คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : Chapter 23 :: Your Close Friends (100%)
Chapter 23
Your Close Friends
จงอินกับจื่อเทานัดเจอกันที่ร้านประจำ เราสั่งเมนูง่าย ๆ กินโดยไม่หยิบยกเรื่องไหนขึ้นมาพูดก่อน บรรยากาศปกติที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ตอนนี้คงมีแต่หวงจื่อเทาที่สัมผัสได้ถึงมัน จงอินไม่รู้ว่ากำลังถูกมองอยู่ จนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟเติมน้ำให้ เขาจึงเห็นว่าเพื่อนชาวจีนกำลังมองมาราวกับมีคำถาม
“ช่วงนี้เรียนหนักเหรอวะ”
“ก็เอาเรื่องอยู่ แล้วมึงล่ะ?”
“กูชิว ๆ ว่ะ ไม่มีวิชาให้เครียดเท่าไหร่” เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขณะมองใบหน้าเรียบเฉยของเพื่อนสนิท “กูเพิ่งไปเจอเซฮุนมา”
จื่อเทาไม่อยากจับผิดเลยว่าประโยคดังกล่าวทำให้ตะเกียบในมืออีกคนชะงักไป เด็กหนุ่มทิ้งช่วงเวลาอยู่เกือบชั่วอึดใจเพื่อปล่อยให้เพื่อนสนิทตั้งหลัก ถ้าหากมีเรื่องบางอย่างที่มันอยากพูดกับเขา
อาจจะห้าวินาที หรือสิบวินาทีที่เด็กหนุ่มใช้เวลาไปกับการรอ แต่หวงจื่อเทาคิดผิด เมื่อ คิมจงอินให้ความสนใจกับอาหารบนโต๊ะ มากกว่าการวางทุกอย่างลง แล้วพูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน
“เป็นไงบ้าง?”
โอเค... อย่างน้อยมันก็ไม่เลือกแกล้งตายไปเฉย ๆ
“เมื่อคืนกูไปกินเนื้อย่างกับพวกไอ้แทมิน แล้วเจอเพื่อนเก่ามันกับเซฮุน เลยอยู่นั่งดื่มด้วยกัน”
จื่อเทารู้สึกดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง หลังจากได้ฟัง ‘คำอธิบาย’ ซึ่งมันคงเรียกว่า ‘เรื่องเล่า’ เหมือนปกติเวลาเราคุยกัน ไม่ว่าไอ้จงอินจะจับได้ว่าเขาแปลกไปหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็ดีกว่าการเงียบเฉยไป
“ถึงว่าล่ะ อาการหมอนั่นแทบดูไม่ได้เลย” เด็กหนุ่มชาวจีนหัวเราะ “คงเมามากเลยดิเมื่อคืน”
จงอินยังคงแสดงให้เห็นว่าบทสนทนานี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเจ้าตัวยังคงสนใจอาหารมากกว่าการมองหน้าเขาแล้วตอบคำถาม “ดื่มเยอะก็ต้องเมาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
จื่อเทาเงียบไป บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกแคลงใจถึงไม่จางหายไปสักที ทั้งที่เพื่อนสนิทก็ให้คำตอบแล้ว แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีอะไรที่มันยังไม่พูดออกมา
“กูกะว่าจะแวะรับไปส่งที่มหาลัยแล้วค่อยมาเรียน แต่หมอนั่นดันป่วยซะได้”
เด็กหนุ่มตัวสูงยังคงจ้องเพื่อนสนิทที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาตั้งใจฟัง จื่อเทาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความหวาดกลัวในหัว ความสับสน ความสงสัย รวมไปถึงความนิ่งเฉยที่อีกฝ่ายมอบให้กับเขา
หวงจื่อเทาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เขามักจะโพล่งออกมาได้ง่าย ๆ เพื่อเค้นเอาความจริง แต่พอเป็นเรื่องนี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าเขากำลังเป็นใบ้ เมื่อคำพูดทุกอย่างมันจุกอยู่ที่คอ เพราะกลัวว่าถ้าถามออกไปแล้วจะได้คำตอบที่ไม่อยากฟัง
‘มึงกับเซฮุน...?’
คิดสิจื่อเทา คิดว่าคำถามในหัวตอนนี้คืออะไร?
‘มึงกับเซฮุนเป็นอะไรกันหรือเปล่า?’
‘มึงกับเซฮุนไม่ได้มีความลับกับกูใช่ไหม?’
‘เพื่อน กูกำลังรู้สึกแปลก ๆ เพราะเห็นกล่องดนตรีเครื่องนั้น บอกกูทีได้ไหมว่ามันไม่ใช่ของมึง’
‘กูเข้าใจถูกมาตลอดใช่ไหม ว่ามึงกับเซฮุนไม่ได้สนิทกัน’
คำถามเหล่านั้นถึงไม่มีความมั่นใจ และมีความกลัวแฝงอยู่ด้วย... มนุษย์เราก็แปลก พอถูกความหวาดกลัวเล่นงานเข้าให้ เรื่องราวมากมายที่ไม่เคยคิดก็ผุดออกมาเป็นร้อย ๆ ทั้งเรื่องที่อาจเป็นไปได้ และเรื่องที่ไม่มีทางเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เพราะว่าเรากลัว เราถึงกังวลว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น
ซึ่งหวงจื่อเทาได้แต่ภาวนาว่าความคิดบ้า ๆ เหล่านั้นมันจะไม่ใช่ความจริง
“มึงมีเรียนอีกทีกี่โมง”
“วันนี้ไม่มีแล้ว”
เป็นบทสนทนาธรรมดาที่ทำให้รู้สึกห่างเหิน จื่อเทายังคงมองคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ไม่เอาน่า... การคุยอย่างเปิดใจมันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว คิมจงอินคือเพื่อนสนิทของเขา และนั่นหมายความว่าต่อให้คนทั้งโลกจะคิดอย่างไร แต่ไอ้หมอนี่จะเป็นคนสุดท้ายที่จะหันหลังให้ผู้ชายอย่างหวงจื่อเทา
“อ้อ กูเจอไอ้นี่ในห้องเซฮุนด้วย”
“...”
จงอินมองรูปถ่ายบนหน้าจอมือถือที่อีกคนเอาให้ดู มันคือกล่องดนตรีเปียโนซึ่งมีหมีนั่งอยู่บนนั้น ชั่วอึดใจที่เด็กหนุ่มเงยหน้าสบตากับเพื่อนสนิท แววตาของหวงจื่อเทาไม่ได้ฉายความสงสัย แต่ก็ไม่ปกติจนรู้สึกได้
“เหมือนที่กูกับมึงซื้อพร้อมกันวันนั้นเลยนะว่าไหม?”
เด็กหนุ่มชาวจีนอยากให้เพื่อนปัดมือเขาออก แล้วบอกว่าเรื่องนี้มันไร้สาระเต็มกลืน ไอ้ของแบบนี้ไม่ว่าใครก็ซื้อได้ทั้งนั้น มันไม่มีความพิเศษอะไรสักนิด
แต่ความกลัวในวินาทีนี้คืออะไรรู้ไหม?
มันคือความจริงที่ว่าคิมจงอินไม่มีแฟนมานานแค่ไหนแล้ว แม้แต่การดูใจกับใครสักคนก็ไม่มี ไหนจะภาพห้องนั่งเล่น และห้องนอนของไอ้จงอินที่เขาเคยไปเหยียบนับครั้งไม่ถ้วน จนจำได้หมดแล้วว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน แต่หวงจื่อเทากลับจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกล่องดนตรีที่ซื้อไปพร้อมกันวันนั้นวางอยู่ในห้อง...
ไม่มี...
สิ่งที่หวงจื่อเทาได้รับกลับมาก็คือความว่างเปล่า เมื่อคนตรงหน้าหลุบสายตาลงแล้วกินข้าว โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรสักคำ
‘คุณหนูไม่สบายค่ะ เมื่อคืนไปดื่มกับเพื่อนมา เมาแอ้เลย คุณจงอินเลยพามาส่ง’
‘จงอิน... หมายถึงคิมจงอินน่ะเหรอ?’
‘ใช่ค่ะ’
‘ฉันดีใจจังเลยค่ะ ที่พวกคุณยังเป็นเพื่อนอยู่ ถึงต่างฝ่ายต่างจะมีเพื่อนใหม่ที่มหาลัยแล้ว’
‘พวกคุณ’ ที่ว่า... ไม่ได้หมายถึงหวงจื่อเทาคนเดียวหรอกเหรอ?
“เลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมเซฮุนด้วยกันไหม?” จื่อเทายังคงรอดูท่าทีอีกฝ่าย
“ไม่ล่ะ กูไม่ว่าง”
“ยุ่งเหี้ยไรนักหนาวะ ไปด้วยกันดิ” จงอินไม่ตอบคำถามอีก คาดว่ามันคงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของเขาที่ปะทุขึ้นมาอย่างคนเก็บอาการไม่อยู่ คนตรงหน้าเพียงแค่ชูนิ้วกลางเป็นการปฏิเสธ ราวกับอยากบอกให้หวงจื่อเทาหยุดเอาแต่ใจสักที
ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย ว่าทำไมไอ้จงอินยังนั่งหน้าตาเฉยทำเหมือนว่าเรื่องเซฮุนป่วยมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเดือดร้อน โอเค จากที่เขารู้ ทั้งคู่ไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่ แต่แล้วเพราะอะไรกันล่ะ ที่ทำให้ไอ้จงอินพาเซฮุนตอนเมาไปส่งถึงบ้าน ทั้งที่เพื่อนใหม่ของเซฮุนก็มีตั้งหลายคน
เพื่อนใหม่ที่เซฮุนบอกว่าเป็นคนดีและไว้ใจได้น่ะ... น่าจะฟังขึ้นกว่าคิมจงอินที่แทบจะไม่มองหน้ากันที่โรงเรียนไม่ใช่หรือไง?
“เมื่อตอนสาย ๆ กูเพิ่งคุยกับไอ้ชานยอลมา”
“อ่าฮะ” รู้ว่ากำลังทำตัวแปลกจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ เมื่อปกติหวงจื่อเทาจะต้องด่าเพื่อนที่ย้ายไปเรียนถึงอเมริกาก่อนเป็นการเปิดพิธีอยู่เสมอ
“มันฝากบอกมาว่า...”
“โอ๊ย!” เด็กหนุ่มชาวจีนกุมศีรษะตนเอง หลังจากถูกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตบเข้าอย่างจัง
“ของฝากอิมพอร์ตจากอเมริกา” จงอินยิ้มขำ มองหน้าเขาราวกับว่าบรรยากาศตอนนี้มันไม่มีอะไรน่าตึงเครียดเลยสักนิด
จื่อเทามองอีกคนที่ก้มหน้ากินข้าวต่อ ท่ามกลางเสียงบทสนทนาของโต๊ะด้านข้างที่ไม่ทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบจนเกินไป เขาไม่อยากคิดว่าเพื่อนสนิทกำลังเบี่ยงประเด็น แต่อีกใจ... ก็ไม่อยากทำให้ระหว่างเราอึดอัดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เขาทำได้แค่นั่งจมอยู่กับความคิดตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่จื่อเทารู้สึกว่าเขากับจงอินมีช่องว่างต่อกัน เด็กหนุ่มพยายามคิดว่าเป็นเพราะสังคมมหาลัยที่ทำให้เปลี่ยนไป แต่มันก็ไม่ใช่... เมื่อเรายังติดต่อกันอยู่ตลอด
แต่พอเป็นเรื่องของเซฮุน... ไอ้จงอินกลับแสดงท่าทีออกมาอย่างน่าสงสัย
‘อย่าดูถูกเซนส์ของผู้หญิง ที่กูรู้ไม่ใช่เพราะเดาเอาเองแล้วกัน’
‘ถึงรูปที่แคปจากเฟสไทม์จะไม่ชัด แต่ก็ดูออกว่าคิสเดอะเรนของมึงเป็นผู้ชาย’
‘ทำไมวะ มึงชอบผู้ชายแล้วพ่อใครตายหรือเปล่า อย่างมากสาว ๆ ในคณะก็แค่อกหัก’
‘ใครใจแข็งกว่าชนะเหรอวะ มึงลองคิดดูว่าอะไรที่ทำให้ทรมานกว่ากัน ระหว่างตัดขาดกันไปไม่ได้เจอกันอีก กับตอนที่มึงยังมีเขาอยู่ข้าง ๆ’
‘ทุกทางเลือกมีความทรมานที่ต่างกัน แต่มีทางหนึ่งที่ทำให้ทุกข์แต่ก็สุขไปด้วย’
‘จงอิน กูกับมึงเพิ่งเป็นเพื่อนกันได้ไม่นานก็จริง แต่กูเป็นห่วงมึงนะ คนพูดน้อยแบบมึงนี่อันตรายมาก บางอย่างถ้าไม่พูด คนอื่นก็ไม่เข้าใจหรอก’
‘พูดออกมาเหอะ ความรู้สึกของมึงอะ อย่าให้คนอื่นคิดแทน’
‘รักก็รักเอง เจ็บก็เจ็บเอง ใจเราแม่งใครจะมาดูแลให้ ถ้าไม่ดูแลใจตัวเองวะ’
คำพูดของคังซึลกิยังคงก้องอยู่ในความคิด หลังจากที่เขาเล่าเรื่องเหล่านั้นให้ฟัง แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ทำตัวเจนโลกก็พูดแทงใจดำเขาไปหลายหน เป็นครั้งแรกที่จงอินเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตนเองให้คนอื่นฟัง หลังจากเป็นฝ่ายรับฟังมาตลอด
หลายครั้งที่ซึลกิถอนหายใจกับปัญหาเรื้อรังของเขา ที่ไม่ว่าใครก็คงปวดหัวถ้าเจอกับตัวเอง ครั้นจะให้บอกไอ้เทาไปตรง ๆ ตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะจงอินตัดสินใจบอกเลิกเซฮุนไปแล้ว
และปัญหาในตอนนี้ก็คือความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่สามารถทิ้งไปจากหัวได้ พอรู้ว่าเซฮุนไม่สบาย เขาก็พาตัวเองมาถึงมหาวิทยาลัยยอนเซจนได้ ขายาวหยุดยืนอยู่กับที่ พลางมองไปยังนักศึกษาซึ่งเดินเข้าออกทางหน้าประตูอยู่ตลอด
มีไม่กี่ครั้งที่คิมจงอินทำอะไรโง่ ๆ โดยไม่ผ่านการวางแผน อย่างเช่นการปล่อยให้ซึลกิโทรถามถึงอาการของเซฮุนจากเพื่อนใหม่ที่อยู่ยอนเซ เขาจึงได้รู้ว่าคนตัวผอมฝืนตัวมาเรียนทั้งที่ยังไม่หายดี
แต่การยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ มันก็โง่เต็มกลืน
โทรหาเหรอ? ตัดข้อนี้ทิ้งไปเลย เซฮุนคงไม่รู้สึกดีนักถ้าได้เห็นเขาอีกครั้ง จงอินยังจำสีหน้าและแววตาตอนที่อีกฝ่ายระเบิดความรู้สึกออกมาเมื่อคืนได้ แต่จะให้เดินเข้าไปตามหาก็คงไม่ใช่วิธีที่ดี ใช่... การไปเจอกันซึ่ง ๆ หน้าด้วยวิธีไหนมันก็ไม่โอเคทั้งนั้น แต่คิมจงอินก็ยังหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้อีกว่า... งั้นเขามาที่นี่เพื่ออะไร
“...”
เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิด ทันทีที่เห็นคนตัวผอมเดินออกมาจากหน้าประตูมหาลัย ขายาวเดินตามหลังอีกคนไปเรื่อย ๆ โดยไม่ให้รู้ตัวจนถึงป้ายรถเมล์
จงอินก้าวขึ้นไปอย่างไร้เหตุผล เขาใช้จังหวะที่คนอื่น ๆ กำลังเลือกหาที่นั่ง แทรกตัวเข้าไปก่อนจะนั่งลงตรงเบาะหลังคนตัวผอม เสียงกระแอมไอเบา ๆ และศีรษะที่เอนพิงกับกระจกบ่งบอกถึงอาการป่วยที่ยังไม่ดีขึ้น
ด้วยสถานะที่เป็นอยู่ทำให้จงอินทำได้แค่มองเซฮุนจากด้านหลังเท่านั้น เด็กหนุ่มกำมือเข้าหากันแน่น กับความกดดันที่ต้องหักห้ามใจตัวเองให้อยู่ในขอบเขต เขาอยากย้ายไปนั่งข้างหน้า แล้วประคองศีรษะทุยให้ซบลงกับไหล่ของเขาจนกว่าจะถึงบ้าน เหมือนอย่างที่เราเคยเป็น
แต่สิ่งที่คิมจงอินทำได้ในตอนนี้ก็คือการยื่นมือไปรองไว้ กันไม่ให้ศีรษะของเซฮุนโขกกับกระจก เชื่อเถอะว่าถ้าอีกฝ่ายยังไม่หลับ เขาก็คงไม่กล้าทำอย่างนี้ คนป่วยยังคงไม่รู้ตัว แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดี จงอินปล่อยให้ความเย็นจากฝ่ามือช่วยทุเลาความร้อนจากแก้มอีกฝ่าย ไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่นที่กำลังมองมายังเขา
ขอแค่ตอนนี้เท่านั้น
เด็กหนุ่มลืมตาพร้อมความรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะ น้ำลายในปากขมจนไม่อยากกลืนและร่างกายที่อ่อนแรงจนขยับตัวยังลำบาก เซฮุนรั้นอย่างที่ลูน่าว่าจริง ๆ นั่นแหละ แต่เขาไม่อยากฟุ้งซ่าน เอาแต่คิดถึงหน้าจงอินและเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น ทั้งเสียง ทั้งสัมผัสจากมือนั้น แม้จะเป็นการบังคับ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเซฮุนคิดถึงสัมผัสของจงอินจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
โลกอาจจะกลมเกินไป ที่เหวี่ยงเราให้กลับมาเจอกันอีกครั้งทั้งที่ต่างฝ่ายต่างเดินไปไกลจากจุดจบมากแล้ว เซฮุนพยายามปลอบใจตัวเอง ว่าความบังเอิญที่เกิดขึ้นมันก็แค่ข้อพิสูจน์ความเข้มแข็งที่ทุกคนควรผ่านมันไปให้ได้ แต่เด็กหนุ่มขอโทษหัวใจ ที่นอกจากการพยายามฝืนใจแล้ว เขาก็ยังคาดหวัง
ว่าเราจะได้เจอกันอีก... ทั้งที่บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเมื่อคืนมันควรเป็นครั้งสุดท้าย
หลับตาไล่ความคิดบ้า ๆ ออกไป เซฮุนไม่ชอบความย้อนแย้งในหัวที่พยายามดึงเขาให้ไขว้เขว เด็กหนุ่มทอดสายตามองออกไปบนท้องถนน นึกโล่งใจที่ยังไม่เลยป้าย ถ้าเผลอหลับนานไปกว่านี้คงต้องเสียเวลาอีก
คนตัวผอมขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกได้ว่าตอนนี้ศีรษะของเขาแนบอยู่กับเสื้อตัวหนึ่งซึ่งม้วนคั่นกลางอยู่ระหว่างกระจก ความสงสัยเกิดขึ้นจนทำให้นึกย้อนกลับไปว่ามันมาจากไหน ในเมื่อเขาไม่เคยมีเสื้อตัวนี้ และจำได้ว่าไม่เคยถอดออกมารองศีรษะ
แต่โลกของเซฮุนก็หยุดหมุน เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เขาคุ้นเคย
หัวใจเต้นเร็วแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกมา เซฮุนรีบหันซ้ายขวา กวาดสายตาไปรอบ ๆ รถเมล์แล้วก็พบแค่ผู้โดยสารซึ่งกระจายตัวนั่งอยู่ทุกทิศทาง ด้านหน้าไม่มีใคร ด้านหลังก็ว่าง เซฮุนไม่พบเจ้าของเสื้อตัวนี้ และเขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นัยน์ตาร้อนผ่าวก่อนที่น้ำตาจะร่วงลงบนเสื้อแขนยาวสีกรมท่าซึ่งถูกสองมือกำไว้แน่น เด็กหนุ่มกระพริบตาเพื่อให้ภาพตรงหน้าชัดขึ้น ไหล่ทั้งสองข้างห่อลงพร้อมกอดเสื้อไว้แนบอก
เซฮุนกดริมฝีปากลงกับเสื้ออุ่น ๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาตราบเท่าที่ใจต้องการ
60%
“หน้าหงิกเชียวนะมึง เจอเด็กวิดวะเครื่องกลกวนตีนอีกแล้วเหรอ”
อดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นพ่อสุดหล่อประจำคณะพละศึกษาปิดล็อกเกอร์ซะลั่นห้องเปลี่ยนชุด จากสภาพไม่น่าจะพ้นเรื่องมีปากเสียงกับพวกวิศวะเครื่องกล ที่เคยแลกหมัดกันไปนิดหน่อยเพราะต่างฝ่ายต่างเหม็นขี้หน้ากัน แต่ฝั่งนั้นยังไม่แม่นพอ เลยโดนซัดไปหลายหมัด ส่วนไอ้เทามีรอยฟกช้ำบนโหนกแก้มนิดหน่อย
“เปล่า เรื่องพวกส้นตีนนั่นไม่ได้อยู่ในหัวกูแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“เหยดดดดดดด หล่อมากกกกค่า”
เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มปีหนึ่งในห้องเปลี่ยนชุดดังกึกก้องไปทั่ว จื่อเทาสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อกันลม รูดซิปขึ้นจนสุดถึงคอพลางถอนหายใจไล่ความฟุ้งซ่านในหัว แม้จะข้ามคืนไปแล้ว แต่เรื่องเหล่านั้นก็ยังไม่ไปไหน
“ช่วงนี้มันเครียด ๆ น่ะ อกหักดังเป๊าะ”
“หล่อ ๆ อย่างไอ้เทายังมีคนกล้าปฏิเสธอีกเหรอวะ งั้นพวกเราคงไม่เหลือ”
“จีบผู้ชายก็งี้แหละ ไม่ลองกลับใจชอบผู้หญิงดูล่ะ ไหน ๆ ก็เคยลองมาหมดแล้ว”
เพื่อน ๆ ยังคงให้ความสนใจกับเรื่องราวของหนุ่มหล่อประจำคณะพละศึกษา แม้จะมีกระแสว่าเป็นเกย์ แต่เจ้าตัวก็ไม่ปฏิเสธแล้วปล่อยให้มันเป็นไป หวงจื่อเทาไม่จำเป็นต้องแก้ข่าวกับเรื่องที่เป็นความจริง
“กูชอบเขามากจนสงสัยว่าทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรกับคนอื่นเลย เพราะงั้นพวกมึงเชื่อเถอะว่าถ้ามีใครสักคนเข้ามาทำให้กูชอบได้มากกว่า สาบานเลยว่ากูจะไม่ลังเล”
ทุกคนต่างเงียบ ไม่มีใครส่งเสียงแซวคนตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์อีก พวกเขามองหน้ากันและกัน และนึกได้ว่าไม่ควรถามซอกแซกต่อไปหากไม่อยากให้คนเจ้าอารมณ์ต้องโมโห เด็กหนุ่มเอกพละทยอยเดินออกไปจากห้องเปลี่ยนชุดจนตอนนี้เหลือแค่จื่อเทาคนเดียว
เด็กหนุ่มตัวสูงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวกลางห้องพร้อมก้มหน้าลง แทบนับไม่ได้แล้วว่ามันกี่ครั้งที่เขาเอาแต่ถอนหายใจ ตั้งแต่เกิดความสงสัย เขาก็ไม่สามารถบอกตัวเองให้มองในแง่ดีได้อีก มนุษย์เราก็แปลก พอมีเรื่องคาใจ เรื่องเก่า ๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็ผุดมาให้โยงเป็นเรื่องเป็นราว
อย่างเช่นเหตุการณ์วันนั้น คืนวันที่ดื่มเลี้ยงส่งไอ้ชานยอลก่อนไปอเมริกา พวกเรารำลึกความหลังตั้งแต่ตอนเพิ่งรู้จักกัน ไปจนถึงความน่าอับอายที่พอพูดถึงทีไรก็หัวเราะจนปวดท้อง
พอตกดึกก็เริ่มเล่นเกมกัน มันคือเกม ‘เอาให้ตาย’ ที่คนถามต้องไล่ต้อนยังไงก็ได้ให้คนถูกถามจนตรอกพูดไม่ออก หากใครแพ้ต้องดื่มมากกว่าปกติสองเท่า เริ่มต้นเกมด้วยเสียงหัวเราะ เพราะไอ้ชานยอลแพ้ตั้งแต่ยังต่อความไม่ถึงไหน กับคำถามที่มันเป็นฝ่ายยิงไปเองว่า
‘ไอ้จงอิน ความฝันสูงสุดของมึงคืออะไร’
‘ฟันน้องชายมึงก่อนที่มันจะอายุสิบแปด’
‘ไอ้สัด’
‘แบบนี้เรียกตายไหม?’
ไอ้ชานยอลสบถด่าอย่างหัวเสีย ส่วนเขาเอาแต่หัวเราะอย่างสะใจกับหมัดฮุคของไอ้จงอินที่โค่นพี่ชายสุดปากแข็งได้ เรายังคงสนุกกันอยู่ จนกระทั่งถึงคราวที่ไอ้จงอินเป็นฝ่ายต้องถาม แน่นอนว่าหวงจื่อเทาถนัดนักเรื่องตอบกวนประสาท
‘เมื่อไหร่มึงจะเลิกชอบเซฮุน’
‘เลิกทำห่าไรล่ะ กูอยากเป็นแฟนเขา’
‘มึงคิดอย่างนี้ แต่ก็ไม่เลิกกับพี่มินซอก?’
‘อย่าพูดว่าเลิกดิ เคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าพี่น้องกัน’
‘คนที่นอนด้วยกัน เขาไม่เรียกอย่างนั้นหรอก มึงก็รู้’
‘เออ ไม่ใช่พี่น้องก็ได้ ให้เรียกว่าอะไรล่ะ คู่ขาไหม?’
‘แล้วมึงไม่คิดจะเลิก?’
‘ก็พี่เขาเอาเก่งดี’
‘นี่คือเหตุผลของมึงเหรอ?’
‘มันต้องมีอย่างอื่นด้วยไงวะ? เออ พี่เขาเข้าใจกูทุกเรื่อง’
‘เข้าใจทุกเรื่องแล้วเซฮุนคืออะไร’
‘ก็คนที่ชอบ กับคนที่เข้าใจแม่งไม่ใช่คนเดียวกันนี่หว่า’
‘มึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ แต่ยังเสือกอยากได้ความรักดี ๆ เหรอวะเทา?’
‘...’
‘มึงบอกว่าชอบเซฮุนมาก มึงเศร้าที่เขาไม่ตอบรับความรู้สึกของมึง แต่ดูตัวเองสิ’
‘...’
‘นอนกับคนอื่นด้วยเหตุผลโง่ ๆ แล้วอ้างคนที่ชอบกับคนที่เข้าใจเพื่อไม่ให้ตัวเองดูแย่’
‘...’
‘มึงช่วยแคร์ความรู้สึกคนอื่น เหมือนที่เขาแคร์มึงได้ไหม?’
‘...’
‘เฮ้ย จงอิน มึงใจเย็นก่อน’
‘คนที่แคร์ว่ามึงจะเสียใจน่ะ มึงช่วยคิดถึงตรงนั้นบ้าง’
วันนั้นคิดว่าไอ้จงอินคงเมา เลยพ่นความไม่พอใจทั้งหมดออก เขาก็รู้ว่าไอ้เวรนั่นไม่เคยเห็นด้วยที่เขามีเซ็กส์กับคนอื่นโดยไม่นึกถึงเรื่องของความรู้สึก มันยกโซจูสี่แก้วกระดกอย่างไม่กลัวเมา ทั้งที่ยังไม่ตัดสินว่าใครเป็นคนแพ้
และคำพูดของมันในวันนั้น ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้โยงเข้าหาความคาใจในวันนี้
“...”
“ดึกสวัสดิ์”
เซฮุนมองเพื่อนชาวจีนที่ยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่หน้าห้อง ก่อนจะถือวิสาสะเข้ามาด้านในพร้อมปิดประตูให้ คนตัวผอมขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายที่อยู่ ๆ ก็ยิ้มแล้วเอามืออังหน้าผากกับซอกคอของเขา
“อาการเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้ว” คนป่วยเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินไปขึ้นเตียง จื่อเทายิ้มเก้อ ค้างอยู่ท่านั้นครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไปนั่งด้วย แล้วมองอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับโน้ตบุ๊ก
“พักผ่อนก่อนน่า อย่าเพิ่งฝืน”
“ไม่ได้หรอก อีกไม่กี่วันก็ถึงเดธไลน์แล้ว”
“ให้ช่วยไหม”
“เรียนเอกพละแล้วว่างหรือไง” จื่อเทาหลุดขำออกมา อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปหยิกแก้มคนป่วยจนถูกปัดมือออก เขาชอบเวลาเซฮุนทำหน้าเหวี่ยงแบบนี้ อย่างน้อยหวงจื่อเทาก็ได้อยู่ในสายตาของเซฮุนในช่วงเวลาหนึ่ง
เด็กหนุ่มตัวสูงทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ คนป่วยที่ยังเอาแต่คลิกเมาส์อย่างตั้งใจกับงานตัดต่อ ปล่อยให้ความเงียบเดินไปพร้อมเข็มยาวที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเหมาะสม
“เซฮุน”
“หืม”
“ฉันชอบนาย” เสียงคลิกเมาส์หยุดลง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้คนป่วยกำลังทำหน้าแบบไหนแม้ว่าจะไม่หันมามองกันเลยสักนิด “ขอโทษที่ทำให้อึดอัด แต่ฉันอยากพูดแบบนี้ทุกวันเลย”
“ขอโทษเหมือนกัน ที่ฉันรู้สึกลำบากใจทุกครั้งที่นายพูดแบบนี้”
“จะใจแข็งเกินไปแล้วนะ ถามจริงเถอะ นายไม่หวั่นไหวกับฉันบ้างสักนิดเลยเหรอ” จื่อเทาดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เขาเห็นว่าเซฮุนถอนหายใจ ก่อนจะหันมาสบตากัน
“อืม”
“เจ็บชะมัด” เด็กหนุ่มแกล้งเอามือกุมหัวใจ
“ถามอีกกี่ครั้ง ฉันก็จะตอบแบบนี้”
“เพราะฉันไม่ใช่สเปกนายเหรอ หรือเพราะมีคนที่ชอบแล้วจริง ๆ แต่คงไม่หรอกมั้ง... เพราะถ้ามีฉันก็ต้องรู้บ้างสิ รอบตัวนายจะมีใครสักกี่คนกัน?” เด็กหนุ่มชาวจีนมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เขารู้ว่ากำลังคาดคั้นเอาคำตอบอย่างคนเอาแต่ใจ เหมือนกับทุกครั้งที่หวงจื่อเทาดูน่ารำคาญ
“บางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ได้ แต่ไม่ใช่กับฉันหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“สำหรับนาย ฉันเห็นเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก และตอนนี้กับวันข้างหน้าก็เหมือนกัน”
“...”
“นายเป็นคนดี จื่อเทา”
“...”
“แต่การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจะถูกรัก เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”
เมื่อก่อนมีคนเคยถามว่าหวงจื่อเทาเคยอกหักบ้างหรือเปล่า เคยเจ็บกับสิ่งที่เรียกว่าความรักบ้างไหม ตอนนั้นเขาแค่หัวเราะ พร้อมบอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกกับสิ่งที่เรียกว่าอกหักเลยสักครั้งเดียว
แต่ตอนนี้เขาขอเปลี่ยนคำพูด เมื่อตอนนี้หวงจื่อเทากำลังรู้สึกชาไปทั้งตัว และคาดว่าหัวใจก็เช่นกัน เด็กตัวสูงนั่งนิ่ง จากที่เคยถูกเซฮุนปฏิเสธมาตลอดปี แต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ว่ามันชัดเจนและเจ็บมากที่สุด
“ฉันไม่เข้าใจหรอก ฉันชอบนายมากขนาดนี้แล้ว รับผิดชอบความรู้สึกกันบ้างสิ”
“ฉันจะรับผิดชอบยังไง ในเมื่อความรู้สึกของฉันมันก็พังไม่เป็นท่ามาตั้งนานแล้ว”
ความกลัว ความสงสัยทุกอย่างกลับมาเล่นงานหวงจื่อเทาอีกครั้ง เขามองเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้น พร้อมร้องขอให้เซฮุนลังเลและคิดใหม่อีกที เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าความเจ็บปวดที่เป็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพราะถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเพราะความกลัวที่น่าจะรู้อยู่แก่ใจ
ความกลัวที่ว่า... เพื่อนของเขากับเซฮุน...
จื่อเทาโอบใบหน้าคนตัวผอมเอาไว้ สบตากันเป็นการบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อปรับองศา ปิดเปลือกตาลงกับไพ่ตายใบสุดท้ายที่เขาฝืนมัน
“ถ้านายทำ ก็ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันอีก”
คล้ายว่าเป็นประโยคคำสั่งที่ทำให้จื่อเทาชะงักลง เด็กหนุ่มค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าออกมา ก่อนจะพบว่าสีหน้าเซฮุนตอนนี้ไม่มีท่าทีขลาดอายเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกอีกฝ่ายควักหัวใจออกมา แล้วฉีกมันจนเป็นชิ้น ๆ ด้วยแววตาเฉยชาคู่นั้น ที่ไม่หลงเหลือความหวังใด ๆ ให้อีก
“พอเถอะ”
“...”
“เราเหนื่อยกันมามากแล้ว จื่อเทา”
ขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือถูกยกดื่มไม่ให้ว่างปาก ท่ามกลางเสียงเพลงในผับที่ไม่ช่วยดับความโศกเศร้าในใจไปได้ จื่อเทาเจ็บจนแทบไม่อยากพบเจอใคร ไม่อยากรับรู้อะไรใด ๆ ทั้งนั้นหลังจากเดินออกมาจากบ้านอีกคน พร้อมตุ๊กตาหมีหน้าโง่ห้อยเหรียญทองที่เคยให้ไป แต่มันถูกเก็บไว้อีกห้องทั้งที่ห้องนอนของเซฮุนก็มีที่ว่างมากพอให้วาง
เขาโยนมันเข้าไปตรงเบาะหลัง ทั้งถีบทั้งผลักอย่างหมาขี้แพ้ที่ไม่รู้ว่าจะระบายอารมณ์ด้วยวิธีไหน ความรู้สึกบ้า ๆ นี่ถึงจะหายไป จื่อเทาไม่รู้ว่าที่อาการหนักถึงขนาดนี้เป็นเพราะความผิดหวัง หรือโกรธตัวเองที่ไม่กล้าตะโกนถามออกไปว่าคน ๆ นั้นคือคิมจงอินหรือเปล่า
เด็กหนุ่มกระดกเบียร์ขวดที่ห้าจนหมด ก่อนจะชูนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกบาร์เทนเดอร์ว่าเดี๋ยวกลับมา แต่ยังไม่ทันก้าวไปไหนก็ต้องผงะถอยหลังก้าวหนึ่งพลางยกมือขึ้นระดับหัวไหล่ ก้มมองเศษแก้วที่ตกแตกแล้วก็นึกในใจว่าคืนนี้คงมีได้แลกหมัดกับชาวบ้านอีกแล้ว
“อ้าว... หวงจื่อเทา?”
“...”
“เฮ้ย จำกูได้ไหม ฮวังกวังฮีไง ที่มึงเคยไล่กระทืบเมื่อปีก่อนอะ”
เด็กหนุ่มชาวจีนขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ พร้อมชี้หน้าอีกฝ่าย ไอ้เวรนี่คือเศษสวะในกลุ่มที่เคยปากดี ด่าว่าเขาว่ายน้ำไม่เอาไหนนี่หว่า “มึงมากับใครวะ?”
“เพื่อนที่มหาลัยว่ะ กูนึกว่ามึงไปเรียนเมืองนอกแล้วซะอีก”
“เมืองนอกห่าไรล่ะ” จื่อเทาส่ายศีรษะ พลางถอยออกก้าวหนึ่งเมื่อมีพนักงานเข้ามาเก็บเศษซากขวดเบียร์ “โทษที ขวดนี้เดี๋ยวกูเลี้ยงแล้วกัน”
“เออ”
จื่อเทาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ครู่เดียวก็กลับมานั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์กับกวังฮี เอาเถอะ การนั่งดื่มเบียร์กับคู่อริระดับอนุบาลก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก เขาเองก็ไม่ใช่พวกผูกใจเจ็บขนาดนั้น
“กูว่ามึงคงเข้าทีมชาติได้ง่าย ๆ เลย มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว”
“เรื่องนั้นยังไม่ทันคิดว่ะ ที่จริงกูแค่ชอบว่ายน้ำ แล้วก็ไม่อยากเรียนอะไรหนัก ๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะ
“จะว่าไปก็ตลกดีนะ พวกเราเคยเป็นเด็กกะโหลกที่เอาแต่ยกพวกต่อยกัน แล้วดูตอนนี้ดิ” กวังฮีหัวเราะ “เริ่มมองเห็นอนาคตกันบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อยล่ะวะ”
“มึงอยากเป็นอะไร”
“นักบิน” จื่อเทาแค่นหัวเราะกับคำตอบที่ได้ยิน พลางมองอีกคนด้วยสายตาเหยียด ๆ “เฮ้ย กูจริงจังนะ”
“อย่างมึงนี่เด็กเก็บกระเป๋าก็หรูแล้ว”
“โธ่มึง ตอนนี้กูตั้งใจเรียนมากนะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน”
“ขอให้สมหวัง ถ้าได้เป็นจริง ๆ ก็อย่าพาเครื่องบินตกแล้วกัน”
ทั้งคู่หัวเราะกับบทสนทนาที่ไม่ได้สนุกแต่ก็ไม่แย่ ชนขวดเบียร์แล้วยกขึ้นดื่ม ทำอย่างนั้นซ้ำ ๆ เพื่อมอมตัวเอง ปล่อยให้เสียงเพลงและแสงสีช่วยดึงบรรยากาศ แต่ก็ยังกลบล้างความทุกข์ในใจไม่ได้อยู่ดี
“เออ แล้วไอ้จงอินล่ะ ปกติพวกมึงตัวติดกันนี่”
“อยู่บ้านมั้ง มันเรียนนิติฯ คงเครียดกับสารพัดกฎหมาย” เขายกเบียร์ขึ้นดื่ม แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
“เออ น่าเชื่ออยู่ หล่อ ๆ ขรึม ๆ อย่างมันก็เหมาะอะไรกับความเป็นธรรมดี” กวังฮีอดที่จะยิ้มขำไม่ได้ “พวกมึงสองคนเหมือนแฝดกันจริง ๆ นะ”
“หืม? กูกับไอ้จงอินน่ะนะ?”
“เออดิ ไม่แปลกที่สาว ๆ จะกรี๊ด มึงเป็นด้านสีดำ ส่วนไอ้จงอินเป็นด้านสีขาว”
“ฮะ... หยินหยาง” จื่อเทาแค่นหัวเราะ กลิ้งขวดเบียร์ที่ดื่มหมดแล้วอย่างคนสิ้นคิด ก่อนที่ขวดใหม่จะตามมา
“กูพูดจริงนะ พวกมึงแม่งเท่ว่ะ คนนึงพระเอกขี่ม้าขาว อีกคนนึงก็มาแบบพระเอกหนังฮอลลีวูด”
“...” จื่อเทาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“โอเซฮุนโคตรโชคดี ที่ได้พวกมึงสองคนเข้ามาช่วยทั้งสองรอบ เล่นเอาพวกกูไม่กล้ายุ่งกับมันอีกเลย” ในหัวเกิดคำถามอีกครั้ง หลังจากหยุดทำงานไปชั่วขณะหนึ่งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“หมายความว่าไงวะ” กวังฮียกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ยาวนานสำหรับคนที่รอคำตอบ
“ก็ครั้งแรกที่พวกกูกับเซฮุนมีเรื่องกัน ไอ้จงอินก็เข้ามาช่วย ส่วนครั้งที่สองก็มึงไง”
จงอินเลือกนั่งแท็กซี่มากกว่าขับรถไปเอง เมื่อเพื่อนสนิทโทรนัดให้ออกไปเจอกันที่ผับแห่งหนึ่งในย่านคังนัม เด็กหนุ่มไม่ได้กลัวถูกมอม แต่มันคงไม่ดีแน่ถ้าไอ้เทาอ้วกใส่รถของเขาจนต้องส่งล้างอัดฉีด
เรานั่งดื่มกันเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกึกก้องจนน่าปวดหัว จงอินไม่ชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากขัดใจเพื่อนที่อยากเมาเต็มกลืน เด็กหนุ่มผิวแทนไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่เขาก็ไม่โง่จนดูไม่ออกว่าเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาหลายปีมีท่าทีแปลกไป
ไอ้เทาเมาแล้ว เขาจึงจัดการหิ้วปีกเพื่อนสนิทออกมาข้างนอกเพื่อรอแท็กซี่ ถ้าไอ้ชานยอลยังอยู่ คืนนี้คิมจงอินคงงานหนัก ก็ยังนับว่าเป็นโชคดีอยู่ แต่พอเปิดประตูออก ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดกับคนขับ ไอ้ขี้เมาก็เข้ามาปิดประตูซะเสียงดัง
“รีบกลับไปไหนวะ?”
“ก่อนถามช่วยดูสภาพตัวเองด้วย... ขอโทษครับลุง เราไม่ไปแล้ว”
จื่อเทาหัวเราะกับมารยาทที่เพื่อนสนิทมีให้คนขับแท็กซี่ เขายกมือขึ้นเป็นเชิงขอเวลานอก ก่อนจะโซซัดโซเซไปอ้วกจนไอ้จงอินต้องตามมาช่วยลูบหลัง เสียงถอนหายใจของจงอินนั้นชัดเจน แต่มันก็คงไม่เท่าหัวใจของเขาที่มันเต้นแผ่วลงจนเหมือนคนใกล้ตาย
“นั่งเป็นเพื่อนกูก่อนดิ อย่าเพิ่งกลับ”
“เออ”
จงอินยังคงช่วยเพื่อนทุเลาอาการมึนมา ด้วยการเอาของเก่าออกจนเหลือแค่น้ำย่อย พักหนึ่งเลยทีเดียวกว่าหวงจื่อเทาจะเรียกสติกลับมาได้ ทั้งคู่นั่งอยู่บนปูนที่สูงเกือบถึงระดับเอว พร้อมทอดสายตามองไปยังถนนเบื้องหน้าแล้วให้เสียงรถราช่วยกลบบรรยากาศ
“มึงอยากพูดอะไรกับกูไหม จงอิน”
“...”
“กูให้โอกาสพูด ก่อนที่กูจะชกหน้ามึง”
ทั้งที่เป็นฝ่ายกล่าวอย่างนั้น แต่หวงจื่อเทากลับรู้สึกเจ็บเสียเอง เด็กหนุ่มทั้งสองคนยังคงปล่อยให้เวลาเดินผ่านไป ซึ่งเขาจะคิดว่าไอ้จงอินคงต้องการเวลาเรียบเรียงความคิดก็ได้ถึงได้เงียบขนาดนี้
แน่นอนว่าหวงจื่อเทาต้องการฟังคำพูดสวยหรู มากกว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาต้องเสียใจจากเพื่อนสนิท
อะไรก็ได้ ที่ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไป
“กูกับเซฮุนเคยคบกัน”
“...”
รู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้ากลางอกเขาอย่างแรง และคนที่จับด้ามมันเอาไว้ก็คือคนที่ไว้ใจมากที่สุด จื่อเทาไม่อยากยอมรับเลยว่าเรื่องที่ได้ยินกับหูมันจะเป็นเรื่องจริง แม้จะระแคะระคายใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปตลอดเพราะมั่นใจว่าไม่มีทางเป็นเรื่องจริง
ไม่มีทางที่เพื่อนสนิทจะมีความสัมพันธ์ที่ก้าวข้ามไปไกลถึงขนาดนั้น กับคนที่เขาชอบมากที่สุด
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเคยคบ”
“เราเลิกกันแล้ว”
“ทำไมถึงเลิก”
“...”
“ตอบสิ”
“...”
“กูถามว่าทำไมถึงเลิก!”
เขารู้ว่ากำลังตะโกนใส่คนที่อยากรักษาน้ำใจไว้มากที่สุด แต่จื่อเทาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ความรู้สึกตอนนี้เต็มไปด้วยความน้อยใจ โกรธ ผิดหวัง ทุกอย่างปะปนกันไปหมดจนแยกแยะผิดถูกไม่ได้
“ทำไมกูถึงไม่รู้อะไรเลยวะจงอิน?”
“...”
“เราไม่เคยมีความลับต่อกันไม่ใช่เหรอ?”
จื่อเทากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนด้วยกัน จงอินไม่แม้แต่จะปัดมือเขาออกแล้วตะโกนด่ากลับมา อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้ว่าหวงจื่อเทาคิดผิดไป แต่แววตาเฉยชาคู่นั้นที่มองมามันกลับทำให้เจ็บกว่าเดิม แววตาคู่นั้นที่เหมือนกำลังบอกกับเขาว่าอยากทำอะไรก็เชิญ
“มึงก็รู้ว่ากูชอบเซฮุน แต่ทำไม-- !”
“กูคบกันก่อนที่มึงจะบอกว่าชอบเซฮุน”
“...”
“มึงจินตนาการไม่ออกหรอกว่าตอนนั้นกูสองคนกังวลเรื่องของมึงขนาดไหน”
บางที... หวงจื่อเทาก็ไม่แน่ใจว่าอะไรที่ทำให้เขาเจ็บกว่ากัน ระหว่างรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง หรือการฟังความจริงจากปากเพื่อนสนิทในตอนนี้
“กูผิดที่ไม่บอกมึงตั้งแต่แรก แต่ถ้ารู้ว่ากูกับมึงชอบคน ๆ เดียวกัน สาบานเลยว่ากูจะบอกมึงตั้งแต่วันแรกที่รู้ตัวว่าชอบเซฮุน”
“จะช้าหรือเร็วมันไม่สำคัญหรอก มันเหี้ยตรงที่กูไม่รู้อะไรสักอย่าง กูตามจีบเซฮุน กูเล่าทุกเรื่องให้มึงฟัง กูให้มึงช่วยเลือกของขวัญให้เขา กูทำทุกอย่างโดยที่ไม่รู้อะไรเลย”
“ถ้ากูรู้ว่ามึงชวนกูไปเพื่อเลือกซื้อตุ๊กตาให้เซฮุน มึงรู้ไว้เลยว่าวันนั้นกูจะไม่ไปด้วย” จงอินเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “เพราะสิ่งที่มึงเป็น สิ่งที่มึงแสดงออกให้เห็น มันทำให้กูเข้าใจว่าคนที่มึงชอบคือพี่มินซอก”
“...”
“กูผิดเอง”
“ยังไงต่อดีล่ะ บางทีถ้ารู้จากปากมึงโดยตรงกูอาจจะไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้ แต่มึงรู้อะไรไหมจงอิน?” จื่อเทากัดฟันกรอด “กูรู้สึกเหมือนถูกหลอก”
“...”
“บอกความจริงกับกูมันยากมากเหรอวะ กูอาจจะเสียใจ แต่ใช่ว่ากูจะรับไม่ได้”
“...”
“กูอาจจะเหี้ยกับทุกคน แต่คนที่กูไม่เคยคิดจะทำร้ายเลยก็คือไอ้ชานยอลกับมึง!!!”
“...”
“มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ไหม!!!”
ความรู้สึกของเราสองคน... ต่างพังจนไม่เหลือชิ้นดี
เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าจื่อเทาร้องไห้ น้ำตาไหลอาบแก้มกับเสียงที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง เด็กหนุ่มชาวจีนมือสั่น กำคอเสื้ออีกคนแน่นพร้อมง้างหมัดขึ้น โกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่หวงจื่อเทาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะชกอีกฝ่าย
จงอินแค่มองตาเขา พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่ได้บีบ คาดว่าเจ้าตัวคงพร้อมยอมรับถ้าหากว่าเขาเป็นศาลตัดสิน จื่อเทาหลุบสายตามองข้อมือของตนที่กำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่น มันถูกจงอินคว้าเอาไว้หลวม ๆ ขณะที่ยังจ้องหน้าเขาอยู่
“เอาเลย”
“...”
“กูจะยืนอยู่เฉย ๆ”
‘ก็ครั้งแรกที่พวกกูกับเซฮุนมีเรื่องกัน ไอ้จงอินก็เข้ามาช่วย ส่วนครั้งที่สองก็มึงไง’
ใครกันแน่ที่ผิด... ระหว่างไอ้จงอินที่ไม่พูดอะไรเลย หรือคนมาทีหลังอย่างเขา? จื่อเทาไม่เคยร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงออกว่ารู้สึกผิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเหมือนจะตายมากเท่านั้น เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นจนมือสั่น สัมผัสจากมืออุ่น ๆ ของเพื่อนที่กอดคอกันมาหลายปีทำให้หวงจื่อเทาอยากคิดว่าทุกอย่างในตอนนี้เป็นแค่ความฝัน
“เฮ้ย หวงจื่อเทา!”
ทั้งคู่หันไปตามเสียง ก่อนจะพบเงาชายห้าคนที่ยืนอยู่ในมุมมืดไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก จื่อเทาคลายมือออกจากคอเสื้ออีกคน เมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวขาออกมาใต้เสาไฟคือหนึ่งในกลุ่มเด็กวิศวะเครื่องกล
“ไปที่ไหนก็มีเรื่องที่นั่น มึงนี่มันสุดตีนจริง ๆ นะ”
“มาคนเดียวยังเปรี้ยวตีน หาเรื่องคนไปทั่วเลยน้า?”
“ไอ้ลูกหมาขี้พาล”
จงอินเห็นว่าคนข้าง ๆ กำลังกำหมัดแน่น คงไม่ต้องเสียเวลาคิดให้ยากว่ากลุ่มคนที่กำลังก้าวขาเข้ามาเป็นใคร เขารู้ว่าไอ้เทาไม่ใช่คนมีความอดทนมากนัก โดยเฉพาะตอนที่กำลังอยู่ในอารมณ์ดิ่งอย่างถึงขีดสุดในตอนนี้
“...!!!”
จงอินไม่เสียเวลาคิดนานแม้แต่วินาที เมื่อตอนนี้จื่อเทาเป็นฝ่ายวิ่งเข้าปะทะกับอีกฝ่ายที่มีมากกว่าหลายคน ขายาวถีบเข้ายอดอกฝั่งตรงข้ามจนหงายหลังล้มไปกับพื้น ตามด้วยซัดหมัดใส่ไอ้สารเลวที่เสนอหน้าเข้ามา
จงอินกับจื่อเทาหันหลังให้กันเพื่อตั้งรับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า หลายครั้งที่พลาดโดนชกจนล้ม แต่ก็ได้เพื่อนสนิทเข้ามาช่วยจนพลาดถูกลอบกัดจากข้างหลัง ทั้งคู่ไม่เคยบ้าดีเดือดขนาดนี้มาก่อน จื่อเทาซัดหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายจนเลือดกบปาก ในขณะที่จงอินถูกล็อกจากข้างหลัง ก่อนจะถีบสกัดอีกฝ่ายที่เข้ามาจากด้านหน้า
เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดตะลุมบอนแลกหมัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ระบายความอึดอัดในใจทุก ๆ เรื่องลงกับพวกเศษสวะที่ก้าวขาเข้ามายุ่ง ตอนนี้แต่ละคนต่างเลือดตกยางอกจนเสื้อสีขาวเต็มไปด้วยเลือด สะบักสะบอมจนแทบดูไม่ได้ แต่จื่อเทาก็ยังไม่หยุด แม้ว่าทั้งห้าคนจะไม่มีใครลุกไหวแล้ว
เซฮุนนอนกระสับกระส่ายมาหลายชั่วโมงแล้ว เขาปล่อยให้ความรู้สึกมากมายทำร้ายและสั่งสอนตนเองไปด้วย หลังจากปฏิเสธจื่อเทาไปอีกครั้ง โชคดีที่อีกฝ่ายไม่รบเร้าถามมาก ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอหลุดปากพูดชื่อจงอินไปคงแย่แน่ จนถึงตอนนี้ โอเซฮุนคนโง่ก็ยังไม่อยากให้สองเพื่อนสนิทรู้สึกขุ่นเคืองใจต่อกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ เขาก็ยังเป็นไอ้ขี้แพ้ที่กลัวทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ดี
คว้าเสื้อสีกรมท่าขึ้นมาดูใกล้ ๆ มันเป็นเรื่องบ้าบอที่โอเซฮุนคิดถึงคิมจงอินอีกแล้ว ผู้ชายคนนั้นใจร้ายจริง ๆ ที่ทำแบบนี้
เซฮุนรวบรวมความกล้าโทรหาอีกฝ่าย ระหว่างกดเบอร์โทรก็บอกกับตัวเองว่า ‘แค่โทรไปเพื่อคลายความสงสัยเรื่องเสื้อตัวนี้’ ถ้าไม่ใช่ก็ขอวาง แต่ถ้าใช่ก็อยากนัดเจอเพื่อที่จะได้เอาไปคืน แต่เด็กหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อพบว่าจงอินปิดมือถือ
“คุณหนูคะ คุณจื่อเทามาหาค่ะ” คนตัวผอมเลิกคิ้ว ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง แต่ก็พบแค่ป้าแม่บ้านยืนอยู่
“อ้าว... แล้วจื่อเทาอยู่ไหนครับ?”
“หน้าบ้านค่ะ เขาไม่เข้ามาน่ะ”
“อ้อ... ขอบคุณครับ”
เซฮุนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คนชอบแหกกฎทุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างหวงจื่อเทาน่ะเหรอจะรออยู่หน้าบ้านมากกว่าบุกเข้ามาหาเขาถึงหน้าประตูห้องนอน หรือว่าจะรู้สึกแย่เพราะเรื่องที่คุยกันไปเมื่อตอนหัวค่ำเลยไม่กล้าเข้ามา
ก็อาจจะใช่...
ขายาวก้าวลงไปข้างล่าง ใส่รองเท้าแตะแล้วเดินออกไปเปิดประตู แล้วก็เห็นแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เซฮุนหยุดยืนอยู่กับที่ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมา
“เดี๋ยวนะ... หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ”
คนตัวผอมก้าวเข้าไปใกล้ มองใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและคราบเลือดอย่างตกใจ เซฮุนยกมือขึ้นกึ่งป้องปากกึ่งชี้รอยแผล แต่จื่อเทากลับยิ้มบาง ๆ มากกว่าอธิบายให้เขาฟัง
“ยิ้มอะไร ฉันถามน่ะไม่ได้ยินเหรอ?”
“ฉันแค่รู้สึกดีที่เห็นสีหน้านายเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มตัวสูงเลียริมฝีปาก ก่อนจะนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ “ถ้าไม่เข้าใจผิด ฉันจะคิดว่านายเป็นห่วงฉัน”
“ไปฟัดกับใครมาอีกล่ะ กลิ่นหึ่งเลย เมาด้วยใช่ไหม?” เซฮุนมองคาดโทษ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ จื่อเทาก็รั้งเขาเข้าไปกอด
“อา... เจ็บเป็นบ้าเลย”
“นี่ หวงจื่อ--”
“อยู่เฉย ๆ สิ แค่นาทีเดียว”
เด็กหนุ่มชาวจีนหลับตาลง กระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นพร้อมฝังใบหน้าลงกับลาดไหล่อีกคน ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก
“ตัวนายเหมือนมีหนามปักอยู่เลย” จื่อเทาหัวเราะ “กอดแล้วเจ็บเป็นบ้า”
“ก็ปล่อยออกซะสิ”
“ฝันไปเถอะ” เด็กตัวสูงกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น เซฮุนรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทา และความชื้นจากเสื้อผ้าซึ่งเกิดจากเหงื่อ “นี่ เซฮุน”
“อือ”
“จำวันที่นายขึ้นแสดงละครเวทีได้ไหม?” เด็กหนุ่มตัวผอมไม่ได้ตอบคำถาม เขาแค่ยืนนิ่ง แล้วปล่อยให้อีกคนพูดทุกอย่างตามที่ต้องการ “ที่ฉันถ่ายทอดพลังให้กับนาย”
‘เอาพลังจากฉันไป แล้วค่อยเอามาคืนในวันที่ฉันสู้ไม่ไหวนะเซฮุน’
เซฮุนจำอ้อมกอดในวันนั้นได้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นกอดที่จื่อเทาให้ความหมายมากกว่าเพื่อน
“วันนี้ฉันมาขอคืนนะ”
“...”
“พลังที่ให้นายไปวันนั้น...” จื่อเทาผละอ้อมกอดออก สบตากับคนตรงหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ตอนนี้ฉันต้องการมันแล้ว”
“นายเป็นอะไรเนี่ย ร้องไห้ทำ--”
“ฉันรู้ทุกอย่างหมดแล้ว”
“...”
“เรื่องระหว่างนาย... กับเพื่อนของฉัน”
“...”
“ความลับทุกอย่าง”
“นายคงไม่ได้กำลังจะบอกฉันว่ารอยแผลทั้งหมดนี่...” เสียงของเซฮุนแผ่วลง พร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม น่าตลกสิ้นดีที่วูบหนึ่งเขาคิดว่าเซฮุนเป็นห่วง จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงคิดไปอีกอย่าง ว่าที่เป็นห่วงน่ะคือไอ้จงอิน... ไม่ใช่หวงจื่อเทา
เด็กหนุ่มตัวสูงกลืนน้ำลายปนเลือดลงคอ แล้วฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า “มันคือเหตุผลที่นายไม่รับรักฉันใช่ไหม?”
ไม่มีอีกแล้วแววตาเฉยชาของโอเซฮุน ตอนนี้มีแต่แววตาซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกผิด คนตัวผอมหลุบสายตาลง ปล่อยให้ความเงียบทำงานแค่ครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“โอเค”
“...”
“ฉันถามครั้งสุดท้าย” จื่อเทาหายใจเข้าลึก ๆ เบือนสายตาหลบไปอีกทางเพราะไม่สามารถถามและฟังคำตอบขณะสบตากับเซฮุนได้ “นายรักไอ้จงอินไหม?”
เขาเห็นว่าตอนนี้จื่อเทากำลังมือสั่น รวมไปถึงสันกรามที่ขบแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ เด็กหนุ่มตัวผอมยืนนิ่ง ในที่สุดเวลาที่เขากลัวมันก็มาถึง
“ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้” จื่อเทาค่อย ๆ ชำเลืองมองใบหน้าขาว ที่กำลังมองเขาอย่างไม่มีความลังเลอยู่เลย “จงอินคือคนเดียวที่ฉันรัก”
หวงจื่อเทาคิดถูกแล้ว ที่เขาเลือกมาหาอีกฝ่ายเพื่อที่จะเจ็บให้ตายภายในครั้งเดียว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร แต่พอได้ยินจากปากเพื่อนสนิทและคนที่ชอบ เขาก็เจ็บจนแทบยืนไม่ไหว
“นายสองคนทำแบบนี้ได้ยังไง?”
“มันเป็นความผิดของฉันเอง จงอินไม่--”
“จนถึงตอนนี้ยังปกป้องมันอีกเหรอ นายสองคนก็พอกันนั่นแหละ!”
เป็นครั้งแรกที่จื่อเทาตะโกนใส่หน้าเซฮุน ทุเรศสิ้นดีที่เขารู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวใจเสียเอง เพียงเพราะเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“ฉันไม่อยากรู้อะไรแล้ว รีบ ๆ ไปให้พ้นหน้าฉัน”
“...”
“ไปเดี๋ยวนี้เลย!”
เราไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน ราวกับว่าไม่อยากรับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกแย่แค่ไหน แต่โอเซฮุนก็ยังคงเป็นโอเซฮุน ที่ทำร้ายหัวใจหวงจื่อเทาตั้งแต่วันแรกที่สารภาพรัก จนถึงวินาทีนี้...
ที่อีกฝ่ายเลือกวิ่งออกไปข้างนอก มากกว่าการกลับเข้าไปในบ้านตัวเอง...
ขายาวก้าวไปตามตรอกลาดชันในเวลาตีหนึ่งครึ่งอย่างไม่เร่งรีบ จงอินมองคราบเลือดที่แห้งกรังบนหลังมือก่อนจะแตะนิ้วลงกับบาดแผลตรงโหนกแก้ม เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเจ็บจนไม่อยากสัมผัสมันอีก
จงอินทอดสายตามองไปตามทางเดินมืด ซึ่งมีแสงสว่างจากเสาไฟคอยนำทาง ที่น่าเป็นห่วงก็คงเป็นไอ้เทา แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็คือยืนมองมันขึ้นแท็กซี่ไปโดยไม่พูดอะไรอีก เราไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเอาชนะพวกนั้นได้แล้ว ไอ้บ้านั่นไม่ยอมหยุดแม้ว่าอีกฝ่ายจะร้องขอความเห็นใจ ตอนนั้นไอ้เทาคงคิดว่าคนพวกนั้นเป็นเขา ถึงได้ซัดไม่ยอมหยุด
สุดท้าย เราทุกคนก็เจ็บหนักเพราะสิ่งที่เรียกว่าความรักและความเชื่อใจ
หลังจากนี้คงเป็นเรื่องยาก ถ้าหากคิมจงอินอยากโผล่ไปให้หวงจื่อเทาเห็นหน้า เด็กหนุ่มไม่โกรธเพื่อนเลยสักนิด เพราะทุกอย่างมันเป็นไปตามที่คังซึลกิบอก ใช่ ความลับไม่มีในโลก และเรากลับไปแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกแล้ว
ขายาวหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นที่เด็กหนุ่มผิวแทนทอดสายตามองไป ก่อนจะได้คำตอบเป็นแววตาของอีกฝ่าย... ที่กำลังมองมายังเขา
ไม่มีการทักทาย ไม่มีคำพูดใด ๆ ที่เหมาะสมในเวลานี้ จงอินเดินเข้าหาอีกฝ่าย และทิ้งระยะห่างไว้สามก้าว พร้อมมองการแต่งตัวของอีกคน ที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้มีการเตรียมตัวก่อนมาที่นี่
“เสื้อตัวนี้...” เสียงของเซฮุนกำลังสั่น ขณะยื่นของในมือให้กับเขา เราสบตากันโดยที่ไม่มีใครหลบไปก่อน ไม่มีใครเดินหนี ไม่มีใครฝืนใจ และไม่มีใครคนหนึ่งต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ “ของนายใช่--”
จงอินดึงข้อมืออีกคนเข้ามากอดโดยไม่ให้ได้ตั้งตัว เซฮุนยืนนิ่งกับสัมผัสอุ่น ๆ ที่ห่างหายไปนาน ก่อนน้ำตาที่เหือดหายไปจะพรั่งพรูออกมาพร้อมความรู้สึกมากมาย ริมฝีปากสั่นเครือ รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าคนขี้แพ้อย่างโอเซฮุนจะกล้าผลักไสไป
จื่อเทาบอกว่าร่างกายของเซฮุนมีหนาม แต่มันคงไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อความจริงแล้วเราทุกคนโอบกอดกันและกันทั้งที่รู้ว่าร่างกายอีกคนมีหนามที่พร้อมสร้างความเจ็บปวดให้ เซฮุนค่อย ๆ กอดตอบคนตรงหน้า จนรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เขาฝ่ายเดียวที่คิดถึงจนแทบทนไม่ไหว ทั้งคู่กอดกันแน่นยิ่งขึ้น
พอกันทีกับความเข้มแข็ง ที่เราต่างพยายามสร้างมันขึ้นมาเป็นเกราะคุ้มกันให้ตนเอง
TBC
ที่จริงเขียนไปอีก 12 หน้าแล้ว แต่ขอยกไปตอนหน้าละกันค่ะ ตัดจบไม่ไหว 555555555555 ยาวเกิน นี่ก็ 51 หน้า 8,450 คำแล้น
ปล. ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อตอนนะคะ (ตอนแรกใช้ Your Room ขอใช้ชื่อนี้ตอนหน้าค่ะ อิอิ)
ความคิดเห็น