ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #34 : ตอนที่ 33 เจ็ดข้อ (โดย ยูคยอม)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.76K
      38
      10 พ.ค. 61

    ตอนที่ 33

    เจ็ดข้อ โดย ยูคยอม


    ตอนนี้เรากำลังอยู่ในร้านหนังสือไม่ไกลจากโรงเรียนนัก ผมเป็นคนชวนแบมฮยองแวะเองเพราะจะซื้อรวมเล่มเรื่องที่ตามอ่านอยู่ หยิบการ์ตูนสองสามเล่มตามที่ตั้งใจไว้แล้วเดินอ้อมชั้นหนังสือมาอีกล็อกหนึ่ง ภาพคนตัวเล็กที่กำลังยืนอ่านการ์ตูนอย่างจดจ่อทำให้ผมเปลี่ยนใจยังไม่เดินไปหา หยุดยืนอยู่ข้างชั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้ากล้อง

    คลิก

    จังหวะที่กดถ่ายไม่รู้อะไรดลใจให้คนควรจะอ่านการ์ตูนอยู่หันขวับมา ผมอ้าปากน้อยๆ มองรูปแบมฮยองจ้องเขม็งที่ได้ ก่อนจะเงยหน้ามองตัวจริงแล้วยิ้มแห้งๆ เดินไปหา

    “โรคจิต” ริมฝีปากอิ่มพึมพำพอให้ได้ยินกันสองคน

    “ไม่ใช่สักหน่อย” ผมแย้งหน้ามุ่ย ปกติแล้วเวลาแบมฮยองจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยนี่นา ทำไมคราวนี้รู้ตัวได้ล่ะ

    ได้แล้วเหรอ”

    “อื้อ” ผมชูการ์ตูนในมือ “ฮยองจะเอาเรื่องนี้ด้วยไหม ผมจะได้เอาไปจ่ายทีเดียว”

    “เอาๆ ฝากด้วย” แบมฮยองรีบเอาการ์ตูนวางบนมือผมที่แบรอ “ถือซะว่าเป็นค่าเหนื่อยที่ฉันมากับนาย” พูดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่อย่างน่ารัก

    “คร้าบ ผมอะยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ผมยิ้มหวานแล้วหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มที่ว่าไปจ่ายเงิน

    “เอ๊ะนั่น อเล็กซ์กับโดฮีใช่ปะ” คนตัวเล็กชี้นิ้วไปทางชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินหัวเราะไปด้วยกัน หลังจากออกมาจากร้านหนังสือ

    “อื้อ” ผมมองตามแล้วพยักหน้า

    “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าจะคบกันจริงๆ ทะเลาะกันมาตลอดแท้ๆ เล่นเอาแปลกใจเลย”

    “แต่สำหรับอเล็กซ์ที่แอบชอบโดฮีมาตั้งแต่ประถม ผมว่ามันออกจะช้าไปด้วยซ้ำนะ”

    “เหจริงเหรอ” แบมฮยองหันมาถามตาโต “แล้วทำไมหมอนั่นเอาแต่หาเรื่องโดฮีมาตลอดล่ะ”

    “ไม่รู้สิ อาจจะเป็นวิธีแสดงความรักอย่างหนึ่งละมั้ง” ผมตอบแบบไม่แน่ใจนัก “จริงๆ แล้วผมว่าโดฮีต่างหากล่ะที่น่าแปลกใจ ผมคิดว่ายายนั่นชอบฮยองซะอีก เห็นตามติดเป็นแฟนคลับขนาดนั้น”

    “ชอบแค่เพราะน่ารัก ไม่ได้แปลว่าจะอยากคบเป็นแฟนด้วยนี่” คนมีแฟนคลับตอบหน้าตาเฉย เหมือนเป็นเรื่องปกติระหว่างที่เราเดินกันไปเรื่อยๆ “คนที่ชอบฉันส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นทั้งนั้น”

    “ไม่จริงอะ ผมเห็นมีคนมาขอคบกับฮยองตั้งหลายคน” ผมรีบแย้ง แบมฮยองน่ะเสน่ห์แรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

    “ก็บอกว่าส่วนใหญ่ไง แล้วอีกอย่างมาขอคบแค่เพราะหน้าตาน่ารักนี่มันก็นะ” คนเสน่ห์แรงตอบกระอักกระอ่วน

    “แล้วแบบไหนถึงจะขอคบกับฮยองได้ล่ะ”

    “รอให้ฉันเป็นฝ่ายไปขอคบก็ได้มั้ง” แบมฮยองพูดพลางหัวเราะสดใส

    “ผมว่าการจะไปขอใครสักคนคบเป็นแฟน คงต้องอาศัยความกล้ามากๆ เลยนะ น่านับถือออก”

    “นั่นสินะ”

    “ถ้าเป็นผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง”

    “นายคงวิ่งปิดหน้าปิดตาร้องโหยหวนออกมาก่อนจะได้พูดอะไรแหง”

    “ง่ะ แบมฮยองใจร้าย”

    “ฮ่าๆๆ ก็มันจริงนี่ นายน่ะเลิกขี้อายได้แล้ว”

    “งั้นถ้าผมอยากจะขอใครสักคนเป็นแฟน ผมควรทำยังไงล่ะ ฮยองมีวิธีดีๆ ไหม”

    คนถูกถามถึงวิธีดีๆ หยุดเดินหันมามองหน้าผม “นายชอบใครอยู่เหรอ” ถามจริงจัง

    “เอ๊ะ เปล่า ไม่ใช่นะ” ผมรีบยกมือโบกปฏิเสธ

    ตากลมหรี่ลง “ยูคยอม ทำไมนายไม่เห็นเคยบอกฉันเรื่องนี้เลย”

    “เปล่าๆๆ ผมเปล่า ไม่ใช่นะ แค่ถามเฉยๆ” ผมทั้งส่ายหัวทั้งโบกมือ โดยไม่รู้ว่าหน้าตัวเองเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งแบมฮยองยืนจ้องเขม็งโดยไม่พูดอะไรผมยิ่งทำตัวไม่ถูก “ผมแค่อยากรู้เฉยๆ จริงๆ นะ” ผมเอามือไปวางบนไหล่เล็ก แต่ก็ถูกเจ้าตัวเบี่ยงออก

    “งั้นข้อแรก นายก็ต้องเริ่มจากยิ้มให้เธอคนนั้นก่อน” แบมฮยองหันกลับไปเดินนำหน้า แล้วพูดเสียงเรียบ “ข้อสอง สังเกตแล้วหาเรื่องชมเธอ เช่นนาฬิกาเรือนนี้ซื้อมาใหม่เหรอ น่ารักเข้ากับเธอดีนะ”

    “แบบนั้นมันวิธีเซอร์วิซแฟนคลับของฮยองไม่ใช่หรือไง” ผมถามหงอยๆ เดินตามคอตก ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนโดนโกรธ

    “ข้อสาม ช่วยเหลือและดูแลเธอ ให้เธอรู้ว่านายใส่ใจ” คนเดินนำหน้าพูดต่อไป ทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมขัด “ข้อสี่ หาของขวัญที่เธออยากได้ไปให้ ข้อห้า ชวนไปเดต ข้อหก พูดคำหวานๆ กับเธอ แล้วถ้ามันเวิร์คก็ไปข้อเจ็ด สารภาพรักซะ”

    ผมมองคนตัวเล็กที่เดินจับสายกระเป๋าสะพายข้างอยู่ด้านหน้าทึ่งๆ

    “ฮยองรู้วิธีหมดนี่ได้ยังไง”

    ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา

    “แบมฮยอง” ผมรีบวิ่งไปดักหน้า แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าโกรธๆ กับตากลมๆ ที่ตวัดมองขึ้นมาหา “ผมขอโทษ ถ้าทำให้โกรธ” พูดเสียงหงอยๆ

    “เราเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่นายกลับไม่เคยบอกฉันสักคำว่าชอบใครอยู่”

    “เอ๋ ผมบอกไปแล้วนี่ว่าแค่อยากรู้เฉยๆ ผมไม่ได้ชอบใครสักหน่อย”

    “โกหก นายไม่เคยโกหก เวลานายโกหกมันเลยไม่เนียนสุดๆ เลยรู้ไว้ด้วย” ร่างเล็กเอาไหล่กระแทกอกผมให้พ้นทาง แล้วเดินหนีไปโดยไม่พูดอะไรอีก โดนโกรธซะแล้ว...

    ผมเดินคอตกตามไป แบมฮยองไม่พูดกับผมอีกเลย ขนาดตอนนั่งรถประจำทางข้างกันก็เอาแต่หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ผมนั่งกอดกระเป๋าเป้ของตัวเอง เหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะไม่รู้จะง้อยังไง บังเอิญเห็นพวงกุญแจตุ๊กตาเด็กผู้ชายที่ห้อยกับกระเป๋าเลยนึกได้ พวงกุญแจอันนี้เป็นของฝากจากเมืองไทยของแบมฮยอง มันพิเศษตรงที่ปักชื่อผมเป็นภาษาไทยไว้ คนทำมาฝากบอกว่าพอเห็นเจ้าตัวนี้ก็นึกถึงผมขึ้นมาทันที

    ผมแกะพวงกุญแจออกอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ จับตุ๊กตายื่นไปตรงหน้าคนที่กำลังมองไปนอกหน้าต่าง

    “สวัสดีครับ” พูดแล้วขยับตุ๊กตาในมือไปด้วย พอเห็นว่าดึงดูดตากลมๆ นั่นให้เหล่มองมาได้ ผมขยับตัวหันไปหาแล้วพูดต่อ “ผมชื่อยูคยอม คุณชื่ออะไรครับ”

    ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ไหล่ผมตกไปนิดหนึ่งก่อนจะยืดขึ้นมาใหม่

    “ตอนนี้ผมกำลังเสียใจ เพราะโดนโกรธแล้วไม่รู้จะทำยังไงให้เขาหาย” จับหัวตุ๊กตาให้ก้มลงพูดเสียงเศร้า “ผมไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องอะไรทั้งนั้นนะ”

    “แล้วทำไมนายถึงไม่บอกล่ะ” แบมฮยองพูดกับตุ๊กตา “ทั้งๆ ที่ฉันพูดเสมอว่านายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันแท้ๆ ตกลงนายชอบใครอยู่”

    “อ่า ชอบฮยองไง”

    “ไม่ตลก คิมยูคยอม”

    ผมร้องไห้เลยดีไหมนะ ร้องไห้มันตรงนี้แหละ

    คนโดนบอกชอบไปซึ่งๆ หน้าแต่กลับไม่รู้ตัวเหล่มองผมที่หูลู่หางตกไปอย่างสมบูรณ์หลายรอบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ก็ได้ๆ บางทีนายอาจจะยังไม่พร้อมจะให้ใครรู้ใช่ไหม”

    ผมพร้อมมาตั้งนานแล้ว!!!

    “อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นสิ ฉันไม่ได้โกรธนายจริงๆ หรอก” แบมฮยองหันมากอดผมหลวมๆ ก่อนจะปล่อยแล้วยิ้ม “ไว้นายพร้อมเมื่อไร บอกฉันเป็นคนแรก สัญญานะ” พูดแล้วจับมือผมมาเกี่ยวก้อยสัญญาเองเสร็จสรรพ ทำหน้าเข้าอกเข้าใจผมที่เอาพวงกุญแจกลับไปติดกับกระเป๋าแบบหดหู่สุดๆ ประจวบเหมาะรถประจำทางจอดป้ายที่ต้องลงพอดี พวกเราที่มัวแต่คุยเลยต้องพากันรีบลงแทบไม่ทัน


    “ยูคยอม นายจะทำหน้าสลดไปถึงไหน ฉันเหมือนเห็นหูกับหางนายงอกออกมาจริงๆ แล้วนะเจ้าลูกหมายักษ์” แบมฮยองผลักไหล่ผมจนเซ

    “แบมฮยองใจร้าย” ผมหันไปพูดเสียงตัดพ้อ

    “ฉันไปใจร้ายกับนายตอนไหน”

    “ทุกตอนเลย”

    “ฉันอุตส่าห์ยกโทษให้แล้ว อย่ามาทำตัวพิลึกหน่อยเลย ช่วงนี้ในหอยิ่งมีแต่คนทำตัวแปลกๆ อยู่”

    “ใครอะ” ผมถาม จริงๆ ก็ไม่เคยเห็นคนในหอปกติสักคน

    “ยองแจฮยองไง จู่ๆ ก็ลุกมาทำทั้งเมนูเพื่อสุขภาพ ทั้งขนมอะไรไม่รู้เต็มไปหมด” แบมฮยองพูด ทำท่าสะพรึงไปด้วย

    “อ่า ใช่ๆ ล่าสุดคุกกี้สมุนไพร จับสองอย่างมาฟิวชั่นกันเรียบร้อย” ถึงรสชาตจะโอเคก็เถอะ “จะว่าไปเจบีฮยองก็ดูนิสัยดีขึ้นนะ ปกติเที่ยวแซวคนอื่นไปทั่ว เดี๋ยวนี้สงบปากสงบคำ แถมยังคอยปรามเวลาแจ็คสันฮยองเกรียนๆ อีก”

    “เจบีฮยองที่ไม่แหย่เขาไปทั่วนี่แปลกสุดๆ มาร์คฮยองเองก็แปลก”

    “ใช่เลย อันนี้ผมเห็นด้วยสุดๆ” ผมเอากำปั้นทุบมือตัวเอ งไม่ทันสังเกตว่าคนตัวเล็กหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหลังจากพูดจบ “อยู่ดีๆ กลายเป็นคนขี้แกล้งไปตั้งแต่เมื่อไร น่ากลัวชะมัด เมื่อก่อนออกจะเป็นพี่ชายอบอุ่นที่เอาแต่ยิ้มตลอดเวลาแท้ๆ”

    “นั่นสิ เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย พูดแปลกๆ ทำอะไรแปลกๆ”

    “แปลกยังไงเหรอ” 

    “ก็แบบ...” ตากลมเหล่มองผมเหมือนไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะพูดดีไหม พอเห็นผมรอคำตอบอยู่ก็พูดโดยไม่มองหน้า “แบบ...เอาขนมมาวางบนมือฉันแล้วก้มมากิน เอาปากกินเลยนะ พอกินเสร็จก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันงงไปหมด ตกใจสุดๆ เลย”

    ใจเหมือนหล่นวูบ ผมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของแบมฮยองลากเสียงถามแผ่ว “แล้วฮยอง...”

    “นายคิดว่าไงยูคยอม มาร์คฮยองเดินตกบันไดมาเหรอ หรือเสียสติ” เจ้าตัวหันเงยหน้ามาถาม

    ผมเบนสายตาหลบไปอีกทาง กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจก่อนจะทำเป็นหัวเราะแล้วหันกลับไปมองหน้าคนถาม “สงสัยตอนปีใหม่ตกบันไดมาแหง ถึงได้เที่ยวแกล้งคนอื่นเขาไปทั่ว แกล้งขู่ผมแล้วยังไปแกล้งฮยองแบบนั้นอีก ฮะๆๆ”

    แบมฮยองทำหน้าเข้าใจขึ้นมา “ปีศาจของแท้เลย” พูดเสียงเคืองๆ ก่อนจะส่ายหน้า

    ผมหุบยิ้ม มือกระชับจับสายกระเป๋าเป้ แย่ชะมัด ผมนี่มันแย่จริงๆ



     

    “พิซซ่าเหรอ!” แบมฮยองตะโกนตาลุกวาว ตอนเดินเข้าห้องแจ็คสันฮยองมาแล้วเจอกล่องพิซซ่าวางอยู่เต็มโต๊ะ

    “เออดิ ฉันนี่แหละคนสั่ง” แจ็คสันฮยองหันมาพูดยืดๆ มียองแจฮยองนั่งทะมึนอยู่ข้างๆ “ใครจะไปทนกินไอ้อาหารเพื่อสุขภาพนั่นได้ทุกวันวะ”

    “แล้วมันมีปัญหาตรงไหนไม่ทราบ” คนนั่งกอดอกทะมึนถามหน้าหงิก

    “มีเด่ะ เห็นหน้าจูเนียร์ไหม มันกินจนหน้าจะเป็นแครอทอยู่แล้ว”

    “คนอื่นมีเยอะแยะ ทำไมต้องมาเทียบกับฉัน!” จูเนียร์ฮยองที่เพิ่งเดินมาจากในครัวว่าเข้าให้

    “นั่นๆ หน้ามันเป็นสีส้มแล้วเห็นไหม” ขวดซอสมะเขือเทศในมือคุณแม่ของหอเกือบลอยมากระแทกหน้าคนพูด ดีที่มาร์คฮยองคว้าจับไว้ทัน “แล้วดูไอ้คู่หูเสาไฟฟ้าหลักกิโล พวกนั้นมันวัยกำลังโต ถ้าแบมแบมมันไม่โตขึ้นมาใครรับผิดชอบ”

    “ฮยองควรห่วงตัวเองก่อนไหมว่าจะไม่โต” ยองแจฮยองพูดเสียงเชือดเฉือน

    “ไอ้เด็กเวรนี่ ปั๊ดฟาดด้วยพิซซ่า” แจ็คสันฮยองทำเป็นเงื้อมือ แต่อีกฝ่ายแค่เบ้ปากยักไหล่ ไม่กลัวเลยสักนิด “หัวไอ้ยูคยอมมันจะเป็นมะเขือเทศอยู่รอมร่อแล้วไม่เห็นเหรอ”

    “หะ หัวผมเหรอ” ผมเอามือลูบหัวตัวเองหันไปมองหน้าคนพูดงงๆ

    “พอได้แล้วน่า นายจะระรานให้ครบทั้งหอเลยไหม มานั่งกินดีๆ ได้แล้ว” เจบีฮยองที่นั่งเงียบๆ อยู่หัวโต๊ะตัดบท

    “นายจะจริงจังอะไรนักหนากับเรื่องอ้วนไม่อ้วนวะยองแจ จะหน้าบานตัวบวมยังไงฉันก็รับได้ ฉันไม่เกลียดนายหรอก คนอย่างฉันไม่ได้คบคนที่หน้าตาเว้ย” แจ็คสันฮยองวางมาดพี่ชายที่แสนดีตบไหล่รูมเมท แม้คำพูดจะสวนทาง

    “ฮยองว่าผมขี้เหร่เหรอ” ยองแจฮยองกัดฟันถาม

    “แล้วนายจะพูดขึ้นมาเองทำไมล่ะนั่น” จูเนียร์ฮยองตบหน้าผากตัวเอง ทำท่าเหมือนจะเป็นลม

    “งั้นผมกินเลยนะ หน้าอะไรบ้างเนี่ย” ในที่นี้ยังมีคนไม่สนบรรยากาศอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร ร่างเล็กกระโดดแผล็วไปยืนข้างโต๊ะ เปิดกล่องพิซซ่าหยิบมากัดเคี้ยวแก้มตุ่ย “อร่อย”

    “เฮ้ยฉันเป็นคนสั่งไหงนายประเดิมวะ” แจ็คสันฮยองรีบปรี่เข้ามาหยิบ หลังจากนั้นทุกคนก็เหมือนได้สัญญาณแล้วเริ่มลงมือกินพิซซ่ากัน แม้แต่ยองแจฮยองเองก็ร่วมวงด้วย

    “ฮยองหยิบโคล่าให้ผมหน่อย” ผมพูดขอโดยไม่ได้ระบุชื่อ

    หมับ คนสองคนคว้าจับขวดโคล่าพร้อมกันจากคนละฝั่ง ยองแจฮยองหันไปมองเจบีฮยองตาโต สีหน้าช็อคสุดๆ กระทั่งตอนที่เจบีฮยองปล่อยมือ แล้วพยักเพยิดหน้าให้ยองแจฮยองเป็นคนหยิบไป เจ้าตัวยังนั่งนิ่งจับขวดโคล่าไว้อยู่เลย

    “ฮยอง” ผมเรียกย้ำ “โคล่าหน่อย”

    ตอนนั้นแหละที่เหมือนมกโพฮยองเพิ่งได้สติ รีบเอาโคล่าส่งให้ผมด้วยท่าทีลนลานแล้วนั่งทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ จนกระทั่งโดนแจ็คสันฮยองผลักหัวแรงๆ จนเกือบตกเก้าอี้ ถึงได้หันมาด่าเกรียนฮยองแล้วกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

    “ฮยองไม่สบายเหรอ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

    “หุบปากไปเลย” แล้วนี่คือสิ่งที่ได้กลับมาจากยองแจฮยอง ในหอนี้ไม่มีใครใจดีจริงๆ สักคน

    ผมเลิกสนใจมกโพฮยองที่ดูอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แล้วหันไปมองมาร์คฮยองซึ่งนั่งถัดจากแบมฮยอง ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาในอก ยิ่งพอเห็นหน้าตาไม่รู้เรื่องของพี่ใหญ่แล้ว ผมเหมือนทำความผิดร้ายแรงมายังไงก็ไม่รู้ ลุกขึ้นหยิบพิซซ่าเอื้อมไปวางใส่จานพี่ชายผมแดงเป็นการขอโทษ แล้วส่งยิ้มให้อย่างจริงใจแม้มาร์คฮยองจะมองงงๆ

    “ไหงเอาให้มาร์คฮยองแทนที่จะให้แบมแบมวะ ยูคยอม” แจ็คสันฮยองที่นั่งตรงข้ามถาม

    “ผมแค่อยากแสดงความรักต่อมาร์คฮยองบ้าง” ผมตอบส่งๆ แล้วกินต่อ ไม่คิดว่าแจ็คสันฮยองจะลุกพรวดเอื้อมไปหยิบพิซซ่ามาสองชิ้น แล้ววางลงบนจานมาร์คฮยองทับชิ้นของผมซะงั้น

    เจ้าของจานมองพิซซ่าซึ่งวางซ้อนกันอยู่สี่ชิ้นรวมของเก่า ก่อนจะเงยหน้ามองแจ็คสันฮยองที่กลับไปนั่งกินต่อเหมือนทำภารกิจสำเร็จแล้วแบบสุดเซ็ง มาร์คฮยองมองผมสลับกับแจ็คสันฮยองไปมา พอเห็นว่าพวกผมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอีก ก็ปักมีดลงพิซซ่าสี่ชิ้นนั่นแล้วหั่นแบบโกรธๆ ก่อนจะจิ้มเข้าปากทั้งหน้าเคืองๆ


     

    “อิ่มสุดๆ เลย” แบมฮยองเดินลูบท้องขึ้นห้องมาพร้อมผม

    “อย่าลืมอาบน้ำ ห้ามหลับก่อนนะ” ผมหันไปเตือน

    “โอเคๆ ไม่ลืมหรอก” มองตาปรือๆ ที่เหมือนเริ่มง่วงแล้วไม่ไว้ใจเลย

    “แบมฮยอง” ผมเรียกคนเปิดประตูกำลังจะเดินเข้าห้องตัวเอง พออีกฝ่ายหันมาก็ส่งยิ้มกว้างให้ ยิ้มจนตาหยี

    “อะไร”

    ผมไม่ตอบอะไร ฉีกยิ้มกว้างอีกรอบให้ใบหน้างงงวยนั่น แล้วเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง



     

    เช้าวันต่อมา

    “นายออกมาก่อนฉันอีกละ” คำทักทายแบบฉบับแบมฮยองกับหน้างอนิดๆ ทำให้ผมที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วอมยิ้ม

    “ก็ไม่ได้ต้องทำผมนานๆ เหมือนใครแถวนี้นี่”

    “แซวเหรอ” กำปั้นทุบปั้กเข้าที่ท้อง ส่วนคนประทุษร้ายผมเดินตัวปลิวนำหน้าไป

    “เจ็บนะ”

    “สม”

    “แต่วันนี้ฮยองดูเท่นะ”

    “จริงเหรอ” ร่างเล็กหมุนตัวหันขวับกลับมา ถามตาลุกวาว “ฉันดูเท่จริงๆ เหรอ”

    “หรือเป็นเพราะทรงผมนะ” ผมเอียงคอมอง

    “จริงๆ วันนี้ก็ลองเซ็ตให้มันยุ่งๆ หน่อย” แบมฮยองพูดอายๆ เอามือจัดผมหน้าม้าไปด้วย

    ผมเดินเข้าใกล้ “ดูดีจริงๆ นะเนี่ย” เอามือจับปอยผมด้านหน้าของคนที่ยืนยิ้มถูกใจอยู่ ก้มหน้าลงจนปลายจมูกเกือบจะแตะผมนุ่มอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้าถอยออกจากผมไปแทบจะทันที

    “ทำอะไรของนายน่ะ”

    “มันนุ่มดีผมเลยเผลอไปหน่อย” ผมยิ้มแห้งๆ

    แบมฮยองจ้องหน้าแล้วหันหลังให้ เดินนำหน้าไปโดยที่ไม่พูดอะไร

    ผมยืนอมลมจนแก้มพอง ไหงช่วงนี้ระวังตัวขึ้นกว่าปกติ เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย

     


    “เล่มนี้ใช่ไหม” ผมยื่นหนังสือให้เพื่อนตัวเล็กที่กำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะในห้องสมุด

    “เพิ่งเปิดเทอมเดือนแรก ทำไมต้องรีบสั่งรายงานด้วยเนี่ย” แบมฮยองโอดครวญ กลิ้งเกลือกไปมาบนโต๊ะ “อยากกลับบ้าน”

    “เพิ่งเที่ยงเอง จะกลับได้ไง” ผมนั่งลงตรงข้าม เอาหนังสือมาเปิดดู

    “ฉันหมายถึงบ้านที่เมืองไทย”

    “นั่นฮยองก็เพิ่งกลับไปเองนี่”

    “เพราะเพิ่งกลับไปนี่แหละถึงได้คิดถึงแบบนี้ อยากกินผัดไทย อยากไปภูเก็ต ไปทะเล ไปน้ำตก ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึง อยากไปทุ่งดอกทานตะวัน” เหมือนกลายร่างเป็นเด็กเล็กๆ แบมฮยองกลิ้งไปมาทำหน้าตางอแง มือก็เขียนชื่อสถานที่ลงไปในสมุดเป็นภาษาอังกฤษ

    “แต่ตอนนี้เราอยู่เกาหลีนะ”

    คนงอแงเงยหน้ามองผมที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ แล้วเมินไปทางอื่น ง่ะ...ผมทำอะไรผิดไปอีกแล้วสินะ

    เย็นวันนั้นผมแอบเอาสมุดแบมฮยองกลับมาที่ห้องด้วย นั่งหาข้อมูลสถานที่พวกนั้นในอินเตอร์เน็ตแล้วลงมือวาดรูประบายสีลงกระดาษทีละแผ่น ทำไปเรื่อยๆ กว่าจะเสร็จก็วันเสาร์พอดี


     

    “นายหายไปไหนมา ฉันโทรไปก็ไม่รับ” แบมฮยองถามทันทีที่เปิดประตูห้องมา แล้วเห็นผมยืนอยู่

    “คิดว่าฮยองอยู่กับพวกแจ็คสันฮยองซะอีก” ผมพูดยิ้มๆ มือสองข้างถือของซ่อนไว้ข้างหลัง

    “ตอนแรกก็อยู่นั่นแหละ ฉันกลับมาทำรายงานของเราต่อ” หน้าหวานงอง้ำเมื่อพูดถึงรายงาน บ่งบอกอาการไม่อยากทำสุดๆ

    “ผมมีของจะให้ด้วย” ผมค่อยๆ เอาของที่ซ่อนอยู่ยื่นให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง

    “อะไรอะ ผัดไทยเหรอ” คนรับเงยมามองตาโต “นายไปซื้อมาจากไหนเนี่ย แล้วนี่อะไร อย่าบอกว่าสมุดภาพคริสต์มาสฮาเฮของยองแจฮยองนะ”

    “ใช่ที่ไหน ฮยองดูดีๆ สิ” ผมร้องท้วง ถึงจะได้แรงบันดาลใจมากจากสมุดภาพคริสต์มาสฮาเฮจริงๆ ก็เถอะ

    แบมฮยองยื่นกล่องผัดไทยคืนมาให้แล้วเปิดสมุดภาพดู หน้าแรกเป็นรูปวาดระบายสีทะเลภูเก็ต ผมเขียนคำว่าภูเก็ตไว้ข้างล่างด้วยกลัวจะดูไม่ออก หน้าต่อไปคือน้ำตก ถัดไปเป็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึง แล้วปิดท้ายด้วยทุ่งดอกทานตะวัน

    “ผมพาฮยองไปทั้งหมดนี่ไม่ได้ตอนนี้ เลยยกมาให้ที่เกาหลีแทน ถึงจะไม่ค่อยเหมือนเท่าไรนัก แหะๆ” ยกมือขึ้นเกาหัวเก้อๆ ก็ฝีมือด้านศิลปะของผมมันไม่ได้ดีเท่าไรนี่

    “นายจำที่ฉันพูดได้ทั้งหมดเลยเหรอ” แบมฮยองถามอึ้งๆ มือเปิดย้อนดูกลับไปกลับมา

    “ผมเขียนชื่อกำกับไว้ด้วย ถ้าฮยองดูไม่ออก”

    ตากลมมองขึ้นมาก่อนจะโค้งเป็นสระอิ “ขอบคุณนะ ยูคยอม ฉันชอบมากๆ เลย” รอยยิ้มกว้างจากคนตรงหน้าคือสิ่งตอบแทนที่มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทั้งยังทำใจผมเต้นตึกตักจนต้องเลี่ยงมองไปทางอื่น

    “งั้นไปดูหนังกันไหม”

    “ตอนนี้เหรอ”

    “อื้อ”

    “เดี๋ยวๆ ทำไมปุบปับนักล่ะ บอกคนอื่นยัง”

    “บอกทำไม ไปแค่เราสองคนก็พอ”

    “อ้าว ทำไมล่ะ เดี๋ยวฮยองคนอื่นๆ ก็น้อยใจอีก”

    “ไม่เป็นไรหรอก ผมบอกพวกฮยองไว้แล้ว ไปกับผมนะแบมฮยอง นะๆๆ”

    “มีเรื่องที่นายอยากดูเหรอ”

    “อื้อ ไปด้วยกันนะ น้า~

    “ก็ได้ แต่ฉันขอเปลี่ยนชุดก่อน” คำว่าขอเปลี่ยนชุดของแบมฮยอง ทำให้จากที่บอกว่าไปดูตอนนี้เลยกลายเป็นหลังจากอีกนั้นสองชั่วโมง

     

    “แจ็คสันฮยองขี้อิจฉา แค่นี้ต้องไล่พวกเราออกจากห้องด้วย” แบมฮยองนั่งกอดอกบ่นหน้างออยู่บนเตียงตัวเอง

    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่กลับมาจากดูหนังแล้วพวกเราก็ไปห้องสองฮยองตัวเกรียนตามปกติ แต่แบมฮยองดูจะเห่อหนังที่เพิ่งไปดูมาเกินไปหน่อย เอาแต่ร้องเพลงจากในหนังจนโดนแจ็คสันฮยองไล่ตะเพิดออกมา

    “เล็ทอิทโกๆ อยู่ได้ ไปดูหนังไม่ชวนพี่ชวนน้อง ไม่ต้องมาอยู่ห้องฉันเลยไป๊!

    นอกจากแจ็คสันฮยองแล้วยังโดนยองแจฮยองจิกกัด โดนมาร์คฮยองเหล่มองเงียบๆ จูเนียร์ฮยองไม่แสดงอาการใดๆ ส่วนเจบีฮยองคนที่ผมฝากให้ช่วย ก็พูดแค่ว่าฉันบอกให้ไปแล้วแค่นั้น ไม่รับผิดชอบอะไรเลย

    “จะโกรธจริงหรือเปล่านะ” ผมถาม เริ่มไม่แน่ใจว่าพวกฮยองจะงอนกันจริงๆ ไหม

    “ไม่หรอก” แบมฮยองส่ายหน้า ล้มตัวลงนอน “แค่แกล้งงอนกันไปงั้นแหละ พวกนั้นเองก็เคยไปไหนกันโดยที่ไม่ชวนเราเหมือนกัน มาร์คฮยองกับจูเนียร์ฮยองไปข้างนอกกันบ่อยๆ เจบีฮยองกับยองแจฮยองก็เคยไปกินข้าวด้วยกัน แจ็คสันฮยองเองยังเคยไปเที่ยวกับมาร์คฮยองสองคนเลย”

    ได้ยินแบบนั้นผมก็เบาใจ เดินไปจับเก้าอี้คอมหมุนเข้าหาเตียง แล้วนั่งลงมองร่างเล็กกลิ้งไปมา แบมฮยองคว้าหยิบสมุดภาพของผมมาเปิดดูอีกรอบ

    “ฉันชอบภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึง นายวาดสวยดี”

    “ก็ผมตั้งใจ”

    “อื้อ นายตั้งใจกับทุกอย่างเสมอ”

    ผมมองใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังดูสมุดภาพอยู่ ดวงตากลม จมูกโด่งกับริมฝีปากสีชมพูตามธรรมชาติ เกิดความรู้สึกร้อนวูบๆ ตอนกำลังจ้องมองริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ จนต้องกลืนน้ำลายแล้วรีบมองไปทางอื่น

    ตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีวันไหนที่ผมคิดว่าจะไม่ได้อยู่กับแบมฮยอง ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครมาพรากคนสำคัญคนนี้ไป ผมไม่รีบ ผมพอใจที่ได้อยู่ข้างๆ ได้อยู่ในที่ที่แบมฮยองจะหันกลับมาแล้วมองเห็นอยู่เสมอ ตราบใดที่ยังเป็นที่ต้องการ แค่นั้นก็เพียงพอ ผมคิดแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งได้เห็นท่าทีที่แบมฮยองสงสัยการกระทำของมาร์คฮยองวันนั้น สามปีมานี้ยังมีอีกคนที่เฝ้ามองอยู่ ระยะเวลาสามปีคงมากพอแล้วสำหรับการรอคอย มาร์คฮยองบอกว่าจะขอสู้อย่างเต็มกำลัง ถ้างั้นผมเองก็ควรจะทำอะไรบ้างสักที

    ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เป็นการเพิ่มความกล้าให้กับตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน

    “ผมตั้งใจกับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคนพิเศษ” คำพูดของผมดึงสายตาคนที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงให้หันมามอง “คนสำคัญที่แสนพิเศษ” พูดย้ำให้รู้ว่าไม่ใช่แค่คนสำคัญอย่างที่เป็นมา

    “แบมแบม”

    คำเรียกแตกต่างจากทุกครั้งทำให้เจ้าของชื่อลุกขึ้นนั่ง มองมา

    “ผมรักนาย”

    ใจเต้นรัวยิ่งกว่าตอนไหน ผมเห็นดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เห็นสีหน้าตกตะลึง เห็นคนตัวเล็กที่ชะงักนิ่ง

    “ข้อสุดท้ายยากที่สุดจริงๆ ด้วย" ผมก้มหน้าพูดอายๆ "ครบเจ็ดข้อแล้วนะ ที่เหลือก็อยู่ที่คำตอบของนายแล้ว” เงยหน้ามายิ้มให้จนตาหยี แล้วผมก็เดินออกจากห้องมา



    --------------------------------------------------------------------------TBC


    เอาล่ะสิ เจ้าลูกหมายักษ์ปล่อยของ แรงซะด้วย ตอนหน้ามาดูว่าคนกลางอย่างแบมแบมจะว่ายังไงโดนแอดแทคต่อๆกันเลย คราวนี้เจ้าเปี๊ยกที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับชาวบ้านเค้าคงได้มีเรื่องให้หนักใจบ้างแล้วล่ะ แต่ยังไม่หน่วงเท่าฝั่งสามเจแน่ๆล่ะ อย่าเพิ่งระแวงนะ ฮ่าๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×