ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #36 : ตอนที่ 35 ไม่เคยคิดก็คิดซะสิ 2 (โดย แบมแบม)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.68K
      36
      10 พ.ค. 61

    ตอนที่ 35

    ไม่เคยคิดก็คิดเสียสิ 2 โดย แบมแบม

     

    เฮ้อ ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน หลังได้คำปรึกษามาจากสองฮยองที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะพึ่งได้ ผมก็กลับมาห้องตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนคิดอยู่บนเตียง สายตาเผลอมองไปยังรูปถ่ายวันคริสต์มาสซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ รูปถ่ายที่ผมขอจากยูคยอมมาแค่รูปเดียวในวันนั้น หนึ่งในหลายรูปที่ทำให้เรื่องราวที่ผ่านมา รวมถึงคำพูดธรรมดาๆ ในทุกวันย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ

    เพราะผมชอบแบมฮยองที่สุดต่างหากล่ะ

    แล้วฮยองล่ะ ชอบผมที่สุดไหม

    ผมรักแบมฮยองที่สุดเลย~”

    ผมพูดจริงๆ นะ

    “รักนะ แบมมี่”

    “ชอบฮยองไง”

    “ผมรักแบมฮยอง...เหมือนเดิม เหมือนทุกปีที่ผ่านมา”

    เจ้าบ้ายูคยอม...

    คำพูดธรรมดาๆ ที่ผมไม่เคยใส่ใจ สิ่งที่หมอนั่นเพียรบอกมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ แต่เป็นตลอดมา ตลอดสามปีที่ผ่านมา ผมพลิกตัวนอนคว่ำ ฟุบหน้าลงกับหมอน ทำไมโง่อย่างนี้นะ ทั้งผมที่ไม่ยอมรับรู้อะไร แล้วก็ทั้งยูคยอมที่ไม่เคยหมดความพยายามเลย

    ถอนหายใจอีกเฮือกก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย ความจริงก็คือผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ชั่วโมงแล้ว เสื้อที่ถือติดมือมาจากห้องมาร์คฮยองก็ยังอยู่ข้างๆ

    “ฉันซื้อของพวกนี้มาตลอดสามปี ตั้งใจจะให้นายแต่ไม่เคยกล้า ได้ยินหรือยัง”

    ได้ยินแล้ว แต่ทำไมถึงเป็นตอนนี้ ทำไมต้องเก็บมันไว้นานขนาดนั้น ทำไมที่ผ่านมาไม่เคยให้ผมรับรู้เลย ฮยองต้องการอะไร ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีแล้วเหรอ ทั้งมาร์คฮยองและยูคยอม ถ้าผมจะต้องเผชิญกับอะไรเหมือนเมื่อสามปีก่อน ไม่เอาแล้วนะ ผมกลัว กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการสูญเสีย ถ้าทำอะไรไปแล้วต้องสูญเสียอะไรไปอีก ไม่เอานะ

    ลุกขึ้นนั่งในที่สุด ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาเมื่อไร แล้วลุกเดินออกมาจากห้องนอน หันมองรูปถ่ายที่ตั้งเรียงอยู่บนตู้ไม้สีเข้ม มองกวาดตั้งแต่รูปซ้ายสุดจนถึงขวาสุด ก่อนจะเบือนสายตาหนีแล้วเดินออกมาข้างนอก ผมคิดอะไรไม่ออก ให้อยู่คนเดียวก็คงฟุ้งซ่าน ลงไปหาสองฮยองตัวเกรียนคงดีกว่า

    กำลังจะเดินลงบันไดก็มีอันต้องหันกลับไปมอง เพราะประตูห้องที่อยู่ติดบันไดถูกเปิดออก จูเนียร์ฮยองเดินออกมาแล้วปิดประตูยืนเอาหลังพิงไว้ ผมเกือบจะร้องทักแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าคุณแม่ของหอยืนก้มหน้ากัดริมฝีปากเหมือนกำลังข่มกลั้นอะไรบางอย่าง แต่ก็แค่แป๊บเดียว เพราะเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นผม หน้าหวานใสนั่นก็ดูเหมือนจะตกใจแล้วปลี่ยนเป็นยิ้มละไมให้ในเวลาเสี้ยววินาที รวดเร็วจนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า ที่เหมือนเห็นฮยองคนนี้ตัวสั่น เพราะพยายามจะไม่ร้องไห้

    “จะไปห้องแจ็คสันเหรอ” ฮยองคนใจดีถามพลางเดินมาหา

    “อ่า ฮะ” ผมตอบแบบมึนๆ งงๆ ยังคงสับสนกับสถานการณ์เมื่อครู่นี้ “ฮยองจะไปด้วยกันไหม”

    “ไม่ล่ะ ฉันจะออกไปข้างนอก มีธุระนิดหน่อย”

    ผมพยักหน้ารับรู้แล้วเดินลงบันไดไปด้วยกัน ลอบมองใบหน้าของคนข้างกายก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ อีก ผมอาจจะฟุ้งซ่านจนเริ่มเห็นภาพหลอนแล้ว

    “งั้นไปก่อนนะ วันนี้ฉันไม่กลับมากินข้าวเย็น ฝากบอกคนอื่นๆ ด้วย” คนถูกสงสัยหันมายีหัวผมเบาๆ ยิ้มอ่อนโยนให้อย่างทุกทีก่อนจะเดินแยกออกไป

    ในห้องตัวเกรียนไม่มีใครอยู่ ไม่มีทั้งแจ็คสันฮยองและยองแจฮยองผมเลยเดินออกมาคืน หายไปไหนกันหมดนะ วันนี้พร้อมใจกันเก็บตัวไม่ก็ออกไปข้างนอกกันหรือไง ยืนเคว้งอยู่หน้าห้องพักหนึ่งผมก็เดินเลี้ยวเข้าทางเดินแคบๆ ที่อยู่ระหว่างห้องแจ็คสันฮยองกับห้องสำนักงาน มันเป็นทางเดินทะลุไปหลังหอตรงที่มีเครื่องซักผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ตั้งอยู่ ตั้งใจไปดูว่าถ้าเครื่องว่างจะได้ขนเสื้อผ้าตัวเองมาซักมันซะเลย ไหนๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว

    “แบบนี้ดีแล้วเหรอ” เสียงยองแจฮยองถามใครสักคน ทำให้ผมหยุดยืนก่อนถึงทางออก

    “อื้ม ดีแล้ว” เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาตกใจ ...ยูคยอม

    “ดีแล้วแต่หลบหน้าหมอนั่นเนี่ยนะ” ผมขยับตัวเอาหลังพิงกำแพงยืนฟัง

    “เปล่านะ ผมไม่ได้หลบ แต่แบมฮยองคงยังไม่อยากเจอผมตอนนี้ มันคงแปลกๆ ใช่ไหมล่ะ แล้วอีกอย่างเขาคงต้องการเวลา”

    “กลัวบ้างปะ” ยองแจฮยองถาม

    “กลัวสิฮยอง” เจ้าลูกหมายักษ์ตอบกลั้วหัวเราะ “ผมนึกว่าตัวเองจะเป็นลมไปแล้ว หลังจากพูดจบอะ”

    “นายนี่มันจริงๆ เลย บ้ากว่าที่ฉันคิดอีก ไม่คิดบ้างหรือไงว่าถ้าพูดไปแล้วถูกปฏิเสธขึ้นมาจะทำยังไง ถ้าเกิดถูกบอกให้เลิก...เลิกชอบ” เสียงยองแจฮยองขาดหายไป

    เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่ยูคยอมจะตอบ

    “สถานการณ์มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าผมไม่พูดตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดหรือเปล่า ไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยผมก็ได้พูดออกไป”

    “นั่นสินะ อย่างน้อยก็ได้พูดออกไป”

    “อะไรฮยอง อย่าทำหน้างั้นดิ ฮยองก็พูดออกไปบ้างดีไหมล่ะ อ่า แต่ฮยองยังไม่ต้องรีบก็ได้นี่เนอะ ไม่เหมือนผม”

    ยองแจฮยองไม่ได้ตอบอะไร ผมเองก็ยืนพิงกำแพงคิดอยู่เงียบๆ ยองแจฮยองก็มีคนที่ชอบอยู่เหรอ แล้วทำไมยูคยอมถึงบอกว่าสถานการณ์ไม่เหมือนเดิม

    “แล้วถ้าหมอนั่นปฏิเสธล่ะ นายรับได้ไหม” คำถามจากยองแจฮยองที่เงียบไปนาน ทำให้ผมถึงกับหันขวับไปทางต้นเสียง

    ยูคยอมไม่ได้ตอบ อันที่จริงคราวนี้เกิดความเงียบพักใหญ่จนได้ยินแค่เสียงเครื่องซักผ้าที่ร้องบอกว่าทำงานเสร็จแล้ว ผมกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรจากเจ้าลูกหมายักษ์ สุดท้ายกลับเป็นเสียงยองแจฮยองที่พูดขึ้นมาแทน

    “นั่นสินะ ฉันไม่น่าถามเลย เดี๋ยวนะ ทำไมมีเสื้อแจ็คสันฮยองด้วย ฉันหยิบเสื้อมันดูฮยองติดมาด้วยเหรอเนี่ย!

    “ใจดีจังเลยนะฮยอง”

    “ใจดีกับผีดิ กลับไปต้องคิดค่าซัก ฮยองไร้สตินั่นถอดเหวี่ยงไปทั่ว!

    ผมค่อยๆ เดินกลับมาด้านหน้าของหอ นึกสงสัยว่ายูคยอมตอบว่าอะไร หรือบางทีหมอนั่นอาจจะตอบโดยไม่ได้ใช้คำพูด เดินล่องลอยเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างจนในที่สุดก็กลับมาที่ห้องตัวเองเหมือนเดิม ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่หน้าห้องตอนผมไปถึงทำเอาชะงักวิญญาณกลับเข้าร่างกะทันหัน

    “ฉันนึกว่านายอยู่ห้องซะอีก” มาร์คฮยองหันมาถามกึ่งแปลกใจ

    “ผม เอ่อ ไปข้างล่างมา” ตอบพร้อมกับชี้นิ้วบอกไปด้วย

    “นายลืมนี่ไว้” โทรศัพท์ที่ถูกยึดไปตอนเช้าถูกยื่นให้ แต่พอผมรับมาเจ้าตัวกลับไม่ยอมปล่อยจนผมต้องเงยหน้ามอง “นายโอเคนะ” มาร์คฮยองถาม สายตาห่วงใย

    ผมไม่โอเค อยากตอบแบบนั้น แต่พูดไม่ออกเลยได้แค่พยักหน้า

    “ของพวกนั้น ถ้านายไม่ต้องการ...” พี่ชายตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเสหลบ “...ก็ไม่เป็นไร”

    “ทำไมฮยองถึงเอาแต่เก็บไว้ ทำไมถึงไม่กล้าให้” ผมตัดสินใจถาม

    “เพราะฉันไม่มีสิทธิ์”

    “แล้วตอนนี้”

    “...”

    “...”

    “ฉัน...หวังว่าจะมีสิทธิ์”

    ผมค่อยๆ ดึงโทรศัพท์ออกจากมือมาร์คฮยองแล้วเปิดประตูเข้าห้องไปโดยที่ไม่พูดอะไร เก็บตัวอยู่ในนั้นทั้งวัน กระทั่งตอนเย็นก็ไม่ลงไป ไม่ได้บอกทุกคนเรื่องที่จูเนียร์ฮยองฝากไว้ด้วย กลางดึกผมส่งข้อความไปหายูคยอมว่าไม่ค่อยสบายพรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียน ฝากลาด้วย แล้วก็เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่หมอนั่นไม่ได้ส่งข้อความกลับมาอย่างทุกที

     

    เช้าวันจันทร์ผมถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ดังลั่นห้อง ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะนอนตื่นสายๆ มือคว้าเปะปะหยิบโทรศัพท์มากดรับเสียงงัวเงีย

    “โหล”

    “ยังไม่ตื่นอีก ไม่ต้องไปโรงเรียนเหรอวันนี้” ภาษาไทยจากปลายสายเหมือนกดโดนสวิตช์ตื่นอัตโนมัติ

    “พี่คุณ!” สะดุ้งลุกพรวด เอาโทรศัพท์มาดูหน้าจอใหม่เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา

    “ไง”

    “ทำไมโทรมาแต่เช้าจังฮะ”

    “ตอนแรกก็ว่าจะรอโทรตอนเย็นๆ นั่นแหละ แต่อดห่วงไม่ได้เลยโทรมาดู แล้วตื่นตอนนี้จะไปโรงเรียนทันเหรอ”

    “เอ่อ วัน วันนี้ผมหยุด” ผมพูดอึกอัก พี่ชายคนนี้ไม่ชอบให้ขาดเรียนโดยไม่มีเหตุผลซะด้วยสิ

    “หยุด?

    “คือผมไม่ค่อยสบาย”

    “ไม่สบาย?

    “ปวดหัวนิดหน่อย” พูดไปเหงื่อตกไป

    “ไปทำอะไรมาถึงปวดหัว”

    “เอ่อ ก็...”

    “มีอะไรจะเล่าให้ฟังไหม” โดนจับได้ไวไปแล้วทำไมพี่คุณโทรมาได้จังหวะแบบนี้เนี่ย ผมเงียบ พยายามนึกว่าจะเอาตัวรอดจากการถูกพี่ชายคนนี้เค้นได้ยังไง แต่ว่า... “เช่นเรื่องยูคยอม ไม่ก็มาร์ค” อ้าปากค้างหน้าเหวอ ว่าแล้วว่าทำไมจู่ๆ โทรมา

    “ใครเล่าให้ฟังฮะ”

    “ไม่สำคัญเท่าเรากำลังจะทำอะไรหรอก” ผมทำหน้ามุ่ย แม้รู้ว่ายังไงคนปลายสายก็มองไม่เห็น “คงไม่ได้กำลังจะหนีอีกแล้วใช่ไหม” คำถามจากพี่ชายเชื้อชาติเดียวกันทำอึ้ง “สามปีก็น่าจะทำให้รู้ได้แล้วว่าหนีไม่ช่วยอะไร ปล่อยไว้แล้วคิดว่าเดี๋ยวทุกอย่างดีเองก็ไม่ช่วยอะไร”

    “ผมรู้”

    “หืม คิดว่าจะได้ยินเราตอบว่าผมไม่รู้ซะอีก”

    “ก็ผมไม่ได้มีพลังวิเศษสักหน่อย”

    “อีกแล้วเหรอ”

    ผมยิ้มกับน้ำเสียงเอือมๆ ของพี่ชาย “และถึงจะมีผมก็คงไม่ไปลบความทรงจำของใคร ทุกความทรงจำมีค่าต่อใครคนหนึ่งเสมอ ผมเองก็มีความทรงจำที่ไม่อยากให้ใครมาลบอยู่เหมือนกัน”

    “ดูเหมือนว่าแบมแบมของเราจะโตขึ้นนิดหนึ่งแล้ว”

    “นิดหนึ่งเองเหรอฮะ”

    “นึดหนึ่งพอ เพราะวันนี้แบมแบมโดดเรียน”

    “ผมลาป่วยต่างหาก”

    “งั้นแสดงว่ามีคำตอบแล้วสินะ”

    “ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ผมพูดเสียงไม่มั่นใจนัก “ผมแค่รู้สึกว่าผมตอบแทนพวกเขาด้วยการไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ มันไม่แฟร์เลยถ้าจะทำอย่างนั้นกับคนที่ตั้งใจทำอะไรเพื่อเรา”

    “งั้นพี่ก็ไม่มีไรต้องห่วงแล้วล่ะ” พี่คุณพูด ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนกำลังยิ้มอยู่ “แค่เราไม่วิ่งหนี แล้วเอาแต่ปิดหูปิดตาบอกว่าไม่รู้ ไม่รับรู้อะไรสักอย่างแบบเมื่อก่อน พี่ก็โอเคแล้ว”

    “คิดว่าผมจะเป็นแบบนั้นเหรอฮะ” ผมถาม ที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่เป็น แต่พอได้ยินที่ยูคยอมพูดกับยองแจฮยอง แล้วมาเจอมาร์คฮยองอีกครั้งทำให้ผมเป็นแบบนั้นไม่ได้

    “ถึงได้โทรมาไง แต่พอได้ยินแบบนี้ก็หายห่วงแล้วล่ะ”

    “คงงั้นมั้ง”

    “อย่าทำเสียงไม่มั่นใจแบบนั้นสิ ปกติเราออกจะมั่นใจในตัวเอง งั้นพี่นอนแล้วนะ ดึกแล้วง่วงสุดๆ เลย ฮ้าว”

    “ไม่ต้องหาวโชว์ก็ได้ กู๊ดไนท์ฮะ” ผมพูดกึ่งขำก่อนจะวางสาย นั่นสินะ ผมเองก็ควรจะโตขึ้นบ้างได้แล้ว


    วันนี้ผมทำความสะอาดห้องตัวเองชุดใหญ่ ขนเสื้อผ้าไปซัก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของหอเพราะอยู่คนเดียวทั้งวัน เดินเตร่ไปเตร่มา แต่พอใกล้ๆ เวลาที่ทุกคนจะกลับผมก็เข้าห้องปิดประตูเงียบ ทำอะไรง่ายๆ กินคนเดียว รอจนเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ถึงได้เดินไปยืนอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ กดออดเรียก

    เจ้าของห้องเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเปิดประตูออกมาเห็นผม

    “ยุ่งอยู่หรือเปล่าฮะ” ผมถาม

    คนถูกถามส่ายหน้าที่ยังคงงงๆ อยู่ก่อนจะหลีกทางให้ ผมเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนที่เปิดอยู่ หมุนตัวหันกลับมาหาร่างสูงที่เดินตามมา

    “ผมมาเอาของ” พูดเก้อๆ ทั้งๆ ที่ก่อนมาก็เตรียมตัวมาดีแล้วนะ แต่พอเห็นหน้าเหวอๆ ของมาร์คฮยองแล้วกลับเขินขึ้นมายังไงไม่รู้ “เอ่อ...ของ” ผมพูดย้ำพร้อมกับเอียงหน้าไปทางห้องนอน

    “อ๋อ ของ” คนเป็นเจ้าของห้องทำหน้านึกได้ ก่อนจะรีบก้าวพรวดๆ เข้าไปยกลังเดินออกมา ท่าทางไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนั้นทำเอาผมหลุดขำ เจ้าตัวเองก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวกระแอมเรียกสติ แต่ด้วยความที่ยกลังอยู่แล้วไม่รู้จะวางลงตรงไหน พอพยายามทำหน้านิ่งๆ ทั้งแบบนั้นมันเลยยิ่งดูตลกสุดๆ

    “ฮ่าๆๆ” ผมพยายามกลั้นแล้วแต่ไม่อยู่ ยิ่งเห็นพี่ชายผมแดงสุดคูลเอาหน้าเคืองๆ ไปแปะอยู่ข้างลังที่ตัวเองยกอยู่ยิ่งขำ จนในที่สุดเจ้าตัวเลยเดินอุ้มลังกระดาษไปทางประตู ทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปเปิดให้แล้วเลยไปเปิดประตูห้องตัวเองรอด้วย

    “ฮยองทำผมน้ำตาไหลเลย” ผมยกมือปาดน้ำตาตัวเอง ในขณะที่มาร์คฮยองยืนทำหน้าเคืองใส่ไม่เลิก ใส่หลังจากวางลังไว้บนเตียงนอนผมแล้ว

    “ฉันคิดว่านายไม่อยากได้ เกือบจะเอาไปทิ้งอยู่แล้ว”

    “ผมยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าไม่อยากได้”

    “ก็นายไม่พูดอะไร”

    เดินไปก้มดูของในลังกระดาษ “มีแต่ของแพงๆ ทั้งนั้น ถ้าเอาไปทิ้งเสียดายแย่ หมวกใบนี้สวยอะ” หยิบหมวกเท่ๆ ใบหนึ่งขึ้นมาชูต่อหน้าคนซื้อ

    มาร์คฮยองเหล่มอง ก่อนจะหยิบหมวกไปจากมือผม แล้วค่อยๆ สวมให้ ริมฝีปากหยักยิ้มบางๆ “คิดแล้วว่าต้องเหมาะกับนาย”

    สายตาภูมิใจของคนตรงหน้า ทำให้ผมก้มหน้าลงพึมพำขอบคุณ

    “ขอโทษถ้าก่อนหน้านี้ฉันทำให้นายรู้สึกไม่ดี”

    “ผมเปล่า” รีบปฏิเสธ “ก็แค่รู้สึกว่าฮยองแปลกไป”

    “จำได้ไหม ฉันบอกนายไปแล้วว่าฉันกลับไปเป็นคนเดิมของนายไม่ได้ มันไม่เหมือนเดิมตั้งแต่วันนั้นแล้ว แบมแบม” ดวงสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแววเจ็บปวดขณะพูด “ฉันขอโทษถ้ามันทำให้นายอึดอัด ถ้าฉันในตอนนี้สร้างปัญหาให้นาย ฉันแค่คิดว่าตัวเองอาจจะมีโอกาส”

    “ทำไมฮยองถึงไม่พูดตั้งแต่ตอนนั้นนะ” ความคิด มันควรจะเป็นแค่ความคิด แต่ผมก็เผลอพูดออกไปตอนที่สบตากับคนตรงหน้า

    มาร์คฮยองนิ่งอึ้ง ผมเองก็ตกใจตัวเองรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง

    “นายว่าอะไรนะ”  

    “เปล่า ผมไม่ได้พูดอะไร” ผมปฏิเสธ กำลังจะเดินหนี แต่ก็ถูกคว้าแขนดึงให้หันกลับไปหา

    “แบมแบม!” เสียงเรียกที่แม้จะดังแต่ก็สั่นอยู่ในที ทำให้ผมหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจหันมาเผชิญหน้ากับคนที่กำลังจ้องเขม็ง

     “ผมก็แค่...ยอมแพ้ไปแล้ว”

    ความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยพูดไป มีใครคนหนึ่งที่ผมชื่นชมมาก ใครคนหนึ่งที่ผมคอยไล่ตามและเฝ้ามอง ใครคนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมากมาย ใครคนนั้นคือคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมตอนนี้ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมถูกผลักไส ถูกถอยห่างจนไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่กล้าเข้าไปหา ไม่กล้าเผชิญหน้าเพราะกลัวคำตอบ กลัวว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้มีอะไรเลย คนที่ผมชื่นชมคนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ทุกวันผ่านไปโดยที่ผมเฝ้าบอกตัวเองซ้ำๆ ว่ามันไม่ได้มีอะไร จนในที่สุดก็ยอมแพ้และได้แต่หวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นในอนาคต

    “นาย... หมายความว่ายังไง”

    “สามปีก่อน ผมเคยหวังว่าฮยองจะพูดอะไรทำนองนี้กับผม”

    “แล้วตอนนี้”

    “ตอนนี้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว” ผมพูดโดยไม่มองคนตรงหน้า ใจไม่กล้าพอที่จะมองสบดวงตาคู่นั้นตรงๆ

    “นายคาดหวังจากคนอื่นแทนแล้วสินะ”

    ผมส่ายหน้า “ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากใครทั้งนั้น”

    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา ผมมองพรมบนพื้น ส่วนมาร์คฮยองยืนนิ่งเนิ่นนานก่อนจะขยับตัว

    “หึ” เสียงหัวเราะหยันในลำคอมาพร้อมกับร่างสูงที่เดินผ่านผมออกไปทางประตู ผมหันมองตาม ทันเห็นเจ้าตัวเสยผมด้วยท่าทางเหมือนคนสิ้นหวังก่อนจะเดินหายลับไป

    สองขาไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน ผมทรุดตัวลงนั่งกับเตียง บีบมือตัวเองแน่น ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ ความตั้งใจแรกคือมาเอาของที่มาร์คฮยองให้เท่านั้น ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ราวกับตลกร้าย ในวันที่ผมกลับมาเป็นคนเดิม กลายเป็นวันที่อีกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

    ผมนั่งนิ่งใจคอไม่ดีอยู่แบบนั้นไปพักใหญ่ เอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดไปอีกใช่ไหม ผมไม่ได้ทำลายมันลงไปอีกใช่ไหม ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน ความพยายามที่จะจัดการเรื่องต่างๆ เริ่มกระจัดกระจายหนีหาย

    “คงไม่ได้กำลังจะหนีอีกแล้วใช่ไหม”

    คำพูดของพี่ชายเชื้อชาติเดียวกันดังขึ้นมา ไม่ใช่ ผมไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออก ทีละเรื่อง พรุ่งนี้ยังมีเรื่องหนึ่งที่ผมต้องทำ

     

    เสียงนาฬิกาปลุกของวันนี้น่ากลัวกว่าทุกๆ วัน ผมลุกจากเตียงทำกิจวัตรประจำวันในตอนเช้าตามปกติ ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดนักเรียนในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง

    ที่ด้านนอกมีใครบางคนยืนพิงระเบียงรออยู่ก่อนแล้ว ใครบางคนที่สะดุ้งยืนตรงทันทีที่เห็นผม ไม่ต่างจากผมที่แทบผงะด้วยไม่คิดว่าจะเจอกับอีกฝ่ายทันทีเช่นกัน

    “นายมารอฉันเหรอ” ถามออกไปอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก

    “อื้ม” เจ้าลูกหมายักษ์ตอบ “ก็ฮยองไม่ได้บอกว่าวันนี้จะลาด้วยไหม ผมเลยไม่แน่ใจ มายืนรอไว้ก่อน”

    “คิดว่านายจะหลบหน้าฉันซะอีก”

    “ถ้าผมหลบหน้า เราคงไม่ได้เจอกันพอดี” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยูคยอมเหมือนอย่างทุกที มันเหมือนเดิมจนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีอาจมีแค่ผมที่กระวนกระวายอยู่คนเดียว “ผมเอานี่มาด้วยนะ” เจ้าลูกหมายักษ์ยื่นกล่องพลาสติกที่มีแซนวิซแบบง่ายๆ อยู่ในนั้นมาให้

    “ขอบใจ แต่ฉันไม่หิว” ผมปฏิเสธ

    “ไม่ได้นะ ไม่หิวก็ต้องกิน อะ กินเลยฮยอง” แซนวิซถูกมายัดใส่มือผมมาอันหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ผมเงยหน้าขึ้นเห็นว่าสีหน้าคนตัวโตกว่าเจื่อนไป ก่อนจะรีบทำเป็นก้มหน้าก้มตาเก็บกล่องแซนวิซลงกระเป๋า มือหมอนี่ในตอนที่บังเอิญสัมผัสกันเย็นเฉียบ ทั้งๆ ที่ปกติเป็นพวกมืออุ่น แต่มันกลับเย็นและเหมือนจะสั่นอยู่ในทีตอนยื่นแซนวิซให้

    คิมยูคยอม นายนี่มัน

    เราเดินกันไปเงียบๆ และแม้จะลงจากรถประจำทางแล้วความเงียบที่น่าอึดอัดก็ยังคงอยู่ ผมเอาแต่คิดกลับไปกลับมาตลอดทาง พยายามเรียบเรียงคำพูด ถอดใจว่าไม่พูดแล้วไปก็หลายครั้ง แต่ในที่สุดผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มบทสนทนา

    “ยูคยอม”

    “ครับ” เจ้าตัวขานรับทันที เหมือนจะตกใจจนเผลอขานรับมากกว่า

    “นายกำลังให้ฉันกดดันนะ” ผมพูดตรงๆ หน้าเจื่อนๆ

    “เอ๋ ผมทำอย่างนั้นเหรอ” เจ้าลูกหมายักษ์ถาม ทั้งๆ ที่มือสองข้างจับสายกระเป๋าแน่น ท่าทางแสดงออกโต้งๆ เลยว่าเกร็งแบบสุดๆ

    “คำตอบของฉัน”

    จู่ๆ ยูคยอมก็หยุดเดินไปเฉยๆ จนผมต้องหยุดตามแล้วหันกลับไป

    “นายจะหยุดเดินทำไมเนี่ย”

    “พูดมาสิ ผมรอฟังอยู่” ยูคยอมไม่ได้สนใจคำถามผม สองตาที่จ้องมองมาบ่งบอกว่ารอคอย

    ผมเดินไปยืนต่อหน้า ตามองพื้น “ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันไม่เคยรับรู้ความรู้สึกนายเลย ขอโทษที่ทำเหมือนสิ่งที่นายพยายามบอกเป็นเรื่องตลก”

    ยูคยอมยืนฟังเงียบๆ

    “ฉันตกใจมากจริงๆ ตอนที่นายบอกว่า เอ่อ...รักฉัน บอกตามตรง ฉันไม่รู้จริงๆ เลยว่าจะทำยังไงดี เพราะที่ผ่านมาฉันเห็นนายเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่เคยเห็นเป็นอย่างอื่นเลย” ผมพูดแล้วนิ่งเงียบ

    “แล้วคำตอบของฮยอง”

    ผมเงยหน้าไปมองสบตาคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า “คำตอบของฉันคือฉันรับรู้ความรู้สึกของนายแล้ว”

    “แค่นั้น?

    “แค่นั้น” ผมพยักหน้า เม้มปากเข้าหากันเตรียมขอโทษ ถ้าโดนตัดพ้อหรือต่อว่าอะไร

    ยูคยอมมองหน้าผม มองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แค่นั้นก็พอแล้ว”

    “เอ๋”

    พอเห็นผมทำหน้าประหลาดใจเจ้าลูกหมายักษ์ก็ยิ่งยิ้มกว้าง “แค่ฮยองรับรู้ว่าผมคิดยังไงก็พอแล้วล่ะ อืม พอแล้วสำหรับตอนนี้”

    “แต่ฉันก็ยังเห็นนายเป็นเพื่อนอยู่นะ” ผมพูดย้ำ เผื่อว่าตัวเองจะสื่อสารอะไรผิด

    “งั้นก็ช่วยเห็นเพิ่มไปอีกอย่างด้วยได้ไหมครับ” ยูคยอมก้มหน้ามาถาม “ช่วยเห็นผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รักฮยองด้วย”

    “เอ่อ”

    “ผมรู้ว่าฮยองไม่ได้คิดอะไรกับผม แต่ว่าอย่างน้อยตอนนี้ฮยองก็รู้แล้วว่าผมคิดยังไง ต่อไปก็ช่วยมองผมเพิ่มอีกฐานะหนึ่งด้วย ผมจะได้มีกำลังใจที่จะพยายามต่อไป”

    “เอาแบบนั้นเหรอ” ผมถามแบบไม่แน่ใจนักว่ามันจะดี

    “อื้ม”

    “ถ้าแบบนั้นฉันจะไม่ให้นายเข้าใกล้เท่าเมื่อก่อนนะ”

    “อ้าว ทำไมล่ะ”

    “เพราะเจตนานายตอนที่ควบอีกฐานะหนึ่งด้วย มันไม่เหมือนเดิมน่ะสิ”

    “ใครว่า ผมเจตนาเดียวมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหากล่ะ”

    ผมมองหน้าเพื่อนตัวโตอึ้งๆ “โอเค ฉันเข้าใจละ” พูดแล้วหันกลับไปเดินต่อ ที่จริงแล้วหมอนี่ไม่ใช่น้องเล็กที่ใสซื่อสักหน่อย เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหันกลับไป เมื่อไม่รู้สึกว่ามีใครเดินตามมาและก็จริงตามนั้น เจ้าลูกหมายักษ์ยังยืนทื่ออยู่ที่เดิม “นายจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม เดี๋ยวก็สาย”

    ยูคยอมยิ้มแหยๆ “แป๊บหนึ่งนะ เมื่อกี๊ผมกลัวจนเข่าอ่อนไปหมด ให้เดินตอนนี้ต้องเซล้มคว่ำแน่ๆ ขอตั้งสติแป๊บหนึ่ง”

    “อะไรของนาย ฉันไม่ได้จะฆาตกรรมนายนะ!

    “ผมนึกว่าจะโดนฮยองปฏิเสธ โดนตัดความเป็นเพื่อน โดนรังเกียจ โดนไล่ให้ไปไกลๆ โดนห้ามไม่ให้เข้าใกล้ฮยองอีก ผมกลัวจริงๆ นะ” คำพูดพรั่งพรูมาจากเจ้าคนที่เอาแต่ยิ้มกว้างทำเหมือนตัวเองไม่เป็นไรมาตั้งแต่เช้า ใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้เพราะความกังวลที่มีอยู่ของเจ้าลูกหมายักษ์ ทำเอาผมหมดคำจะพูด ไม่รู้จะขำหรือสงสารมากกว่ากัน

    ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันพยายามกลั้นขำ ความหนักอึ้งในใจที่รู้สึกหนักหนาเกินกว่าจะรับไหวคลายลง ผมลืมไปได้ยังไงว่านี่คือคิมยูคยอม คนที่ยืนเป่าปากทำท่าจะเป็นจะตายอยู่ตอนนี้คือคิมยูคยอม เจ้าลูกหมายักษ์สายพันธุ์ปลิงตัวนั้น ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

    “งั้นฉันไปก่อนแล้วกัน อยากยืนอยู่ตรงนั้นก็ตามสบาย แต่ถ้าสายไม่รู้ด้วยนะ” ผมพูดยิ้มๆ หมุนตัวเดินต่อไปโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญจากหลัง

    “ใจร้าย ฮยอง คนน่ารักไม่ควรใจร้ายนะ”

    “ทำไงได้ล่ะ สิทธิพิเศษของคนหน้าตาดี~


    ------------------------------------------------------------------------------------------TCB


    กับบทของแบมแบมตอนนี้ก็ได้รู้แล้วเนอะว่าคนที่แบมเคยบอกแจ็คสันว่าเคยชื่นชมมากๆเป็นใคร เห็นเค้าลางความดราม่าของพี่ชายผมแดงที่งานนี้เสียศูนย์ไปพอสมควรเลย ก็คอยดูว่ามาร์คจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้ที่เห็นๆเลยก็แบมแบมเปลี่ยนไปเยอะพอสมควรถ้าเทียบกับตอนดราม่าคราวก่อน ถึงดราม่าจะยังไม่จางหาย แต่เจ้าเด็กหลงตัวเองก็โตขึ้นแหล่ะ (ฮูเร่ ^0^)

    แน่นอนว่าคราวนี้พากระโดดข้ามฟากอีกแล้วล่ะค่า พอเปิดประเด็นอะไรปุ๊บนี่ข้ามฟากตลอด (รีดอาจอยากกระโดดถีบ ฮ่าๆๆ) เราจะกลับไปที่ฝั่งสามเจกันในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนของออมม่าจูเนียร์ ไม่ได้เจอเนียร์มาหลายตอนแล้วเนอะ แล้วก็สปอยล์นิดนึงว่าตอนของเนียร์ต้องมีคู่ซี้อย่างพี่ชายผมแดงโผล่มาด้วยแน่นอน จะได้เห็นความเคลื่อนไหวของทางนั้นมาด้วยนิดนึง

    บังเอิญเห็นปุ่มโพลด้านบนเลยลองตั้งขึ้นมาเล่นๆ ลองโหวตดูสนุกๆเนอะ เดี๋ยวเอาไปแปะไว้ด้านหน้าบทความด้วย จริงๆก็อยากตกแต่งอะไรบ้างเหมือนกันนะ แต่ติดอยู่นิดเดียวค่ะ นิดเดียวจริงๆว่าเราทำไม่เป็น ฮ่าๆๆ ขอโทษด้วยนะคะถ้าบทความมันดูจืดชืดไปหน่อย 

     

    โพล153098

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×