปถามเรื่องอื่น แล้วยังไม่ทันที่ผมจะตอบ เจ้าตัวก็ลุกเดินนำไปห้องนอนจนผมต้องปล่อยมือจากแก้วแล้วรีบเดินตามไป

    “ทำไมจู่ๆ คุณฮยองส่งรูปมาให้ฮยองล่ะฮะ”

    “วันก่อนได้คุยกับคุณฮยองนิดหน่อย” มาร์คฮยองเปิดโน้ตบุ๊คกดเข้าอีเมลล์ “เห็นว่าแทคยอนฮยองจะกลับมาแล้ว แต่คงยังไม่ได้กลับมาที่หอ ที่บริษัทมีปัญหาบางอย่าง จริงๆ ที่กลับช้ากว่ากำหนดก็เพราะเรื่องบริษัทนี่แหละ”

    ผมพยักหน้าเข้าใจ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างๆ

    “นี่ไง” โน้ตบุ๊คถูกหันมาให้ดู ในนั้นเป็นรูปคุณฮยองกับแทคยอนฮยองในอิริยาบถต่างๆ

    “มีอ๊คแคทอยู่ด้วยเกือบทุกรูปเลย” ผมพูดขำๆ อย่างกับถ่ายรูปเพื่อโฆษณาสินค้า

    “นายดูไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเก็บจานแป๊บหนึ่ง”

    ผมพยักหน้า เข้าใจดีว่ามาร์คฮยองค่อนข้างเจ้าระเบียบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร บางครั้งยังออกจะจุกจิกไปด้วยซ้ำ แต่หลังจากเลื่อนดูรูปที่ไม่ได้มีเยอะนักจนหมดผมก็ไม่มีอะไรจะทำต่อ กวาดตามองรอบๆ ห้องจนไปสะดุดกับลังกระดาษใบใหญ่ตรงปลายเตียงติดมุมห้อง มันดูไม่เข้ากับการตกแต่งในห้องอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างนั้นผมเลยลุกเดินไปดู ในนั้นมีถุงข้าวของอยู่มากมายและส่วนใหญ่น่าจะเป็นของแบรนด์

    “สนใจเหรอ” ตัวสะดุ้งโหยงตอนได้ยินเสียงใกล้ๆ จากด้านหลัง ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายเดินมาอยู่ใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว

    “เปล่าฮะ ผมแค่สงสัยว่าลังอะไร” ผมตอบอ้อมแอ้ม ก็จำได้ว่าเมื่อสามปีก่อนไม่มีลังแบบนี้

    เจ้าของลังเดินมายืนข้างๆ แล้วก้มหยิบถุงกระดาษขึ้นมาล้วงเอาเสื้อตัวหนึ่งยื่นให้ผม มันเป็นเสื้อสีดำสไตล์คล้ายๆ กับที่ผมชอบใส่

    “ของนาย”

    “ฮะ?” ผมรับมาแล้วเงยหน้ามองคนพูดงงๆ

    มาร์คฮยองก้มไปหยิบถุงเล็กๆ แล้วหยิบนาฬิกาออกมายื่นให้ “นี่ก็ของนาย”

    ผมมองนาฬิกาที่ถูกยื่นมาตรงหน้า งงแบบสุดๆ “ฮยองพูดอะไร ไม่ใช่ของผมสักหน่อย”

    “ของนายสิ ทั้งหมดนี่ของนายทั้งนั้น” อีกฝ่ายพูดจริงจัง

    “จะเป็นของผมได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยซื้อของพวกนี้”

    พี่ชายผมแดงกัดริมฝีปากล่าง เบนสายตามองพื้นเหมือนชั่งใจก่อนจะเลื่อนมาสบตาผม “ฉันเป็นคนซื้อเอง ซื้อให้นาย”

    “หา!” ผมอุทาน ใบหน้าในตอนนี้คงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

    “สามปี สามปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี่ของนาย” มาร์คฮยองกลับไปก้มหน้าพูดพึมพำๆ อยู่ในลำคอจนผมต้องเอียงตัวเข้าไปหาเพราะฟังไม่ถนัด

    “ฮยองว่าอะไรนะฮะ”

    แขนวางลงบนไหล่ผมแล้วเหนี่ยวเข้าหา ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะก้มลงมาพูดใกล้ๆ

    “ฉันซื้อของพวกนี้มาตลอดสามปี ตั้งใจจะให้นายแต่ไม่เคยกล้า ได้ยินหรือยัง” ประโยค ได้ยินหรือยัง ถามเกือบชิดหูจนผมตกใจกระเด้งตัวถอยหลังหนี มองหน้าเหวอ

    “ละ แล้ว แล้ว...” ติดอ่างขึ้นมากะทันหัน ผมมองลอกแลก หาที่โฟกัสสายตาไม่ถูก

    “แล้วทำไมต้องซื้อหรือแล้วทำไมถึงไม่ให้ นายอยากถามอันไหนล่ะ”

    “เอ่อ...”

    “เพราะพอฉันไปไหนก็อดคิดถึงนายขึ้นมาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยกล้าเอาไปให้สักที”

    “ผม ผมนึกได้ว่ามีเรื่องต้องทำ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาต้องก้มหน้าพูดลนลาน “ขะ ขอ ขอตัวก่อนนะฮะ” ละล่ำละลักพูดแล้วรีบเดินออกมา

    ผมกำเสื้อในมือเดินเลิ่กลั่กลงบันได หัวใจเต้นโครมๆ รู้สึกเหมือนกำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเมื่อวานถ้าตัวเองไม่ได้คิดมากจนประสาทไปเอง

    “เอ้าๆๆ มองทางบ้างไอ้ตัวเปี๊ยก จะชนฉันอยู่แล้ว!” เสียงโวยวายทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังเดินก้มหน้าอยู่

    “แจ็คสันฮยอง”

    “อะไร” เจ้าของชื่อก้าวถอยหลัง ทำหน้าหวาดระแวง “ทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไม่นะ ฉันปลอบคนไม่เก่งบอกเลย”


     

    “อะ มีอะไรว่ามา”

    ผมนั่งถือเสื้ออยู่ตรงกลางระหว่างแจ็คสันฮยองกับยองแจฮยองที่พร้อมใจกันจ้องมาเป็นสายตาเดียว

    “นายจะกินน้ำผักเพื่อสุขภาพของฉันก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้นะ จะได้ชุ่มคอ” ยองแจฮยองผายมือไปยังน้ำสีแปลกๆ ในแก้วทรงสูงที่เอามาเสิร์ฟให้ตั้งแต่ผมเข้ามา

    “ผมไม่รู้จะพูดยังไง” ผมทำเป็นไม่ได้ยินคำชวนของยองแจฮยอง ก้มหน้าตอบเสียงอ่อย

    “ก็พูดไอ้ที่คิดมาอยู่นั่นแหละ เป็นไร” แจ็คสันฮยองยกขามานั่งขัดสมาธิบนโซฟา กอดอกหันทั้งตัวมาหา

    “สมมตินะฮยอง สมมติว่าจู่ๆ เพื่อนฮยองเกิดมาชอบฮยองเกินเพื่อน...”

    “อ่า ไม่ต้องสมมติให้เสียเวลาหรอก”

    “อย่าดิวะยองแจ ให้น้องมันพูดไป”

    ผมเงยหน้ามองสองฮยอง ยองแจฮยองกลอกตา ในขณะที่แจ็คสันฮยองถลึงตาปราม

    “พูดต่อไปแบมแบม ไม่ต้องไปสนใจยองแจมัน”

    “แล้วจู่ๆ คนที่เหมือนพี่ชายก็ทำตัวแปลกๆ พูดแปลกๆ เหมือนกับว่า เหมือนกับ...”

    “คิดอะไรเกินเลย” แจ็คสันฮยองพูดต่อหน้าตาย

    “ใครอะฮยอง” ยองแจฮยองถามสวนขึ้นมาทันที

    “เหอะๆๆ” แต่อีกฝ่ายก็หัวเราะทั้งหน้าตายๆ แบบนั้น

    “อย่ามาเหอะๆ ได้ปะ!” หมอนอิงลอยข้ามหัวผมเข้าเต็มหน้าคนหัวเราะ

    “ไอ้ยองแจ!

    “ฮยอง!” ผมลุกขึ้นยืน ตะโกนหน้าบึ้ง “ถ้าจะทะเลาะกันผมกลับแล้ว!

    “เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งไป”

    “เออๆ อยู่ก่อนๆ พวกฉันล้อเล่นเฉยๆ ไม่อยากให้เครียด มานั่งลงๆ”

    สองฮยองรีบคว้าแขนดึงให้กลับมานั่ง

    “ฮยอง ผมไม่ตลกนะ” ผมพูดหน้าง้ำก่อนจะนั่งลงเหมือนเดิม

    “ขอโทษๆ อะต่อๆ”

    ผมถอนหายใจเฮือก ไม่รู้คิดถูกคิดผิดที่ปรึกษากับสองคนนี้

    “บางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ เวลาไปไหนมาไหนก็คิดถึงน้อง อยากซื้อของมาฝาก เป็นเรื่องธรรมดานี่นะ”

    “ไม่อะ ถ้าไม่ไปไกลๆ ฉันไม่เคยคิดอยากซื้ออะไรมาฝากพวกนายเลย” แจ็คสันฮยองพูดน้ำเสียงเฉยเมย

    ผมหันหน้าไปมองหน้าอึ้งๆ “นี่ผมอุตส่าห์ซื้อของจากเมืองไทยมาฝาก ฮยองพูดงี้ได้ไงอะ”

    “แบมแบม อยากให้ฉันคิดบัญชีกับนายไหม” ฮยองตัวเกรียนทำหน้าเหี้ยม “ไอ้ผ้านั่นน่ะ อะไรนะ ที่นายบอกให้ฉันเอาไปพันคอ ผ้าอะไรนะยองแจ ชื่ออะไรนะ”

    “ผ้าขาวม้า” ยองแจฮยองพูดแบบไม่แน่ใจนัก

    “เออ ผ้าขาวม้าปักชื่อแจ็คสัน คุณฮยองหัวเราะแทบบ้าตอนเห็นฉันเอาผ้านั่นไปพันคอ อย่าให้เริ่มนะ อย่านะ” แจ็คสันฮยองชี้หน้า

    ผมรีบเอนหนีไปทางเจ้าของห้องอีกคนหนึ่ง ยิ้มแหยๆ ก็แค่แกล้งเล่นนิดเดียวเอง แต่มันก็เก๋ดีไม่ใช่เหรอ

    “ประเทศนายคงไม่มีวัฒนธรรมเอาผ้ากันเปื้อนไปทำอะไร นอกจากใส่เข้าครัวใช่ไหม” ยองแจฮยองถาม ดูเหมือนคนได้ผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนไทยๆ ปักชื่อตัวเองเป็นภาษาไทยจะเริ่มไม่ไว้ใจผม

    “เดี๋ยวสิ ทำไมมันกลายเป็นเรื่องนี้ไปได้ล่ะ ผมไม่ได้จะพูดเรื่องของฝากสักหน่อย!

    “สรุปคือเพื่อนนายกับพี่นายเหมือนจะชอบนาย นายก็เลยลำบากใจ ถูกไหม” พ่อครัวประจำหอสรุปให้

    ผมหันไปพยักหน้ารัวๆ สมกับเป็นยองแจฮยอง สั้นๆ ตรงประเด็น

    “จริงๆ แล้วพี่ชายผมยังไม่แน่ใจ” ผมพูด บางทีผมอาจจะเผลอเอาเรื่องมาร์คฮยองไปปนกับยูคยอม

    “เหอะๆๆ” แจ็คสันฮยองหัวเราะหน้าตายอีกแล้ว

    “แล้วนายคิดยังไงกับเพื่อนนายล่ะ”

    “ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหมอนั่นจะคิดกับผมแบบนี้” ผมก้มหน้าตอบ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยไม่รู้จะให้คำตอบยังไง

    “ไม่เคยคิดมาก่อนก็คิดซะสิ ฉันหมายถึงตอนนี้นายก็รู้แล้วนี่” ยองแจฮยองพูดก่อนจะถอนหายใจ “บางทีหมอนั่นอาจจะแค่อยากให้นายมองในแบบที่หมอนั่นเป็นสักที”

    “แค่อยากให้รู้ว่าชอบ” แจ็คสันฮยองเสริม “ไม่ใช่แบบเพื่อน แต่เป็นแบบคนรัก”

    ผมนิ่งเงียบ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วผมควรทำยังไง มองในแบบที่หมอนั่นเป็น หมายถึงยังไง พวกเราจะเปลี่ยนไปไหมแล้วผมจะสูญเสียยูคยอมคนเดิมไปหรือเปล่า

    “พวกที่มีโอกาสได้เลือกนี่มันน่าหมั่นไส้ชิบ”

    “เหอะๆๆ”




    ----------------------------------------------------------------------------------------TBC


    แบมแบมนี่บทจะโดนก็มาติดๆกันไม่ให้ได้พักหายใจเลย เอาล่ะ ไม่เคยคิดก็ต้องคิดบ้างแล้วแหล่ะ สบายกว่าชาวบ้านเค้ามาพักใหญ่ๆแล้ว ตอนหน้าแบมแบมอีกตอน เหมือนเห็นกรณีซ้อนทับกับดราม่ามาร์คเมื่อ 3 ปีก่อนนิดๆมั้ยคะ แบมแบมเหมือนเดิมเลยนิสัยไม่เปลี่ยนเลย


    ตอนหน้าพบกับแบมแบมอีกตอนค่ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×