ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องอย่าตามข้ามา!

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 (อัปเดต 100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      53
      2 ก.ค. 64

    บทที่ 2

    การเดินทางไปเฉิงตูเริ่มต้นขึ้น รุ่ยเซียงแทบไม่กล้าขึ้นรถม้าเลยเมื่อได้เห็นชินอ๋องกับจินเยว่ยืนคุยกับเฟยหรง ลางสังหรณ์ของนางกำลังบอกว่าการท่องเที่ยวครั้งนี้เริ่มมีอุปสรรคตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแล้วสิ

    “เซียงเซียง ท่านอ๋องได้รับคำสั่งจากหวงตี้ให้เข้าร่วมขบวนเดินทางกับเราครั้งนี้” เฟยหรงเอ่ยกับบุตรสาว ขณะนางยังเหวอกับการเจอชินอ๋อง ต่อให้นางเจอเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว นางก็ยังประหม่าอยู่ดี

    “ยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้งคุณหนูเซียง”

    รุ่ยเซียงหน้าซีดยามชินอ๋องทักทาย อันหวงตี้ส่งเขามาเพื่อเชือดนางทิ้งชัดๆ รุ่ยเซียงไม่มีทางเลือกนอกจากทำความเคารพชินอ๋องกับจินเยว่ จินเยว่เองก็ทำความเคารพต่อรุ่ยเซียงเช่นกัน จินเยว่มองรุ่ยเซียงตั้งแต่หัวจรดเท้า ปฏิกิริยาของนางต่อชินอ๋องหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ท่าทางนางไม่ค่อยดีใจเลยเมื่อได้เจอชินอ๋อง คุณหนูน้อยตรงหน้าค่อยๆ ขยับตัวไปหลบหลังเฟยหรงผู้เป็นบิดาเกือบทันที นี่น่ะเหรอคนที่จะมาเป็นชายาเอกของชินอ๋อง

    “สายมากแล้ว พวกเราควรเดินทางกันได้แล้ว” เฟยหรงกระตุกแขนเสื้อรุ่ยเซียง นางยังไม่ยอมปล่อยมือจากผู้เป็นพ่อ มือเล็กจับแน่นยิ่งกว่าเดิม

    ชินอ๋องถอนหายใจ หันไปแสดงความรักต่อจินเยว่ “ข้าไปก่อนนะ”

    “รักษาตัวดีๆ นะเจ้าคะ”

    ชินอ๋องปลีกตัวจากจินเยว่ก้าวขึ้นรถม้าไป รุ่ยเซียงเห็นแบบนั้นเริ่มร้องโวยวายขึ้นมา

    “เดี๋ยว!!!”

    “อะไรอีกเซียงเซียง” เฟยหรงคิ้วขมวดกับท่าทางไม่สำรวมของนาง

    “ทำไมท่านอ๋องขึ้นรถม้าของลูก!?!”

    “หรือเจ้าจะให้ท่านอ๋องขี่ม้าไปแทน ท่านอ๋องไปกับเจ้า ที่คงไม่แคบลงหรอก”

    “ไม่เอา ท่านพ่อ...ท่านพ่อให้ลูกขี่ม้าไปกับท่านดีกว่าให้ข้านั่งไปกับท่านอ๋องเถอะนะ” นางกอดรัดเฟยหรงไว้แน่น เสียงหวานเริ่มสั่นเครือวิงวอนให้ผู้เป็นบิดาสงสารนาง

    “ไปกับข้าแล้วมีปัญหานักหรือไง?” ชินอ๋องแทรกขึ้นมา รุ่ยเซียงเม้มปากชะงักนิ่ง “ถ้าข้าทำอะไรเจ้า พ่อของเจ้าคงปล่อยข้าดีๆ หรอก”

    เฟยหรงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชินอ๋อง ร่างบางยังขัดขืนแรงผลักจากบิดา เขาพยายามดันให้รุ่ยเซียงขึ้นรถม้าไปกับชินอ๋องดีๆ พอเห็นความดื้อดึงของหญิงสาวแล้วชินอ๋องถอนหายใจ ลุกมาดึงแขนรุ่ยเซียงจนคนตัวเล็กปลิวเข้าไปนั่งข้างในกับเขาได้สำเร็จ ทว่าเด็กน้อยกลับส่งแววตาเว้าวอนไปยังบิดาไม่หยุด

    “ครั้งนี้หลินเอ๋อเดินไปกับขบวนรถม้าของคุณหนูแทน” เฟยหรงสั่งเด็ดขาด หลินเอ๋อเลยได้แต่โบกมือยิ้มให้กำลังใจคุณหนูอยู่ข้างๆ รถม้า

    คำสั่งของนายท่านแห่งตระกูลมู่ฉิงดุจฟ้าผ่ากลางใจลูกสาวอย่างนางยิ่ง รุ่ยเซียงทั้งหน้าชาทั้งตัวแข็งทื่อเมื่อต้องเผชิญกับเสือตัวใหญ่ซึ่งนั่งอยู่กับนางบนรถม้า แค่นั่งใกล้ๆ นางยังรับรู้ถึงรังสีอำมหิตจากผู้เป็นอาและสามีในอนาคตได้เลย นี่นางต้องกลั้นใจจนกว่าจะถึงเฉิงตูจริงๆ หรือ รุ่ยเซียงหันไปทางจินเยว่ สายตาของนางกำลังบอกจินเยว่ว่า ‘เอาสามีของท่านกลับไป!!!’ จินเยว่กลับยิ้มแล้วโบกมือให้นาง บุตรสาวท่านเสนาบดีเฉินช่างไม่เข้าใจหัวอกนาง!!!

    ขบวนรถม้าและบรรดาคนงานของตระกูลมู่ฉิงเริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าสู่เฉิงตู ประชาชนในเมืองลั่วหยางต่างตั้งแถวส่งขบวนทูตการค้าของตระกูลมู่ฉิง พากันส่งเสียงอวยพรการเดินทางครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จและปลอดภัยกลับมา กลุ่มเด็กน้อยทั้งหลายต่างวิ่งมาอยู่ตรงหน้าต่างของรถม้า ซึ่งรุ่ยเซียงยื่นหน้าออกมาเพื่อหนีหน้าชินอ๋องนั้นเอง

    “พี่เซียงเซียง ท่านจะกลับมาเมื่อไร?” เด็กชายตัวน้อยท่าทางมอมแมมถามนาง

    “อีกสองอาทิตย์”

    “นานจัง ข้าก็ไม่ได้เรียนหนังสือกับท่านสิ” เหล่าเด็กน้อยพากันหน้าหงอย

    “ช่วงที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าก็ทบทวนหนังสือที่ข้าให้พวกเจ้าไปก่อน รอข้ากลับมา”

    “ถ้าท่านกลับมาข้าจะอ่านหนังสือให้ท่านฟัง” เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยอย่างแข็งขัน

    “ข้าด้วยๆ” เด็กทุกคนต่างแย่งกันพูด

    “แล้วข้าจะกลับมาฟังพวกเจ้าอ่านหนังสือให้ข้าฟังนะ” มือเรียวสวยจับมือของเด็กคนหนึ่งเอาไว้เป็นการสัญญาก่อนปล่อยมือ เด็กๆ เหล่านั้นได้รับความอนุเคราะห์จากนางเรื่องเรียนหนังสือ จึงได้วิ่งตามมาส่งทุกครั้งที่นางเดินทางไปต่างเมือง

    “คุณหนูจะซื้อของเล่นให้เด็กพวกนั้นอีกหรือเปล่าเจ้าคะ?” หลินเอ๋อถามหลังรถม้าเคลื่อนตัวห่างจากเด็กๆ เหล่านั้นพอสมควร

    “ของเล่นพวกเขาได้บ่อยแล้ว ซื้อเสื้อผ้าสีพื้นๆ ให้พวกเขาแล้วกัน”

    “ดีเหมือนกันเจ้าค่ะคุณหนู” หลินเอ๋อเห็นด้วย

    รุ่ยเซียงหน้ายุ่งใส่สาวใช้คนสนิทก่อนต่อว่านาง “เจ้ามันใจร้าย ทิ้งข้าเอาไว้กับคนน่ากลัวบนรถได้อย่างไง!!!” ประโยคสุดท้ายนางพยายามเสียงเบาจนไม่รู้ว่าเบาพอไหม ถ้าชินอ๋องไม่ได้ยินนางว่าเขาคงดี

    “ก็นายท่านสั่งเช่นนั้น ข้าจะขัดได้อย่างไงเจ้าคะคุณหนู”

    “เจ้ามันใจร้าย เจ้ามันใจร้าย จำไว้เลย”

    “คุณหนูไม่งอแงนะเจ้าคะ” หลินเอ๋อพยายามปลอบคุณหนูของนาง สายตาของชินอ๋องช่างเย็นชายิ่งนักยามมองรุ่ยเซียง คุณหนูไม่กลัวเขาสิ...แปลก

    การเดินทางเป็นไปเรื่อยๆ แต่ใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะลั่วหยางกับเฉิงตูห่างไกลมาก ชินอ๋องเพิ่งรู้ว่ารุ่ยเซียงเป็นผู้หญิงที่อึดเกินกว่ารูปลักษณ์อันบอบบางของนางมาก นางสามารถนั่งอยู่บนรถม้าได้นานๆ โดยไม่บ่นสักคำ ขนาดสาวใช้ของนางคอยเอาน้ำมาให้ดื่มตลอดนางก็ไม่เอา นางได้แต่นั่งเงียบๆ หัวซบกับขอบหน้าต่างแล้วเผลอหลับไปในที่สุด ชินอ๋องถอนหายใจเมื่อเห็นว่านางได้ผ่อนคลายจนผล็อยหลับไป ตั้งแต่ออกมาจากลั่วหยางนางเอาแต่กลัวเขาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรนางด้วยซ้ำ น่าอึดอัดที่สุดคือนางไม่คุยอะไรกับชินอ๋องสักประโยค ปกติเขาเคยเห็นนางคุยกับหวงตี้กับหวงไท่โฮ่วออกจะสนุกสนานขนาดนั้น แล้วทำไม! ทำไม!! ทำไม!!! โกรธนางตอนนี้คงไม่ได้อะไร พบหน้ากันครั้งแรกเป็นชินอ๋องเองที่ไปจ้องตาแข็งใส่นางก่อน

    มาได้ไกลสักแปดสิบลี้ ศีรษะของรุ่ยเซียงค่อยๆ เอนซบเข้าไหล่กว้างของชินอ๋องโดยไม่รู้ตัว ชินอ๋องเหลือบตาดูนางเล็กน้อย อยากผลักนางให้กลับไปซบกับหน้าต่างตามเดิม แต่ก็ไม่กล้าทำ...ขืนทำให้นางตื่นขึ้นมากะทันหัน รถม้าได้คว่ำเพราะอาการตื่นกลัวของนางแน่ รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลงจนหยุดสนิท ไม่นานหลินเอ๋อได้ถือวิสาสะเปิดประตูรถม้า ครั้งจะเรียกคุณหนูของนางกลับต้องเงียบลง เมื่อชินอ๋องยกนิ้วขึ้นมาป้องปากบอกเป็นนัยว่าให้เงียบไว้ หลินเอ๋อผงกส่วนหัวใจของนางก็เต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ยามได้เห็นภาพคุณหนูกำลังหลับซบไหล่ของชินอ๋อง หากรุ่ยเซียงตื่นขึ้นมานางไม่วิ่งเตลิดไปเลยหรอกเหรอ

    “หลินเอ๋อ ท่านอ๋องกับเซียงเซียงล่ะ?” เฟยหรงเห็นว่าทั้งสองคนไม่ลงจากรถม้า จึงถามนางที่เพิ่งเดินกลับมา

    “เออ...คุณหนูหลับอยู่เจ้าค่ะ”

    “หลับ?” เฟยหรงย่นคิ้ว “แล้วท่านอ๋องล่ะ?”

    “คือ...”

    “...”

    “คือว่า...”

    เฟยหรงเริ่มหงุดหงิดกับท่าทีอึกอักของหลินเอ๋อ

    พอนางเห็นแววตาของนายท่านเริ่มฉายแววโทสะ นางเลยรีบตอบทันที “ท่านอ๋องตอนนี้ขยับไม่ได้เจ้าค่ะ เป็นหมอนอิงให้คุณหนูอยู่”

    เป็นหมอนอิง...เฟยหรงได้ยินไม่ผิดใช่ไหม แสดงว่ารุ่ยเซียงนอนหลับระหว่างเดินทางอีกแล้ว นางหลับทีไรนางนอนยาวจนลืมตื่นไปเลยก็มี จนเขาต้องไปปลุกนางหลายต่อหลายครั้ง พอรู้แบบนี้เฟยหรงรีบไปเปิดประตูรถม้าดู แล้วมันก็เป็นอย่างที่หลินเอ๋อบอก ลูกสาวสุดที่รักหลับซบไหล่ชินอ๋องสนิทจริงๆ

    “เออ...ท่านอ๋อง...” เฟยหรงลำบากใจเหลือเกินเมื่อเห็นลูกสาวไปซบแบบนั้น

    “ไม่เป็นไร ปล่อยนางนอนไปเถอะ” ชินอ๋องยกมือปราม

    “...” เฟยหรงพูดไม่ออก

    “ท่านอ๋อง คุณหนูเวลาหลับเคยหลับยาวข้ามวันเลยนะเจ้าคะ” หลินเอ๋อช่วยเฟยหรงโดยกระซิบบอกชินอ๋องเบาๆ

    “ไม่เป็นไร ข้าอยู่แบบนี้ได้” ชินอ๋องยังยืนยันคำเดิม

    เฟยหรงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยให้รุ่ยเซียงอยู่แบบนั้นกับชินอ๋อง เขาได้แต่บอกให้คนงานเอาอาหารกับน้ำไปให้ชินอ๋องบนรถม้า เวลาคนงานเห็นคุณหนูของตัวเองซบกับไหล่ของชินอ๋อง พวกเขายังรู้สึกว่าคุณหนูน้อยของพวกเขาช่างไม่ระวังตัวเลย ถ้าเป็นการเดินทางปกติโดยไม่มีชินอ๋องมาด้วย รุ่ยเซียงจะนอนหลับฟุบอยู่กับหลินเอ๋อเงียบๆ สองคน

    ชินอ๋องไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงได้เดือดร้อนแทนรุ่ยเซียงขนาดนั้น คนเป็นพ่อเขายังพอเข้าใจว่าทำไมเป็นห่วง แต่พวกคนงานกับคนใช้ที่ตามมาด้วยดูกังวลไม่แพ้กัน สงสัยนางเป็นคนสำคัญขนาดต้องเฝ้าระวังทุกฝีก้าวสินะ ไม่นานเปลือกตาซึ่งมีแพขนตางอนยาวค่อยๆ ขยับลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเพราะได้กลิ่นของอาหาร ดวงหน้ามนได้เงยขึ้นสบเข้ากับดวงตาคมใกล้เกือบสัมผัสได้ จนคนตื่นมาเห็นตกใจถอยหลังกรูติดกับกำแพงของรถม้า

    “เจ้าจะตกใจอะไรของเจ้าขนาดนั้น เอาอาหาร” เขาไม่ค่อยชอบท่าทางของนางเลย

    “ขะ...ขอโทษเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ” รุ่ยเซียงไม่รู้จะพูดคำไหน รู้สึกสับสนกับสถานการณ์ไปหมด

    “เจ้าจะอึ้งอีกนานไหม รับอาหารของเจ้าไป” มือใหญ่ยื่นอาหารไปตรงหน้า ในที่สุดรุ่ยเซียงก็ยอมรับอาหารไปกินดีๆ

    สำหรับรุ่ยเซียงในตอนนี้คือ นางทำอะไรลงไป!?! คงไม่ทันให้นางได้คิดแบบนั้น เพราะนางดันหลับแล้วซบไหล่ชินอ๋องไปแล้วจริงๆ “อายุข้าสั้นแล้วแน่เลย” เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง

    “เจ้านี่เป็นผู้หญิงไม่ระวังอันตรายระหว่างเดินทางเลยนะ เกิดโดนโจรปล้นกลางทางขึ้นมาจะทำยังไง?”

    “ก็ฟันพวกมันก่อนพวกมันฟันสิเจ้าคะ”

    นี่นางคิดก่อนตอบแล้วจริงเหรอ แล้วยังทำหน้าตายไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก เวลาเดินทางออกนอกเขตเมืองต้องเผชิญอันตรายกับโจรที่ซุ่มโจมตีอยู่นะ!!!

    “พูดง่ายไปไหม!?!”

    “ไปค้าขายต่างเมืองก็ต้องเจอโจรอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอเจ้าคะที่เราต้องป้องกันตัวเอง” รุ่ยเซียงตีหน้าซื่อ

    “เจ้าพูดแบบนี้หรือว่าเจ้ารู้จักวิธีต่อสู้หรือไง”

    “ถ้าข้าไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วท่านพ่อจะปล่อยให้ข้าติดตามขบวนมาด้วยเหรอเจ้าคะ” เจ้าของใบหน้าหวานเอียงคออย่างสงสัย นางคิดว่านางตอบตรงประเด็นที่ชินอ๋องถาม หรือว่าคำตอบของนางไม่ตรงกับคำถามของเขากัน

    ชินอ๋องไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูแห่งตระกูลมู่ฉิงนอกจากจะมีความรู้เรื่องการผลิตกระดาษแล้ว นางยังรู้วิธีต่อสู้ป้องกันตัวเองจากอันตรายอีก หวงตี้ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย นอกจากบอกว่านางชอบตามติดพ่อไปต่างเมืองบ่อย

    “ถ้าท่านอ๋องไม่ชอบเดินทางแล้วมาเจอปัญหาแบบนี้ก็ไม่น่าติดตามมานะเจ้าคะ ปฏิเสธเสด็จพ่อไปก็ได้”

    สติของชินอ๋องตอนนี้ไม่รับรู้ประโยคบอกเล่าของรุ่ยเซียงอีกแล้ว นี่อันหวงตี้เอาผู้หญิงประเภทไหนมาให้เขากันแน่ เกือบมองว่านางน่ารักอยู่แล้วเชียว อันตราย!

    “คุณหนูตื่นแล้วเหรอเจ้าคะ” หลินเอ๋อเห็นรุ่ยเซียงกำลังกินอาหารอยู่ รู้สึกดีใจมากที่นางยังไม่โดนชินอ๋องทำอะไร

    “พักนานไหม?”

    “อีกสักพักเดินทางเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังให้หญ้าให้น้ำกับม้าอยู่”

    “อือๆ”

    “ส่วนคนงานก็ไปสำรวจเส้นทางข้างหน้ากับรอบๆ เจ้าค่ะ”

    “อ๋อ...” รุ่ยเซียงลากเสียงยาว กวักมือไล่ให้หลินเอ๋อหลบทางให้นางลงจากรถม้า “มีของกินเหลือไหม?”

    “ยังเหลืออีกเยอะเจ้าค่ะ พอกินเหลือเฟือเลยเจ้าค่ะ” หลินเอ๋อเดินตามรุ่ยเซียงไปยังบริเวณจุดพักซึ่งวางพวกเสบียงแจกจ่ายไว้ให้ทั้งผู้เป็นนายและคนติดตาม ทิ้งให้ชินอ๋องนั่งอยู่บนรถม้าคนเดียว

    คนงานเห็นคุณหนูน้อยลงมาจากรถม้าต่างพากันโล่งใจเป็นอย่างมาก ทุกคนเข้ามาคุยและรีบเอาอาหารมาให้นางกันยกใหญ่ เฟยหรงเห็นลูกสาวตัวดีตื่นสักทีรีบเข้าไปต่อว่าเรื่องที่นางเสียมารยาทต่อชินอ๋อง คนงานเลยพากันแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ปล่อยให้พ่ออบรมลูกสาวตัวเองต่อไป รุ่ยเซียงไม่ใช่คนคิดเยอะเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ก็ทนฟังเฟยหรงสั่งสอนอยู่แบบนั้น สุดท้ายนางโผกอดผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังหัวร้อนอยู่ให้ใจอ่อนยวบเพราะลูกอ้อนของนาง

    ขบวนการค้าเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนพักเอาแรงเต็มที่ คราวนี้ชินอ๋องขี่ม้าประกบรถม้าเดินทางไปแทน ให้รุ่ยเซียงนั่งอยู่บนรถม้ากับหลินเอ๋อ พอเขาไม่นั่งด้วยท่าทางของคุณหนูดี๊ด๊าออกนอกหน้าเสียเหลือเกิน แถมยังคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กับสาวใช้เสียงดังอีก ทีนั่งกับเขาทำเป็นเงียบแล้วหลับหนีเฉย น่าโมโหจริงๆ

    “ท่านอ๋องไม่น่ามาลำบากกับพวกข้าเลยนะขอรับ” เฟยหรงยิ้มร่าหลังลูกสาวแยกจากชินอ๋องได้เสียที

    “หวงตี้สั่งมา ข้าปฏิเสธคงโดนฝ่าบาทบ่นแน่” รอยยิ้มของชินอ๋องกำลังบอกว่าเก็บอาการหน่อย เขารู้ว่าเฟยหรงไม่อยากให้ชินอ๋องเข้าใกล้รุ่ยเซียง

    “ท่านเป็นอนุชาของฝ่าบาท ฝ่าบาทคงไม่ทำอะไรท่านหรอกขอรับ”

    “...” ชินอ๋องยิ้มอย่างตงิดใจ เขาอยากให้เฟยหรงเห็นพระพักตร์ของหวงตี้ตอนสั่งเขาจริงๆ ถ้าไม่มาคุ้มครองลูกสาวบุญธรรมสุดที่รักของหวงตี้ เท่ากับประกาศสงครามกับพระเชษฐาแบบไม่ต้องคิด พาลให้หวงไท่โฮ่วไม่พอใจด้วยหากหวงตี้ไปทูล

    “ข้าอยากบอกกับท่านอ๋องตรงๆ ว่าข้าไม่อยากให้เซียงเซียงเป็นหวังเฟยของท่าน นางยังเด็กนัก แล้วนางก็ไม่ใช่คนเคร่งครัดระเบียบหรือสนใจอะไรเกี่ยวกับราชวงศ์เลย”

    “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น นางไม่เหมาะกับเรื่องวุ่นวายใดๆ แต่ลูกสาวท่านน่าเหลือเชื่อเหมือนกันนะ”

    “อย่างไงหรือขอรับ?” เฟยหรงไม่เข้าใจว่าชินอ๋องหมายถึงอะไร

    “นางเป็นคนดีซะจนข้าไม่อยากเชื่อ ขนาดถามเรื่องเดินทางไปกับท่านนางยังไม่กลัวอันตราย เพราะท่านวางใจนางที่สามารถดูแลตัวเองได้”

    เฟยหรงหัวเราะด้วยความชอบใจ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าชินอ๋องที่จ้องลูกสาวตัวเองอย่างจงเกลียดจงชังในวันแรกเจอ กลับเอ่ยถึงรุ่ยเซียงเช่นนี้ “ท่านอ๋อง ต่อให้พวกข้าเกิดมาในตระกูลยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่พวกข้าถูกเลี้ยงดูมาให้รู้จักทำงานแล้วก็ดูแลตัวเองให้เป็น ภรรยาข้าก็เสียไปตั้งแต่เซียงเซียงอายุได้แค่สามขวบ เรื่องมารยาทความเรียบร้อยอย่าถามถึง ข้าก็เลี้ยงนางตามประสาพ่อหม้ายนี่แหละ”

    “ท่านมีความคิดแบบนี้เองเหรอ ข้าคิดว่าท่านจะเป็นคนถือยศถือศักดิ์ว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลหวงไท่โฮ่วซะอีก”

    “ข้ารู้ว่าตระกูลข้าเกี่ยวพันกับราชวงศ์ แต่ข้าก็ไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกท่านหรอก แต่กับหวงไท่โฮ่วข้าเกรงใจ”

    ชินอ๋องเข้าใจความหมายของเฟยหรงดี หวงไท่โฮ่วเป็นมารดาของหวงตี้แล้วยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฟยหรงอีก หากหวงไท่โฮ่วต้องการอะไรเขาก็ต้องทำตาม อย่างไงหวงไท่โฮ่วก็ยังมีอำนาจอยู่ในมือ แม้ไม่เทียบเท่าหวงตี้ก็ตาม

    “ท่านอ๋อง สิ่งที่ข้ากังวลเพียงอย่างเดียวคือ...”

    “...”

    “หากเซียงเซียงไปอยู่กับท่าน นางจะยังมีชีวิตอิสระและรอยยิ้มเหมือนทุกๆ วันอย่างที่นางเป็นอยู่ไหม”

    คำพูดนั้นกระตุกหัวใจของชินอ๋องหล่นวูบ เฟยหรงไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับตระกูลตัวเองเลยนอกจากความสุขของบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา เขาพูดแต่เรื่องลูกสาวเพียงเรื่องเดียว ส่วนเรื่องราชสำนักหรือวังหลวงกลับไม่พูดถึงเลยสักคำ มีพูดถึงแค่หวงไท่โฮ่วนิดๆ หน่อยๆ ผู้นำตระกูลมู่ฉิงมีความคิดแค่นี้จริงๆ เหรอ

    “ถ้าเซียงเซียงยังเดินทางไปไหนมาไหนกับข้าได้เหมือนเดิมก็ดีนะท่านอ๋อง”

    “...” พอเห็นรอยยิ้มเศร้านั้น เขาก็ไม่กล้าคิดเรื่องแย่ๆ “แล้วข้าจะคิดดูขอรับ” ไม่ว่าอย่างไงเฟยหรงก็ยังเป็นน้าของเขากับหวงตี้อยู่ ชินอ๋องไม่กล้าพูดหรอกว่าตัวเองมีอคติต่อตระกูลมู่ฉิง บางอย่างมันอยู่เหนือความเข้าใจของเขาอย่างสิ้นเชิง

    กว่าจะถึงเฉิงตูก็กินเวลาเดินทางไปเกือบๆ ห้าวัน ระหว่างนี้รุ่ยเซียงติดตามเฟยหรงไปคุยเรื่องการค้าขายกับตรวจงานที่โรงผลิตกระดาษสาขาเฉิงตู สำหรับการเจรจาต่อรองทางการค้าเฟยหรงปล่อยให้รุ่ยเซียงเป็นคนจัดการทั้งหมด นางไม่ใช่เพียงนำเสนอสินค้าของลั่วหยางเท่านั้น นางเสนอให้แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างสินค้าด้วยกันแทนเงินทอง สร้างความได้เปรียบทางการค้าให้กับตัวเอง เฟยหรงเองยุ่งกับการจัดการโรงผลิตกระดาษกับคู่ค้าทางเฉิงตู แม้มีปัญหาติดขัดอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องภายใน เฟยหรงก็จัดการขั้นเด็ดขาดโดยไม่มีการผ่อนปรนให้กับคนที่สร้างปัญหาให้กับโรงผลิตกระดาษ และให้คนงานที่พามาด้วยจากลั่วหยางแทนที่คนของที่นี่ที่หายไป ดังนั้นการตรวจงานและเจรจาทางการค้าจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและเสร็จลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เวลาพักผ่อนเหลืออยู่บ้างก่อนเดินทางกลับลั่วหยาง

    รุ่ยเซียงกับหลินเอ๋อพากันไปเที่ยวร้านค้าทั่วเฉิงตู โดยเฉพาะร้านทอผ้าซึ่งเมืองเฉิงตูนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทอง ความตั้งใจของรุ่ยเซียงตอนแรกคิดว่าจะเก็บดอกฝูหรงแห้งใส่โหลแก้วเอาไปฝากเจินกุ้ยเหริน นางจึงเปลี่ยนเป็นซื้อผ้าไหมทออันเลื่องชื่อของเฉิงตูไปฝากแทน ส่วนของกำนัลจากการเจรจาการค้าคราวนี้นางได้พวกเครื่องเงินมา คิดว่าส่วนหนึ่งเอาไปถวายให้หวงตี้กับหวงไท่โฮ่วเหมือนเดิม รุ่ยเซียงเดินมาเรื่อยๆ แล้วมาหยุดอยู่หน้าร้านเครื่องเงินร้านหนึ่งของเฉิงตู ร้านเครื่องเงินนี้ไม่ค่อยใหญ่นักและไม่โดดเด่น เป็นร้านเล็กๆ ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น นางกลับสะดุดตากับผลงานเครื่องเงินของร้านนี้ ความประณีตของชิ้นงาน และความแข็งแรงของเครื่องเงินหลังขึ้นรูปดูไม่มีที่ติ ทำให้นางนั่งลงดูผลงานของร้านราวกับถูกดึงดูดด้วยฝีมือของช่างทำ

    “คุณหนูสนใจเครื่องเงินชิ้นไหน ถามได้เลยนะขอรับ” เจ้าของร้านเห็นมีลูกค้าเข้าร้านรีบออกมาต้อนรับอย่างยินดี

    “งานดีๆ ทั้งนั้นเลย มีแบบละชิ้นเท่านั้นเองเหรอ” รุ่ยเซียงสงสัย เท่าที่นางดูเครื่องเงินมามีแบบละชิ้นเท่านั้น ลวดลายแตกต่างกันออกไป ไม่ซ้ำกันเลยสักชิ้น

    “ใช่ขอรับ ร้านเราทำออกมาไม่เหมือนกันสักชิ้น ทุกชิ้นล้วนเป็นงานฝีมือ ไม่ใช่งานที่หล่อออกมาจากพิมพ์ขอรับ”

    “...” คำอธิบายของเจ้าของร้านทำให้รุ่ยเซียงยิ่งสนใจงานเครื่องเงินร้านนี้มาก มาเฉิงตูแต่ละครั้งนางเข้าออกร้านเครื่องเงินเป็นครั้งคราวเท่านั้น ร้านเครื่องเงินส่วนใหญ่มีเครื่องเงินซ้ำลายซะจนนางเบื่อร้านเครื่องเงินไม่อยากเข้าเลย แต่ร้านนี้ไม่ใช่

    “ปิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสายลมและเมฆขอรับ ประดับด้วยเพทายนิดหน่อยช่วยขับให้ตัวปิ่นมีความโดดเด่น คุณหนูลองเอาส่องกับแสงดูก็ได้นะขอรับ เครื่องเงินจะดูสว่างใสอมฟ้า หากปักบนผมยิ่งสวยงามไปอีกแบบ” เขาเห็นรุ่ยเซียงถือปิ่นเงินอยู่ เลยแนะนำนาง

    รุ่ยเซียงอมยิ้ม ลองทำตามที่เจ้าของร้านแนะนำ นางหันหน้าไปทางแสงลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างของร้านแล้วลองส่องดู ปรากฏว่ามันเป็นอย่างที่เจ้าของร้านอธิบาย นางยิ่งหลงใหลความพิเศษไม่เหมือนใครในเครื่องเงินของร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเพทายไม่กี่เม็ดทำให้ตัวปิ่นดูเคลื่อนไหวได้ ดั่งเมฆล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสมกับรูปลักษณ์ที่ทำออกมา “สวยจัง”

    คำชมของรุ่ยเซียงทำให้เจ้าของร้านหัวใจพองโต นานครั้งจะมีลูกค้าเข้าใจถึงศิลปะเครื่องเงินของเขาที่พยายามรังสรรค์เสียที ดูนางตื่นเต้นกับผลงานของเขามาก

    “คือว่า...”

    เจ้าของร้านเอียงคอรอฟัง

    “ถ้าสั่งทำได้ใช่ไหม?”

    “ได้แน่นอนอยู่แล้วขอรับ”

    รุ่ยเซียงเผลอตบมือเบาๆ ด้วยความดีใจ ก่อนบอกรายละเอียดของงานให้เจ้าของร้านฟัง “ข้าอยากได้เครื่องเงินที่สามารถเอาไว้ห้อยติดตัวได้ ลวดลายของเครื่องเงินสื่อถึงความอิสระอย่างไงก็ได้เจ้าค่ะ แล้วก็นี้” นางยื่นหยกซึ่งเพิ่งซื้อก่อนเดินมาถึงร้านนี้ให้ “ท่านจะเอาหยกนี้ตกแต่งเครื่องเงินอย่างไงก็ได้ เจ้าของเครื่องเงินนี้เป็นผู้ชายเจ้าค่ะ ถ้าสามารถทำให้หยกสลักคำว่า ‘ลู่’ ออกมาได้ก็ดีเจ้าค่ะ”

    “งานฝีมือขนาดนี้อาจใช้เวลาสักหน่อยนะขอรับ”

    “เรื่องเวลาข้าไม่เกี่ยง ขอแค่งานออกมาดีก็พอแล้ว ข้ารอชมผลงานของท่านอยู่นะเจ้าคะ” ดวงตาสดใสทอประกายกว่าเดิม

    “ขอรับ ข้าจะทำให้เต็มที่ขอรับ!!!” เจ้าของร้านรู้สึกมีแรงฮึดอย่างมากเมื่อมีคนคาดหวังกับงานเครื่องเงินของเขา เมื่อดูหยกในมือแล้วช่างเป็นหยกน้ำดีเนื้องามไร้ที่ติ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มีสายตาเฉียบคมดูของมีค่าได้ล้ำเลิศขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่อยู่ๆ นางเดินเข้าร้านมาแล้วดูเครื่องเงินแต่ละชิ้นอย่างใจจดใจจ่อ

    “เสร็จแล้วส่งไปให้ข้าที่ตระกูลมู่ฉิงเมืองลั่วหยางได้เลยนะ นี่ใบเบิกเงิน ไปเบิกที่โรงผลิตกระดาษของที่นี่ได้เลยเจ้าค่ะ” มือเล็กยื่นใบเบิกเงินพร้อมตราประทับประจำตระกูลให้กับเจ้าของร้าน

    ไม่น่าเชื่อเลยว่านางเป็นบุตรสาวแห่งตระกูลมู่ฉิงผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินและกิจการการค้าเกือบทุกเมือง

    “เดี๋ยวข้าไปบอกคนของข้าให้ว่าท่านรับคำสั่งซื้อจากข้าและมีใบเบิกเงินที่ได้รับจากข้าอยู่ พวกเขาจะได้เตรียมเงินจ่ายให้ท่าน แล้วก็...” รุ่ยเซียงหยิบปิ่นเงินรูปร่างดอกเหม๋ยฮวาประดับเม็ดทับทิมขึ้นมาหนึ่งชิ้น มีระย้าเงินสลับทอง เป็นปิ่นที่มีการออกแบบสะดุดตาและงดงามอย่างมาก “อันนี้ข้าซื้อเลย”

    “ขอรับๆ ได้เลยขอรับ” เจ้าของร้านรีบนำปิ่นไปใส่กล่องพร้อมผูกเชือกให้อย่างดี

    “จริงสิข้ายังไม่รู้จักชื่อของท่านเลย ท่านชื่ออะไรเหรอ?”

    “ขะ...ข้า...”

    “?”

    “ข้าชื่อ ‘หวังเหว่ย’ ขอรับ ยินดีอย่างมากเลยขอรับที่คุณหนูตระกูลมู่ฉิงให้ความสนใจกับงานของข้า”

    รุ่ยเซียงอดไม่ได้ที่จะขำกับความตื่นเต้นจนทำให้เขาเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกมาเสียหมด “ยินดีเช่นกัน งานของท่านมีเสน่ห์มากนัก ข้ารอชมผลงานของท่านอยู่นะ” นางหมายถึงงานที่สั่งไป

    “แน่นอนขอรับ ข้าจะทำให้สุดฝีมือแน่นอน”

    “ดี ข้าไปก่อน...”

    “ข้าเองก็อยากได้ของจากเจ้าบ้าง”

    เสียงคุ้นหูพร้อมลมหายใจร้อนผ่าวอยู่ใกล้หูมาก ทำให้รุ่ยเซียงซึ่งกำลังชื่นชมงานเครื่องเงินอยู่สะดุ้งเฮือก

    “ท่านอ๋อง!!!”

    “อะไรล่ะ นี่ข้าขอจากเจ้าไม่ได้หรือไง?” ชินอ๋องหน้ายุ่ง เขาได้ยินตอนนางสั่งให้ช่างเครื่องเงินทำป้ายห้อยให้กับหลี๋เจี่ย ยิ่งไม่พอใจใหญ่ที่นางหาของฝากไปให้จนได้ แม้ฝ่ายนั้นจะฝากเงินมาให้กับนางก็เถอะ

    “เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่าหวงตี้ให้แท่นหมึกตวนเอี้ยนกับท่านแล้วหรือเจ้าคะ?”

    “เออใช่ ข้าได้แล้ว” เสียงใหญ่เอ่ยกระแทก

    “ท่านไม่ชอบมันเหรอเจ้าคะ หรือท่านอยากได้อะไรจากข้า?” นางยิ้มสู้เสือสุดชีวิตเชียวนะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนตัวสูงอารมณ์ไม่ดี

    “ข้าอยากได้ป้ายชื่อเช่นกัน”

    “เจ้าคะ?”

    “ข้า-อยาก-ได้-ป้าย-ชื่อ” ชินอ๋องเน้นคำพูดทุกคำ สร้างความงุนงงให้กับรุ่ยเซียงและหลินเอ๋ออย่างมาก “แล้วเจ้าต้องเป็นคนถักเชือกผูกป้ายชื่อให้ข้าเองด้วย”

    “เอ๊ะ!...เออ...เจ้าค่ะ ได้เจ้าค่ะ” แม้ยังงง นางก็รับปากชินอ๋อง “ท่านเหว่ยทำป้ายชื่อให้ข้าอีกอันได้ใช่ไหม”

    “ได้อยู่แล้วขอรับ” หวังเหว่ยยินดีทำป้ายชื่อเพิ่มให้ลูกค้าคนสำคัญ

    “แล้วท่านอ๋องอยากได้แบบไหนเหรอเจ้าคะ?”

    “เจ้าก็คิดให้ข้าสิ”

    รุ่ยเซียงไปไม่เป็นกับคำตอบที่ได้ นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชินอ๋องสักนิด ไม่ว่าเรื่องความชอบหรือเรื่องงานอดิเรก อยู่ๆ ให้นางคิดให้เขามันไม่ยากไปหน่อยเหรอ หวังเหว่ยเองก็กำลังรอว่านางจะสั่งให้เขาทำออกมาเป็นแบบไหน ความประทับใจแรกในการเจอกับชินอ๋องคือเขาเหมือนกับเสือ สายตาอันดุดันราวกับจะฝังขมเขี้ยวให้เหยื่อตายคาที่ นั่นแหละภาพที่นางเห็น ทว่าชื่อของชินอ๋องคือ ‘หนิงหลง’ แปลว่ามังกรสายลม ดูเขาไม่สมกับชื่อสายลมเลย...นึกว่าเป็นพายุห่าฝนถล่มเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองจนเป็นทะเลเลือด น่ากลัวจัง...

    “เออ...ใช้คำว่าฮั่น”

    “ไม่เอา มันซ้ำกับฝ่าบาท” ชินอ๋องค้านทันทีที่นางเอาชื่อราชวงศ์มาทำป้ายชื่อให้เขา

    “...” คนถูกค้านยืนนิ่งเป็นหิน “...หนิงหลง”

    ชินอ๋องพอใจมากที่นางใช้ชื่อของเขาทำป้ายชื่อ หวังเหว่ยพยักหน้ารอรายละเอียดเพิ่มเติมจากรุ่ยเซียง

    “มังกร คลื่นลม แล้วก็เอาทองคำประดับแทนอัญมณี” รุ่ยเซียงหยิบถุงผ้าออกจากชายเสื้อ หยิบแร่ทองคำบริสุทธิ์หนึ่งก้อนยื่นให้หวังเหว่ย

    “นี่เจ้าเอาของมีค่าแบบนี้มาจากไหน?”

    “ข้าได้ตอนไปทางเหนือกับท่านพ่อ เป็นรางวัลเรื่องเจรจาค้าขายเจ้าค่ะ”

    ชินอ๋องเชื่อแล้วว่านางมีความสามารถด้านการค้าทางสายเลือดจริงๆ เลือดนักค้าขายแรงซะจนได้ของกำนัลจากคู่ค้ามาเยอะแยะ เคยได้ยินว่าคู่ค้าบางคนขอนางเป็นลูกบุญธรรมบ้างหรือหลานบุญธรรมก็มี ด้วยความคล่องแคล่วกับวาจาชวนให้หลงใหล ถือเป็นผู้ทำเงินทำทองให้กับตระกูลมู่ฉิงแท้จริง

    “ให้เก็บเงินกับทางโรงกระดาษที่นี่สินะขอรับ”

    “อันที่นางเพิ่งสั่ง เก็บเงินกับข้าแทน” ชินอ๋องขัดขึ้นมาก่อนหวังเหว่ยจะสรุปคำสั่งซื้อทั้งหมด

    “ได้ขอรับ”

    รุ่ยเซียงไม่เข้าใจชินอ๋องเลย ปากบอกอยากได้ของจากนาง ทำไมสุดท้ายเขาเป็นคนจ่ายเงินแทน หากเป็นคนจ่ายเงินแทนของชิ้นนั้นมันก็ไม่ได้มาจากนางแล้วน่ะสิ ผู้ชายช่างเข้าใจยากยิ่ง คิดไปคิดมานางเดินเที่ยวอยู่กับหลินเอ๋อแค่สองคน ชินอ๋องโผล่มาจากไหน หรือว่าเขาตามนางมาตั้งแต่แรกแล้ว???

    หลังออกจากร้านเครื่องเงินมาได้สักพัก สิ่งเดียวที่รุ่ยเซียงไม่เข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้คือ...ทำไมชินอ๋องยังเดินตามนางอยู่ เขาไม่น่าจะมีธุระอะไรกับนางแล้ว นี่มันเป็นเวลาพักผ่อนของนางหลังทำงาน นี่คือเวลาอิสระของนางที่จะไปไหนมาไหนก็ได้ในเฉิงตู กลับมีเงาตามตัวแบบนี้มันคืออะไร

    “ท่านอ๋อง...”

    “อะไร?”

    “อยู่ในเฉิงตูแล้ว ในเมืองแบบนี้คงไม่มีอันตรายหรอกเจ้าค่ะ” ความจริงในใจคือ ตามนางมาทำไม!?!

    “หวงตี้ให้ข้ามาดูแลเจ้า”

    คำตอบของชินอ๋องแทนความหมายหลายๆ อย่าง ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของอันหวงตี้ได้เลย แล้วนางก็ไม่มีสิทธิ์ไล่ชินอ๋องด้วย อย่างไงรุ่ยเซียงต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อเที่ยวเล่นก่อนกลับลั่วหยาง ไม่อยากโดนตามติดแบบนี้ นางไม่ชอบ!!!

    “ข้าก็มีหลินเอ๋อดูแลแล้วไงเจ้าคะ”

    “ผู้หญิงสองคน เจอพวกไม่ดีขึ้นมาทำไง?”

    ช่ะ!!!

    “นี่เจ้าเดินเที่ยวจนเกือบจะเย็นอยู่แล้วไม่เหนื่อยหรือไง?”

    “ถ้าท่านเหนื่อย ท่านก็กลับไปพักเถอะ ข้ายังเที่ยวต่อได้อีกนาน” 

    ทั้งรุ่ยเซียงและหลินเอ๋อต่างหรรษากับการเดินเที่ยวไปเรื่อยอยู่ อีกอย่างก่อนออกมานางได้บอกกับเฟยหรงแล้วว่าจะเดินดูร้านนั้นร้านนี้ในเฉิงตูก่อน เผื่อเจอร้านถูกใจอาจทำสัญญาการค้าระหว่างกันก็ได้ นี่ไม่ใช่เที่ยวแบบไร้สาระ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะบอกให้คนนอกอย่างชินอ๋องรู้ด้วย

    “นี่เจ้า!!!”

    “ข้าก็หมายความอย่างที่พูดไป ท่านอ๋องกลับไปพักก่อนก็ได้ไม่เป็นไรหรอก พวกข้าดูแลตัวเองได้” พูดจบ รุ่ยเซียงคว้ามือหลินเอ๋อชิงหนีชินอ๋องทันที นางไม่รอให้เขาพูดขัดขวางการเที่ยวเล่นของนางเด็ดขาด แล้วนางก็ไม่อยากโดนตามด้วย

    ร่างของสองสาวถูกคลื่นมนุษย์ในย่านการค้าของเฉิงตูกลืนหายไป จนแล้วจนรอดนางก็คลาดสายตาจากเขาจนได้ อุตส่าห์ตามมาเงียบๆ ตั้งนาน ความเอาแต่ใจของรุ่ยเซียงไม่เหมือนใคร ทั้งดื้อทั้งหนีเก่ง นางไม่เปิดช่องว่างให้ชินอ๋องห้ามปรามใดๆ เอาเถอะ...เขายอมปล่อยนางไปก่อน เจอเมื่อไรต้องจับตัวกลับไปให้ได้ ชินอ๋องมองดูรอบๆ ตัวรู้สึกว่าที่นี่คนคับคั่งพอๆ กับลั่วหยาง ผู้คนมากมายจากเมืองต่างๆ รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ดูได้จากวัฒนธรรมการแต่งกายก็พอจะเดาได้ว่าไม่ได้มีแค่ชาวเฉิงตูเท่านั้น ร้านค้าใหญ่ๆ มีตั้งมากมายรุ่ยเซียงไม่เข้า นางกลับเดินเข้าร้านเล็กๆ ไม่โดดเด่นอะไรสักอย่างหลายต่อหลายร้าน นั้นไม่ใช่เพียงเที่ยวเล่นเท่านั้น แต่แววตาของนางกำลังมองหาร้านอะไรสักอย่างที่ทำให้นางสะดุดตาและอยู่กับร้านนั้นนานๆ ได้ นับร้านค้าที่นางเข้าไปอยู่ได้เลยว่ามีกี่ร้าน เขาไม่ค่อยเข้าใจสายตาหรือสัมผัสของพวกหัวการค้ามากนัก จึงไม่เข้าใจว่าร้านค้ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร ขอแค่ได้ของดีๆ ก็พอ

    มาถึงเฉิงตู ยังมีเวลาให้พักผ่อนอีกสองสามวัน ชินอ๋องไม่รู้ว่าตัวเองอยากไปที่ไหน ไม่ได้ช่ำชองสถานที่แห่งนี้เท่ากับคนที่เดินทางไปทั่วทุกทิศอย่างตระกูลมู่ฉิง ตอนนี้เขาไม่สามารถตามรุ่ยเซียงไปได้ คงต้องกลับไปเรือนพักผ่อนของตระกูลมู่ฉิงแทน อย่างน้อยยังมีลี่หลินคอยตามคุ้มครองรุ่ยเซียง แค่นี้เขาก็เบาใจแล้ว

    ตึก...ตึก...ตึก...

    “ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบกับท่านอ๋องที่นี่ น่าตกใจจริงๆ”

    เสียงทุ้มกล่าวคำทักทาย ก่อนร่างสูงใหญ่จะหมุนตัวเดินกลับ ชินอ๋องจึงหยุดและหันมามองผู้ทักทายคนใหม่

    “ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งท่านอ๋อง”

    “...เห” เขาลืมไปเลยว่ามีคนคนหนึ่งอยู่เฉิงตู

    “ท่านมาพักผ่อนหรือมาทำงานล่ะ?”

    “ถ้ามาทำงานข้าคงไม่เดินลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้หรอก” ชินอ๋องเผยอยิ้มให้กับจวิ๋นเป่า พี่น้องต่างมารดามีตำแหน่งเลี่ยโห่วหรือโห่วอ๋องรองจากหวังซื่อจื่อของเขา เจอกี่ครั้งโห่วอ๋องปั้นหน้ายิ้มทุกครั้ง บางครั้งมันดูน่าหงุดหงิดใจอย่างมาก เพราะไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

    “อ๋อ...ท่านมาพักผ่อนนี่เอง ทำไมไม่แวะไปเยี่ยมเยียนข้าที่ตำหนักบ้างล่ะ?”

    “ข้าคงไม่กล้ารบกวนท่านหรอก”

    โห่วอ๋องยิ้มมุมปาก เขาอุตส่าห์เอ่ยปากชวนขนาดนี้แล้ว ชินอ๋องยังปฏิเสธอย่างสุภาพผิดกับนิสัยสิ้นเชิง ไหนๆ ชินอ๋องมาอยู่เฉิงตูแล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้ “ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังจะแต่งชายาเอกเข้าตำหนัก ยินดีกับท่านด้วย”

    “ขอบคุณ”

    “ทั้งที่ท่านหมั้นหมายกับจินเยว่ไว้ตั้งนาน กลับได้ชายาเอกเป็นคนอื่น ท่านคงผิดหวังสินะ” โห่วอ๋องแทงใจดำชินอ๋องอย่างแรง ยิ่งเผยให้เห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของชินอ๋องค่อยๆ แสดงชัด ใช่แล้ว...ชินอ๋องเป็นคนใจร้อน อารมณ์ไม่คงที่ เพียงหาเรื่องมาปั่นหัวนิดหน่อยก็เข้าทางแล้ว

    “แล้วท่านล่ะ เมื่อไรท่านจะมีฟูเหรินแบบจริงๆ จังๆ กับเขาเสียที เห็นว่าท่านเปลี่ยนมาถึงสามสี่คนแล้ว ท่าทางท่านยังไม่เจอคนที่เหมาะสมเลยนะ” ชินอ๋องหมายถึงชายาเอกในเลี่ยโห่ว

    แกร๊บ!!!

    โห่วอ๋องไม่คิดเลยว่าตัวเองถูกยอกย้อนเรื่องฟูเหรินจากชินอ๋อง เขาถึงกับกำเก็บพัดในมือเพื่อระงับอารมณ์ มันเป็นเรื่องจริงที่โห่วอ๋องเปลี่ยนชายาเอกมาแล้วหลายคน อนุภรรยายังรับเข้ามาเรื่อยๆ ตามความประสงค์และความพอใจของเขาต่อหญิงงาม เรื่องที่โห่วอ๋องลืมไม่ลงคือถูกชินอ๋องแย่งสาวงามแห่งลั่วหยางอย่างจินเยว่ไป เขาพยายามทำดีกับนางหลายต่อหลายครั้ง คอยให้ของขวัญแก่เสนาบดีเฉินเผื่อหวังว่าจะได้เข้าใกล้จินเยว่ มันกลับผิดพลาดไปเสียหมด เมื่อเสนาบดีเฉินยกลูกสาวเพียงคนเดียวให้กับชินอ๋อง หวังให้จินเยว่เป็นหวังเฟยเพื่อสร้างอำนาจให้กับตน สุดท้ายเป็นเพียงอนุภรรยาไม่มีอำนาจเหมือนหวังเฟย น่าสมเพชเสนาบดีเฉินจริงๆ

    เป็นเวลาเดียวกันที่รุ่ยเซียงและหลินเอ๋อกลับมาจากร้านค้าอื่นๆ ซึ่งนางไปสำรวจมาเกือบหมดแล้ว เหลืออีกนิดหน่อยค่อยสำรวจต่อพรุ่งนี้ ทั้งสองสาวยืนมองสองชายหนุ่มยืนปะทะกัน ทำไมชินอ๋องกับโห่วอ๋องมายืนประจันหน้ากันแบบนี้

    “คุณหนู เหมือนจะใช้กำลังกันเลยนะเจ้าคะ”

    “ข้าว่าไม่หรอก พวกเขาต่างเป็นอ๋อง คงไม่ทำเรื่องโง่ๆ ต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้” คนที่ขัดหูขัดตาสำหรับรุ่ยเซียงเป็นทางโห่วอ๋องมากกว่า จำได้ว่าคนของเขาสร้างปัญหาให้พ่อของนางตามเก็บกวาดอยู่

    “ข้ามีชายามาแล้วกี่คนไม่สำคัญหรอก แต่เจ้ากลับผิดสัญญากับจินเยว่ แล้วยกตำแหน่งหวังเฟยให้รุ่ยเซียงเนี่ยนะ”

    “อย่าพูดเหมือนเจ้ารู้ดีหน่อยเลย หวังเฟยข้าไม่สามารถแต่งตั้งให้นางได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากหวงตี้”

    “เจ้ากลัวอำนาจของตระกูลมู่ฉิงมากกว่า คนอย่างเจ้าปฏิเสธหวงตี้ได้อยู่แล้ว”

    ที่แท้พวกเขากำลังคุยเรื่องเกี่ยวกับนางอยู่นี่เอง พาลไปถึงตำแหน่งหวังเฟยในหวังซื่อจื่ออีกด้วย รุ่ยเซียงไม่ค่อยชอบใจคำพูดของโห่วอ๋องมากนัก นางไม่รู้ว่าตระกูลของนางยิ่งใหญ่ขนาดไหนถึงสามารถข่มขู่ชินอ๋องให้เอาตำแหน่งชายาเอกมามอบให้นางได้ นั้นเป็นการบังคับของหวงไท่โฮ่วต่างหาก คนนอกไม่รู้เรื่องภายในมาพูดจาพล่อยๆ แบบนั้นได้ยังไง

    “แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องคนอื่น ก่อนว่าคนอื่นเจ้าก็ควรว่าตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก”

    “ว่าไงนะ!?!”

    “ข้ารู้มาว่าเจ้าขึ้นภาษี แล้วยังใช้ขุนนางมาทำงานแทนตัวเอง ทั้งๆ ที่พวกเขามีส่วนต้องรับผิดชอบต่างหาก”

    “นี่เจ้า!!!”

    “อ่อ ยังไม่หมด” ชินอ๋องยกมือห้าม “อนุภรรยาจะล้นตำหนักอยู่แล้ว พวกนางตบตีกันจนเป็นขี้ปากชาวบ้านเลยนี่!”

    ความรู้เกี่ยวกับเมืองเฉิงตู

    เมืองเฉิงตูมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘จิ่นเฉิง’ 锦城 หมายถึงแหล่งผ้าไหมทอดิ่นเงินดิ่นทอง เป็นแผ่นดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางด้านเกษตรกรรมและหัตถกรรม มีแม่น้ำฉางเจียง (อีกชื่อคือแม่น้ำแยงซีเกียง) เป็นแม่น้ำหลักไหลผ่าน ความเจริญรุ่งเรืองและสถานะเทียบเท่าเมืองลั่วหยาง และเข้าสู่ยุคแห่งความเฟื่องฟูในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) เทียบเท่ากับเมืองหยังโจว เมืองเฉิงตูมีดอกฝูหรงและต้นแปะก๊วยเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง

    ของฝากอันเลื่องชื่อของเมืองเฉิงตูที่โดดเด่นมักเป็นผลิตภัณฑ์หัตถกรรม อาทิ ผ้าไหมทอดิ้นเงิน ผ้าปัก เครื่องเคลือบน้ำมันแล็กเกอร์ เครื่องเงิน เป็นต้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×