ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องอย่าตามข้ามา!

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 (อัปเดต 100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.55K
      54
      2 ก.ค. 64

    บทที่ 1

    ไม่กี่วันข่าวเรื่องงานหมั้นหมายระหว่างชินอ๋องกับรุ่ยเซียงถูกแพร่กระจายไปทั่วโดยเฉพาะในราชสำนัก ขุนนางน้อยใหญ่ต่างมีความเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับงานหมั้นหมายของชินอ๋อง เสนาบดีเฉินฟังเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ออกความเห็นอย่างใด เขาสนใจแค่ว่าทางราชวงศ์มีจุดประสงค์อะไรที่ให้ชินอ๋องหมั้นหมายกับบุตรสาวของตระกูลมู่ฉิง ความรู้สึกไม่ชอบใจอีกอย่างคือตำแหน่งหวังเฟยก็จะยกให้รุ่ยเซียงเช่นกัน แล้วบุตรสาวของเขาที่หมั้นกับชินอ๋องมาเนิ่นนานทางราชวงศ์เอานางไปไว้ที่ไหน มีแต่พิธีหมั้นกลับไม่มีพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ รุ่ยเซียงกลับมีทั้งพิธีหมั้นและพิธีแต่งงานโดยทางราชวงศ์เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าหวงตี้มีความลำเอียงไปทางตระกูลมู่ฉิง

    “บุตรสาวของท่านเสนาฯ ขวาหมั้นกับชินอ๋องตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมหวังเฟยถึงกลายเป็นบุตรสาวของตระกูลมู่ฉิงแทนล่ะ?”

    “ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน มีแต่พิธีหมั้นกลับไม่มีพิธีแต่งงาน หวงตี้ลืมบุตรสาวของท่านเสนาฯขวางั้นหรือ?”

    “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ไม่มีพิธีแต่งงานจริงๆ นะ ถ้ามีคงได้รับการแต่งตั้งเป็นหวังเฟยไปตั้งนานแล้ว”

    “นั้นสิ”

    บทสนทนาของพวกขุนนางไม่พ้นเอ่ยถึงจินเยว่บุตรสาวของเสนาบดีเฉิน ทุกคนต่างให้ความสนใจว่านางไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหวังเฟย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจินเยว่จะได้เป็นชายาเอกของชินอ๋อง หลายปีที่ผ่านมาชินอ๋องไม่เคยเปิดรับอนุภรรยาเข้าตำหนักเลย นอกจากยกย่องให้จินเยว่เป็นที่หนึ่งทั้งในใจและในตำหนักอ๋อง ส่วนอนุภรรยาซึ่งได้ถูกหมั้นหมายตั้งแต่ชินอ๋องยังเยาว์วัยก็อยู่ร่วมกับจินเยว่ได้ไม่มีปัญหา อย่างไรอนุภรรยาเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของชินอ๋อง เสนาบดีเฉินพอใจอย่างมากกับสถานะของบุตรสาวในเวลานั้น บัดนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าราชวงศ์กำลังเหยียบหน้าเขาอยู่โดยให้รุ่ยเซียงมาเป็นชายาเอกของชินอ๋องแทน

    ขุนนางหลายคนพากันเงียบเมื่อได้เห็นสีหน้าของเสนาบดีเฉินเริ่มเครียดตึง ขุนนางชั้นผู้น้อยกว่ารู้ดีว่าหากพูดอะไรไม่เข้าหูอาจโดนเสนาบดีเฉินเล่นงานในภายหลังได้ ในยามเฉียดใกล้ชายสูงวัยคนนี้พวกเขาต้องระมัดระวังเรื่องคำพูดเอาไว้ ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ที่ยังไม่หยุดพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เข้าใจได้ว่าพวกเขาเป็นคนของเสนาบดีหมิงอาน ยิ่งได้ยินสิ่งที่ขุนนางเหล่านั้นพูดคุย เสนาบดีเฉินได้แต่จดจำรายละเอียดเอาไว้ แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กับชินอ๋องในภายหลัง

     

    ชินอ๋องเดินเตร็ดเตร่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ในย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดของลั่วหยาง โดยมีลี่หลินเดินตามผู้เป็นนายอยู่ห่างๆ ขนาดในตลาดตอนนี้ยังมีแต่เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเขาและรุ่ยเซียงเกี่ยวกับงานหมั้นและงานแต่งงาน แม้ว่าทางวังจะยังไม่เคาะฤกษ์งามยามดี ผู้เป็นอ๋องตอนนี้กลับไม่ยินดีกับเรื่องดังกล่าวเลยสักนิด มันน่าหนักใจที่ว่าข่าวของเขาป่านนี้คงลอยเข้าหูเสนาบดีเฉินเรียบร้อยแล้ว ความคิดของเขาตอนนี้คือถ้าเจอหน้าพ่อตาจะโดนว่าอะไรบ้าง ทั้งที่ให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะเกี่ยวกับตำแหน่งหวังเฟยว่าจะมอบให้จินเยว่ แต่ก็ทำไม่ได้...

    “คุณหนูเซียงยินดีกับท่านด้วยนะเจ้าคะ”

    “ยินดีเรื่องอะไร?”

    “อ้าว คุณหนูกำลังจะได้แต่งงานกับชินอ๋องแล้วไม่ใช่เหรอเจ้าคะ ป้ายินดีด้วย”

    “อ่อ...ขอบคุณนะเจ้าคะ”

    บทสนทนาระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าทำให้ชินอ๋องทอดสายตามอง แล้วเขาก็เจอเจ้าของเสียงคุ้นเคยกำลังเลือกซื้อของอยู่กับสาวใช้ ผู้คนในตลาดท่าทางคุ้นเคยกับนางมาก พากันแวะเวียนเข้ามาแสดงความยินดีกับคุณหนูตระกูลมู่ฉิงไม่ขาดสาย จะมายินดีอะไรกับนางนักหนา ดูใบหน้านางไม่เห็นจะยินดีเลยสักนิด เขาเองก็เหมือนกัน ผู้คนมากมายอาจไม่คุ้นหน้าเขามากเท่าไร วันๆ ต้องเข้าวังเพื่อพูดคุยธุระสำคัญกับหวงตี้เสร็จ ยังต้องสะสางงานที่ค้างให้จบตามกำหนดอีก ส่วนใหญ่ชินอ๋องเลยอยู่ตำหนักตัวเองมากกว่าออกมาข้างนอก ผิดกับรุ่ยเซียงไม่ว่านางจะเดินไปทางไหนผู้คนต่างทักทายนางด้วยรอยยิ้มกันทั้งนั้น ดูผิวเผินชาวบ้านทั้งรักทั้งเอ็นดูนางแทบจะทุกคน

    “นางท่าทางเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเยอะเลยนะ” ชินอ๋องเอ่ยกับลี่หลิน

    “เป็นแบบนี้ทุกวันขอรับ ขนาดเด็กๆ ยังชอบนางเลย”

    “โห...” เขาไม่ค่อยอยากเชื่อ หากไม่เห็นด้วยตาตัวเองในวันนี้ “ไม่เห็นเหมือนกับตอนที่นางอยู่ตำหนักหวงไท่โฮ่วสักนิด อย่างกับคนละคน”

    “ก็นั้นในราชวังนี่ขอรับ มีกฎเกณฑ์มากมายที่ต้องปฏิบัติตาม นางอยู่ข้างนอกก็เหมือนเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เที่ยวเล่นตามประสาไปเรื่อยขอรับ”

    ชินอ๋องลอบสังเกตรุ่ยเซียงอยู่ห่างๆ ส่วนใหญ่นางแวะร้านเครื่องหอม ร้านดอกไม้ และร้านอาหาร ร้านที่อยู่นานที่สุดคงเป็นร้านเครื่องหอมกับร้านดอกไม้ สีหน้าจริงจังเวลานางเลือกเครื่องหอมช่างดูไม่สมกับวัยของนางเลย ถ้าเป็นหญิงงามที่ชอบแต่งตัวทั่วไปคงแวะร้านเครื่องประดับและเลือกซื้อกลับจำนวนมาก แต่นี่นางเดินผ่านอย่างไม่สนใจหรือชายตาสักนิดก็ไม่มี ขณะกำลังติดตามรุ่ยเซียงอยู่ห่างๆ ชินอ๋องได้เห็นเงาของใครบางคนกำลังเดินตามรุ่ยเซียง ท่าทางของชายหนุ่มที่กำลังเดินตามนางอยู่น่าสงสัยยิ่งนัก ชินอ๋องไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเร่งฝีเท้าให้ตามทันชายหนุ่มปริศนาคนนั้น ยังไม่ทันเข้าใกล้ตัวรุ่ยเซียงได้ ชายคนนั้นกลับโผล่ไปอยู่ตรงหน้าของนางพร้อมรอยยิ้มกว้างและของบางอย่างที่อยู่ในมือ เด็กสาวไม่มีท่าทางตกใจกับคนที่สะกดรอยตามนางเลย ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มยืนสนทนากันแทน

    “คนคนนั้นเป็นใคร!?!”

    ลี่หลินมัวแต่สนุกกับท่าทางว้าวุ่นใจของชินอ๋อง รีบปรับอารมณ์และตอบคำถามของนายทันควัน “ชายคนนั้นชื่อ ‘หลี๋เจี่ย’ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของคุณหนูขอรับ”

    “เพื่อนเหรอ...”

    “ใช่ขอรับ ทั้งสองชอบไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ขอรับ” ลี่หลินแกล้งปั่นให้ชินอ๋องสงสัยมากขึ้น เรื่องที่รุ่ยเซียงสนิทกับหลี๋เจี่ยคือความจริง ส่วนเรื่องไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เท่าที่เขาได้ตามติดนาง ทั้งสองมักไปสำรวจต้นไม้เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบทำกระดาษ เขาเองก็เคยไปเห็นสถานที่ที่ทั้งสองไปสำรวจมาแล้วทั้งสิ้น เรื่องบางเรื่องเขาเองก็ไม่ได้รายงานชินอ๋องทั้งหมด

    “เป็นสาวเป็นแซ่ ไปไหนมาไหนกับผู้ชายบ่อยๆ ได้ยังไง!”

    ลี่หลินได้ยินคำบ่นของชินอ๋องเบาๆ เผลอลอบยิ้มขึ้นมา เขาพยายามฝืนกลั้นขำเอาไว้อย่างทรมาน ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินชินอ๋องเอ่ยเช่นนี้ เรื่องเกี่ยวกับรุ่ยเซียงที่เขาได้รายงานกับชินอ๋องไปก่อนหน้านั้น ผู้เป็นนายยังบอกไม่เชื่อไม่จริง โดยเฉพาะเรื่องดีๆ ที่คุณหนูตระกูลมู่ฉิงทำ ชินอ๋องยังบอกว่านางทำเอาหน้าหวงตี้กับหวงไท่โฮ่ว ความจริงที่เขาได้ฟังจากชาวบ้านคือคุณหนูรุ่ยเซียงของพวกเขาเป็นเด็กดี ช่วยเหลืออยู่เสมอๆ แล้วยังแนะนำว่าก่อนเอาเปลือกไม้มาขายไม่ควรตัดกินเนื้อต้นไม้ ไม่อย่างนั้นต้นไม้จะตาย นางออกจะเป็นคนดีขนาดนี้ ชินอ๋องยังไม่เชื่อเลย

    ชินอ๋องมัวแต่จับจ้องรุ่ยเซียงอยู่นาน จนคนตัวเล็กหันหลังมองตามนิ้วชี้ของหลี๋เจี่ยว่ากำลังมีคนตามนางอยู่ ชินอ๋องรีบหลบมุมอยู่กับร้านเล็กๆ ข้างทางอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เลยว่านางจะเห็นตอนเขาแอบอยู่หรือไม่

    “ไม่เห็นมีใครตามมาเลยนี่ มีแต่เจ้าคนเดียวนั่นแหละ”

    “หืม...” หลี๋เจี่ยขมวดคิ้ว เขาเห็นคนตามรุ่ยเซียงแน่ๆ คนคนนั้นยังเป็นคนที่เขารู้จักด้วย แต่คนนั้นอาจไม่รู้จักเขาก็ได้

    “พวกเราไปนั่งโรงเตี๊ยมแถวๆ นี้ดีกว่า หิวแล้วใช่ไหมหลินเอ๋อ”

    “เจ้าค่ะคุณหนู”

    หลี๋เจี่ยยังจับจ้องอยู่ตรงร้านค้าเล็กๆ อย่างไงเขาก็เห็นแน่ๆ ว่าเป็นชินอ๋อง แล้วเขาจะตามว่าที่ภรรยาเหมือนโจรโรคจิตทำไม หากไม่เพราะร้านค้าที่ชินอ๋องใช้หลบสายตารุ่ยเซียงบังอยู่ ย่อมยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าเขาเห็นคนตามรุ่ยเซียงมาจริงๆ แถมยังเป็นชินอ๋องอีกด้วย พอหันมาอีกทีรุ่ยเซียงกวักมือเรียกเขาไปโรงเตี๊ยมใกล้ๆ แทน หากชินอ๋องไม่อยากให้รุ่ยเซียงเห็นเขาจะทำเป็นตาถั่วมองผิดเองก็ได้

    “เซียงเซียง คืนนี้เจ้าจะมาดื่มกับข้าอีกไหม?” หลี๋เจี่ยพูดเสียงดังๆ ให้ชินอ๋องได้ยิน สนุกดีเหมือนกันได้ปั่นหัวชินอ๋องเล่น

    สำหรับรุ่ยเซียงแล้วคำชักชวนเสียงดังของบัณฑิตหนุ่มเป็นพฤติกรรมปกติ นางเลยไม่ได้สงสัยสักนิด “วันนี้ไม่ได้หรอก ข้าต้องเตรียมตัวไปเฉิงตู”

    “ไปไกลจัง”

    “ไปแค่สองอาทิตย์เอง”

    “แล้วไปทำอะไร?”

    “ก็ไปตรวจงานเหมือนทุกที ช่วงนี้เห็นว่าที่นั้นพืชผลกำลังอุดมสมบูรณ์เต็มที่ ดอกฝูหรงกำลังบานสะพรั่ง”

    หลี๋เจี่ยหัวเราะกับท่าทางอันมีความสุขของรุ่ยเซียง นางเป็นคนชอบของสวยๆ งามๆ เหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ไม่ได้นิยมชมชอบพวกเครื่องประดับเท่ากับธรรมชาติ นางชื่นชมธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้าและดอกไม้มากกว่า

    “จริงสิ เจ้าชอบงานฝีมือนี่นา เดี๋ยวข้าซื้อพวกของใช้มาให้เจ้าดีไหม?”

    “ถ้าเป็นพวกเครื่องเรือนไม่ต้องเลย เต็มบ้านข้าหมดแล้ว”

    “ป้ายหยกสลักนามสกุลเจ้าดีไหม”

    “เอามาทำไม?”

    “ไว้ห้อยติดตัวไง จะได้รู้ว่าท่านชายสกุลลู่ร่ำรวยขนาดไหน”

    หลี๋เจี่ยส่ายหน้ากับความทะเล้นของรุ่ยเซียง เขารู้ว่านางล้อเล่น ความจริงนางอยากซื้อของฝากติดไม้ติดมือมาจากเฉิงตูให้เขา นางไปต่างเมืองทีไรก็มักชอบถามว่าเขาอยากได้อะไรบ้าง เวลานี้ชีวิตเขามีเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ของมีค่าก็มี เงินทองก็ไม่ได้ขาดสน แต่บ้านมันจะล้นเพราะของฝากจากนางนี้แหละ พอไม่ให้ซื้อมาฝากนางก็งอนอีก เอาใจยากจริงๆ

    “เอาเป็นว่าข้าฝากเงินเจ้าไป แล้วเลือกหยกสวยๆ สลักชื่อข้าให้งดงาม อยากทำเป็นป้ายห้อยก็ทำมา”

    “ของฝากบ้าอะไรใช้เงินเจ้าซื้อ ต้องเงินข้าสิ”

    “งั้นข้าไม่เอา”

    “เอาเงินเจ้าซื้อก็ได้”

    หลี๋เจี่ยหัวเราะอย่างผู้มีชัย ยื่นถุงเงินให้หลินเอ๋อรับไป รุ่ยเซียงไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ต้องรับเงินมา ทั้งๆ ที่นางตั้งใจแล้วว่าจะซื้อของฝากให้เขา หากไม่ทำตามที่เขาต้องการแล้วดึงดันซื้อของฝากมาให้ หลี๋เจี่ยไม่รับของจากนางแน่นอน นางเลยต้องรับเงินมาทั้งอย่างนั้น

    ชินอ๋องฟังบทสนทนาของทั้งสองคนพลางกรอดฟันแน่น ทั้งสองคนมีความสนิทสนมกันขนาดไหนเชียวถึงต้องซื้อของให้ รุ่ยเซียงควรรู้ตัวได้แล้วว่าตอนนี้นางกำลังอยู่ในสถานะพระชายาอ๋อง แม้นางยังไม่ได้หมั้นหมายหรือเข้าพิธีแต่งงานกับเขาก็ตาม อย่างไงนางก็เป็นผู้หญิง ควรวางตัวให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง ไม่ใช่ลอยหน้าลอยตาไปไหนมาไหนกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติแบบนี้ ทำแบบนี้เขายิ่งชังนางยิ่งนัก

    “ท่านอ๋อง ถึงท่านจะโกรธคุณหนูเซียงเรื่องนี้ไปก็ช่วยไม่ได้นะขอรับ เพราะตอนนี้ท่านทั้งสองยังไม่ได้หมั้นหรือแต่งงานกันเลย สถานะของทั้งคู่ตอนนี้ก็คือโสด” ลี่หลินเตือนชินอ๋อง

    คนถูกเตือนหันขวับจ้องตาเขียวเป๋ง เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะไม่รู้ แต่นางก็ควรวางตัวให้ดีวางตัวให้เหมาะสมกับว่าที่พระชายาสักนิดไม่ได้เลยหรือไง

    “แต่ว่าตอนนี้คุณหนูเซียงแยกย้ายจากหลี๋เจี่ยแล้วนะขอรับ” องครักษ์หนุ่มชี้ไปทางชายหญิง

    รุ่ยเซียงกับหลี๋เจี่ยไม่ได้ไปเดินเที่ยวต่อด้วยกัน รุ่ยเซียงยังเดินไปร้านนั้นทีร้านนู้นทีเพื่อแวะดูของ จนนางยืนอยู่หน้าบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง ไม่นานเจ้าของบ้านเป็นหญิงวัยชราได้เลื่อนตะกร้าบรรจุเศษเปลือกไม้ออกมาให้กับหญิงสาว รุ่ยเซียงนั่งลงพร้อมตรวจดูเปลือกไม้ในตะกร้าทีละชิ้น

    “นั้นนางกำลังทำอะไร?”

    “ซื้อเปลือกไม้ไงขอรับ คุณหนูเซียงออกมาทำอย่างนี้ทุกวันเพื่อซื้อเปลือกไม้จากพวกชาวบ้านเอาไปที่โรงผลิตด้วยตัวเอง”

    “ซื้อเปลือกไม้ นางดูเปลือกไม้ที่ใช้ทำกระดาษเป็นด้วยเหรอ”

    “ก็นางเป็นลูกสาวเจ้าของโรงผลิตกระดาษนี่ขอรับ”

    ... มันก็จริงอย่างที่ลี่หลินว่า ทำไมชินอ๋องต้องถามอะไรโง่ๆ แบบนั้นออกไปด้วย ชินอ๋องเลยหันไปสนใจเรื่องรุ่ยเซียงทำต่อ นางไม่ได้แค่ดูเปลือกไม้เท่านั้น นางยังหยิบขึ้นมาดมด้วย ก่อนยื่นถุงเงินให้กับหญิงชราไป พร้อมยกตะกร้าเปลือกไม้ขึ้นมาถือสองใบ อีกสองใบให้สาวใช้ช่วยถือ

    “คุณหนูเซียงมันเยอะกว่าครั้งก่อนอีกนะเจ้าคะ” หญิงวัยชราเรียกรุ่ยเซียงก่อนนางจะเดินจากไป

    “ยายเก็บไว้เถอะ คนแถวนี้เขาบอกว่ายายกำลังป่วย เก็บไว้หาหมอซื้อยาซื้อข้าวกินเถอะนะ”

    “แต่ว่ามัน...”

    “ไม่เป็นไร ยายก็อย่าไปบอกคนอื่นแล้วกันว่าข้าให้เยอะกว่าราคาปกติ”

    “ขอบคุณมากเจ้าค่ะคุณหนู”

    “ขอบคุณอะไรกันยาย ช่วยๆ กัน ไปแล้วนะ” รุ่ยเซียงยิ้มให้ ผงกหัวก่อนเดินกลับไปที่โรงงานผลิตกระดาษของตัวเอง

    ในหนึ่งวันชีวิตของรุ่ยเซียงเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เวลาเที่ยวก็เที่ยว เวลากินก็กิน เวลาทำงานนางก็ทำงาน ไม่แตกต่างจากคำบอกเล่าของลี่หลินเมื่อมาดูด้วยตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสาวอายุสิบหกจะมีความชอบงานของบ้านตัวเองขนาดนี้ ปกติคุณหนูตระกูลร่ำรวยทั่วไปคงเข้าสังคมคุณหนูด้วยกัน พูดอวดนั้นอวดนี้ข่มกันไปตั้งนานแล้ว นางกลับไม่เป็นเช่นนั้นสักนิด อาจมีแวะเวียนข้างทางบ้างหากนางพบเพื่อน ส่วนใหญ่เพื่อนนางเป็นผู้ชายทั้งนั้น ส่วนน้อยผู้หญิงแทบจะไม่มีเลย

    ชินอ๋องตามรุ่ยเซียงจนมาถึงโรงผลิตกระดาษของตระกูลมู่ฉิง รุ่ยเซียงยังเดินไม่ถึงหน้าโรงผลิตกระดาษดี คนงานสองสามคนวิ่งกุลีกุจอมาหานางพร้อมรับตะกร้าเปลือกไม้จากนางและหลินเอ๋อไป ท่าทางของคนงานเหมือนรู้เวลาว่าคุณหนูของพวกเขาจะเข้าโรงผลิตกระดาษเมื่อไร พอมีคนมารับตะกร้า ก็มีคนเอาม้วนกระดาษจำนวนหนึ่งส่งให้รุ่ยเซียง พร้อมแท่นหมึกรูปทรงแปลกตา มีสีดำสะท้อนสีครามดุจน้ำทะเล รุ่ยเซียงมองแท่นหมึกโดยรอบอย่างพิจารณาก่อนคืนให้คนงาน นางชี้ตรงจุดสองจุดบนแท่นหมึกและสั่งอะไรบางอย่างกับคนงานก่อนไปจากโรงผลิตกระดาษ

    “นี่นางยังไม่กลับบ้าน ยังมีที่จะไปอีกเหรอ แล้วยังขนพวกกระดาษม้วนใหญ่ไปไหน?”

    “เรียนท่านอ๋อง คุณหนูเซียงน่าจะไปแถววัดไป๋หม่าซื่อขอรับ”

    “เรื่องนี้ไม่เห็นเจ้าบอกข้าเลย” ชินอ๋องขมวดคิ้ว “รู้จักเข้าวัดด้วย...”

    “คุณหนูเซียงมักเอาม้วนกระดาษมอบให้วัดนี้อาทิตย์ละสองครั้งขอรับ เมื่อวานกับวันนี้ ให้วัดเอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างไงก็ได้ขอรับ” ลี่หลินรู้เหตุผลอีกอย่างที่นางไปวัดแห่งนั้นบ่อยๆ บังเอิญเจอรุ่ยเซียงขณะไปทำธุระส่วนตัว นางมักไปทำบุญและขอพรให้กับมารดาผู้ล่วงลับอยู่เป็นประจำ

    “เป็นเด็กที่ประหลาดดี” ชินอ๋องจ้องตามหลังเล็กบางจนนางเดินลับสายตาไป “พวกเรากลับกันดีกว่า”

    “ขอรับ”

    ชินอ๋องรู้ตัวดีว่าข่าวหมั้นกับรุ่ยเซียงกำลังกลายเป็นที่สนใจทั้งในและนอกวัง ความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวระหว่างภายในราชสำนักกับภายนอกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ดูท่าประชาชนยินดีอย่างมากกับคุณหนูตระกูลมู่ฉิงที่ได้อภิเษกกับคนของราชวงศ์ คนภายนอกไม่ค่อยรู้จักเขามากเท่าไรและถึงจะมีคนรู้จักก็คงไม่มีใครเดินดุ่มๆ เข้ามาทักชินอ๋องอย่างเขาแน่ คนส่วนใหญ่เลยแห่กันไปแสดงความยินดีกับรุ่ยเซียงแทน แต่นางก็ไม่ได้ตื่นเต้นยิ้มหน้าบานขนาดดีใจว่าตัวเองจะได้เป็นชายาเอก ยังทำตัวเป็นปกติรับคำยินดีกับคนที่เข้ามาหา ตรงกันข้ามกับราชสำนักเขาได้ยินว่าขุนนางบางส่วนมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เรื่องน่าหวั่นใจคือเสนาบดีเฉิน พ่อตาของเขาไม่พอใจเรื่องนี้และคงรู้แล้วว่าจินเยว่ไม่ได้ตำแหน่งหวังเฟย แรงสนับสนุนจากเสนาบดีเฉินต่อหวงตี้ได้สั่นคลอนเพราะเรื่องนี้แน่ คงต้องหาทางรับมือกับเรื่องนี้

    ฟึ่บ!!!

    ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของชินอ๋อง ระหว่างทางที่เขากำลังเดินกลับตำหนักของตัวเอง แน่นอนว่าทางกลับตำแหน่งเส้นนี้มีคนส่วนน้อยเดินผ่านไปผ่านมา เป็นเส้นทางเหมาะสมในการพบกันลับๆ ระหว่างหน่วยลับของเขา

    “ท่านอ๋อง”

    “มีอะไร?” ชินอ๋องกลอกตาดูรอบๆ ก่อนถาม ตอนนี้ไม่มีผู้ใดเดินผ่านมา แสดงว่าคนของเขาได้จัดการเส้นทางนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

    “ขุนนางเริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”

    ดวงตาคมหลุบต่ำลง เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในเวลานี้แล้วมันก็น่าอยู่ พวกขุนนางคงกำลังวิ่งเต้นกับทางราชวงศ์ที่เริ่มเคลื่อนไหวประกาศสงครามทางการเมืองอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ขุนนางขึ้นมามีอำนาจเหนือกว่า ท่าทางหวงตี้คงหวังให้เกิดแรงกดดันขึ้นภายในราชสำนัก “แล้วเป็นอย่างไงบ้าง?”

    “พวกเขารวมตัวกันประชุมอย่างลับๆ เพื่อทูลคัดค้านงานอภิเษกของท่านอ๋องกับคุณหนูเซียงต่อหวงตี้ขอรับ”

    “พวกเขาร่างฎีกาเตรียมถวายหวงตี้แล้วหรือไง”

    “กำลังดำเนินการอยู่ขอรับ พวกเขาต่างมีความเห็นว่าท่านอ๋องไม่ชอบตระกูลมู่ฉิงอยู่แล้ว ท่านอ๋องไม่น่าเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนในครั้งนี้”

    “หืม...” ชินอ๋องลอบยิ้ม พวกขุนนางเข้าใจอย่างนั้นก็ไม่ผิด ทว่าในเวลานี้สิพวกเขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขาเห็นด้วยกับการแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้ “คนพวกนั้นอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวมีประชุมเรื่องฎีกานี้ขึ้นมาคงรู้ผลลัพธ์จากหวงตี้เอง”

    “ขอรับ”

    “เจ้าก็ตามดูขุนนางพวกนั้นอย่าให้คลาดสายตา มีอะไรผิดปกติก็รีบมารายงานข้าเหมือนเดิม”

    “ขอรับ”

    ชินอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกขุนนางต้องเคลื่อนไหวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันเป็นไปตามคาดจริงๆ ท้ายสุดเหล่าขุนนางต่างใช้ข้ออ้างว่าชินอ๋องไม่ถูกกับตระกูลมู่ฉิง ขอให้หวงตี้ล้มเลิกงานอภิเษกระหว่างเขากับรุ่ยเซียงจนได้ ส่วนทางตระกูลมู่ฉิงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย พวกเขายังทำงานและใช้ชีวิตปกติตามเดิม ไม่ได้มีท่าทีดีใจหรือกลุ้มใจกับเรื่องนี้แม้จะถูกจับตามองจากเหล่าขุนนางก็ตาม ถือได้ว่าเป็นตระกูลสุขุมกับสถานการณ์ในเวลานี้มาก โดยเฉพาะบุตรสาวของเฟยหรง...นางมีอะไรแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป แม้ไม่งดงามที่สุดในลั่วหยาง กลับเป็นคนรู้จักวางตัวและรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ผู้หญิงแบบนี้มีความคิดอะไรอยู่ยากคาดเดาได้ สำหรับชินอ๋องนางยังดูอันตรายอยู่ดี

    หลังกลับเข้ามาในตำหนัก ชินอ๋องพบว่าเสนาบดีเฉินรออยู่ในห้องรับรองกับจินเยว่ สีหน้าของหญิงสาวไม่ค่อยสู้ดีนัก นางคงถูกบิดาพูดจาอะไรใส่แน่ เขาจึงทำความเคารพพ่อตาก่อนนั่งลง แม้เสนาบดีเฉินจะมาตำหนักของเขาบ่อยๆ เพื่อมาเยี่ยมบุตรสาว ทว่าวันนี้ชายสูงวัยมีสีหน้าบึ้งตึง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาเพราะเรื่องอะไร

    “ท่านอ๋อง ท่านจะแต่งชายาเอกเข้าตำหนักจริงเหรอ?”

    ชินอ๋องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเสนาบดีเฉินต้องเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา

    “จริงขอรับ เรื่องนี้ข้าได้บอกกับเยว่เอ๋อไปตั้งแต่รู้ว่าต้องแต่งชายาเอกเข้าตำหนัก”

    “แล้วท่านเอาเยว่เอ๋อไปไว้ไหน ท่านบอกกับข้าว่าจะให้นางเป็นชายาเอกนี่”

    “มันเป็นความประสงค์ของหวงตี้กับหวงไท่โฮ่ว ข้าคงขัดอะไรไม่ได้”

    เสนาบดีเฉินกำมือแน่น ยิ่งรู้ว่าเป็นประสงค์ของใครเขายิ่งโกรธจนสั่นไปหมด สุดท้ายแล้วหวงไท่โฮ่วก็มีส่วนกับเรื่องนี้จนได้ ได้แต่หมั้นหมายแล้วรอเวลาให้บุตรสาวตระกูลมู่ฉิงถึงวัยเหมาะสมเลยจับนางแต่งเข้ามาเป็นชายาเอกแทนที่จินเยว่ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหวงตี้ไม่ยอมแต่งตั้งชายาเอกให้ชินอ๋องเสียที ทั้งหมดเป็นความต้องการของหนิวอี้หวงไท่โฮ่วทั้งนั้น

    “แล้วท่านปล่อยให้เยว่เอ๋ออยู่ในฐานะอนุภรรยาเช่นนั้น?”

    “เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ต้องขออภัยด้วยท่านเสนาฯ”

    “...”

    “ท่านวางใจเถอะ ไม่ว่ายังไงเยว่เอ๋อก็ยังเป็นที่หนึ่งในตำหนักนี้อยู่ดี”

    เสนาบดีเฉินได้ยินเช่นนั้นค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยชินอ๋องยังให้ความสำคัญกับบุตรสาวของเขามากกว่าบุตรสาวของตระกูลมู่ฉิง ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถวางใจคนของราชวงศ์ได้เลยว่าจะทำอะไรอีก ชินอ๋องเป็นคนคาดเดาได้ยาก แม้ให้คำมั่นว่าจินเยว่จะไม่เป็นสองรองใคร ทว่าสถานะของนางในตอนนี้กลับเป็นรองรุ่ยเซียงไปแล้ว การประชุมขุนนางครั้งต่อไปต้องรอดูผลลัพธ์เรื่องนี้อีกที เวลานี้จินเยว่ยังมีประโยชน์ต่องานของเขาอยู่ ตราบใดที่นางยังอยู่ตำหนักชินอ๋อง

    “ไหนๆ ท่านเสนาฯมาถึงตำหนักของข้าแล้ว ไม่สู้อยู่ถึงตอนเย็นเพื่อกินข้าวกับพวกเราหน่อยเหรอ?”

    เสนาบดีเฉินเห็นท่าทางอ่อนน้อมของชินอ๋องเขายิ่งวางใจเรื่องจินเยว่มากกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้นรบกวนด้วย”

    “มิได้”

    จินเยว่รู้สึกโล่งมากยามได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของบิดา ก่อนชินอ๋องกลับมาถึงตำหนัก นางโดนเสนาบดีเฉินถามเกี่ยวกับเรื่องชายาเอกว่านางรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง นางได้แต่ตอบว่านางรู้เรื่องนี้แล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ นี่อาจไม่ใช่คำตอบอันน่าพอใจสำหรับบิดาของนางมากนัก เขาต่อว่านางว่าทำไมไม่เรียกร้องสิทธิ์ของนาง ทำไมนางไม่คัดค้านชินอ๋องเรื่องแต่งชายาเอกเข้าตำหนัก จะให้นางทำอะไรได้ในเมื่อทุกอย่างเป็นประสงค์ของหวงตี้กับหวงไท่โฮ่วอย่างที่ชินอ๋องได้บอกกับเสนาบดีเฉินไป นางทำได้เพียงยอมรับมันอย่างช่วยไม่ได้ ขืนนางโวยวายว่านางยอมรับไม่ได้ นางคงได้กลายเป็นผู้หญิงไม่มีเหตุผลในสายตาของชินอ๋อง นางกลัวเหลือเกินว่ามันอาจกลายเป็นจุดดำทำให้ชินอ๋องมองนางเปลี่ยนไป

    ชินอ๋องสังเกตท่าทีของเสนาบดีเฉินกับจินเยว่สลับกัน เห็นได้ชัดว่าเสนาบดีเฉินกดดันจินเยว่เรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ถึงเขาจะพูดเรื่องชายาเอกกับเสนาบดีเฉินเรียบร้อยก็ไม่ได้หมายความว่าเสนาบดีคนนี้จะยอมวางมือง่ายๆ อะไรเสียผลประโยชน์เขาต้องหาวิธีเรียกร้องให้ถึงที่สุด อยากรู้นักว่าอยู่ต่อหน้าหวงตี้แล้วเขาจะอ้างอะไร แม้จะสงสารจินเยว่อยู่ นางก็ยังจำเป็นสำหรับเขาในหลายๆ ความหมายไม่ใช่แค่ภรรยาเท่านั้น การมีบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนักไว้ข้างกายก็เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อพวกขุนนางว่ายังมีชินอ๋องอยู่เคียงข้าง ชินอ๋องรักจินเยว่มากก็จริง แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ราชวงศ์โดนพวกขุนนางข่มขู่ได้ หากรุ่ยเซียงแต่งเข้าตำหนักของเขา อย่างไงเขาก็ต้องจับตาดูรุ่ยเซียงไม่แตกต่างจากจินเยว่ ไม่ว่าขุนนางหรือตระกูลใหญ่ทั้งสี่ก็อันตรายเกินไป

    หลังเสนาบดีเฉินกลับไป ทั้งชินอ๋องและจินเยว่รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ทว่าความกังวลยังแสดงอยู่บนใบหน้างามของจินเยว่เกี่ยวกับบิดาของตัวเอง

    “ท่านอ๋องไม่โกรธท่านพ่อใช่ไหมเจ้าคะ?”

    “ทำไมข้าต้องโกรธด้วยล่ะ ที่พ่อของเจ้าพูดเพราะต้องการปกป้องเจ้า”

    “แต่ท่านพ่อเสียงดังใส่ท่าน...”

    ชินอ๋องอมยิ้ม โอบร่างบางเอาไว้อย่างหลวมๆ “อย่ากังวลไปเลย เจ้าอย่าเก็บเรื่องที่พ่อเจ้าพูดมาคิด คิดถึงแค่ข้าก็พอ”

    “เจ้าค่ะ” จินเยว่กอดชินอ๋องเอาไว้แน่น เหมือนนางได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกไปได้สักที

     

    อันหวงตี้โยนฎีกาของขุนนางทั้งหลายลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด ขุนนางพวกนี้พยายามแทรกแซงอำนาจการตัดสินใจของเขา โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวและอำนาจการปกครองอย่างชัดเจน นับวันคนเหล่านี้ยิ่งทำการอย่างเปิดเผยแบบไม่เห็นหัวว่าเขาเป็นจักรพรรดิสักนิด ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนท้าทายว่าสถานะหวงตี้ของเขาจะสามารถจัดการขุนนางได้หรือไม่ หากให้อันหวงตี้ชั่งวัดสถานการณ์ในตอนนี้ คำตอบในใจคือเขายังไม่สามารถลงมือจัดการขุนนางพวกนั้นได้ ต้องรอให้ชินอ๋องกับรุ่ยเซียงเข้าพิธีอภิเษกเสียก่อน อย่างไงซะก็ต้องจัดงานสมรสพระราชทานให้กับชินอ๋องให้ได้! ตัวหมากทางการเมืองกำลังทำหน้าที่ของมันเอง โดยเฉพาะชินอ๋องที่สามารถกินขุนอย่างเสนาบดีเฉินไว้ข้างกายได้สำเร็จ หากได้ตระกูลมู่ฉิงร่วมด้วยถือได้ว่าหมากของฝ่ายหวงตี้จะมีกำลังมากขึ้น ฉะนั้นควรเดินหมากกระดานนี้อย่างระมัดระวังและใจเย็นที่สุด ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าฝ่ายไหนจะรุกฆาตก่อนกัน

    อันหวงตี้เริ่มร่างคำสั่งสมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องกับรุ่ยเซียงอย่างเป็นทางการ พร้อมร่างคำสั่งแต่งตั้งหวังเฟยให้กับรุ่ยเซียงทันที เมื่อทุกอย่างเตรียมเสร็จสรรพดี มือใหญ่จึงได้ประทับตรามังกรเป็นอันเสร็จสิ้น นี้คือโองการจากเขาผู้เป็นหวงตี้โดยตรง หากพวกขุนนางอยากคัดค้านก็ให้รู้ไป

    “ฝ่าบาท คุณหนูรุ่ยเซียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

    อันหวงตี้พยักหน้า ไม่นานขันทีได้เชิญเด็กสาวเข้าเฝ้าตามคำสั่ง

    “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”

    “ลุกขึ้นๆ นั่งก่อน”

    “ขอบพระทัยเพคะ”

    รุ่ยเซียงได้รับการอุปการะจากอันหวงตี้และหวงไท่โฮ่ว จึงไม่แปลกที่นางสามารถเรียกอันหวงตี้เช่นนั้นได้ ความจริงแล้วไม่ใช่ตัวรุ่ยเซียงต้องการเข้าเฝ้า หากเป็นความประสงค์ของหวงตี้ให้เข้าเฝ้าส่วนตัว หวงตี้ไล่ทุกคนออกจากห้องทรงงาน เหลือเพียงอันหวงตี้กับรุ่ยเซียงลำพังเพียงสองคน

    “เสด็จพ่อมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าเพคะ?”

    “ข้าแค่อยากเรียกเจ้ามาคุยเรื่องอภิเษกกับชินอ๋อง คราวก่อนดูเจ้าไม่ค่อยยินดีเท่าไร”

    “ก็เสด็จอาไม่ทรงโปรด แล้วทำไมลูกต้องดีใจที่ได้เป็นชายาอ๋องด้วย” รุ่ยเซียงกำลังหมายถึงชินอ๋อง

    อันหวงตี้กลั้นหัวเราะ ถึงนางไม่เต็มใจจะแต่งกับชินอ๋อง ใช่ว่านางจะเกลียดชินอ๋องเสียเมื่อไร หวงตี้รู้แล้วว่าเด็กน้อยสามารถรับมือกับชินอ๋องได้ ถือว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รู้จักปรับตัวให้ไหลไปตามสถานการณ์และเอาตัวรอดจากสายตาคมกริบของชินอ๋องได้ แค่วันแรกที่รุ่ยเซียงได้เจอชินอ๋องยังรู้จักปั้นหน้ายิ้มรับเออออไปกับหวงไท่โฮ่วได้นับว่าเป็นเรื่องดี ตรงกันข้ามอาจสร้างความระแวงให้กับชินอ๋อง

    “นี่เป็นราชโองการพระราชทานสมรสระหว่างเจ้ากับชินอ๋อง” อันหวงตี้ยื่นราชโองการให้นาง “และนี่ราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นหวังเฟย”

    “รีบเหรอเพคะ” ดวงตากลมโตยังอ่านราชโองการไม่เสร็จ เลยถามไปด้วยความสงสัย

    “เซียงเซียงข้าบอกกับเจ้าตามตรงก็ได้ว่าที่ข้าให้เจ้าแต่งกับชินอ๋องเพราะอะไร”

    “...”

    “แม้ชินอ๋องจะเป็นอนุชาของข้า ก็ไม่ได้หมายความว่าวันใดวันหนึ่งเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ตอนที่เขาคัดค้านเรื่องแต่งตั้งหวังเฟยทำให้ข้าคิดใหม่”

    “...”

    “เมื่อเจ้าเข้าไปอยู่ตำหนักของชินอ๋อง สิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำคือจับตาดูจินเยว่กับเสนาบดีเฉิน” อันหวงตี้บอกจุดประสงค์อย่างหนักแน่น

    “ฝ่าบาททำแบบนี้ไม่เท่ากับสร้างความระแวงให้พวกขุนนางหรือเพคะ?”

    “นี่เป็นสงครามประสาทต่างหาก ข้าเลยอยากให้เจ้าร่วมมือกับข้าด้วย”

    รุ่ยเซียงคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับ สมกับเป็นอันหวงตี้ดีเหมือนกัน เห็นยิ้มตลอดเวลาลึกๆ กลับร้ายไม่เบา

    “เอาเป็นว่าเจ้าจะช่วยข้าไหม?”

    “ฝ่าบาทไม่น่าถามเลยนะเพคะ ถ้าไม่ร่วมมือด้วย ลูกคนนี้คงอกตัญญูแน่นอน”

    “ดีจังเลย แบบนี้ต้องตกรางวัลให้แล้ว” อันหวงตี้หัวเราะด้วยความชอบใจ

    “หม่อมฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น”

    “อย่าเกรงใจไปเลยเซียงเซียงน้อยของข้า” แขนใหญ่โอบกอดร่างเล็กเอาไว้แน่น

    “หม่อมฉันไม่ได้เกรงใจอะไรทั้งนั้น ฝ่าบาทจะดีใจก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเพคะ!” รุ่ยเซียงเริ่มอึดอัดรีบดันตัวออกทันที

    “เซียงเซียงจะแต่งงานแล้ว คนเป็นพ่อนี้ใจหายจริงๆ” หวงตี้เลียนแบบบิดาที่กำลังจะห่างจากลูกสาวผู้เป็นที่รัก

    “ก็อย่าจัดงานสิเพคะ”

    รุ่ยเซียงรู้ดีว่าพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย เพราะหวงตี้ได้ออกราชโองการประกาศงานอภิเษกกับแต่งตั้งหวังเฟยให้นางไปแล้ว นางหมั่นไส้ความยียวนกวนประสาทของหวงตี้จริงๆ เขาเป็นถึงหวงตี้แล้วยังเป็นพ่อบุญธรรมนางอีก ใครจะทำอะไรจักรพรรดิของแผ่นดินได้ มีหวังได้โดนประหารชีวิตตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว

    “เห็นว่าเจ้าจะเดินทางไปเฉิงตูกับท่านน้านี่ เดินทางวันไหนล่ะ?”

    “อีกสองวันเพคะ”

    “อืม...เอาทหารตามไปด้วยไหม?”

    “ไม่ต้องเพคะ!” เล่นตลกอะไรของหวงตี้!?!

    รุ่ยเซียงมองหน้าหวงตี้สักพัก ก่อนหยิบกล่องไม้ขนาดประมาณหนึ่งวางตรงหน้าหวงตี้

    “นี่อะไร?”

    “เออ...พอดีหม่อมฉันเพิ่งได้แท่นหมึกตวนเอี้ยนตอนไปเขตตวนซีมาเพคะ” รุ่ยเซียงอึกอัก จึงเอ่ยต่อ “คือหม่อมฉันอยากมอบให้ชินอ๋อง แต่หม่อมฉันกลัว...” เสียงหวานเริ่มแผ่วยามเอ่ยถึงชินอ๋อง

    “โอ๊ะ...” หวงตี้ยิ้ม “ได้สิ เดี๋ยวข้ามอบให้เขาเอง”

    “ไม่ต้องบอกว่าหม่อมฉันมอบให้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันกลัวโดนว่า...” นางกำลังหมายถึงสายตาสังหารของชินอ๋อง

    “ชินอ๋องไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรอย่างนั้นสักหน่อย เจ้าอย่ากลัวไปเลย”

    “ฝ่าบาท...” รุ่ยเซียงเสียงอ่อน อย่างไงนางก็ยังกลัวอยู่ดี

    “แล้วให้ของล้ำค่าแบบนี้มีความนัยอะไรหรือเปล่า?”

    “ไม่มีเพคะ ให้ตามมารยาทในฐานะหลานเท่านั้น”

    อันหวงตี้เข้าใจรุ่ยเซียงดี อย่างไงนางก็เป็นบุตรสาวตระกูลมู่ฉิง ต้องเดินทางไปค้าขายตามเมืองและเขตต่างๆ อยู่เป็นประจำ จะได้ของล้ำค่าจากการเจรจาต่อรองทางการค้ามาบ้างก็ไม่แปลก ของส่วนใหญ่ที่ได้มาล้วนเป็นของมีค่าทั้งสิ้น นางไม่เคยเก็บของมีค่าไว้กับตัวเองเลย ชอบเอามาให้หวงไท่โฮ่วบ้าง ให้หวงโฮ่วบ้าง ให้เจินกุ้ยเหรินบ้าง หรือแม้แต่หวงตี้อย่างเขายังได้ของมีค่าจากเด็กตัวเล็กๆ ขนาดเป็นจักรพรรดิผู้มีพร้อมทั้งทรัพย์และแผ่นดินยังได้ของฝากจากนางทุกครั้งที่นางไปต่างเมืองเสมอ จะเรียกว่าเป็นคนใจกว้างก็ได้ แต่อันหวงตี้อยากให้นางโลภกว่านี้หน่อย ไม่ใช่เอะอะไปต่างเมืองมาแล้วเอาของล้ำค่ามาให้ตลอด นางควรเห็นคุณค่าของพวกนั้นบ้าง

    หวงตี้เปิดกล่องดูแท่นหมึกตวนเอี้ยน ช่างเป็นแท่นหมึกที่มีเนื้อสีดำพอมันสะท้อนกับแสงธรรมชาติแล้วออกสีน้ำเงินเข้มเล็กน้อย ลวดลายสลักบนแท่นหมึกมีความละเอียดประณีตสมเป็นแท่นหมึกตวนเอี้ยนของล้ำค่าแห่งตวนซี น้อยคนนักจะได้สัมผัสกับแท่นหมึกนี้ ขนาดเหล่าขุนนางยังพยายามอยากมีมันไว้ในครอบครอง มันชี้ให้เห็นถึงสถานะของผู้ครอบครองด้วย หวงตี้ไม่แปลกใจเลยหากนางมีไว้ในครอบครอง นอกจากนางชื่นชอบเรื่องกระดาษแล้ว นางยังเป็นเลิศทั้งด้านความรู้ บทกวี และศิลปะอีกด้วย เป็นยอดหญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า พอคิดถึงหน้าของชินอ๋องทำให้หวงตี้พลางเป็นห่วงว่าน้องชายของเขาจะดูแลผู้หญิงล้ำค่าคนนี้ได้ดีหรือเปล่า น่าเป็นห่วงจริงๆ แต่กับผู้หญิงที่ยังบอกว่าตัวเองเป็นหลานกับว่าที่สามีก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน นางคงไม่มีความคิดเรื่องสามีในอนาคตจริงๆ ดีแล้วล่ะที่จับคู่ให้ ดีกว่าปล่อยให้ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้

    “เซียงเซียง วันนี้เจ้าจะไปหาหวงไท่โฮ่วไหม”

    “วันนี้หม่อมฉันขอผ่านดีกว่าเพคะ”

    พอเปลี่ยนเรื่องมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รุ่ยเซียงกลับปฏิเสธทันที แค่นี้นางก็เครียดมากพออยู่แล้ว หวงตี้ยังจะไล่ให้นางไปหาหวงไท่โฮ่วอีกเหรอ ใจร้ายจัง

    “ถ้าอย่างนั้นวันนี้อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน มาคัดคัมภีร์กับข้าสักหน่อย”

    “แต่เรื่องแบบนี้มัน...”

    “ข้าอนุญาต ใครว่าเจ้าข้าจะสั่งลงโทษคนผู้นั้นซะ”

    เผด็จการจริงๆ รุ่ยเซียงเลยต้องไปนั่งโต๊ะข้างๆ โต๊ะทำงานของหวงตี้ อันหวงตี้ได้เรียกขันทีให้นำกระดาษ พู่กัน แท่งหมึกและแท่นฝนหมึกมอบให้กับบุตรสาว นำคัมภีร์ส่วนพระองค์บางเล่มให้รุ่ยเซียงคัดลอกตาม

    “คัดคัมภีร์ของเจ้าไป ส่วนข้าจะทำงานต่อ”

    “เพคะ” นางอยากกลับบ้าน ไม่ใช่มาอยู่เป็นเพื่อนหวงตี้แบบนี้!!!

    รุ่ยเซียงจำใจนั่งเงียบๆ ค่อยๆ คัดคัมภีร์ไป หวงตี้เฝ้าดูเด็กสาวตั้งอกตั้งใจคัดคัมภีร์เงียบงัน เขารู้ว่านางไม่ชอบอยู่วังนานเท่าไร แค่อยากให้นางทำตัวให้ชินกับเรื่องนี้เสียที ขนาดเรียกตัวเข้าวังบ่อยๆ นางยังพยายามเลี่ยงกลับบ้านตลอด หากนางชินกับการเข้าวังแล้วพบปะคนในวังเอาไว้คงดี หวงโฮ่วกับเหล่าพระสนมออกจะชอบนางขนาดนั้น ดันหมกตัวอยู่กับเจินกุ้ยเหรินแค่คนเดียว เป็นคนไม่สบโอกาสใกล้ชิดคนอื่นเลย นอกจากญาติของตัวเอง

    อันหวงตี้คิดว่าการประชุมราชสำนักครั้งต่อไปชินอ๋องควรเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย ที่ผ่านมาชินอ๋องไม่เคยเข้าร่วมประชุมเลยสักครั้ง นอกจากรับคำสั่งเป็นการส่วนตัว แล้วไปดำเนินงานเงียบๆ กับเหล่าทหาร ประชุมราชสำนักครั้งถัดไปเป็นตัวตัดสินว่าชินอ๋องจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไร เฟยหรงต้องเข้าประชุมกับราชสำนักครั้งนี้ด้วย ถ้าทั้งสองไม่ให้ความร่วมมืองานนี้หวงตี้ได้ลงดาบทั้งชินอ๋องทั้งตระกูลมู่ฉิง

    ฎีกาเรื่องคัดค้านงานอภิเษกของชินอ๋องถูกวางทิ้งไว้ ตอนนี้เหลือฎีการ้องเรียนเรื่องขุนนางขูดรีดราษฎรและซื้อขายตำแหน่งขุนนางอย่างเปิดเผยนี่ต่างหากคือเรื่องใหญ่ หวงตี้คิดไม่ตกเลยจริงๆ ว่าจะจัดการกับขุนนางพวกนี้อย่างไรดี ต่อให้รู้ว่าเบื้องหลังขุนนางพวกนี้เป็นใคร หลักฐานมัดตัวก็ยังไม่กระจ่างชัดและไม่สามารถนำมายืนยันได้ด้วยว่าคนคนนั้นเป็นคนทำ ตราบใดยังหาหลักฐานและพยานที่ชี้ชัดไม่ได้ คนคนนั้นไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ทำแน่ เผลอๆ ขุนนางผู้น้อยอาจซวยได้รับโทษตายก่อน รายชื่อขุนนางเพิ่งสอบคัดเลือกเข้ามาใหม่ล้วนอยู่ในตระกูลขุนนางที่หวงตี้คุ้นเคย บางชื่อยังรู้เลยว่าเป็นลูกน้องของขุนนางคนไหน

    “ขุนนางพวกนี้แย่จริงๆ” หวงตี้พึมพำกับตัวเอง

    รุ่ยเซียงมองหวงตี้นิ่งเงียบ ท่าทางของหวงตี้ดูเครียดกับฎีกาในมือ นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองมากนัก รู้ว่าตัวเองเป็นหมากตัวหนึ่งทางการเมืองให้หวงตี้ ต้องยอมสวมบทบาทตามนั้นไป แต่ถ้ามีใครมายุ่งหรือวุ่นวายกับครอบครัวของนาง รับรองว่านางจะเอาคืนคนเหล่านั้นให้จมดินเช่นกัน!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×