คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 04 :: I Hate Him (100%)
CHAPTER 04
I Hate Him
“คิดว่าจะไม่มาทำงานแล้ว พวกพี่ใจไม่ดีเลยรู้ไหม?”
“ใช่ นึกว่าถอดใจจนอยากลาออก ถ้าเป็นอย่างงั้นคงน่าเสียดายแย่ นาน ๆ ทีจะมีพนักงานหล่อ ๆ เข้ามาให้กระชุ่มกระชวยใจ”
คนตัวผอมเพียงยิ้มแห้ง ฟังเสียงรุ่นพี่ฝ่ายขายที่ให้ความสนใจเขามากกว่าอาหารในจานเสียอีก เซฮุนคิดว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงกลุ่มนี้ที่สงสัย กับการมาทำงานสายในวันที่สองของเลขาคนใหม่ ซึ่งคงไม่มีใครทำแบบนี้
“ที่จริงฉันก็คิดว่าบอสน่าจะไม่โอเคกับเลขาชาย แต่พอเห็นว่าเขาไปรับเซฮุนมาทำงานด้วยกันเท่านั้นแหละ ‘อ๊า บอสของเรานี่ใจดีจังเลยน้า’” พี่โซราป้องปากหัวเราะ
เซฮุนยังคงเจ็บแผลจนนั่งพิงหลังกับเก้าอี้ไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาก่นด่าเจ้านายเฮงซวยอยู่ในใจที่บังคับขู่เข็นเลขาที่สภาพไม่เต็มร้อยให้มาทำงาน จะออกก็ไม่อนุมัติ จะขอลางานก็ปฏิเสธ มันน่าโมโหไหมล่ะ?
หึ... ประหลาดนักก็โดนนินทาไปซะ คิมจงอินสมควรได้รับสิ่งเหล่านี้แล้ว
ตอนนั่งทำแผลก็ลับฝีปากกันจนไม่เหมือนเจ้านายกับลูกจ้าง แน่ล่ะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสิบแปดชั่วโมงโอเซฮุนก็คงยอมก้มหัวถ่อมตนและยอมรับสีหน้าและแววตาเรียบเฉยนั่นแต่โดยดี แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่ไปรู้ความลับเข้าจนต้องไสตัวมาทำงานเพราะถูกขู่แบบนี้
“ผู้ชายคงเข้ากันได้ง่ายน่ะเนอะ พวกพี่ก็กังวลจนลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป” กับผีอะไรล่ะ เถียงกันทุกประโยคสิไม่ว่า
ตั้งแต่ในห้องน้ำ ทำแผล นั่งรถมาบริษัท จนถึงตอนนี้โอเซฮุนยังไม่รู้เลยว่าคิมจงอินอายุเท่าไหร่ ทั้งนับแบบหมาป่าแบบคน ก็ไม่รู้สักอย่าง พอมานึก ๆ ดูระหว่างคุยกันเขาก็ถูกชักจูงไปเรื่องอื่นโดยไม่รู้ตัว กว่าจะกลับมาเรื่องเดิมได้ก็โดนตอกหน้ากลับมาว่า...
‘คุณกะจะรู้ทุกเรื่องของผมภายในวันเดียวเลยหรือไง อดทนหน่อยสิ การรอทำให้เรื่องนั้นมีความหมายนะ’
พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองกระเหี้ยนกระหือรือที่จะยุ่งเรื่องเจ้านายจนเกินขอบเขต ทั้งที่ความจริงก็แค่อยากคลายความคาใจเท่านั้น แต่คำพูดของคิมจงอินกลับทำให้มันดูมีความหมายแปลก ๆ ขึ้นมา อย่างกับว่าเขากำลัง -- สนใจ อะไรเทือก ๆ นั้น
*
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์กับการใช้ชีวิตเป็นเลขาหน้าห้องซีอีโอบริษัทน้ำหอมสุดฮอต เซฮุนจมกับงานบนโต๊ะโดยไม่มีเวลาว่างไปนึกถึงเรื่องอื่น ถ้าไม่นับที่ฝันว่าถูกไล่ล่าในป่าแล้วตกลงไปในเหวมืดจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เขาไม่ใช่คนที่จะเก็บเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใส่ใจหรอกนะ... แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเจ้านายไม่ใช่คน คำตอบจึงออกมาว่ามันก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่ในระดับหนึ่ง
ทั้งที่รถหน้าตาเหมือนเดิมแต่กลับรู้สึกไม่คุ้นเลยสักนิด โอเค ไอ้คันที่พังไปก็ยังไม่ชินกับมันหรอกแต่ไอ้คันนี้ก็ให้ความรู้สึกแปลกเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างประตูฝั่งคนขับ เหตุการณ์ตอนโดนจู่โจมโดยหมาป่าวันนั้นก็ผุดขึ้นมาให้ผวาอยู่เรื่อย
เซฮุนรู้สึกไม่เต็มร้อยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งมันคงไม่จางหายไปจนกว่าจะชินกับความเหนือธรรมชาติของเจ้านายหมาป่า
เมื่อช่วงสายเห็นโดคยองซูผู้ซึ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเจ้านายเข้ามาในบริษัท แต่ทุกคนเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นทนายประจำบ้าน แปลกดีใช่ไหมล่ะ นี่รวมพี่ชายแท้ ๆ ในช็อลลาใต้ที่มีลูกเป็นหมาป่าเด็กอีกสามตั -- เอ๊ย! คนด้วยนะ และอีกหลาย ๆ คนที่เจ้านายพูดถึง แต่เขาจำชื่อไม่ได้แล้ว ซึ่งการสร้างบทละครในชีวิตจริงนี้ คิมจงอินบอกเหตุผลมาว่าไม่อยากให้สังคมตั้งคำถามมากมาย ว่าทำไมตระกูลใหญ่ถึงคลอดลูกเยอะเป็นคอกอย่างน่าตกใจ
RRRrrrr!!!
เสียงโทรศัพท์ตรงมุมขวาโต๊ะดังขึ้น ทำเอาเลขาป้ายแดงสะดุ้งสุดตัวและค้างอยู่ในท่านั้น เซฮุนกลอกตาไปมาพลางกลืนน้ำลายลงคอ มองพนักงานชายหญิงที่เดินไปชงกาแฟแล้วก็ได้แต่บอกตัวเองว่าที่นี่ยังมีคนอยู่
“อะแฮ่ม... ครับ?” คนตัวผอมกดรับสาย พลางลูบใบหน้าตนเองเพื่อตั้งสติ
( เข้ามาหาผม )
พูดจบก็วางสายโดยไม่สนใจใยดีว่าเลขาคนนี้จะว่างหรือไม่ เป็นหมาป่าแต่ไม่มีตาทิพย์สินะ ถึงได้ไม่รู้ว่าบนโต๊ะของเลขามีงานล้นหัวอยู่แค่ไหน เป็นเจ้านายแล้วจะเอาแต่ใจกับลูกจ้างยังไงก็ได้งั้นสิ เซฮุนเบ้ปากใส่โทรศัพท์ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานกว้างของซีอีโอหนุ่ม
“มีอะไรครับ”
เขามองไปยังผนังกระจกใสเบื้องหน้าซึ่งดูเหมือนว่าเจ้านายคงอารมณ์ดีมากถึงได้นั่งชมวิวโซลฝนตกในยามบ่ายอย่างนั้น เพียงชั่วอึดใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้เขายืนเก้อ เก้าอี้สีน้ำตาลที่พนักสูงเลยศีรษะก็หมุนกลับมา พร้อมใบหน้าคมของหมาป่าในร่างคนซึ่งกำลังมองมายังเขา
“งานเลี้ยงสมาคมนักธุรกิจส่งออกที่คุณแจ้งผมไปเมื่อช่วงเช้านี่มันตรงกับวันไหนนะ?”
“เสาร์นี้ที่โรงแรมโอควูด พรีเมียร์ โคเอ็กซ์ เซนเตอร์ งานเริ่มหกโมงเย็นครับ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้คุณยืนยันภายในวันพรุ่งนี้ ผมจะได้คอนเฟิร์มกับทางนั้นว่าคุณจะไปกับใคร” เซฮุนมองไปยังคนเป็นเจ้านายที่กำลังครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
“ตกลง คุณเตรียมชุดไว้เลย”
“หะ?” เลขาป้ายแดงขมวดคิ้วอ้าปากหวอ มองท่าทีสบาย ๆ ของอีกคนซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลุดปากพูดออกมาสั่ว ๆ แต่อย่างใด
“สงสัยอะไร?”
“เอ้า แล้วจะให้ผมออกไปพร้อมคำถามว่าทำไมต้องเตรียมชุดน่ะนะ?” เซฮุนขมวดคิ้วพร้อมยิ้มไปด้วย น่าอัศจรรย์ใจแค่ไหนกันที่เขาสามารถสื่อสองอารมณ์พร้อมกันได้แบบนี้
“เพราะคุณต้องไปกับผม คลายความสงสัยเรียบร้อยแล้ว เชิญกลับไปทำงานได้” พูดจบก็ผายมือไปยังประตูประหนึ่งถีบหัวส่ง คนตัวผอมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เบือนหน้ามองออกไปนอกผนังกระจกบนตึกสูงเพื่อสงบสติอารมณ์
“Any Question?” (มีคำถามอีกไหม?)
เซฮุนคิดว่าถ้าให้ทำงานอย่างเดียวก็คงพอทนไหว เพราะที่นี่ให้เงินเดือนดีจนรั้งเขาไว้ไม่ให้ต่อล้อต่อเถียงกับมนุษย์หมาป่าเพื่อขอลาออกจากงานได้ แต่ต้องไม่ใช่การไปออกงานสังคมด้วยกันแบบนี้สิ
“ผมว่าคุณน่าจะพาผู้หญิงไปด้วย อย่างเช่นคุณคิมซารัง ว่าไง ดีไหม? เมื่อวานก่อนเธอก็เพิ่งแวะมาหาคุณไม่ใช่เหรอ?” เลขาหนุ่มพยายามเอาตัวรอดและโบ้ยหายนะให้เจ้านาย เขาจำได้ว่าผู้หญิงสวยเซ็กซี่คนนั้นหัวเสียแค่ไหน ตอนรู้ว่าคิมจงอินไม่ยอมให้เข้าพบ
“ผมไม่ได้ขอความเห็นจากคุณ ออกไปทำงานต่อได้แล้ว” ชายหนุ่มทำมือปัดเป็นเชิงไล่ ทำเอาคนตัวผอมเลิกคิ้วมองอย่างไม่พอใจที่ถูกเฉดหัวส่ง
“โอ๊ย... อยู่ ๆ ก็เจ็บแผล” คนเป็นเจ้านายละสายตาจากเอกสารบนโต๊ะพลางมองไปยังเลขาตัวผอมที่ยืนนิ่วหน้า งอตัว ซึ่งโดยรวมแล้วผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นความสำออย
“เหรอครับ มากไหม?”
“มาก เหมือนมันจะฉีกเลย... โอย”
“ถ้าคุณส่องกระจกบ้าง ก็คงรู้ว่ารอยเล็บไม่ได้ฝังลึกขนาดนั้น”
“...”
“แต่ผมว่าไอ้ที่จะฉีกเนี่ย อาจเป็นอกของคุณเลขาที่กำลังสร้างเรื่องดราม่าไม่ยอมไปงานเลี้ยงกับผม คุณคิดว่าไงล่ะเซฮุน?” คนที่กำลังแสดงละครกลับมาหน้านิ่ง พลางมองไปยังคนเป็นเจ้านายที่ไม่รู้ว่าจับผิดคนเก่งหรือเพราะเขาเล่นไม่เนียนกันแน่
“คุณใจร้ายเกินไปหรือเปล่า ถึงจะผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วแต่แผลผมก็ยังไม่หายเลยนะ ผมไม่ได้บอกยาย ไม่ได้บอกพี่สาวอีกสองคนเลยว่าบนแผ่นหลังผมมันแสบร้อนแค่ไหนกับรอยกรงเล็บที่หลานคุณฝากไว้ รู้บ้างไหมว่าผมรู้สึกแย่ที่ต้องเข้ามาในนี้ทุกวันเพื่อให้คุณช่วยทำแผล” จะไปหาหมอก็ไม่ได้ เดี๋ยวเป็นเรื่องอีกว่าเจออะไรมา
“งั้นเดินมานี่” ชายหนุ่มผิวแทนเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ พลางกระดิกนิ้วชี้กับนิ้วกลางเรียกราวกับว่าเขาเป็นเด็กดริ๊งก์ ก็จะไม่รู้สึกหรอกนะถ้าเจ้านายไม่แสดงความเจ้าชู้ออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกติอยู่ตลอด
“ไม่ไป”
“คิดจะขัดใจผม?”
“ผมทำตามคำสั่งคุณแค่เรื่องงานเท่านั้น เจ้านาย – ลูกจ้าง โอเค?” เอาซี้ จะได้รู้กันไปว่าหมาป่าหรือจะสู้หนุ่มราศีเมษ เขาดูดวงรายวันมาแล้วว่าวันนี้ใครคือผู้ชนะสิบทิศ
“ก็ดี อย่าให้เห็นว่าเป็นฝ่ายเรียกร้องจากผมเองแล้วกัน”
“ตลกแล้ว” พูดจบก็แค่นหัวเราะออกมาพร้อมปั้นหน้าปั้นตาไม่อยากเชื่อ จะมีอะไรน่าขำกว่านี้อีกไหม คนที่เรียกร้องก็คงมีแค่ผู้หญิงหน้าอกโต ๆ ขายาว สวมรองเท้าส้นสูงเท่านั้นแหละ เจ้านายต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ
“ดีแล้วที่คุณหัวเราะได้ เพราะถ้าวันไหนคุณทำหน้าเคลิ้มใส่ วันนั้นผมก็กลัวว่าจะห้ามใจไม่อยู่จริง ๆ” เป็นอีกครั้งที่คิมจงอินดูดรอยยิ้มจากเขาไปใส่บนใบหน้าตัวเอง ผู้ชายคนนั้นยกยิ้มอย่างพอใจพร้อมปล่อยกรงเล็บออกมาขู่อีกครั้ง สายตาคู่นั้นที่มองมาราวกับจะเตือนว่าถ้าหนุ่มราศีเมษคิดจะสู้อีกล่ะก็เดี๋ยวได้รู้เรื่องแน่
ซึ่งโอเซฮุนพร้อมจะตอกกลับไปทุกเรื่อง แต่ต้องไม่ใช่การพูดถึงความสัมพันธ์แปลก ๆ แบบที่ผู้ชายเขาไม่ทำกันแถมยังเอาความเหนือธรรมชาติมาขู่อย่างนี้
“ผมจะไปทำงานต่อแล้ว”
“อ้อ ก่อนออกไปช่วยหยิบสเปรย์ตรงนั้นฉีดไปรอบ ๆ ห้องให้ผมด้วย”
ถึงจะยังหัวเสียกับความเจ้าเผด็จการของอีกฝ่าย แต่เซฮุนก็ยอมเดินไปหยิบขวดสเปรย์ตามคำสั่งแต่โดยดี เขาขมวดคิ้วค้างอยู่ท่านั้นราว ๆ สองวิ ก่อนจะหันไปทางเจ้านายที่กำลังง่วนอยู่กับการเซ็นอนุมัติเอกสาร
“ฉีดทำไม ผมไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรเลย” คนเป็นเลขาทำจมูกฟุดฟิด นอกจากจะไม่เหม็นแล้วยังมีกลิ่นหอมที่ไม่รู้ด้วยว่ามาจากอะไร เจ้าของใบหน้าคมขมวดคิ้วพร้อมควงปากกาเหมือนกับจะยืนยันกลิ่นที่จมูกตนเองสัมผัสได้ คืออะไร เป็นหมาแล้วต้องโชว์เหนือว่าจมูกดีกว่าคนอื่นว่างั้น
ชายหนุ่มผิวแทนหันไปสบตากับคนช่างพูด เขาเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อรอดูท่าที ก่อนจะหลุดยิ้มออกมากับสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยของเลขาหนุ่ม คนเป็นเจ้านายลุกขึ้นล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้าคนตัวผอมซึ่งถือขวดสเปรย์ไว้ด้วยสองมือ
“ฉีดดับกลิ่นหงุดหงิดของคุณน่ะ มันฟุ้งไปทั้งห้องเลย”
“...”
“เริ่มกลิ่นแรงขึ้นแล้วสิ” จงอินขมวดคิ้ว แกล้งแตะนิ้วชี้ใต้จมูกพลางชำเลืองมองสีหน้าของคุณเลขาซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้จะเปลี่ยนจากหงุดหงิดเป็นอยากฆ่าเขาเสียแล้ว
“ตลกเหรอ”
“คุณอยากขำก็ได้ แต่เรื่องที่ผมรู้จากกลิ่นว่าคุณกำลังรู้สึกยังไง มันคือเรื่องจริง”
จงอินยิ้มขำทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งเดาออกได้อย่างง่ายดายว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ภายในเวลาอาทิตย์เดียวโอเซฮุนก็เผยกลิ่นออกมามากมาย ทั้งความหงุดหงิด ความกล้า ความตลก ความหิว ความเบื่อ ไปจนถึงกลิ่นประจำตัวที่ทำให้หมาป่าอย่างเขารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปเสียทุกครั้งเมื่อตอนช่วยทำแผลให้
แต่ที่เขาชอบที่สุดก็คงไม่พ้นกลิ่นความประหม่าปะปนการแย้งอยู่ในใจ เมื่อเขาพูดประโยคที่ควรไว้ใช้กับผู้หญิง เซฮุนไม่ได้เขิน ไม่ได้เกลียดคำพูดเหล่านั้น และนั่นทำให้อีกฝ่ายดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
โอเซฮุนเป็นคนมีกลิ่นหอม เวลาปะปนไปด้วยอารมณ์หลากหลายแบบนั้นก็น่ารักดี
60%
เจ้านายขับรถมางานเลี้ยงเองโดยไม่ต้องพึ่งคนขับรถ เซฮุนรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยที่ต้องนั่งข้างหมาป่าสุดเอาแต่ใจที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เท่าที่สืบประวัติมา ผู้ชายคนนี้มักจะควงผู้หญิงมีหน้าตาในสังคมออกงานด้วยทุกครั้ง ซึ่งแต่ละคนหน้าไม่เคยซ้ำกันเลย แล้วดูสิ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเขา
วันนี้โอเซฮุนต้องมีสติให้มาก เพราะการเป็นเลขาของคิมจงอินคงไม่ได้เดินตัวเบาในงานจวบจนถึงเวลาเดินกลับไปทางพรมแดงเพื่อขึ้นรถกลับบ้านไปอย่างสบายใจแน่ มันต้องเกิดคำถาม ซึ่งถ้าจะให้ดี เขาก็อยากให้เจ้านายเป็นคนตอบเองทั้งหมด
รถขับเทียบจอดหน้าโรงแรมซึ่งมีผู้รากมากดีสวมชุดราตรีและสูทราคาแพงกว่าเงินเดือนเขาหลายสิบเท่า บริกรหนุ่มเดินมาเปิดประตูรถและรับทิปจากมือเจ้านาย ก่อนจะโค้งศีรษะขอบคุณและแทรกตัวเข้าไปในรถเพื่อขับไปจอดให้
เซฮุนตามออกมาพร้อมกวาดสายตาไปโดยรอบ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของผู้ชายวัยยี่สิบสี่ได้ออกงานสังคมชนชั้นสูงแบบนี้ ทุกอย่างเหมือนในหนังไม่มีผิด ทั้งพรมแดงที่ปูยาวไปจนถึงประตูทางเข้า รวมถึงเศรษฐีมากมายที่อยู่รอบข้าง
“เก็บสายตาหน่อย อย่าทำตัวเป็นเจ้าหญิงตกยากที่เพิ่งได้รับมรดกจากคุณย่าสิ”
“ปากแบบนี้สมควรแล้วที่เป็นหมา -- อ๊าวช์!” คนตัวผอมนิ่วหน้าเจ็บ หันไปมองค้อนเจ้านายปากไม่ดีที่หยิกเอวเขาโดยไม่คิดว่าบางทีเล็บนั่นอาจจะฝังเข้าไปบนผิวหนัง
“นับวันยิ่งหยาบคายกับผมขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จักเด็กผู้ใหญ่” เจ้าของใบหน้าคมพูดหน้านิ่ง ก่อนจะหันไปจับมือทักทายชายแก่ชาวต่างชาติในชุดสูทภูมิฐาน พร้อมเริ่มบทสนทนากันด้วยภาษาอังกฤษ ก่อนจะแยกออกมาตามมารยาท
“จะอายุมากกว่าสักแค่ไหนกัน” เซฮุนพึมพำ จัดสูทนอกให้เข้าที่พลางขยับออกข้างเพื่อสร้างระยะห่างกับคนนิสัยไม่ดี
“ถ้านับแบบมนุษย์ ผมเกิดก่อนคุณห้าสิบสามปี” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังเบิกตากว้าง คนตัวผอมมองไปยังเจ้านายที่รับเวลคั่มดริ๊งก์จากบริกรหนุ่ม ลนลานเมื่อถึงคิวที่ตัวเองต้องเลือกมาถือไว้ ซึ่งแชมเปญก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะมันอยู่ใกล้มือมากที่สุด
“พูดจริง?” ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มพอใจพลางหันไปสบตากับเจ้าของคำถาม กลิ่นของโอเซฮุนตอนกำลังช็อกนี่น่าขำชะมัด “แล้วเกิดราศีอะไร?”
“ผมไม่ชอบยึดติดเรื่องพวกนี้ แต่ถ้ามนุษย์อย่างคุณใส่ใจกับมันนัก ผมก็เกิดราศีธนู” จงอินเริ่มไม่สนุกกับเรื่องกลิ่นแล้ว เมื่อเขานึกหัวเสียกับตัวเองที่เคยไปนั่งเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาดูว่าตนเองเกิดราศีอะไร หลังจากเห็นว่าเลขาคนใหม่มีความอยากรู้
“ว่าแล้วไง!” เซฮุนใช้มือข้างที่ว่างอยู่ชี้หน้าเขา ราวกับว่าการเกิดราศีธนูของคิมจงอินเป็นเรื่องที่เจ้าตัวคาดเดาไว้อยู่แล้ว “แล้วกรุ๊ปเลือดล่ะ เอ บี เอบี โอ”
“...” ชายหนุ่มผิวแทนหรี่ตามองคนข้าง ๆ ที่กำลังใส่ใจเรื่องไร้สาระจนลืมตัวไปว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังอยู่ในงานเลี้ยง
“หรือว่าหมาป่ามีกรุ๊ปเลือดเป็นของตัวเอง?”
“เอ ทีนี้หยุดเลอะเทอะได้หรือยัง?” คิมจงอินกำลังหัวเสีย หลังจากที่เขาฝืนใจให้คำตอบไป และมันคงทำให้โอเซฮุนพึงพอใจมาก ถึงได้หัวเราะยิ้มตาหยีอย่างผู้ชนะ
“ผมไม่เคยเดาผิดเลย เห็นไหม ที่คุณอมไว้จนถึงวันนี้ก็เพราะกลัวเสียฟอร์มที่ถูกผมเจาะเรื่องส่วนตัวได้โดยไม่ต้องถาม” เลขาป้ายแดงไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้พูดอย่างคนเจนโลกทั้งที่เกิดมาหายใจเพียงยี่สิบสี่ปี แล้วคำพูดคำจาแบบนั้นคืออะไร ทั้งอม ทั้งเจาะ ถ้าเป็นเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนเด็กนี่คงโดนจับฟาดโดยไม้เรียวไปแล้ว
“มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กห้าขวบยังเดาได้ ทางเลือกมีแค่สี่ทาง คุณก็แค่เดาถูก”
“ไม่หรอก เป็นเพราะผมรู้ต่างหากว่าคนกรุ๊ปเอนิสัยยังไง ที่คุณไม่ยอมรับก็เพราะความอีโก้สูงของคนกรุ๊ปเอ ไม่ชอบให้ใครเอาชนะ คุณกำลังหงุดหงิด” โอเซฮุนยังคงภาคภูมิใจกับเรื่องไร้สาระ และตอนนี้ปรอทความอดทนของหมาป่าหนุ่มกำลังลดลงเรื่อย ๆ
“การที่ผมมีนิสัยแบบนี้เป็นเพราะผมโตมาในครอบครัวเข้มงวด และการที่ผมเป็นซีอีโอได้ไม่ใช่เพราะอีโก้สูง แต่เป็นเพราะผมเป็นคนมีความสามารถ ไม่เกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ จนคนเป็นเลขาต้องเอนตัวถอยหลังทีละนิด “และไม่ว่าจะกรุ๊ปอะไร ถ้าโดนกรงเล็บปาดคอไปเลือดก็กระฉูดออกมาเป็นสีแดงเหมือนกัน”
“จะไม่ยอมแพ้เลยว่างั้น”
“และการที่คุณยังยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะผมไม่ได้ฆ่าคุณ ไม่ใช่เพราะเกิดเป็นหนุ่มราศีเมษหรือกรุ๊ปเลือดอะไรนั่น” เจ้านายกำลังแยกเขี้ยวใส่เขางั้นเรอะ พวกขี้แพ้ชวนตี
“คุณไม่ได้เปิดดูประวัติผม เพราะถ้าเปิด คงรู้ไปแล้วว่าผมเลือดกรุ๊ปโอ”
“ผมอ่านแค่จุดสำคัญเท่านั้น เรื่องไร้สาระเอาไว้ให้เด็กจำเถอะ” พูดจบก็เดินออกไปจากตรงนี้โดยไม่ปล่อยให้เขาได้แก้มวยอีก เซฮุนเบ้ปาก พลางมองไปยังเจ้านายที่ยืนอยู่กับคนมีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นสีหน้าเป็นมิตรจนแทบไม่หลงเหลือคราบผู้ชายขี้หงุดหงิดแบบเมื่อครู่อยู่เลย
คนตัวผอมกวาดสายตาไปโดยรอบ พอไม่มีคิมจงอินคอยลับฝีปากด้วยก็รู้สึกว่าการยืนอยู่คนเดียวที่นี่เป็นอะไรที่เด๋อด๋าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ใช่ว่าการมีเจ้านายหมาป่ายืนอยู่ข้าง ๆ จะเป็นเรื่องดีหรอกนะ เพราะถ้าเลือกได้ โอเซฮุนก็อยากพาสองขายาว ๆ กับแผ่นหลังที่ยังมีรอยแผลกลับบ้านเหมือนกัน
เลขาหนุ่มทำหน้าอึนพลางถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังมองมาทางนี้พร้อมส่งซิกเรียกให้เขาไปที่นั่น ให้ตายเถอะจ่าฝูง! หวังว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่นำหายนะมาสู่มนุษย์วัยยี่สิบสี่ผู้นี้นะ
“นี่คือเลขาคนใหม่ของผม โอเซฮุนครับ” เจ้าของชื่อยิ้มพร้อมโค้งศีรษะทักทายตามมารยาท ตรงนี้มีทั้งนักธุรกิจรุ่นพ่อ ผู้หญิงหน้าอกตูม ไปจนถึงนักข่าวสาวหุ่นดีแต่หน้าไม่ค่อยสวย ที่คาดว่าน่าจะมาเพื่อสัมภาษณ์เอาไปลงคอลัมน์เกี่ยวกับเซเลบริตี้โดยเฉพาะ
“ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นเลขาชายถาวรจริง ๆ ทำไมคะ เลขาสาวสร้างปัญหาให้คุณเรื่องความสัมพันธ์ลับ ๆ หรือว่าเป็นเพราะเธอทำงานไม่ได้ดั่งใจคุณ?” คำถามเชือดเฉือนแบบนี้โดนใจคนตัวผอมจนต้องก้มหน้าเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม อยากระเบิดหัวเราะออกมา แต่ก็เกรงว่าจะหักหน้าเจ้านายเกินไป
“ถ้าให้เลือกตอบก็คงเป็นอย่างหลังครับ บางทีมันอาจจะจริงอย่างที่มีคนเคยลงข่าวไปว่าผมเป็นเจ้านายสุดเอาแต่ใจที่ไม่เคยยืดหยุ่นกับลูกจ้าง เธอเหล่านั้นเลยทนไม่ไหว โบกมือบ๊ายบายให้ผู้ชายเรื่องมากอย่างผมไปทีละคน” พอได้ฟังคำตอบก็อยากจะเบ้ปาก แต่สิ่งที่โอเซฮุนทำตอนนี้คือยกยิ้ม มุมปากกระตุกเป็นพัก ๆ เพราะฝืนทำ
“แล้วกับเลขาคนใหม่เป็นยังไงบ้างคะ?” คนถูกพาดพิงถึงกับยืนหลังตรงทันทีที่ทุกสายตาหันมาทางนี้ โอเค ถึงจะแค่สี่ห้าคน แต่มันก็มากพอที่จะกดหัวพนักงานเงินเดือนมือใหม่ให้กระอักเลือดดำได้
“เซฮุนเป็นงานดีครับ ช่างพูดช่างจา เขามักจะทำเรื่องที่เลขาคนอื่นไม่กล้ากับผม” ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีนัยยะใด ๆ แฝงอยู่
“เช่นอะไรคะ?”
“เถียงไงครับ” จงอินหัวเราะ พลางหันไปมองรอยยิ้มแห้งของคนที่ยืนอยู่ข้างตัว “เขาน่ะเก่งเรื่องแบบนี้พอสมควรเลยทีเดียว”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเจ้านายค่อนข้างเน้นประโยคหลัง เซฮุนเพียงยิ้มกลบเกลื่อนและพยักหน้าอย่างรู้กัน ซึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ต่างก็พูดเหมือนรุ่นพี่ฝ่ายขายว่าเพราะเป็นผู้ชายทั้งคู่ ถึงเข้ากันได้ง่ายกว่าการทำงานกับผู้หญิง
ซึ่ง – มัน – ไม่ – ใช่ – ว้อย!
เซฮุนยืนเป็นรูปปั้นถือแก้วแชมเปญอยู่ตรงนั้นสักพัก กระทั่งเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ทางนักข่าวคงอยากเอาไปกระตุ้นสังคมให้ตื่นเต้นเล่นว่ามิดไนท์แกรนด์เพอร์ฟูมส์จะมีทีเด็ดอะไรปล่อยออกมาล่อตาล่อใจอีก
“พอจะบอกได้ไหมคะว่าน้ำหอมตัวใหม่จะเป็นกลิ่นแบบไหน และเจาะกลุ่มตลาดวัยอะไร?”
ซีอีโอหนุ่มในชุดสูทอมยิ้ม คิมจงอินเป็นคนฉลาดคิดฉลาดพูดเสมอ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังเก็บรายละเอียด -- เขาหมายถึงเรื่องทิ้งจังหวะการพูดเพื่อดึงดูดความสนใจจากคนฟัง ไม่ใช่เรื่องเล่นหูเล่นตากับนักข่าวสาว
“ในส่วนของน้ำหอมตัวใหม่ที่จะออกช่วงปลายปีผมตั้งชื่อว่า ‘Seducing the Wolf’ ครับ มันคือน้ำหอมกลิ่นอ่อน ๆ แต่มีเสน่ห์ ยั่วเย้าติดจมูก เปรียบได้กับสัมผัสที่หอมยั่วยวน จนหมาป่าหนุ่มหลงใหลและอยากฝังเขี้ยวลงบนตัวของหญิงสาวที่พรมน้ำหอมกลิ่นนี้ลงบนตัว ซึ่งมีเสน่ห์ น่าลิ้มลองเหมือนกับชื่อของมัน”
ชายหนุ่มผิวแทนเว้นจังหวะไป ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าหาต้นคอเลขาตัวผอมที่ยืนเกร็งอยู่ข้าง ๆ เซฮุนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ซึ่งรดลงมา และมันกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาคนอื่น
“Seducing the Wolf ล่อลวง... ให้หมาป่าหลงใหล”
คิม – จง – อิน
“ตอนนี้ผมได้กลิ่นคุณอยู่สองอย่าง กลิ่นแรกคือประหม่า รู้ไหมว่ากลิ่นที่สองคืออะไร?”
จงอินกระซิบเลขาช่างพูดที่อยู่ ๆ ก็ยืนนิ่งไม่หันมาสบตาอย่างอวดเก่งกับเขาอย่างเช่นเคย ตอนนี้สิ่งที่ยึดสายตาโอเซฮุนได้คงเป็นนักข่าวสาวและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยไม่รู้ว่ากลิ่นความอยากรู้อยากเห็นปะปนกับความสงสัยคนเหล่านี้มันเด่นชัดมากแค่ไหน
“คุณกำลังเขิน”
“ขอตัว!” เซฮุนโพล่งขึ้นมาเสียงดังพร้อมชูนิ้วชี้ เลชาหนุ่มยิ้มเจื่อนพลางกลืนน้ำลาย พลางกลอกตามองเซเลปตรงหน้าที่คงสงสัยว่าเขาเป็นอะไร “ผมขอตัวไป -- เข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ ฮะ”
“เชิญ” คิมจงอินไม่รั้ง แถมยังผายมือพร้อมรอยยิ้มราวกับบอกเป็นนัย ๆ ว่าแกล้งโอเซฮุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คนตัวผอมขยับคอเสื้ออยู่ในที วางแก้วแชมเปญที่ถือแก้โง่อยู่นานลงบนถาดของบริกรหนุ่มก่อนจะตรงเข้าไปในห้องน้ำเดี่ยวพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา
เซฮุนแนบหน้าผากลงกับผนังเย็นเฉียบ ผ่อนลมหายใจออกมาหนัก ๆ โดยหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องประหม่าถึงขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย ก็แค่เจ้านายเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ ไอ้ถอดเสื้อเพื่อให้ทำแผลก็เคยมาแล้วไม่ใช่หรือไง
แต่การหายใจที่รดต้นคอ กับน้ำเสียงแผ่ว ๆ ต่อหน้าคนอื่นน่ะใช่เรื่องที่ไหน?
คนตัวผอมใช้เวลาตั้งสติอยู่ในห้องน้ำราว ๆ สิบนาที ก่อนจะเดินออกไปหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่เพื่อให้กำลังใจตนเอง เขากลับไปในงานเลี้ยงอีกครั้ง และมันเป็นเรื่องดีเหลือเกินที่คิมจงอินไม่มีแผนปั่นหัวเขาต่อหน้าคนอื่นอีก ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นมีเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือผู้หญิงผมยาวเป็นลอนหุ่นไซส์เอสที่ยืนคุยกันอยู่ตรงนั้นสองต่อสอง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า โอเซฮุนได้แต่ภาวนาว่างานนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เจ้านายก็หลีสาวไปเถอะ เอาให้จบงานเลยนะ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ช่วยส่งซิกบอกให้เลขาคนนี้กลับบ้านก่อนก็ได้
คนตัวผอมสะดุ้งสุดตัวทันทีที่อีกฝ่ายหันมาราวกับว่าได้ยินความคิด เขาปะป่ายมือตามตัวอยู่ในทีเพราะกลัวว่าร่างกายซื่อบื้อมันจะส่งกลิ่นให้คิมจงอินรู้สึกได้ ผู้ชายคนนั้นกำลังตรงมาทางนี้พร้อมพ่วงสาวสวยหุ่นไซส์เอสมาด้วย
“คุณขับรถคนอื่นได้ไหม?”
“ก็ได้ -- มั้ง?” เซฮุนขมวดคิ้ว พลางมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเจ้านายซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแผนอะไรในใจอยู่ ซึ่ง --
“งั้นคืนนี้ผมฝากรถไว้ที่บ้านคุณก่อน แล้วพรุ่งนี้ช่วยตื่นแต่เช้าไปรับผมเข้าบริษัทด้วย”
“เดี๋ยว”
“Good night, Brat.”
เซฮุนยืนค้างอยู่ท่านั้น มีแค่สิ่งเดียวที่ขยับได้คือดวงตาซึ่งมองตามเจ้าของอกอึ๋มควงแขนคิมจงอินลงไปตามทางเดินพรมแดง โดยมีช่างภาพคอยรัวแสงชัตเตอร์อยู่ไม่ขาด
ประตูลีมูซีนเปิดออกและพ่อยอดสุภาพบุรุษก็ให้เกียรติผู้หญิงเข้าไปก่อน แต่ยังไม่ทันที่เจ้านายจะแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างใน ผู้หญิงคนนั้นก็รั้งท้ายทอยแกร่งลงไปประกบริมฝีปากราวกับว่าทนไม่ไหวแล้ว
“อู้ว ต้องขนาดนั้นใช่ไหม ให้ถึงโรงแรมก่อนไม่ได้หรือไง สวัสดีข่าวบันเทิงเช้านี้” คนเป็นเลขาขมวดคิ้วพลางจิ๊ปากอย่างทนดูไม่ได้
เซฮุนมองตามลีมูซีนคันนั้นขับไปจนลับสายตา ตอนนี้เหลือเพียงเลขาสุดมึนที่ยืนอึนอยู่ตรงนี้ เยี่ยมไปเลย บังคับขู่เข็นให้มาด้วยกันแล้วก็ปล่อยลอยแพแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวก่อนเถอะ เขาจะเอารถสุดแพงคันนั้นไปขับเล่น แล้วค่อยกลับไปศึกษานิสัยคนราศีธนูเลือดกรุ๊ปเอ
*
เสียงรองเท้าหนังย่ำไปตามพรมทางเดินเงียบของโรงแรมในเวลาดึกสงัด ก่อนจะตามด้วยเสียงแจ้งเตือนเมื่อทาบคีย์การ์ดกับประตู ชายวัยกลางคนวางรูปถ่ายลงบนโต๊ะกระจก ซึ่งอยู่ใกล้มือของชายหนุ่มซึ่งคลึงอยู่กับปากแก้วบรั่นดี
ขายาวก้าวถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่าง พร้อมประสานมือไว้ใต้เข็มขัดตามมารยาทของคนมีศักดิ์ต่ำต้อยกว่า ชายหนุ่มผมดำขลับยังคงจดจ้องอยู่กับดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่โดดเด่นอยู่บนท้องฟ้ามืด
“งานล่าสุดที่คิมจงอินไปออกคืองานเลี้ยงสมาคมนักธุรกิจส่งออกครับท่าน และคราวนี้เขาพาเลขาคนใหม่ไปด้วย”
ประโยคแรกไม่น่าสนใจเท่ากับประโยคหลัง สำหรับคนที่มีความตื่นเต้นเกี่ยวกับเลขาส่วนตัวของศัตรูคู่อาฆาตมานานหลายปี คนฟังยิ้มมุมปากพลางหันไปมองรูปถ่ายใบนั้นซึ่งถูกส่งมาจากสายในเกาหลีใต้
“อีกไม่นานก็จะหมดฤดูร้อนแล้ว ผมจึงอยากถามท่านว่าจะไปเที่ยวประเทศอื่นต่อ หรือจะกลับเกาหลีดีครับ?”
ชายวัยกลางคนคิดว่าอีกฝ่ายคงยังไม่อยากตอบคำถามใด ๆ เมื่อตอนนี้นัยน์ตาสีฮาเซลกำลังให้ความสนใจรูปถ่ายมากกว่า ซึ่งแปลกไปจากทุกครั้งที่มองเพียงเสี้ยววิก็โยนลงพื้นไปอย่างไม่ใยดี
เขารู้ว่าท่านไคเกลียดขี้หน้าคิมจงอินยิ่งเสียกว่าอะไร และการที่อีกฝ่ายติดตามเรื่องผู้ชายคนนั้นมาตลอดหลายปี คอยสร้างเรื่องน่าปวดหัวให้ฝั่งหมาป่าเป็นระยะนั้นล้วนเป็นความตั้งใจ ตั้งแต่เลขาสาวที่ถูกล่อลวงให้หลง ต่างถูกดูดเลือดจนหมดตัวและตายไปทีละคน ซึ่งคิดว่ามันเริ่มจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านไค”
เขาต้องให้เกียรติชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเพราะเรื่องชนชั้นในสังคมแวมไพร์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่น่าฝืนใจนัก เพราะตั้งแต่อยู่รับใช้ท่านไคมาหลายสิบปี จากที่ไม่เคยอยู่ในสายตาแวมไพร์ชั้นสูง เขาก็เริ่มไต่ระดับขึ้นมาทีละขั้น
“แน่ใจเหรอว่าคนนี้?”
ประโยคแรกของไคไม่ได้กล่าวถึงผู้เป็นหมาป่าอย่างแน่นอน กับคนที่มีหน้าตาเหมือนกันราวกับแฝด แต่กลับมีสายเลือดแตกต่างกัน ซึ่งทั้งสองเผ่าพันธุ์ล้วนมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู เขาไม่รู้ว่าท่านไคประหลาดใจอะไรในตัวเลขาใหม่ผู้นั้นนัก
“ครับ สายของเราย้ำมาอีกว่าทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกันเลยทีเดียว”
นัยน์ตาสีฮาเซลจดจ้องอยู่กับชายหนุ่มผิวขาวในรูปซึ่งอยู่ท่ามกลางผู้คนในงานเลี้ยง โดยมีศัตรูคู่อาฆาตที่เขาเกลียดนักหนายืนอยู่ขนาบข้าง คิ้วสีเข้มขมวดมุ่น เมื่อภาพเก่า ๆ กำลังฉายเข้ามาในหัวราวกับม้วนหนัง
คนที่เข้ามาอยู่ในฝันเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดคำถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร?
เมื่อปีก่อนไคจึงคลายความสงสัยด้วยการออกตามหา และสัญชาตญาณความเป็นแวมไพร์ได้พาเขาไปหยุดอยู่กลางมหาลัยแห่งชาติโซล ชายหนุ่มยืนนิ่งแล้วปล่อยให้สายลมพัดผ่านไป... พร้อมกับร่างผอมขาวที่กำลังเดินผ่านเขา
เจ้าของตาสีฮาเซลหันไปมองแผ่นหลังของนักศึกษาคนนั้น หยุดสายตาเพื่อเพ่งอ่านความคิดเพื่อให้รู้ว่าเป้าหมายใดที่อีกฝ่ายกำลังจะไป หรือเรื่องอื่นที่สามารถทำให้เขาล่วงรู้ได้โดยไม่ต้องถาม แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความว่างเปล่า... และวันนั้นเขาก็มิอาจล่วงรู้เลยว่าผู้ชายที่เข้ามาอยู่ในฝันเป็นปีนั้น --
“เขาชื่ออะไร?”
เนื่องจากเป็นแวมไพร์ระดับต่ำกว่า จึงไม่สามารถอ่านความคิดท่านไคได้ ชายวัยกลางคนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากคำถามและสีหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ คงพอเป็นคำตอบได้แล้วว่าคิมจงอินคงใช้เวลาไปกับชีวิตปกติได้อีกไม่นาน
เพราะการที่ท่านไคลุกขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ละสายตากับภาพถ่ายนั้น...
“โอเซฮุนครับ”
TBC
เผื่อนึกไม่ออกว่าสีฮาเซลเป็นยังงาย
ความคิดเห็น