ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #32 : ตอนที่ 31 นั่นแหละที่ยากที่สุด (โดย แจ็คสัน)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.61K
      33
      10 พ.ค. 61

     

    ตอนที่ 31

    นั่นแหละที่ยากที่สุด โดย แจ็คสัน



    “เกาหลีหนาวชะมัด”

    “ฮ่องกงก็หน้าหนาวไม่ใช่เหรอตอนนี้”

    “ยังไงมันก็ไม่หนาวเท่าเกาหลีนี่”

    บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างผมกับคนผมแดงที่ถูกเรียกให้ออกมารับผมที่สนามบิน มาร์คฮยองไม่ได้พูดอะไรต่อ หันไปสนใจถนนตรงหน้า ผมเลยนั่งมองใบหน้าด้านข้างของคนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับแทน กอดอกมองอย่างพิจารณาจนคนโดนมองเริ่มมีท่าทีอึดอัด เหลือบมองกลับมาเป็นระยะแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมยิ้มมุมปาก จ้องต่อไป แหม ได้นั่งลวนลามทางสายตาโดยที่เจ้าตัวไม่ว่าอะไรนี่มันดีจริงๆ

    “ฉันไม่มีสมาธิขับรถ” ในที่สุดคนโดนลวนลามก็ทนไม่ไหว พูดขึ้นมาจนได้

    “ทำไมอะ หวั่นไหวเหรอ” ผมพูดยิ้มๆ ยักคิ้วให้คนผมแดงที่เหล่มองเคืองๆ ด้วยทีหนึ่ง

    “ถ้านายทำตัวแบบนี้ คราวหน้าฉันจะไม่ไปไหนกับนายอีก”

    ผิวปากหวือ ผมขยับตัวหันไปนั่งดีๆ “ดุจังเลยนะ อี๋เอิน”

    “มาร์ค!

    “ฮ่าๆๆ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้เห็นหน้านานหรือเปล่า ผมถึงรู้สึกสนุกเวลาได้ยั่วโมโหมาร์คฮยอง รู้สึกว่าเวลาคนนิ่งๆ ทำหน้าเหวี่ยงใส่มันน่ารักชะมัด “โอเค มาร์ค” หันไปเรียกชื่ออีกฝ่ายแบบสำเนียงเป๊ะ จงใจไม่ใส่ฮยองต่อท้ายด้วย

    เจ้าของชื่อถอนหายใจแบบปลงๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับการขับรถต่อ คงกำลังคิดว่าทำเป็นไม่สนใจผมน่าจะดีกว่า

    “ฮยอง ผอมไปปะ” แต่ผมก็เริ่มบทสนทนาขึ้นมาใหม่อีก

    “ไม่รู้สิ”

    “ตรอมใจคิดถึงผมเหรอ ฮ่าๆๆ” พูดแล้วก็หัวเราะก๊าก เมื่อเห็นมาร์คฮยองทำหน้าเอือมๆ กลับมา

    “นายอยากให้ฉันจอดรถ แล้วเตะนายลงตรงนี้ไหม”

    “ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ ไม่แกล้งแล้วๆ” ผมยกมือโบกสองข้างยืนยัน “เออ แล้วแบมแบมจะกลับมาเมื่อไรอะ”

    “พวกนายไม่ได้คุยกันหรือไง”

    “ก็คุยนิดหน่อย แต่ผมไม่ว่างนี่ โดนพ่อใช้งานเยี่ยงทาสแบบนั้นจะเอาเวลาไหนไปคุยนักหนา ไม่เหมือนฮยอง” โทษฐานที่ทำตัวเงียบหาย แทบไม่ติดต่อทางบ้าน งานนี้กลับไปผมเลยกลายเป็นเบ๊ให้บิดาที่เคารพทั้งเดือน

    “ฉันก็ต้องทำงานเหมือนกัน” อ่า จริงสิ ปิดเทอมเมื่อไรมาร์คฮยองต้องกลับไปช่วยงานที่บริษัทเหมือนกัน “เห็นว่าจะกลับมาอาทิตย์หน้า”

    “งั้นยูคยอมมันก็คงมาตอนนั้นเหมือนกัน” ผมพูดต่อ เจ้าลูกหมายักษ์ไม่กลับมาหรอก ถ้าที่หอไม่มีแบมแบม “พวกนั้นคุยกันบ่อยปะ ยูคยอมกับแบมแบม”

    “ไม่รู้ ไม่ได้ถาม” มาร์คฮยองตอบสั้นๆ

    “เสียดายนะที่ผมไม่ค่อยว่าง ไม่งั้นจะโทรหาจนฮยองไม่มีเวลาไปคุยกับใครได้อีกเลย”

    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนผมแดงเหล่มองผมนิดหนึ่งก่อนจะพูด “นายกำลังทำให้ฉันอึดอัดนะแจ็คสัน”

    “งั้นก็รีบชินไว้เลย ฮยองจะได้อึดอัดงี้ไปอีกนาน” ผมยิ้มกว้าง หันไปทำหน้าแป้นแล้นใส่จนเจ้าตัวได้แต่ส่ายหัวเอือมๆ “อย่าคิดหนีเชียวนะ เพราะฮยองก็รู้ว่าหนีคนอย่างผมไปไม่พ้น หุหุ”

    “ฉันไม่หนีหรอก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหนี”

    “ก็ดี”  ผมกอดอกพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองนอกหน้าต่าง ไม่ได้พูดอะไรอีก แหงสิ ก็ในเมื่อไม่ได้คิดอะไรกับผม ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหนี เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไรมันก็ไม่มีผลอยู่แล้ว มองภาพคนที่กำลังตั้งใจขับรถซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก ถ้างั้นก็ทนให้ไหวนะ เพราะผมจะเริ่มทุบกำแพงอย่างจริงจังแล้ว กำแพงที่เรียกว่า...พี่น้อง


     

    “กลับมาแล้ว!” ผมตะโกนลั่นหอตอนพวกเรามาถึง มาร์คฮยองช่วยถือของเดินตามออกมาจากโรงรถ

    “ไม่ให้ฉันบอกคนอื่นว่านายจะกลับมาวันนี้ ไม่กลัวโดนโกรธหรือไง” พี่ชายผมแดงถาม

    “ยองแจมันรู้แล้ว” ผมตอบพลางเหวี่ยงกระเป๋าถือไปแบกไว้ด้านหลัง มืออีกข้างลากกระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วย

    “แต่เจบีกับจูเนียร์”

    “จูเนียร์มันไม่กล้าโกรธผมหรอก คดีเก่ายังเคลียร์กันไม่เสร็จ” จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันร้องไห้ทำไม แต่เอาเถอะ ไว้จัดการเรื่องอื่นเสร็จผมกลับไปเค้นต่อแน่ “ส่วนเจบี ผมกะจะไปเซอไพรส์ซะหน่อย มีเรื่องต้องคุยกับมัน” พูดพลางหัวเราะหึหึในลำคอ มันกล้ามากที่บังอาจมาทำไอ้ตัวแสบของผมร้องไห้ขี้มูกโป่งขนาดนั้น

    มาร์คฮยองที่เดินมาด้วยกันเหล่มองผมพลางถอนหายใจ เหมือนรู้ว่าผมต้องไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินมาส่งเงียบๆ จนถึงห้อง

    “นี่มันอะไร” ผมยืนมองรูปภาพขนาดเท่ากระดาษ A4 ที่ถูกติดไว้กับประตู

    “พรืด” คนที่มาด้วยกันหลุดขำทันทีที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของผม

    “ยินดีต้อนกลับบ้านนะ ยองแจ แจ็คสัน” ผมอ่านข้อความด้านล่างฉากฆาตรกรรมนั่น ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองหน้าพี่ชายผมแดงที่ยืนหัวเราะจนตัวงอ “นี่มันอะไร มาร์คฮยอง” ไม่พูดเปล่าดึงรูปที่ว่าออกมาด้วย

    “ฮ่าๆๆ ฉันเห็นมันอยู่ตรงนี้ทุกวันไม่ขำ แต่พอเห็นหน้านายตอนนี้แล้วโคตรขำเลย ฮ่าๆๆ”

    ผมมองตัวเองในรูปที่ทำหน้าอย่างกับฆาตรกรโรคจิต กับยองแจที่เหมือนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแล้วคิ้วกระตุก ใครมันเป็นคนถ่าย แล้วยองแจมันปล่อยให้ไอ้รูปบ้านี่ติดอยู่ตรงนี้ได้ยังไงตั้งหลายวัน

    “ฮ่าๆๆ โอ๊ย ปวดท้อง นี่ของนาย ฉันวางไว้ตรงนี้นะ ไปก่อนละ” มาร์คฮยองพูดไปหัวเราะไป ยกมือขึ้นตบไหล่ผมที่ยังยืนหน้านิ่งมองรูป ก่อนจะเดินหัวเราะขึ้นบันไดไปอย่างมีความสุข

    ผมเปิดประตูห้อง เดินถือไปแค่รูปกับกระเป๋าที่แบกไว้ ตรงไปเปิดห้องนอนเหยื่อฆาตรกรโรคจิตในรูป

    “ยองแจ!” ไม่มี ผมกวาดตามองรอบๆ ห้องที่จัดเก็บเรียบร้อยแล้วตะโกนเรียกอีก “ยองแจ!

    “อยู่นี่ มาถึงก็แหกปากเลยนะฮยอง” เด็กมกโพในชุดลำลองสบายๆ มีผ้ากันเปื้อนสวมทับอยู่โผล่ออกมาจากครัว ยืนพูดหน้าเซ็งๆ

    ผมหันหลังกลับไป มองสำรวจรูมเมทตั้งแต่หัวจรดเท้า “สภาพดูดีกว่าที่คิดนี่หว่า”

    “แล้วอยากเห็นผมเป็นไง หน้าดำ หัวโต ตัวผอม อมทุกข์ งี้เหรอ” ไอ้ตัวแสบมันก็ยังปากดีเหมือนเดิม

    “ทำไรอะ”

    “ลองอบขนมดู” ยองแจพูดก่อนจะเดินกลับเข้าครัว

    “แล้วนี่มันอะไรวะ รูปบ้าอะไรอยู่หน้าประตูห้อง” ผมเดินตาม เอารูปโบกไปมาต่อหน้ามัน

    ยองแจเหล่มองนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มลงส่องขนมที่อยู่ในเตา “ความคิดยูคยอม มีติดอยู่ทุกห้องแหละ” ตอบเรียบๆ

    “ยูคยอมเนี่ยนะ!

    “อือ หน้าห้องหมอนั่นเองก็มี คิดไว้แล้วตัวเองก็กลับบ้าน จะเหลือเหรอ”

    ไอ้ลูกหมายักษ์คิดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ ท่าทางผมจะประมาทหมอนี่ไม่ได้ละ ผมวางรูปไว้แถวๆ นั้นก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆ อ่างล้างจาน

    “หายอกหักแล้วเหรอวะ” ถามห้วนๆ

    ยองแจยืดตัวยืนขึ้น สองมือเท้าเอวมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง “ฮยองอกหักนะไม่ใช่ปวดท้อง จะได้ไปเข้าห้องน้ำมาแล้วหายเลยอะ!

    “เอ้า ก็เห็นท่าทางนายปกติสุขดีนี่หว่า ไม่เหมือนวันนั้น อะไรนะ ฮยอง ฮือๆๆ ผม...ฮึก”

    ป้าบ ทำท่าล้อเลียนได้ไม่เท่าไร ก็โดนไม้พายคนแป้งฟาดเข้าให้ที่แขน

    “กลับฮ่องกงไปเลยไปกลับไปคืนเลย!” ยองแจตะโกน เอาไม้พายชี้หน้า

    “ไรวะ ล้อเล่นเฉยๆ เอง” ผมพูดงอนๆ เอามือลูบแขนตัวเอง “แล้วตกลงเรื่องเจบีเอาไง”

    “จะเอาไงล่ะ ผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจนี่ ในเมื่อเขาบอกมาแบบนั้นแล้วผมจะทำไงได้”

    “ฉันไม่อยากให้พวกนายมองหน้ากันไม่ติดนะ”

    “มองไม่ติดแล้วล่ะ โดยเฉพาะผม” ยองแจแค่นยิ้ม

    “แล้วเจบีอะ”

    “ก็ปกติดี ไม่เป็นอะไรเลย ปกติดีทุกอย่าง ทักทายผม คุยเหมือนเดิม ปกติ...” พูดๆ อยู่เสียงน้องชายตรงหน้าก็สะดุดไป ยองแจกลืนน้ำลายแล้วหันเอาไม้พายทำเป็นเก็บลงลิ้นชัก ดูก็รู้ว่าหมอนี่ยังทำใจไม่ได้ ที่แสดงออกมาก็แค่ปากดีไปตามนิสัยเท่านั้น

    “ฉันไปหาเจบีก่อน ยังไม่ได้บอกมันเลยว่ากลับมาแล้ว” ผมกระโดดลงจากเคาท์เตอร์ ทำท่าจะเดินออกไปแต่โดนยองแจคว้าเสื้อดึงไว้ก่อน

    “ฮยอง ไม่ต้องพูดเรื่องผมนะ ไม่ต้องช่วย ไม่ต้องจัดการอะไรทั้งนั้น” เด็กปากดีที่เคยมีท่าทางมั่นใจอยู่ตลอดพูดเสียงเบา ก้มหน้าไม่สบตาผม “ผมไม่เป็นไร”

    ไอ้เจบี นายทำบ้าอะไรกับเด็กคนนี้วะ ผมหลับตาสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะลืมตาแล้วหันไปคว้าแขนยองแจดึงมากอดลูบหัวเบาๆ โดยไม่พูดอะไร 

    เดินออกจากห้องมา ข้ามกระเป๋าที่ยังกองทิ้งไว้ เดี๋ยวค่อยมาเก็บแล้วกัน ไปหาไอ้คนอินดี้ก่อน

     

    ติ๊งต่อง กดออดแล้วยืนรอ สักพักเจ้าของห้องที่เหมือนจะย้อมสีผมใหม่ก็เปิดประตูออกมา

    “พวกนายนี่ ใจคอจะไม่มีใครโทรมาบอกก่อนว่าจะกลับวันไหนเลยใช่ปะ” หัวหน้าหอเท้าเอวข้างหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเอือมๆ มากกว่าจะตกใจ

    “เซอไพรส์ไง” ผมพูดแล้วถือวิสาสะเดินเข้าไปเลยโดยไม่รอคำเชิญ

    “แล้วใครไปรับที่สนามบิน มาร์คฮยองเหรอ”

    “อือ” ผมตอบแล้วก้าวเร็วๆ ไปนั่งโซฟาเองเรียบร้อย “ทำไรอะ” ถามพลางเหล่มองโน้ตบุ๊คที่เปิดทิ้งไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา

    “เพิ่งส่งเมลล์ไปรายงานแทคยอนฮยองเกี่ยวกับเรื่องในหอ พวกรายรับรายจ่าย จดหมาย อะไรจิปาถะ” เจบีเดินตามมานั่งลงโซฟาอีกตัว จับโน้ตบุ๊คหันไปหาตัวเอง

    “เหรอ แล้วได้รายงานแทคยอนฮยองด้วยปะ ว่าทำยองแจร้องไห้” ผมถาม เอนตัวพิงโซฟาสบายๆ

    คนโดนถามปล่อยมือจากโน้ตบุ๊ค หันมามองเหมือนไม่แปลกใจนักที่ได้ยิน “เปล่า” เจ้าตัวปฏิเสธ

    “ทำไมวะ”

    “นี่มันเรื่องคน ไม่ใช่เรื่องหอ”

    “ฉันหมายถึงทำไมนายต้องทำอย่างนั้นกับยองแจ”

    “นั่นดีที่สุดแล้วที่ฉันจะทำได้”

    “ดีที่สุดแล้ว จู่ๆ ไปพูดกับน้องมันแบบนั้นนั่นอะนะดีที่สุดแล้ว ฉันว่าฉันเป็นพวกจัดการปัญหาได้ห่วยแตกแล้วนะ นายแม่งก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลย” ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆ ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ คว้ารีโมตมากดเปิดทีวี

    “แล้วนายคิดว่ามันมีวิธีที่ดีกว่าพูดไปตรงๆ หรือไง”

    “แล้วทำไมวะ น้องมันชอบนาย แล้วไง ต้องรีบตัดขนาดนั้นเลยเหรอ ให้โอกาสมันไม่ได้เหรอ”

    “ก็เพราะว่าเป็นน้องไง”

    “แล้วไง สมมติว่าถ้าฉันบอกว่าชอบนาย นายก็จะตัดฉันออกด้วยไหม หรือถ้าคนอื่นๆ ถ้าแบมแบม ยูคยอม มาร์คฮยอง หรือกระทั่งจูเนียร์มาบอกว่าชอบนาย นายก็จะทำแบบนี้เหรอ” ผมหันไปถามเพื่อนอย่างจริงจัง

    “พูดอะไรให้มันเป็นไปได้หน่อย” เจบีขมวดคิ้วพูด

    “เหอะ อะไรมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ”

    “เป็นไปไม่ได้” คนผมบลอนด์ซีดพูดย้ำ “อย่างแรกคือแบมแบมไม่ได้ชอบฉันแน่ๆ ส่วนยูคยอมกับมาร์คฮยองชอบแบมแบม แล้วนายก็ชอบมาร์คฮยอง”

    ผมถือรีโมตค้างไว้ ก็ไม่แปลกหรอกที่คนอย่างไอ้บ้านี่จะรู้เรื่องผม แต่ขนาดเวลาอย่างนี้ยังอุตส่าห์ผลักเรื่องออกให้พ้นตัวเองได้นี่มัน “เหลือจูเนียร์อีกคนว่ะ คงไม่คิดว่ามันชอบฉันใช่มะ” ผมพูดเซ็งๆ ถึงจะอยากเอารีโมตเขวี้ยงหัวเพื่อนแต่ก็ข่มใจไว้

    “พักเรื่องหมอนั่นไว้ก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว” เจบีขยับตัวพิงพนักโซฟา พูดน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก

    “เรื่องอะไรนักหนา เห็นยองแจมันบอกว่านายสบายดี ปกติสุดๆ ยังทักทายมันเหมือนเดิม”

    “แค่เรื่องพวกนาย 4 คนมันก็วุ่นวายมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้อะไรมันพันกันยุ่งมากไปกว่านี้”

    “ที่จริงฉันก็ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรหรอกนะ ไอ้เรื่องคิดโน่นนี่ซับซ้อนคงทำไม่ได้เหมือนนาย แต่ไม่รู้ว่ะ พันกันยุ่งแล้วไงวะ ต่อให้มันพันกันจริง นายที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวแบบนี้เห็นแก่ตัวชิบเป๋งเลย” ผมพูดตรงๆ แน่นอนว่าตาเรียวของเพื่อนที่จ้องกลับมาเขม็งทำให้รู้ว่ามันไม่พอใจนัก

    “ฉันแค่พยายามแก้ปัญหา”

    ผมประสานสายตากับเจบี ต่างคนต่างจ้องไม่มีใครยอมใคร มาตอนนี้ผมถึงเพิ่งได้สังเกตว่าใต้ตาหมอนี่คล้ำอย่างกับคนไม่ได้นอน แถมหน้าก็ดูเหนื่อยๆ ว่าไปสภาพมันจะดูแย่กว่าไอ้เด็กมกโพซะอีก พอได้เห็นว่าเจบีเองก็ดูไม่ได้สบายใจเท่าไรนัก ความรู้สึกหงุดหงิดก็พอจะคลายๆ ลงบ้าง

    “สองสามวันมานี้ นายเหงาบ้างไหมที่ยองแจมันไม่มาวุ่นวาย” ผมถาม เป็นเพราะจ้องหน้าอยู่ตรงๆ ทำให้สีหน้าที่หมองไปวูบหนึ่งของเจบีไม่รอดพ้นสายตาผม

    “มันดีสำหรับตัวหมอนั่นเองแล้ว นายก็รู้นี่ ฉันมันนิสัยเสีย” เพื่อนจอมอินดี้พูดยิ้มๆ

    “เหอะ” ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆ เป็นอันว่าทำอะไรไม่ได้แน่แล้ว

    อิมแจบอมเป็นพวกที่ยึดมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง และแทบไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองแบบสุดๆ นิสัยมันบางส่วนก็คล้ายผม ถึงมันจะน่าหงุดหงิด แต่หมอนี่ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ บางทีอาจจะดีกับยองแจแล้วก็ได้ที่หลุดพ้นคนอย่างหมอนี่ไป เพราะถ้าเป็นเพื่อน เจบีคือเพื่อนที่ดีแบบไม่ต้องเถียง แต่ถ้าเป็นคนรักแล้วละก็ ผมว่ามันคงเป็นคนแรกๆ ที่มีสิทธิ์เข้าชิงตำแหน่งคนรักยอดแย่เลยล่ะ

    “จะทำอะไรก็ตามใจนายเหอะ” ผมพูดพลางลุกขึ้นยืน “แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้านายทำหมอนั่นร้องไห้อีก เจอฉันแน่ว่ะ”

    เจบียิ้มมุมปาก เงยหน้ามองผม

    “ฉันพูดจริงๆ ฝากบอกจูเนียร์ด้วยว่าฉันกลับมาแล้ว” พูดย้ำหน้าตาจริงจัง ก่อนจะเดินออกมา

    ก็ถ้ายองแจมันจะหลุดพ้นมาได้จริงๆ อะนะ

     

    “นายเรียกไอ้พวกนี้ว่าคุกกี้เหรอ” ผมเอาตะเกียบเขี่ยก้อนดำๆ บนจาน เอียงหน้าไปถามเชฟกระทะเหล็กประจำหอที่ยืนทำหน้ามึนอยู่

    “ก็ลืมอะ ใส่เตาไว้แล้วลืมมาดู” เชฟตอบมาได้โคตรไร้จิตสำนึก

    “แล้วทำไรลืม”

    “นั่งดูรายการเพลงอยู่ ไม่ต้องมองงั้นเลย เดี๋ยวทำใหม่ก็ได้ แป๊บเดียว” ยองแจตอบอ้อมแอ้มๆ ก่อนจะรีบตัดบทแล้วเดินมาหยิบซากคุ้กกี้ไปเททิ้ง

    ผมยืนกอดอกพิงเคาท์เตอร์ครัว มองตามเด็กตัวแสบเดินวุ่นหยิบอุปกรณ์มาทำคุ้กกี้ใหม่

    “นายโกรธเจบีไหม ถามจริง” คำถามจากผม ทำให้มือที่กำลังคนส่วนผสมในชามชะงักไป

    “โกรธสิ เพราะผมไม่เข้าใจอะไรเจบีฮยองเลย แล้วเจบีฮยองเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรผมเลย” ยองแจตอบก่อนจะคนแป้งต่อ

    “อย่าว่าแต่นายเลย ฉันเองที่รู้จักกับมันมานาน หลายครั้งยังไม่เข้าใจเลยว่ามันคิดอะไรอยู่” ผมถอนหายใจ “ถึงมันจะเป็นแบบนั้น อาจจะทำอะไรแย่ๆ ไปบ้าง แต่นายคงไม่เกลียดมันใช่ไหม”

    “บ้าเหรอ ผมจะเกลียดได้ยังไง” คนถูกถามตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะก้มหน้าเงียบไป “แค่วิธีที่จะทำให้เลิกชอบผมยังไม่รู้ แล้วจะเกลียดได้ยังไง”

    “นั่นสินะ นั่นแหละที่ยากที่สุด” ผมมองตัวอักษรแม่เหล็กที่ติดไว้บนตู้เย็นเป็นชื่อสมาชิกในหอ สายตาหยุดอยู่ตรงตัวอักษรสีแดงที่เป็นคำว่า Mark “ขนาดรู้ว่าไม่มีหวัง ยังทำให้เลิกชอบไม่ได้เลย”

    “ฮยองรู้ปะ สองสามวันมานี้ผมเพิ่งรู้ตัว ว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่คอยวิ่งตามเจบีฮยองตลอด พอเป็นแบบนี้แล้วกลายเป็นว่าผมไม่รู้จะทำอะไรเลย”

    ผมยิ้มขำ “เหงาเหรอ”

    “นิดหน่อย”

    “มาซบอกอุ่นๆ ของฉันไหม”

    ยองแจหันมาเบ้ปาก “เกรงใจ”

    “ฮ่าๆๆ” เห็นท่าทางรังเกียจของมันแล้วหมั่นไส้ ผมเลยเดินไปยีผมเด็กปากดีจนหัวฟูแล้วก็ถูกเตะให้ออกจากห้องครัวมา

     

     

    ผมหยิบลูกบาสเดินออกจากห้อง มายืนชู้ตเล่นแม้ว่าอากาศจะหนาว ผมไม่มีคำแนะนำอะไรให้น้อง ไม่รู้จะแนะนำอะไร เพราะไอ้ที่ผมทำอยู่ก็ไม่เคยแน่ใจเลยสักครั้งว่าเป็นทางที่ถูก ลูกบาสลงห่วงไปอย่างสวยงาม แต่ไม่ว่ามันจะจบยังไง ผมก็จะลุยต่อให้มันสุดทางอยู่ดี

    “แจ็คสัน นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไร” เสียงเรียกคุ้นเคยทำให้ผมหันไปมอง ปล่อยให้ลูกบาสกลิ้งไปโดยไม่ตามไปเก็บ

    “โย่ว” ยกมือทักทายคุณแม่ของหอที่กำลังทำหน้าเหวอ ตาโตระคนตกใจ

    “ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่านายจะกลับมาวันนี้” จูเนียร์ก้าวดุ่มๆ มาหา ถามน้ำเสียงไม่พอใจ

    “เซอไพรส์ไง” ผมตอบกวนๆ

    “แล้วใครไปรับที่สนามบิน อ๊ะ มาร์คฮยองรู้เหรอ นายบอกมาร์คฮยองแต่ไม่บอกฉันเนี่ยนะ!

    “ฉันก็ไม่อยากให้พวกนายวุ่นวายไง”

    “นายอย่างเนี่ยนะ”

    “ทำไม ฉันเกรงใจพวกนายบ้างมันแปลกเหรอ” ผมถามหน้าตาหาเรื่อง ใช่สิ ผมมันพวกไม่มีความเกรงใจ

    “แล้วนี่มายืนทำอะไร เดี๋ยวก็ไม่สบาย” จูเนียร์เห็นอาการผมก็ตัดบทไปพูดเรื่องอื่นแทน

    “เล่นบาส” ผมตอบงอนๆ แล้วเดินไปหยิบลูกบาสมาชู้ตใหม่

    คนโดนผมเหวี่ยงใส่ยืนมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดอึกอักขึ้นมา “นาย เอ่อ...”

    “มีอะไร”

    “ได้คุยกับยองแจแล้วใช่ไหม”

    ผมหันไปมองหน้าคนถาม “อือ ทำไม” ตอบแล้วถามกลับ

    “ยองแจเป็นอะไรหรือเปล่า เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”

    “นายไม่ได้ถามหมอนั่นเหรอ” ผมละสายตาจากจูเนียร์ เดินไปหยิบลูกบาสมาชู้ตอีกรอบ

    “ถามแล้ว แต่ยองแจเหมือนไม่อยากบอกฉัน” แหงล่ะ ก็มันเกี่ยวกับเจบีนี่ หมอนั่นคงไม่อยากให้สองคนนี้ต้องผิดใจกันเพราะมัน “ทะเลาะอะไรกับเจบีหรือเปล่า” แต่บังเอิญว่าคุณแม่ของหอก็ดันเป็นพวกเซ้นส์ดี

    “ทำไมอะ เจบีบอกนายเหรอ”

    จูเนียร์ทำหน้าง้ำใส่ เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่ถามไม่ยอมตอบสักที “หมอนั่นไม่ได้เล่า แต่สองคนนั้นดูแปลกๆ พวกฉันไม่ได้ไปกินข้าวกับยองแจเลยสองสามวันที่ผ่านมา”

    “แล้วถ้าเจ้าพวกนั้นทะเลาะกันจริงนายจะทำไงอะ”

    “พวกนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไร”

    ผมเหล่มองเพื่อน “แล้วนายร้องไห้เรื่องอะไร”

    “นี่นาย...” จูเนียร์อ้าปากน้อยๆ เหมือนไม่คิดว่าผมจะเอาเรื่องนี้มาต่อรอง “นี่มันคนละเรื่องกันนะ”

    “สำหรับฉันมันก็เรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็เป็นเรื่องสมาชิกในหอทั้งนั้น” ผมยักไหล่

    “แต่ฉันไม่ได้ทะเลาะกับใคร”

    “แล้วนายร้องไห้ทำไม”

    จูเนียร์มองผม หน้าบึ้ง มองอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นว่าผมไม่มีท่าทีจะยอมก็เดินหนีเข้าหอพัก

    “เนียร์!” ผมตะโกนไล่หลัง ส่งให้คนที่กำลังก้าวดุ่มๆ ด้วยความโมโหหันขวับกลับมา “นายเป็นห่วงคนในหอได้ ไม่คิดเหรอว่าคนในหอเองก็เป็นห่วงนายได้เหมือนกัน”

    ใบหน้าบึ้งตึงคลายลงแต่เพื่อนปากแข็งก็ยังไม่ยอมพูดอะไร แค่หันหลังกลับแล้วเดินขึ้นบันไดไป

    “ให้มันได้อย่างนี้!” ผมพูดเสียงดัง “อย่างนั้นก็ดูแลตัวเองไปแล้วกัน ทุกคนเลยแม่ง ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว!” พูดแล้ววิ่งเลี้ยงลูกบาส ก่อนจะกระโดดชู้ตลงห่วงไปอย่างแรง 




    ----------------------------------------------------------------------------------TBC

    แจ็คสันพบปะประชาชน พบครบเลยที่อยู่ในหอตอนนี้ 5555

    ตอนหน้าเจอกับมาร์คคึ สองน้องเล็กก็กลับมาเหมือนกัน ครบองค์ซักที ^^

    (ขออนุญาตข้ามเทศกาลวาเลนไทน์ไปนะคะ เพราะวาเลนไทน์ของหอพักเมี้ยวๆแห้งเหี่ยวมาก เนื่องจากแจ็คสันรอช็อคโกแลตจากมาร์ค มาร์ครอจากแบมแบม ยูคยอมรอจากแบมแบม แต่แบมแบมไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องให้ใครเพราะมันเป็นวันของสาวๆเค้า ยองแจกับเจบีก็เป็นแบบนั้นไปซะแล้ว จูเนียร์เองก็เก็บตัวเงียบอยู่ในช่วงงดแสดงอาการใดๆให้ชาวบ้านสงสัย ดังนั้นจึงแห้วรับประทานกันทั้งหอโดยถ้วนหน้า วันนั้นเหมือนมีเมฆดำปกคลุมทั่วหอ ทุกคนต่างหดหู่ยกเว้นแบมแบมที่นั่งกินช็อคโกแลตที่ได้มาจากสาวๆอย่างมีความสุข....)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×