melodicind
ดู Blog ทั้งหมด

เรื่องเล่าชีวิตนักศึกษาแพทย์ปี4 ตอนที่ 2

เขียนโดย melodicind
 หากใครที่เคยอ่านบล็อคของผม อาจจะพอจำได้ว่าเมื่อ 1 ปีที่แล้วผมได้นำเรื่องราวของรุ่นพี่เกี่ยวกับชีวิตของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่4ที่ได้CPRคนไข้จริงครั้งแรก...

จนในวันนี้ ผมก็ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่4อย่างเต็มตัว
ในผลัดแรกของปีการศึกษานี้ตัวผมได้ขึ้นปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง ณ โรงพยาบาลศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ

วันพฤหัสบดี ที่29 มีนาคม 2555
8โมง ก็ได้ขึ้นมาบนวอร์ดตามปกติเหมือนทุกๆวัน
ซึ่งก็มาดูคนไข้ที่ได้รับไว้เมื่อวาน ก่อนที่อาจารย์จะมา มาถามอาการ มาตรวจร่างกาย
เพื่อเขียนใบprogress note ถึงความคืบหน้าของคนไข้ว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

วันนี้ก็เหมือนปกติทุกๆวัน มีคนไข้เต็มวอร์ดไปหมด
หัตถการต่างๆที่นักศึกษาแพทย์ต้องทำเป็นกิจวัตร ก็ยังมีให้ทำอยู่เรื่อยๆไม่ขาดสาย
ไม่ว่าจะเป็นทำEKG(เป็นการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ)  
การเจาะblood gas(เป็นการเจาะเลือดแดงเผื่อดูระดับของออกซิเจนในเลือด)
ไปจนถึงสวนทวารคนไข้เผื่อดูว่ามีตกเลือดในทางเดินอาหารหรือเปล่า
ซึ่งทำในบางรายที่สงสัย(แต่ได้ยินมาว่าคนไข้แผนกศัลยกรรมต้องทำทุกราย)
[[และอาจจะมีหัตถการที่ยากกว่านี้ถ้ามีรุ่นพี่Internดูแลควบคุมอยู่ 
เช่นเจาะท้องระบายน้ำในผู้ป่วยท้องมานน้ำ ฯลฯ ]]

จน9โมง อาจารย์ขึ้นมาก็ราวด์วอร์ดกับอาจารย์ตามปกติ
ดูคนไข้เป็นรายๆไป ไล่ทีละเตียงจนครบ... ไม่ได้นั่งเลย
บางวันก็ถึงเที่ยง บางวันก็เกินเที่ยง

กินข้าวเสร็จบ่ายโมงก็เข้าเรียนlecture ต่อ
บ่าย3 ก็กลับขึ้นมาบนทำงานบนวอร์ด มาทำหัตถการที่รุ่นพี่ได้สั่งเอาไว้
และราวด์วอร์ดรอบเย็น...ดูคนไข้เหมือนเดิมแล้วอาจารย์ก็จะแจกเคสผู้ป่วยที่มาใหม่
ให้นักศึกษาแพทย์ตามความเหมาะสมที่นักศึกษาแพทย์ที่จะดูแลได้

จนบ่าย3โมงครึ่ง มีพี่พยาบาลเรียกพี่extern(นักศึกษาแพทย์ปี6)ให้ไปดูคุณยายคนหนึ่งที่ปวดท้องอยู่ที่ห้องปลอดเชื้อ ผมจำได้ว่าคุณยายคนนี้ผมเคยเข้าไปคุยด้วยบ่อยๆ
ผมจึงตามเข้าไปดูคุณยายดูแย่ลงมาก ดูเหนื่อยมาก พี่externเลย orderยา
อาการของคุณยายจึงดีขึ้น และอาจารย์ที่ตามเข้ามาดู ก็บอกให้ย้ายเตียงของยาย
มาอยู่ห้องรวมตรงกลางเพื่อที่จะดูแลได้ง่ายขึ้น
และคุยกับญาติว่าคุณยาย...จำเป็นจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

คราวนี้อาจารย์เป็นคนใส่ท่อช่วยหายใจด้วยตนเอง ด้วยฝีมือที่ชำนาญ
ไม่นานก็ใส่ท่อได้สำเร็จ ให้ผมฟังLung sound เช็คว่าท่อเข้าสู่ปอดได้โอเคแล้วหรือยัง
ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี ยายไม่เหนื่อยแล้ว แต่อาจารย์ก็ไม่วางใจ
สั่งผมทำEKGซ้ำ และเจาะblood gas และอาจารย์ก็ไปดูคนไข้คนอื่นต่อ

ตอนที่ผมมาทำEKGคุณยายยังรู้ตัวดี ระหว่างทำผมก็คุยกับญาติคุณยายไปเรื่อยๆ
เสร็จปุ๊บ ก็เตรียมเซ็ตเจาะblood gasต่อ แล้วก็กลับมาที่เตียงคุณยายอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก

แล้วทุกอย่างก็เริ่มผิดสังเกต เมื่อผมคลำradial pulseไม่เจอ
(มันคือชีพจรที่ข้อมือครับ)แต่ผมไม่ได้เอะใจเพราะผู้ป่วยบางรายที่อาการหนัก
อาจจะคลำradial pulseไม่ได้เหมือนกัน
ซึ่งการblood gas ก็ต้องเปลี่ยนไปเจาะที่femoral arteryแทน
(คือเส้นเลือดแดงที่ขาหนีบ) แต่ผมก็คลำชีพจรที่ขาหนีบไม่ได้เช่นกัน

คราวนี้เอะใจแล้วเพราะคุณยายดูแน่นิ่งไป ไม่เหมือน5นาทีก่อน
และเมื่อสัปดาห์ก่อนผมก็เจอกรณีที่ผมคลำชีพจรคนไข้ไม่ได้
แล้วคนไข้หัวใจหยุดเต้นไปต่อหน้าแบบนี้เหมือนกัน
จึงรีบตามพี่externและอาจารย์มาดู

"คนไข้arrestแล้ว น้องไปตามเพื่อนมาช่วยกันCPRเร็ว"

ด้วยคำสั่งของอาจารย์ผมรีบไปตามเพื่อนๆขึ้นมาช่วยกันปั๊มหัวใจ
พยาบาลที่วอร์ดก็วุ่นวายรีบเซ็ตอุปกรณ์กันวุ่น
[arrest แปลว่า หัวใจหยุดเต้นครับ ส่วน CPR แปลว่า ปั๊มหัวใจ]

ตัวผมที่กำลังตกใจ แต่ก็ตั้งสติไว้ให้นิ่งได้เพราะครั้งนี้คือครั้งที่2ของผมแล้ว
พี่Externได้ขึ้นปั๊มก่อน พี่internและอาจารย์คอยคลำชีพจรและฟังหัวใจ
และสั่งAdrenalineมาฉีดเพื่อช่วยคุณยายอีกแรง

ผมต่อแถวรอขึ้นปั๊มเป็นคนที่3
ในใจก็ภาวนาว่าคุณยายอย่าได้เป็นอะไรไปเลย
พอพี่พยาบาลที่ปั๊มคนที่2ลง ผมขึ้นปั๊มต่อทันที
คิดในใจว่าผมต้องตั้งใจเต็มที่ เพราะชีวิตคน1คน อยู่ในมือเราแล้ว

16.20 น.
สุดท้ายชีพจรคุณยายก็กลับมา ญาติคุณยายต่างดีใจ
แต่ทุกอย่างก็ยังไม่จบ เพราะต้องเฝ้าระวังไม่ให้ความดันคุณยายตก
และอาจหยุดหายใจไปอีก

อาจารย์ก็ได้สั่งเซ็ตvenous cutdown(ไม่รู้ว่าเรียกถูกมั้ยนะ
มันคือเซ็ตที่จะเจาะเส้นเลือดที่คอเพื่อเติมสารน้ำเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
เพราะปกติในภาวะฉุกเฉินแบบนี้การให้สารน้ำผ่านสายน้ำเกลืออย่างเดียวอาจไม่ทันการ)

16.30 น.
คุณยายก็หัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง

พยาบาลก็วิ่งวุ่นอีกครั้ง ส่วนนักศึกษาแพทย์ก็ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก
ก็เตรียมพร้อมCPRกันอีกครั้ง

"น้องเปลี่ยนให้เพื่อนน้องปั๊มบ้างก็ได้นะ" อาจารย์หันมาบอกผมเพราะเห็นผมกำลังไปต่อแถวรอปั๊มหัวใจและเห็นผมดูเหนื่อยๆ

"ไม่เป็นไรครับอาจารย์ ผมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่แรกที่คุณยายปวดท้อง
ให้ผมช่วยคุณยายนะครับ"ผมหันไปบอกอาจารย์ แต่อาจารย์ก็ไม่ขัดแต่อย่างใด

ผมขึ้นปั๊มเป็นคนที่3เช่นเดิม คราวนี้ผมรู้สึกอ่อนล้ากว่าเดิมพอสมควร
ด้วยอากาศบนวอร์ดที่อยู่ชั้น8 อากาศร้อนมาก
เหงื่อผมไหลออกจะแทบทุกส่วนของร่างกาย
เพราะเสื้อกาวน์ที่สวมทับชุดนักศึกษาอีกทีหนึ่ง
แต่แรงผมยังไม่หมด ผมปั๊มต่อไป

ผมจำไม่ได้แล้วว่าปั๊มไปกี่ครั้ง
ร่างกายมันรู้สึกล้าแล้ว
แต่ผมคิดว่าผมยังไหว แต่ผมต้องเปลี่ยนคนอื่นปั๊มต่อ
เพราะมันจะเป็นผลดีต่อตัวคุณยายมากกว่าถ้าผมฝืนต่อ

ขณะที่ผมกำลังลงจากเตียง หัวใจคุณยายกลับมาเต้นอีกครั้ง
ได้รับเสียงชื่มชมจากอาจารย์ พี่พยาบาล และรุ่นพี่

ผมดีใจที่ช่วยคุณยายไว้ได้เป็นครั้งที่2
แต่ครั้งนี้แย่กว่าเดิม เพราะครั้งนี้ ชีพจรคุณยายเบากว่าครั้งก่อนมาก
โอกาสหัวใจหยุดเต้นอีกครั้งมีสูงทีเดียว

อาจารย์ดูเคร่งเครียดและคุยกับญาติให้ทำใจ และถามว่าจะให้เจาะเลือดที่คอต่อไหม
ถ้าหัวใจหยุดเต้นอีกจะให้ปั๊มอีกไหม เพราะทางเราก็ยินดีช่วยเต็มที่

"ให้เค้าไปสบายเถอะค่ะคุณหมอ"

เป็นคำตอบของญาติที่ให้กับอาจารย์
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก็ได้ยินตรงกัน
ก็ได้หลีกทางให้ญาติเข้าไปให้กำลังใจคุณยาย

16.50น.
เหล่าพี่พยาบาล รุ่นพี่และอาจารย์ต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อไป
แต่ผมยังยืนอยู่ข้างๆเตียงคุณยาย กับญาติๆ

ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์เศร้า
ผมยืนมองคุณยายที่แน่นิ่งไป แต่หายใจอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ

"ขอบคุณคุณหมอมากๆนะ ที่วิ่งวุ่นตั้งแต่ที่คุณยายปวดท้อง"

คำขอบคุณจากญาติคุณยายคนหนึ่ง ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ผมพูดอะไรไม่ออก จึงขอตัวเดินออกมาจากตรงนั้น...


หลังจากนั้นผมไม่มีหน้าที่อะไร จึงลงวอร์ดมากลับหอ
แล้วทบทวนสิ่งๆต่างๆที่ผมได้เจอในวันนี้

จากเรื่องราวที่ผมเคยได้ยินรุ่นพี่เล่า ถึงสิ่งที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนต้องเจอ
และวันนี้ผมก็ได้เจอกับตัวเอง การเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของนักศึกษาแพทย์
คนไข้คือครูของเราทั้งนั้น...ตำราเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเล็กๆเท่านั้นเอง

เพราะคนไข้นั้นไม่เพียงแต่ทำให้เรามีความรู้เท่านั้น
แต่คนไข้ยังปลูกฝังวิญญาณของความเป็นแพทย์ให้แก่เรา
ปลูกฝังความรู้สึกให้เราอดทน
ปลูกฝังความรู้สึกให้เราอ่อนโยน
ปลูกฝังความรู้สึกให้เรารู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

เป็นสิ่งที่แพทย์ทุกคนพึงมี...




22.00 น. 20 มีนาคม 2555

หมายเหตุ : บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่มุมมองหนึ่งของนักศึกษาแพทย์
ให้แก่บุคคลทั่วไป และเป็นแรงกระตุ้นให้แก่เด็กนักเรียนที่มีความตั้งใจ
อยากจะเรียนแพทย์เป็นวิทยาทานเท่านั้น 
ไม่ได้มีเจตนาร้ายแก่ตัวผู้ป่วยต่อญาติผู้ป่วย
และเปิดเผยข้อมูลความลับของผู้ป่วยแต่อย่างใด


















ความคิดเห็น

for-fenejung
for-fenejung 29 มี.ค. 55 / 23:58
 ชื่นใจแทนพี่หมอเลยค่ะ ^-^

สู้ๆนะคะ
ความคิดเห็นที่ 2
สรรพสิ่ง สังขาร สู่ธรรมชาติ
ความคิดเห็นที่ 3
เป็นกำลังใจให้ต่อไปครับ ดีใจที่จะมีคุณหมอทั้งเก่งและจิตใจงาม สู้ๆ
ความคิดเห็นที่ 4
สู้ๆนะคะ เรียนให้จบ ยังมีอีกหลายคนที่ต้องการหมอที่ตั้งใจช่วยเหลือพวกเขา ^^
ความคิดเห็นที่ 5
ดีใจแทนคนไขนะคะที่จะมีหมอที่มีจิตใจดีงาม
ความคิดเห็นที่ 6
หนูอยู่ปี2ค่ะกำลังท้อจากการเรียนneuro มากๆ<br />
ขอบคุณบทความดีๆที่ทำให้มีเเรงสู้ต่่อ:Foungzanz
ความคิดเห็นที่ 7
อยากให้ลูกเป็นหมอคนนี้จังเลย
อ่านกลั้นนำ้ตาไม่ได้
ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณสำหรับบทความที่เหมือนเป็นกำลังใจทำให้ฉันสู้ พี่เป็นโชคดีมากรู้ไหมที่มีความรู้ที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่น ฉันฝันที่จะเป็นหมอในขณะที่ญาติพี่น้องไม่เห็นด้วย ว่าไม่มีปัญญาเรียนบ้าง ฝันเกินตัวบ้าง จนไม่เจียมบ้าง.....และอีกมากมายที่ทำให้ฉันเคยท้อ แต่วันนี้ฉันจะพิสูจน์ พิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นให้ได้ว่า เป็นหมอต่อให้ลำบากขนาดไหน ฉันจะเป็นให้ได้เพราะหัวใจของฉันเป็นหมอ ยังมีคนไข้อีกเป็นร้อยเป็นพันรอฉันอยู่ เรื่องอะไรฉันจะให้คำพูดของคนอื่นมาตัดสินอนาคตของฉัน
สุดท้ายอยากบอกพี่ที่เขียนกระทู้นี้ว่าขอบคุณค่ะ เรื่องที่พี่เขียนทำให้ฉันเชื่อว่าสิ่งที่ฉันคิดมันถูกต้องแล้ว...และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจอปัญหาเหมือนกัน สู้ๆนะคะ ฉันขอไปทำตามความฝันก่อน
SuperNova
SuperNova 10 ม.ค. 56 / 21:51
 ตามมาจากบอร์ดค่ะ กดเข้ามาอ่านเรื่อยๆ เผลอกดเจอบทความนี้... ดีใจมากที่ได้อ่าน เป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องเสียสละและมีความรับผิดชอบมากมาย ทั้งยังแฝงไปด้วยความรู้สึกดีดี ขอให้เป็นหมอที่ดีต่อไปนะค่ะ ^^
melodicind
melodicind 11 ม.ค. 56 / 12:54
ถึงน้อง rep 8
ชีวิตการเป็นหมอนะ จะมีความรู้สึกอยู่2แบบที่อาชีพ หรือวิชาชีพอื่นไม่เจอเหมือนเรา หรือเจอน้อยกว่าเรา คือ
1. ความสุขและอิ่มใจอย่างเป็นที่สุด ที่เราทำให้คนใกล้ตาย กลับมามีชีวิตได้ หรือคนที่ไร้หนทาง แต่ทำให้เขากลับมามีแสงสว่างใหม่ได้อีกครั้ง
2. ท้อแท้ใจอย่างที่สุด...คือ ทำดี แต่คนอื่นไม่เห็นคุณค่า ด่าทอ ร้องเรียน ฟ้องร้อง

มันจะเจอวัฏจักรแบบนี้วนเวียนๆไปเรื่อยๆ
ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยแน่ๆครับ แต่ชีวิตเป็นหมอมันคุ้มนะพี่ว่า
okasaki
okasaki 4 ก.ย. 56 / 20:22
อ่านแล้วมีแรงฮึดอ่านหนังสือต่อค่ะ จากที่ท้อและเหนื่อยมาก
ขอบคุณพี่มากจริงๆค่ะ
พึมพำพรรณนา
พึมพำพรรณนา 3 มี.ค. 57 / 21:04
ขนลุกเลยค่ะพี่ พี่Born to be หมอ จริงๆ ตอนจบแอบน้ำตาปริ่มๆ สุดยอดค่ะ