ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องอย่าตามข้ามา!

    ลำดับตอนที่ #3 : บทนำ (อัปเดต 100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.25K
      46
      2 ก.ค. 64

    บทนำ

    รัชสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลายถูกปกครองด้วยจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่นโดยจักรพรรดินามว่า ‘อันหวงตี้’ เขาได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากบิดาของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่งตั้งให้หนิวอี้หวงโฮ่วผู้เป็นมารดาขึ้นเป็นหวงไท่โฮ่วของแผ่นดินฮั่น ได้รับการสนับสนุนจากเสนาซ้ายหมิงอานและตระกูลมู่ฉิงอยู่เบื้องหลัง การกระจายอำนาจการปกครองยังอยู่ในมือของสี่ตระกูลใหญ่ของแผ่นดินอันได้แก่ตระกูลมู่ฉิง ตระกูลเว่ยหยาง ตระกูลจื่อซู และตระกูลไท่คัง ทั้งสี่ตระกูลต่างมีอำนาจบนแผ่นดินแตกต่างกันไป ตระกูลมู่ฉิงเป็นตระกูลผลิตกระดาษรายใหญ่ที่สุดของลั่วหยางและเป็นตระกูลที่เก่งฉกาจเรื่องการค้า ลั่วหยางจึงกลายเป็นใจกลางสำคัญทางการค้าและคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายที่เข้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายที่ลั่วหยาง ตระกูลเว่ยหยางมีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องหัตถกรรม สนับสนุนและผลักดันให้ศูนย์กลางทางภาคใต้มีความเจริญก้าวหน้าในงานด้านฝีมือ ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนภาคใต้นี้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับตระกูลเว่ยหยางปักหลักอยู่ที่เมืองจิงโจว ได้แผ่อำนาจธุรกิจหัตถกรรมไปยังอีกสองเมืองใกล้ๆ คือหยังโจวและอี้โจวอีกด้วย ทั้งสามเมืองจึงได้รับอิทธิพลอันเข้มแข็งด้านหัตถกรรมจากตระกูลเว่ยหยาง สำหรับตระกูลจื่อซูเป็นตระกูลที่มีลูกหลานเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักมักเป็นตัวแทนไปเชื่อมสัมพันธไมตรีทางฝั่งดินแดนตะวันตก พร้อมเปิดเส้นทางเศรษฐกิจสายใหม่เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการค้าขายสินค้ากับเมืองหลวงได้สะดวก นี่จึงเป็นผลงานใหญ่อีกหนึ่งผลงานที่ช่วยให้ราษฎรลืมตาอ้าปากได้ สุดท้ายตระกูลไท่คังเป็นตระกูลที่กุมอำนาจทางทหารของราชวงศ์ฮั่นมากที่สุด อันหวงตี้ได้แบ่งกองกำลังทหารครึ่งหนึ่งให้ตระกูลไท่คังปกครองโดยอยู่ในความดูแลของชินอ๋องนาม ‘หนิงหลง’ ผู้เป็นพระอนุชาร่วมสายเลือดของหวงตี้ เพื่อไม่ให้อำนาจทางการทหารตกอยู่ในมือของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่มากเกินไปจนเกิดกบฏภายหลัง จึงมีการสลับสับเปลี่ยนทหารตรวจตราความเรียบร้อยทั้งภายในเมืองหลวงและชายแดนเขตปกครองอยู่สม่ำเสมอ ป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าและศัตรูที่จ้องจะโจมตี ความสมดุลของทั้งสี่ตระกูลจึงอยู่ในสายตาของหวงตี้ตลอดเวลา โดยขุนนางนั้นไม่สามารถแทรกแซงอำนาจการปกครองของจักรพรรดิได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นคืนระบบการปกครองและสนับสนุนการทำเกษตรกรรมรวมถึงหัตถกรรมให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

    อันหวงตี้ได้เห็นว่านอกจากต้องมีอำนาจทางการทหารในมือแล้ว ยังต้องอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมาด้วย เพื่อคานอำนาจชนกับขุนนางบางส่วนที่กอบโกยผลประโยชน์จากราษฎร หนทางที่เหลืออยู่ตอนนี้ต้องให้ชินอ๋องช่วยเหลือ แม้ว่าจะมีหวงไท่โฮ่วมาจากตระกูลมู่ฉิงแล้วก็ตาม แต่พระมารดาไม่มีอำนาจและไม่สามารถก้าวก่ายงานของราชสำนักได้ หวงตี้จึงเรียกชินอ๋องเข้าพบเพื่อพูดคุยส่วนตัว

    “ถวายบังคมเสด็จพี่”

    อันหวงตี้รีบยกมือห้ามทันทีเมื่อชินอ๋องเข้ามาในห้องทำงาน

    “เสด็จพี่เรียกพบยามค่ำแบบนี้มีเรื่องด่วนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

    “ใช่...ด่วน ด่วนมากเลย เจ้านั่งลงก่อนสิ”

    “ขอบพระทัย” ชินอ๋องนั่งลงอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของหวงตี้ “เรื่องด่วนของฝ่าบาทคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

    “แน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้าโดยตรง”

    “เกี่ยวกับหม่อมฉัน?”

    “ใช่แล้ว เจ้าก็เห็นสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ไม่ใช่เหรอชินอ๋อง พวกขุนนางกำลังเอารัดเอาเปรียบประชาชนตาดำๆ ที่ต้องจ่ายเงินให้กับคนของทางการเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพล ถ้าพวกเขาไม่จ่ายเงินให้พวกเขาก็ต้องเดือดร้อน”

    “เรื่องนี้หม่อมฉันทราบดี แต่พวกเราก็ไม่มีอำนาจมากพอจะห้ามปรามขุนนางพวกนั้นได้นี่พ่ะย่ะค่ะ แล้วจะมีวิธีช่วยชาวบ้านที่โดนกดขี่ได้อย่างไรกัน”

    พอชินอ๋องถามถึงวิธีช่วยเหลือ อันหวงตี้ยิ้มกริ่มมีความนัย ซึ่งวิธีช่วยเหลือชาวบ้านที่โดนกดขี่จากพวกขุนนางไม่ใช่เรื่องยากอะไร มันอาจจะขัดใจชินอ๋องอยู่บ้าง หากน้องชายเห็นแก่ส่วนร่วมเขาน่าจะเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชายเช่นเขา

    “ข้าอยากให้อำนาจทางการค้าอยู่ในมือเราอย่างชัดเจน”

    “อำนาจทางการค้า...ฝ่าบาทกำลังหมายถึง...”

    “ใช่ ข้ากำลังหมายถึงตระกูลมู่ฉิง”

    “เรื่องนี้หม่อมฉันไม่เห็นด้วย!!!” ชินอ๋องปฏิเสธทันที เป็นปฏิกิริยาต่อต้านซึ่งผู้เป็นหวงตี้ยังคาดไม่ถึง

    “เจ้ามันไม่มีเหตุผล”

    “หม่อมฉันมีเหตุผล” น้ำเสียงจริงจังและแข็งกร้าวทำให้หวงตี้ยอมฟังเหตุผลที่เขากำลังจะอธิบาย “ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่าตอนนี้อาชีพค้าขายเป็นชนชั้นแรงงานต่ำ ถ้าให้ตระกูลพ่อค้าเข้ามามีส่วนร่วมด้วยจะเกิดคำครหาได้”

    “เจ้ากำลังจะบอกว่าหวงไท่โฮ่วเองก็เป็นชนชั้นต่ำอย่างนั้นเหรอ?”

    หวงตี้จี้ใจดำชินอ๋อง ทั้งเขาและน้องชายต่างเป็นบุตรของหนิวอี้หวงไท่โฮ่วองค์ปัจจุบัน ขณะเดียวกันหวงไท่โฮ่วเองก็มาจากตระกูลมู่ฉิง แสดงว่าชินอ๋องเป็นคนใจดำและดูแคลนสายเลือดตัวเองอย่างมาก ทั้งๆ ที่หวงตี้เห็นประโยชน์มากกว่าผลเสียที่อาจถูกตีกลับจากเหล่าขุนนางเสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรน้องชายของเขาก็ยังเป็นคนถือศักดิ์ศรีมากกว่ายอมให้หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่มีส่วนร่วมทางการปกครองครั้งนี้ ในทางตรงกันข้ามหากสามารถทำให้สองในสี่ตระกูลใหญ่อยู่เคียงข้างราชวงศ์ได้ เท่ากับว่าตอนนี้ราชวงศ์ได้สองตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อบ้านเมืองทั้งเรื่องการปกครองและเรื่องเศรษฐกิจมาไว้ในมือ ช่วยให้กดอำนาจในมือของขุนนางใหญ่ได้

    “ชินอ๋องเจ้าควรมองสถานการณ์บ้านเมืองให้กว้างๆ ไม่ใช่มองเห็นแค่สถานการณ์เบื้องหน้าในที่ประชุม ขุนนางจะพูดอย่างไรก็ได้ เจ้าเองก็พูดอย่างไรก็ได้ ข้าเองก็พูดอย่างไรก็ได้เช่นกัน หากเจ้าไม่เห็นความสำคัญของสี่ตระกูลหลักก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าควรเห็นปากท้องของราษฎรมาก่อน หลังจบสงครามเจ้าไม่อยากให้ราษฎรที่รอดจากภัยสงครามได้ลืมตาอ้าปาก ไม่ถูกขุนนางบางกลุ่มกดขี่ข่มเหงหรืออย่างไร?”

    ทำไมชินอ๋องจะไม่อยากเห็นแผ่นดินฟื้นตัวหลังสงครามล่ะ ถึงอย่างนั้นตอนนี้ราชวงศ์ก็มีตระกูลไท่คังเป็นกำลังหลักให้อยู่แล้ว ถือเป็นฐานอันเข้มแข็งอย่างมากสำหรับการทำสงครามและต่อต้านศัตรู แต่การแบ่งทหารครึ่งหนึ่งให้กับตระกูลไท่คังก็ยังเสี่ยงต่อการก่อกบฏอยู่ดี ไม่อย่างนั้นหวงตี้คงไม่ให้เขาเข้ากุมอำนาจกองทหารอีกครึ่งและควบคุมอีกครึ่งที่อยู่กับตระกูลไท่คัง หากให้ตระกูลมู่ฉิงมีอำนาจภายในราชสำนักร่วมกับตระกูลไท่คังด้วยยิ่งแล้วใหญ่ มันจะไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสองในสี่ตระกูลใหญ่อย่างนั้นหรือ เมื่อชินอ๋องลองทบทวนผลประโยชน์ที่จะได้รับจากตระกูลมู่ฉิงก็มีอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องการค้าขายและเรื่องเกษตรกรรมส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลทั้งหมดของตระกูลมู่ฉิง พวกเขาสามารถบริหารจัดการดูแลเรื่องปลูกต้นไม้และหมุนเวียนให้สามารถนำมาผลิตกระดาษได้ไม่ขาดตอน ขนาดเกิดสงครามยังเป็นกองสนับสนุนสำคัญเรื่องการส่งสารและจัดการเรื่องกระดาษที่นำมาใช้ทำเป็นสาสน์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในเวลานี้ตระกูลมู่ฉิงยังช่วยเหลือชาวบ้านในการซื้อเปลือกไม้และวัสดุอื่นๆ ที่นำมาใช้ทำกระดาษจากชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านบางส่วนมีรายได้จากการขายเปลือกไม้และวัสดุอื่นๆ ให้กับโรงงานผลิตกระดาษของตระกูล ถึงข้อดีของตระกูลมู่ฉิงอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลไท่คัง แต่นับมีคุณูปการต่อแผ่นดินไม่น้อย 

    “ตอนนี้ตระกูลมู่ฉิงมีทายาทสืบทอดเพียงคนเดียวคือ ‘รุ่ยเซียง’ เป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูล ‘เฟยหรง’ คนปัจจุบัน เป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบวิ่งเล่นไปมาทั่วเมืองหลวง แต่ส่วนใหญ่นางหมกตัวอยู่ที่โรงผลิตกระดาษกับพวกคนงาน สองสามวันก่อนนางเอากระดาษที่ผลิตจากไม้หอมมาให้ข้าพิจารณา ข้าว่านางเก่งเกินอายุ พอข้ากับหวงไท่โฮ่วจะคุยเรื่องหมั้นกับเจ้า รู้ไหมว่านางทำยังไง”

    “...”

    “นางวิ่งหนีไปหาเจินกุ้ยเหรินหน้าตาเฉยเลย แต่ยังดีที่นางยังถวายบังคมลาก่อนวิ่งหนี”

    ชินอ๋องอยากบอกหวงตี้เช่นกันว่าเขาอยากทำเช่นเดียวกับนาง ขนาดรุ่ยเซียงยังขยาดกับเรื่องแต่งงานกับเขาขนาดนั้น ทำไมหวงตี้กับหวงไท่โฮ่วยังพยายามจะจับนางมาหมั้นหมายกับเขาด้วย รุ่ยเซียงยังไม่ยอมฟังเรื่องการหมั้นหมายเลย ต่อให้เขาเห็นด้วยกับหวงตี้คงเป็นเรื่องยากที่จะไปฉุดคนโปรดของหวงไท่โฮ่วมาเป็นภรรยาได้ ตอนนี้ชินอ๋องก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วแค่ยังไม่ได้แต่งเข้าตำหนักเท่านั้น ถ้ารับรุ่ยเซียงเขามานางก็ต้องเป็นอนุภรรยาของเขาอยู่ดี ได้ยินว่านางชอบวิ่งหนีเวลาเอ่ยถึงงานหมั้นหมาย นางคงไม่ตกเป็นสองรองใครหน้าไหนทั้งนั้น คิดถึงนิสัยคงก่อเรื่องปวดหัวแน่ๆ ดีแล้วที่นางวิ่งหนีไปทั้งอย่างนั้น

    “นางไม่อยากแต่งก็ไม่เห็นต้องไปบังคับนางเลย”

    “แต่ข้าต้องการให้นางแต่งกับเจ้า!!!”

    “ฝ่าบาท!?!”

    “รู้ไหมว่าเวลานี้ขุนนางตำแหน่งใหญ่ๆ กำลังเล็งนางให้ไปเป็นสะใภ้บ้านตัวเองอยู่ ถ้านางไปอยู่กับพวกขุนนางฝั่งตรงข้ามกับเราขึ้นมาจะเป็นยังไง!?!”

    “ขุนนางพวกนั้นก็จะมีอำนาจต่อรองกับทางราชสำนักไปโดยปริยายด้วยอำนาจของตระกูลมู่ฉิง”

    อันหวงตี้ตบโต๊ะดังตึง “ใช่! แล้วเจ้าคิดว่าหวงไท่โฮ่วจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับราชวงศ์เหรอ?”

    “กะ...ก็ไม่...” ชินอ๋องไปไม่ถูกได้รับรู้สถานการณ์ในตอนนี้

    “ยังดีที่เฟยหรงปฏิเสธขุนนางพวกนั้นไป ตอนนี้รุ่ยเซียงเลยยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย”

    ชินอ๋องรู้เพียงแต่ว่าสี่ตระกูลหลักส่วนใหญ่มีบุตรชายสืบทอดตระกูลทั้งสิ้น ยกเว้นตระกูลมู่ฉิงเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่มีเพียงบุตรสาวและเป็นบุตรคนเดียวของตระกูล ทำให้นางกลายเป็นเป้าหมายสำหรับเหล่าขุนนางที่ต้องการหาตระกูลใหญ่สักหนึ่งตระกูลเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หากให้เทียบทั้งสี่ตระกูลทุกตระกูลต่างมีความสำคัญต่อราชสำนักและไม่ยอมให้ราชวงศ์หรือเหล่าขุนนางใช้เป็นเครื่องมือได้ง่ายๆ เมื่อเทียบความเป็นไปได้ในบรรดาทั้งสี่ตระกูลถือได้ว่าตระกูลมู่ฉิงมีความสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อมในเชิงเป็นพระญาติกับหนิวอี้หวงไท่โฮ่ว หากขุนนางใหญ่คนใดคนหนึ่งได้รุ่ยเซียงไปเท่ากับว่ามีอำนาจเกือบเทียบเท่าราชวงศ์ อย่างที่หวงตี้เอ่ยว่าถ้าเป็นแบบนั้นหวงไท่โฮ่วคงไม่ยอม ถึงจุดนี้แล้วชินอ๋องเองก็ไม่อยากให้คนของตระกูลมู่ฉิงเข้าฝั่งกับทางขุนนางเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอำนาจทางการเมืองที่อันหวงตี้พยายามทวงดุลมาโดยตลอดอาจเกิดความปั่นป่วนได้

    “ถ้าหากนางเป็นตัวแปรสำคัญจริงๆ หม่อมฉันจะไม่ขัดประสงค์ของหวงตี้กับหวงไท่โฮ่ว”

    หวงตี้ดวงตาทอประกายยามได้ยินชินอ๋องเอ่ยประโยคว่าจะทำตามความประสงค์ “พูดจริงเหรอ?”

    “หม่อมฉันมีท่าทีล้อเล่นกับฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

    อันหวงตี้ได้ยินเช่นนั้นยิ้มร่าอย่างดีใจ ไม่ทันไรจักรพรรดิหนุ่มก็หุบยิ้ม เรื่องของชินอ๋องสามารถจัดการไปได้เรื่องหนึ่งแล้ว ทว่าเรื่องน่าหนักใจกลับเป็นฝ่ายหญิงมากกว่า รุ่ยเซียงไม่เคยยอมอยู่คุยดีๆ เรื่องหมั้นหมายเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกับหวงตี้หรือหวงไท่โฮ่วเอง นางเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ก็หาข้ออ้างลากลับบ้านตัวเองทุกครั้งที่เริ่มเอ่ยถึงชื่อของชินอ๋อง

    “ฝ่าบาทมีอะไรที่เป็นปัญหาอีกอย่างนั้นเหรอ?”

    “อ่า...” หวงตี้ไม่รู้จะเอ่ยเรื่องนี้กับชินอ๋องดีไหม ปล่อยให้มันยืดเยื้อไปก็ป่วยการ บอกให้จบๆ ไปเลยดีกว่า “ข้ายังมีปัญหากับทางรุ่ยเซียงอยู่ เจ้ายังพอรู้สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ แต่นางไม่ใช่”

    “หม่อมฉันคิดว่าคุยกับนางด้วยเหตุผล นางอาจยอมรับเรื่องหมั้นหมายโดยดี”

    “เจ้าคิดง่ายไปชินอ๋อง เดิมทีรุ่ยเซียงเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลมู่ฉิง เจ้าคิดว่าความเอาแต่ใจของนางจะขนาดไหน”

    พอคุยเรื่องนี้ชินอ๋องก็เข้าใจ คงได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมจากเฟยหรงแน่ๆ หวงตี้ยังพูดเองว่านางชอบเที่ยวเล่นในเมืองหลวงกับสาวใช้ แสดงให้เห็นว่านางต้องหนีออกมาจากบ้านเพื่อเที่ยวเล่น ความดื้อและความเอาแต่ใจของนางคงหาใครเปรียบได้ เป็นถึงตระกูลใหญ่ก็น่าจะมีคนอบรมเรื่องมารยาทบ้างสิ หวงไท่โฮ่วเองน่าจะรู้เรื่องนี้ดี เขาคิดว่าพระมารดาของเขาคงเอาหลานสาวตัวเองไม่อยู่

    “แล้วฝ่าบาทไม่ให้หวงไท่โฮ่วคุยเรื่องนี้กับเฟยหรงเองล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

    “หวงไท่โฮ่วเคยเรียกมาคุยเรื่องนี้หลายรอบแล้ว แต่เฟยหรงบอกตามใจรุ่ยเซียง”

    เฟยหรงตอบคำถามแบบนี้แล้วใครจะกล้าให้เขาไปบังคับลูกสาวตัวเองหมั้นหมายกับชินอ๋องกัน

    “หม่อมฉันว่าให้เวลานางอีกหน่อย ค่อยหาเวลาเหมาะสมคุยกับนางเป็นการส่วนตัวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”

    “นี้เจ้าจะรอเวลาเหมาะสมอีกเหรอ ตอนนี้นางอายุสิบหกปีก็ควรหมั้นหมายแล้ว มันยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมอีกเหรอ?”

    ชินอ๋องเข้าใจเรื่องนี้ดี เดิมทีเขาเองเคยผ่านการหมั้นหมายตั้งแต่ได้อายุสิบสามปีกับจินเยว่มาก่อน มันก็เหมือนกับตอนนี้ที่เขาต้องหมั้นกับรุ่ยเซียงเพื่อให้อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์มั่นคง ดีที่การหมั้นครั้งแรกของชินอ๋องเป็นไปด้วยความรักระหว่างเขากับจินเยว่ จึงไม่มีปัญหาเรื่องความหวาดระแวงใดๆ แม้เสนาบดีเฉินทำตัวน่าสงสัยตลอดเวลา ไม่ถึงกับผิดสังเกตจนคนสอดแนมของเขาจับได้ อย่างไรก็ต้องให้คนติดตามดูพฤติกรรมเพื่อความสบายใจ เรื่องหมั้นหมายกับราชวงศ์ตั้งแต่อายุยังน้อยถือเป็นเรื่องปกติ เพราะทางราชวงศ์ต้องการทายาทสืบทอดตระกูลด้วยกันทั้งนั้น เรื่องง่ายๆ แค่นี้บุตรสาวตระกูลมู่ฉิงน่าจะรู้ดี

    “แม้ตอนนี้นางยังไม่ยอมหมั้น แต่หม่อมฉันเชื่อว่าหวงไท่โฮ่วคงมีวิธีจัดการ”

    “แล้วเจ้าไม่ลองไปทำความรู้จักกับรุ่ยเซียงหน่อยหรือไง นางนิสัยดีนะ”

    “หม่อมฉันคิดว่านางคงดีแต่เปลือก”

    “ใจร้ายจังเลย ถ้านางได้ยินคงเสียใจ” หวงตี้ส่ายหน้า

    “หมดเรื่องจะคุยแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอตัว” ชินอ๋องลาทันที ขืนอยู่ต่อไปคงโดนหวงตี้ปั่นหัวเรื่องรุ่ยเซียงให้หงุดหงิดใจเปล่าๆ เขาไม่อยากรู้จักมักคุ้นกับนางเท่าไร ปล่อยให้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปนั้นแหละดีแล้ว

     

    “ฮัดเช่ย!!!”

    เสียงจามดังสะท้านห้องนอน ทำให้หลิวเอ๋อตาลีตาเหลือกวิ่งเข้ามาในห้องของท่านหญิงน้อยแห่งตระกูลมู่ฉิงด่วนจี๋ เกรงว่าคุณหนูของนางจะเป็นอะไร พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าหญิงสาวยังงวนอยู่กับหนังสือและใยจากเปลือกไม้ชนิดต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด เห็นความหมกมุ่นของคุณหนูแล้วนางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ นี้คุณหนูของนางไม่รู้เลยหรือไงว่ามันถึงเวลานอนแล้ว

    “มีอะไรเหรอหลินเอ๋อ”

    “คุณหนูดึกมากแล้ว พักเถอะเจ้าค่ะ”

    “เห...” รุ่ยเซียงกำลังสนุกกับการดูใยและเนื้อเยื่อจากเปลือกไม้ จึงไม่ค่อยใส่ใจคำพูดของหลินเอ๋อเท่าไร “ขออีกนิดนะ แล้วข้าจะรีบเข้านอน”

    “อีกนิดของท่านทีไรยันสว่างตลอดเลยนะเจ้าคะ ถ้านายท่านรู้ขึ้นมา...”

    “เจ้าก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อสิ” รอยยิ้มหวานแฝงไปด้วยความขี้แกล้ง ยิ่งทำให้หลินเอ๋ออยากร้องไห้ 

    นางไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรกับคุณหนูดี ได้แต่ปล่อยให้นางหมกมุ่นอยู่กับความชอบของนางอยู่อย่างนั้น ต้องคอยหวาดระแวงดูต้นทางเพราะกลัวว่านายท่านจะรู้ว่าบุตรสาวเอาแต่ศึกษาเรื่องเปลือกไม้อยู่เงียบๆ ทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน 

    รุ่ยเซียงเป็นบุตรสาวของตระกูลมู่ฉิงทางสายเลือด ทว่าความใฝ่เรียนใฝ่รู้ของนางสร้างความประหลาดใจให้แก่เฟยหรงผู้เป็นบิดาหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าลูกสาวตัวเองชอบอ่านหนังสือมากขนาดไหน จนได้มาเห็นกองหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้และเปลือกไม้อยู่เต็มห้องส่วนตัวของรุ่ยเซียง ถึงขั้นนางจดบันทึกขึ้นมาใหม่อาศัยความช่างสังเกตจากการที่นางตามผู้เป็นบิดาไปโรงผลิตกระดาษด้วยตัวเอง นางยังแอบเฟยหรงไปลงมือศึกษาวิธีทำกระดาษตั้งแต่วิธีดั้งเดิมที่นำเอาเศษผ้าขี้ริ้วเก่าและเศษไม้นำมาต้มกับน้ำและทุบจนเปื่อย แช่อยู่ในน้ำจนเป็นเยื่อกระดาษ นำเยื่อที่ได้มาเทลงบนตะแกรงผ้าพร้อมเกลี่ยเยื่อให้ทั่ว ปล่อยให้น้ำซึมออกจากตะแกรงผ้าจนเหลือเพียงเยื่อกระดาษเท่านั้น สุดท้ายนำไปตากแดดจนแห้งและสามารถลอกออกมาเป็นกระดาษเพื่อใช้เขียนต่อไปได้ ส่วนวิธีทำกระดาษได้ถูกปรับเปลี่ยนในเวลาต่อมา ใช้วิธีง่ายๆ โดยใช้ตะแกรงจุ่มลงในอ่างที่มีน้ำเยื่ออยู่แล้ว ค่อยๆ ช้อนเอาเพียงเยื่อกระดาษขึ้นมาเท่านั้น ก่อนนำไปตากแห้งและนำไปใช้งานต่อไป ปรากฏว่าวิธีทำกระดาษแบบหลังทำให้เนื้อกระดาษมีความสม่ำเสมอและมีความเหนียวดีกว่าวิธีเดิม นี่เป็นวิธีการทำกระดาษล่าสุดในปัจจุบันและเป็นที่แพร่หลายไปทั่วทุกเมือง ที่โรงงานผลิตกระดาษตระกูลมู่ฉิงใช้วิธีผลิตกระดาษดังกล่าวอยู่

    สิ่งที่รุ่ยเซียงชื่นชอบอีกอย่างคือนางมักเอากระดาษจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นกระดาษที่ผลิตผิดพลาดมาลองอบกับดอกไม้แห้งดู ทำให้นางพบว่าหากอบกลิ่นกับกระดาษในช่วงระยะเวลาหนึ่งประมาณสิบสี่วันถึงหนึ่งเดือนกระดาษจะมีกลิ่นหอมและน่าใช้มากๆ รุ่ยเซียงเลยมักทำกระดาษกลิ่นหอมอ่อนๆ สำหรับงานเขียนถวายให้หวงไท่โฮ่วและหวงโฮ่วอยู่เสมอ ทั้งสองพระองค์เองต่างชื่นชอบกระดาษที่นางนำมาถวายให้ ส่วนเรื่องของกลิ่นหอมนั้นรุ่ยเซียงชอบไปสำรวจเที่ยวเล่นตลาดอยู่บ่อยๆ มักแวะร้านเปลือกไม้หอมกับร้านเครื่องหอมที่ใช้ดอกไม้แห้งเป็นส่วนประกอบ เพื่อหากลิ่นที่จะนำมาใช้กับกระดาษ หากให้ทำขายคงเป็นเรื่องยากอยู่เพราะต้องใช้ปริมาณของเครื่องหอมจำนวนมากเกินไป กระดาษที่มีกลิ่นหอมเฉพาะส่วนใหญ่จึงเป็นกระดาษที่อบกลิ่นเอง

    วันนี้ยังเป็นอีกวันที่ทางหวงไท่โฮ่วเรียกตัวรุ่ยเซียงเข้าพบเป็นการส่วนตัว ครั้งนี้รุ่ยเซียงเหงื่อแตกพลั่กเมื่อเห็นว่าในตำหนักของหวงไท่โฮ่วไม่ได้มีเพียงนางกับหวงไท่โฮ่วเท่านั้น ยังมีหวงตี้ หวงโฮ่ว ท่านพ่อ และชายหนุ่มหน้าตาเข้มดุดันกำลังจ้องเขม็งมาทางนาง อย่างกับกำลังจะโดนเสือขย้ำตายคาอุ้งเท้าอย่างไงอย่างนั้น

    “รุ่ยเซียงมานั่งกับย่าทางนี้มา” หวงไท่โฮ่วกวักมือ รุ่ยเซียงได้แต่ผงกหัวไปหาหวงไท่โฮ่วด้วยอาการเกร็งๆ 

    ปกตินางมาตำหนักของหวงไท่โฮ่วทีไรไม่เคยเจอคนเยอะขนาดนี้มาก่อน หากเป็นทุกทีในตำหนักไม่มีหวงตี้ก็มีหวงโฮ่วสลับๆ กัน ครั้งนี้ยังมีบิดาของนางกับอีกคนคือใครก็ไม่รู้อยู่ด้วย

    “รุ่ยเซียง” หวงไท่โฮ่วเรียกหลานสาว

    “พะ...เพคะเสด็จย่า?” นางสะดุ้งจนเกือบทำกล่องที่ถืออยู่ในมือตก 

    “วันนี้ย่ากับเสด็จพ่อของเจ้าไม่ยอมให้เจ้าออกจากตำหนัก จนกว่าพวกเราจะคุยเรื่องสำคัญกันเสร็จนะ”

    “เรื่องสำคัญ เรื่องอะไรเหรอเพคะ” นางยิ้มเจื่อนๆ หันไปทางเฟยหรงผู้เป็นบิดา แต่บิดาของนางกลับหันหน้าหนีนางซะอย่างนั้น แล้วหวงตี้กับหวงไท่โฮ่วนั่งประกบนางแบบนี้จะให้นางหนีไปไหนได้ บิดาบุญธรรมกับเสด็จย่าของนางทำเหมือนนางเป็นนักโทษถูกคุมประพฤติอย่างนั้นแหละ

    “รุ่ยเซียงไม่ต้องกังวลใจไป เป็นเรื่องดี” หวงโฮ่วปลอบโยน

    เรื่องดี?

    “ก่อนเข้าเรื่องข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับคนคนหนึ่งก่อน” อันหวงตี้ผายมือไปทางชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาได้สักพักใหญ่ “หวังหนิงหลงหรือชินอ๋อง น้องชายคนเดียวของข้า”

    รุ่ยเซียงพยักหน้า ลุกขึ้นทำความเคารพชินอ๋องตามมารยาทแล้วรีบนั่งลงเกาะหวงไท่โฮ่วไว้แน่น จะไม่ให้นางกลัวชินอ๋องได้อย่างไร สายตาของเขาแทบจะกินเลือดกินเนื้อนางตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในตำหนัก ท่าทางของนางเหมือนกับลูกแมวน้อยพร้อมตายได้ทุกเมื่อหากเสือร้ายอย่างชินอ๋องกัดนาง

    ชินอ๋องเห็นท่าทางของรุ่ยเซียงไม่ค่อยชอบใจเท่าไร ดวงตากลมโตของนางหลบสายตาเขาตลอดเวลา ท่าทางที่สนิทสนมกับหวงไท่โฮ่วอีก ขนาดเขาเป็นบุตรชายแท้ๆ ยังไม่เคยเกาะแกะมารดาตัวเองเท่าเด็กคนนี้มาก่อน เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดเสียจริง หากไม่ถูกเฟยหรงจ้องด้วยสายตาดุดันอยู่เบื้องหลัง ป่านนี้ชินอ๋องอย่างเขาคงได้ต่อว่านางไปตั้งนานแล้ว นี่เกรงใจบิดาของรุ่ยเซียงกับหวงไท่โฮ่วเฉยๆ

    “รุ่ยเซียง ชินอ๋องเป็นทั้งแม่ทัพของทหารฮั่น คุมกองพลนับแสนคน และยังเป็น...”

    หยุดพูดเลยนะ!!!

    “ว่าที่สามีของเจ้าในอนาคตด้วยนะ”

    รุ่ยเซียงอยากร้องไห้กับประโยคสุดท้ายของอันหวงตี้ ทั้งตำหนักยิ้มร่าเมื่อได้เอ่ยเรื่องสำคัญกับนางสำเร็จ ยกเว้นชินอ๋อง เฟยหรงและรุ่ยเซียงที่หน้าหงิกกับเรื่องนี้ ขนาดชินอ๋องได้คุยเรื่องนี้กับหวงตี้แล้วยังทำใจไม่ได้อยู่ดี

    “รุ่ยเซียง อายุเจ้าควรได้หมั้นหมายกับคนดีๆ สักคน ย่าเห็นว่าชินอ๋องเหมาะสมกับเจ้าที่สุดแล้ว”

    “หม่อมฉันเองก็เห็นสมควรเช่นเดียวกับเสด็จแม่เช่นกันเพคะ”

    ทั้งหวงไท่โฮ่วและหวงโฮ่วต่างพูดจาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย รุ่ยเซียงได้แต่ยิ้มเจื่อนยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขนาดนางพยายามเลี่ยงเรื่องนี้แล้ว ยังไม่วายถูกหวงตี้กับหวงไท่โฮ่วยกเรื่องนี้มาคุย ผนึกกำลังเรื่องหมั้นหมายอีกแรงจากชินอ๋องผู้ไม่ปฏิเสธกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหวงโฮ่วผู้สนับสนุนเรื่องนี้อย่างเห็นชอบ นางจะไปหาคำพูดอะไรมาโต้แย้งพวกเขาได้

    “ชินอ๋องเห็นว่าอย่างไรล่ะ?”

    “ลูกเห็นด้วยกับเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

    รุ่ยเซียงอยากตะโกนให้ลั่นตำหนักว่านางไม่เห็นด้วย

    “จริงด้วยรุ่ยเซียง ถ้าเจ้าได้หมั้นหมายกับชินอ๋อง เจ้าจะได้เป็นหวังเฟยเลยนะ”

    หวังเฟยเป็นตำแหน่งพระชายาเอกของชินอ๋อง ยิ่งได้รู้สถานะหลังหมั้นหมายของตัวเองยิ่งทำให้นางคิดหนักขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันชินอ๋องไม่คิดเลยว่าหวงไท่โฮ่วหวังให้รุ่ยเซียงขึ้นมาเป็นชายาเอกของเขา ทั้งๆ ที่พระมารดาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขามีจินเยว่หมั้นหมายเข้ามาก่อนแท้ๆ เรื่องนี้เขาจึงไม่เห็นด้วย

    “เสด็จแม่ รุ่ยเซียงจะขึ้นมาเป็นหวังเฟยได้อย่างไร ในเมื่อจินเยว่ต้องได้ตำแหน่งนั้นต่างหาก”

    “ชินอ๋อง” หวงไท่โฮ่วกดเสียงต่ำลง “เจ้ากับจินเยว่แค่หมั้นหมาย ยังไม่ได้จัดพิธีแต่งงานหรือได้รับการแต่งตั้งจากหวงตี้เลยด้วยซ้ำ การกำหนดตัวพระชายาเอกต้องเหมาะสมกับเจ้าด้วย”

    “แล้วจินเยว่ไม่เหมาะสมตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นบุตรสาวของเสนาบดีเฉิน”

    “เป็นบุตรสาวของเสนาบดีเฉินแล้วอย่างไร เจ้าต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงของหวงตี้สิ”

    ชินอ๋องชะงัก อันหวงตี้ส่ายหน้าให้กับชินอ๋องเป็นการปรามไม่ให้เขาเอ่ยอะไรมากกว่านี้ ชินอ๋องทำได้เพียงกำหมัดแน่นตวัดสายตามาทางรุ่ยเซียงที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการแต่งตั้งนี้มาแต่แรก จนนางเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกนอกจากนั่งเกร็งตัวตรงไหลไปตามสถานการณ์ตรงหน้า

    “ไม่ว่ายังไงคนที่จะเป็นหวังเฟยก็คือรุ่ยเซียง” หวงไท่โฮ่วย้ำคำขาด

    ความกดดันทำให้บรรยากาศภายในตำหนักน่าอึดอัด ชินอ๋องไม่อาจทัดทานความต้องการของหวงไท่โฮ่วได้ เขาได้แต่กัดฟันกรอดทำความเคารพหวงไท่โฮ่ว หวงตี้และหวงโฮ่วก่อนเดินออกจากตำหนักไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งมาโดนบีบเรื่องแต่งตั้งพระชายาเอกทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้เลยว่านอกจากหมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลมู่ฉิงแล้ว ยังต้องแต่งตั้งให้นางเป็นหวังเฟยแทนที่จินเยว่อีก ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าพวกสี่ตระกูลหลักเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับเขาจริง

    เฟยหรงและรุ่ยเซียงรู้สึกไม่ชอบใจกับบรรยากาศชวนหายใจไม่ออกเช่นนี้ เฟยหรงจึงกระแอมเบาๆ เพื่อให้หวงไท่โฮ่วสงบอารมณ์ก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ

    “หวงไท่โฮ่ว ชินอ๋องไม่ยินดีจะหมั้นหมายกับรุ่ยเซียงด้วยแบบนี้ มันอาจส่งผลแย่กับคนทั้งสองนะพ่ะย่ะค่ะ”

    “ถ้าข้าไม่ให้รุ่ยเซียงขึ้นเป็นหวังเฟย ชินอ๋องคงให้จินเยว่ขึ้นมาหวังเฟยเอง เจ้าจะยอมให้ลูกสาวของเจ้าเป็นรองนางอย่างนั้นเหรอ”

    เฟยหรงหันมาทางรุ่ยเซียง นางไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ผู้เป็นบิดาแทน “ถึงอย่างไงแต่งเข้าตำหนักอ๋องไป สุดท้ายรุ่ยเซียงก็เป็นแค่หวังเฟยในนามเท่านั้น”

    “ยังดีกว่าให้อำนาจไปอยู่ในมือเสนาบดีเฉินนะ”

    “...”

    “เจ้าเข้าใจความหมายของข้าไหมเฟยหรง?”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    “ส่วนเรื่องของชินอ๋องข้าจะเป็นคนไปพูดกับเขาเอง ท่านน้าอย่าได้กังวลไป” อันหวงตี้กล่าว

    “รุ่ยเซียงก็อย่าไปถือสาท่าทางของชินอ๋องเลย การหมั้นหมายและการแต่งงานของพวกเจ้าทั้งสองคนมีความสำคัญต่อราชวงศ์อย่างมาก อย่างไงเจ้าควรคิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจให้คำตอบ” หวงโฮ่วเตือนรุ่ยเซียง

    นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องยากๆ ถึงตกมาอยู่ที่นางทั้งหมด แค่เห็นสายตาของชินอ๋องที่มองมา นางรู้ได้ทันทีว่าเขาเองไม่ได้ยินดียินร้ายจะแต่งงานกับนางด้วยซ้ำ นางเองก็เช่นกัน สถานการณ์วันนี้ทำให้เห็นว่าทั้งหวงไท่โฮ่ว หวงตี้รวมถึงหวงโฮ่วต่างคาดหวังกับเรื่องนี้มาก เหนือความคาดหมายอื่นใดคือปฏิกิริยาของชินอ๋องที่ไม่รู้เลยว่ารุ่ยเซียงต้องได้แต่งตั้งเป็นหวังเฟยแทนจินเยว่ รุ่ยเซียงได้ยินมาว่าจินเยว่เป็นสตรีงามแห่งแผ่นดินฮั่นที่มีความงดงามไม่น้อยหน้าเจินกุ้ยเหริน ส่วนนางยังเป็นเพียงเด็กกะโหลกกะลาที่เริ่มรู้สึกว่าใครจะงามก็ช่างมันเถอะ นางแค่อยากมีชีวิตอยู่กับสิ่งที่ชอบ พอมาเจอเรื่องยุ่งยากชวนปวดหัววันนี้ปุ๊บ นางรู้สึกว่าหลังหมั้นหมายและหลังแต่งงานชีวิตนางคงมีแต่เรื่องวุ่นวายซับซ้อน แค่คิดก็ขยาดแล้ว

    “แล้วแต่เสด็จย่าเพคะ” รุ่ยเซียงต้องยิ้มรับสู้ชะตากรรมตัวเองต่อไป

     

    “ฮา...” รุ่ยเซียงถอนหายใจยาวหลังปลีกตัวออกมาจากตำหนักหวงไท่โฮ่วได้ แต่เฟยหรงผู้เป็นบิดาต้องอยู่ต่อเพื่อคุยเรื่องหมั้นหมายและงานแต่ง นางได้แต่นั่งเดียวดายอยู่ในสวนดอกไม้ของวังหลังเงียบงัน ไม่คิดเลยว่าต้องมาฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ผู้ใหญ่คุยกันจนมันตีอยู่ในหัวไปหมด ความตั้งใจที่เอากระดาษเขียนกลิ่นใหม่มาให้หวงไท่โฮ่วมลายสิ้นเมื่อเจอสายตาอาฆาตแทบจะฆ่ากันให้ตายของชินอ๋อง

    “หน้ายุ่งแบบนี้ไม่สมเป็นเซียงเซียงเลยนะ”

    รุ่ยเซียงเงยหน้าหาเสียงหวานที่เข้ามาทักทาย พอเห็นว่าเป็นเจินกุ้ยเหรินรู้สึกใจชื้นขึ้นมา

    “ท่านลุงล่ะ?”

    “ท่านพ่ออยู่กับเสด็จย่า พระสนมหม่อมฉันไม่อยากหมั้นหรือแต่งงานเลย” เด็กสาวเริ่มงอแง

    “แล้วหวงตี้ให้เจ้าหมั้นหมายกับใครกัน?”

    รุ่ยเซียงกลอกตาไปมา ยามคิดถึงว่าที่สามีในอนาคตก็ไม่อยากจะตอบคำถามของเจินกุ้ยเหรินเท่าไร แต่เรื่องนี้มันช่างอัดอั้นตันใจสำหรับนางเหลือเกิน “ชะ...ชินอ๋อง”

    “ชินอ๋อง!?!” เจินกุ้ยเหรินร้องเสียงหลงแทบปิดปากตัวเองไม่ทัน พลางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง “เจ้าต้องหมั้นกับชินอ๋องเนี่ยนะ?”

    รุ่ยเซียงพยักหน้า

    “แล้วแบบนี้ถ้าเสนาบดีเฉินรู้เรื่องเข้าเขาจะยอมเหรอ?”

    “หากเสนาฯ อะไรนั้นไม่ยอมก็ให้เขาไปเถียงกับหวงไท่โฮ่วเถอะ” มันเป็นเรื่องช้ำใจของนาง รุ่ยเซียงจึงไม่อยากเอ่ยถึงมันซ้ำๆ “จริงสิ อ่ะ” นางยื่นกล่องไม้ให้เจินกุ้ยเหริน

    “อะไรน่ะ?”

    “กระดาษเขียนอบกลิ่นดอกไห่ถัง ข้าว่ากลิ่นมันอ่อนกว่าดอกเหลียนฮวาอยู่หน่อย ได้กลิ่นไปนานๆ ไม่ฉุนจมูกดี”

    “เหรอ” เจินกุ้ยเหรินดมกระดาษในกล่องไม้อย่างพิจารณา แม้จะมีกลิ่นไม้จากกล่องผสมอยู่บ้าง แต่กลิ่นของดอกไห่ถังยังชัดเจน ถือเป็นกลิ่นให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายในคราวเดียวกัน “หอมจริงด้วย”

    “อันนี้เป็นกระดาษใหม่ที่ข้าลองเอาเยื่อของต้นสับปะรดมาลองทำดู เนื้อเหนียวดีนะ แต่สัมผัสหยาบไปหน่อย ข้าว่าเจ้าเอาไปวาดรูปดีกว่าเอามาเขียน”

    “ขอบใจนะเซียงเซียง เซียงเซียงน้อยของข้าช่างเป็นอัจฉริยะเรื่องกระดาษจริงๆ”

    “มันแน่อยู่แล้ว” ก็นางเป็นประเภทอยากรู้อยากเห็น ก็เลยไปเรียนรู้กับคนงานโดยตรงแล้วศึกษาขั้นตอนการทำกระดาษจากตำราเก่าๆ ที่สามารถหาเรียนรู้ได้ และลงมือทำให้หายความสงสัยด้วยตัวเอง

    “ข้าคิดว่าถ้าเจ้ายังอยู่ที่ตระกูลเจ้าต้องเป็นนายหญิงที่ทำให้กิจการไปได้ไกลแน่เลย”

    “โธ่...เจินกุ้ยเหริน ตอนนี้มันเป็นเพียงความฝันไปแล้วแหละ” นางขำแห้งกับอนาคตของตัวเอง

    เจินกุ้ยเหรินกอดน้องสาวสุดที่รักเอาไว้แน่น “ไม่เป็นไรนะ”

    “ถ้าข้าเลือกได้ ข้าแค่อยากทำในสิ่งที่ข้ารัก ไม่ใช่เอาข้ามาเป็นหมากเรื่องทางการเมืองแบบนี้”

    น้ำเสียงท้อแท้ของรุ่ยเซียงทำให้เจินกุ้ยเหรินกระชับกอดนางมากกว่าเดิม

    “ข้าเคยคิดว่าข้าโชคดีจังที่ไม่ต้องเข้ามาวังหลัง”

    “...”

    “แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกสมเพชตัวเองจัง ทำไมข้าถึงต้องแต่งงานกับคนน่ากลัวแบบนั้นด้วยนะ” 

    “อารมณ์เสียแบบนี้ไม่ดีเลยนะ เดี๋ยวเจ้าก็ป่วยอีกหรอก วันนี้ข้าทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วน้ำผึ้งที่เจ้าชอบด้วย ไปตำหนักของข้าเถอะนะคนดี” เจินกุ้ยเหรินพยุงรุ่ยเซียงให้ลุกขึ้น จับมือนางพากลับไปที่ตำหนักของตัวเอง นางเข้าใจดีว่าตอนนี้รุ่ยเซียงอาจกำลังสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางเชื่อว่าอีกไม่นานน้องสาวของนางจะต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ต้องทำให้เด็กน้อยอารมณ์ดีและลืมเรื่องซับซ้อนทั้งหมดทิ้งไปก่อน มันอาจเร็วเกินไปที่เด็กอายุสิบหกจะเข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาอยู่จุดจุดนี้ 

    ฟึ่บ!!!

    ชินอ๋องหลบอยู่หลังต้นไม่นาน ได้ฟังบทสนทนาระหว่างเจินกุ้ยเหรินกับรุ่ยเซียงจึงได้ส่งสัญญาณเรียกลี่หลิน สักพักองครักษ์ประจำตัวชินอ๋องก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนาย

    “เจ้าติดตามดูว่าที่พระชายา ข้าอยากรู้นักว่านางเป็นคนยังไง”

    “ขอรับท่านอ๋อง” ลี่หลินรับคำสั่งก่อนหายตัวไปทำหน้าที่ของตัวเอง

    ท่าทางของรุ่ยเซียงที่มีต่อการหมั้นหมายกับเขาในครั้งนี้ ดูนางไม่ค่อยมีความสุขกับการถูกจับคลุมถุงชนของพวกผู้ใหญ่มากนัก นางยังบอกกับเจินกุ้ยเหรินอย่างชัดเจนด้วยว่านางกลัวเขา นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเมืองแต่อย่างใดเลย นอกจากคุยเรื่องการทำกระดาษกับเจินกุ้ยเหรินเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านางให้ความสนใจกับการทำกระดาษมากกว่าอย่างอื่น ขนาดเอ่ยถึงเขานางยังไม่อยากจะเอ่ยถึง แตกต่างจากจินเยว่ซึ่งให้ความสนใจเกี่ยวกับราชสำนักจนเกินงาม อาจเพราะนางเป็นบุตรสาวของเสนาบดีเฉิน บิดาของนางคงเล่าเรื่องงานให้บรรดาลูกๆ ของเขาฟัง ทั้งสองแตกต่างกันอย่างชัดเจนด้านความสนใจ พอคิดดูแล้วที่เขาทำเป็นไม่พอใจรุ่ยเซียงไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของนาง นางยังตกใจกับการหมั้นหมายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คงเพิ่งรู้วันนี้ด้วยว่าตัวเองต้องถูกแต่งตั้งเป็นหวังเฟย ยังไงชินอ๋องก็ไม่ชอบใจอยู่ดีที่พระมารดาให้รุ่ยเซียงขึ้นเป็นหวังเฟยแทนที่จะเป็นจินเยว่ ลึกๆ เขาอยากให้จินเยว่เป็นชายาเอกมากกว่า

    ชินอ๋องเดินทางกลับจากวังมาถึงตำหนักพบว่าจินเยว่กำลังรอเขากลับมาอยู่ ใบหน้าอันงดงามแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้างต้อนรับการกลับมาของสามี

    “ไปคุยกับหวงไท่โฮ่วมาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

    “ก็ดีนะ” ชินอ๋องเห็นรอยยิ้มของจินเยว่ยิ่งหวาดหวั่นใจมากกว่าเดิม เรื่องวันนี้มันหนักเกินไปที่จะบอกนาง หรือว่าควรบอกนางดี...

    “มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะท่านอ๋อง?”

    บอกนางตอนนี้ดีกว่าให้นางมารู้ทีหลัง...ชินอ๋องทบทวนเรื่องวันนี้ทุกอย่างให้มั่นใจ ก่อนตัดสินใจบอกความจริงกับจินเยว่ “เยว่เอ๋อ มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าต้องทำความเข้าใจก่อน ตอนนี้หวงไท่โฮ่วได้กำหนดแต่งตั้งชายาเอกให้ข้าแล้วนะ”

    จินเยว่ได้ยินแบบนั้นดวงตายิ่งทอประกายอย่างมีความหวัง หลังหมั้นหมายกับชินอ๋องมาได้สิบสามปี จนตอนนี้คงได้ฤกษ์งามยามดีแต่งงานอย่างเป็นทางการกับเขาเสียที กลับกันมือใหญ่ของเขาบีบมือเล็กของนางไว้แน่น ราวกับว่าสิ่งที่นางคิดสวนทางกับสิ่งที่เขากำลังจะบอก

    “เยว่เอ๋อ ข้าขอโทษจริงๆ ตำแหน่งหวังเฟยข้าไม่สามารถมอบให้กับเจ้าได้”

    “เจ้าคะ?”

    “หวงไท่โฮ่วต้องการให้ตำแหน่งหวังเฟยเป็นของรุ่ยเซียงเพียงคนเดียว”

    “...” รุ่ยเซียงคือใครกัน...นางกำลังจะเป็นชายาเอกของชินอ๋องอย่างนั้นหรือ? เกิดคำถามมากมายในใจของจินเยว่ นางไม่เคยได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้มาก่อน และไม่เคยคิดด้วยว่าชินอ๋องจะแต่งชายาเอกเข้าตำหนักแทนที่นางผู้ถูกหมั้นหมายก่อนหน้ารุ่ยเซียงนานหลายปี ทว่างานแต่งของจินเยว่อย่างเป็นทางการไม่สามารถจัดขึ้นได้เพราะหวงตี้และหวงโฮ่วสั่งเลื่อนไม่มีกำหนด อาจเพราะเหตุนี้เองสินะ ทำไมคนของราชวงศ์ช่างใจร้ายกับนางนัก กลับกำหนดตัวชายาเอกให้กับชินอ๋อง ทั้งๆ ที่พวกเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าทั้งนางและชินอ๋องต่างมีใจรักให้แก่กันและกัน ทำไมพวกเขาไม่เห็นความรักของนางบ้างเลย

    “เยว่เอ๋อ...เยว่เอ๋อ...” ชินอ๋องเขย่าร่างอันแข็งทื่อ “เยว่เอ๋อ ยังไงเจ้าก็เป็นคนรักของข้านะ” อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างบางกอดแนบชิดกาย เขารู้ได้ทันทีว่านางกำลังสั่นไปทั้งตัว หัวใจของนางเองคงกำลังหวั่นไหวกับเรื่องที่เขาบอก

    “ทะ...ทำไมหวงไท่โฮ่วถึงทำแบบนี้?”

    “ข้าขอโทษนะ เสด็จแม่อยากให้ตระกูลมู่ฉิงขึ้นมาคานอำนาจร่วมกับตระกูลไท่คัง”

    ตระกูลมู่ฉิง...หวงไท่โฮ่วเป็นคนของตระกูลมู่ฉิงอยู่แล้ว แล้วยังดึงดันเอาตระกูลตัวเองเข้ามาคานอำนาจอีกหรือ “แต่ท่านพ่อของข้าก็ช่วยเหลือราชวงศ์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอเจ้าคะ มันยังไม่พออีกเหรอเจ้าคะ?”

    “เยว่เอ๋อ...เยว่เอ๋อ...” ท่าทางของหญิงสาวทำให้ชินอ๋องกังวล “อย่างไงอำนาจของสี่ตระกูลใหญ่ยังจำเป็นสำหรับราชวงศ์อยู่ จะให้เอาเพียงแค่ขุนนางฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเอาสี่ตระกูลใหญ่มาอยู่ข้างราชวงศ์ให้ได้”

    “...” ความหมายของชินอ๋องที่จินเยว่เข้าใจในตอนนี้คือเขาไม่อาจเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ความสำคัญทั้งหมดขึ้นอยู่กับความต้องการของราชวงศ์ทั้งสิ้น สิ่งที่นางควรทำตอนนี้คือยอมรับสถานการณ์และเตรียมใจที่จะเจอหน้าชายาเอกที่ถูกเลือกเข้าตำหนักชินอ๋อง

    “ข้าเองก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ หวังเฟยในใจข้าคือเจ้าเท่านั้น โปรดเข้าใจข้าด้วย”

    “เจ้าค่ะ” แม้ไม่อยากยอมรับ หากเป็นหน้าที่ที่สามีต้องทำตามความประสงค์ของหวงตี้ สิ่งเดียวที่จินเยว่ทำได้คือสนับสนุนสามี 

    ชินอ๋องรู้สึกโล่งใจที่จินเยว่ยอมเข้าใจเรื่องชายาเอกแต่โดยดี เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าหากรุ่ยเซียงเข้าตำหนักมาเจอกับจินเยว่ หญิงสาวทั้งสองคนจะมีทีท่าต่อกันอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือจินเยว่ไม่ยอมให้ใครมารังแกตัวเองได้ง่ายๆ และไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบนาง ส่วนรุ่ยเซียงจากท่าทางของวันนี้ดูนางเชื่อฟังผู้ใหญ่แต่แอบดื้อเงียบหลังได้ฟังการสนทนาระหว่างนางกับเจินกุ้ยเหริน นางอายุยังน้อยคงไม่กล้าแย้งกับหวงไท่โฮ่วเรื่องหมั้นหมาย ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์เลยตามเลยแบบนี้ ทางที่ดีหากทั้งรุ่ยเซียงกับจินเยว่ไม่ทะเลาะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องคงดี คาดเดาไม่ได้เลยว่าใครจะหาเรื่องใครก่อน ตอนนี้เขาควรพาจินเยว่เข้าไปพักแทนที่จะเครียดกับเรื่องของวันนี้ อย่างไงซะวันหมั้นหมายกับวันแต่งงานยังต้องรอคนของทางวังจัดการดูฤกษ์อยู่ดี เวลานี้เขาอยากให้จินเยว่ของเขามีความสุขมากกว่า

    ความรู้เกี่ยวกับกระดาษ

    ตามประวัติศาสตร์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ปี ค.ศ.105 ขันทีของราชสำนักนาม ‘ไช่หลุน’ ได้คิดค้นวิธีผลิตกระดาษขึ้นมา โดยนำเอาเศษผ้าขี้ริ้ว เศษไม้ ต้มกับน้ำและทุบให้เปื่อยจนเป็นเยื่อกระดาษอยู่ในน้ำ แล้วนำน้ำที่มีเยื่อกระดาษเทลงบนตะแกรงผ้า เกลี่ยเยื่อกระดาษกระจายให้ทั่วและตากแดดให้แห้ง ก่อนนำมาลอกเป็นกระดาษนำมาใช้เขียนได้ ต่อมาไช่หลุนได้ปรับเปลี่ยนวิธีทำกระดาษแบบใหม่ให้ง่ายต่อการทำและดีขึ้นกว่า คือใช้ตะแกรงจุ่มลงในอ่างที่มีน้ำเยื่อกระดาษอยู่แล้ว ช้อนเอาแต่เยื่อกระดาษขึ้นมาก่อนนำไปตากแดดให้แห้ง ด้วยวิธีนี้เองทำให้ได้เนื้อกระดาษสม่ำเสมอและมีความเหนียวกว่ากระดาษแบบเดิม

    ข้อมูลการผลิตกระดาษที่ค้นหาได้ยังมีการผลิตโดยใช้เปลือกไม้อัดกันเป็นแผ่นแล้วนำไปแช่น้ำจนน้ำแห้ง แล้วทิ้งให้เปลือกไม้นั้นแห้งจนได้เป็นแผ่นกระดาษเรียบบาง วิธีนี้เองเป็นผลงานที่ทำให้ไช่หลุนได้รับการยกย่องตั้งแต่ยังมีชีวิตจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ยังมีวัตถุดิบอื่นๆ ที่คาดว่านำมาใช้ในการผลิตกระดาษได้แก่ เปลือกไม้ ปอ ผ้า และอวน เป็นต้น แต่ไม่มีใครทราบจริงๆ ว่าสูตรการผลิตกระดาษที่แท้จริงของไช่หลุนเป็นเช่นไร เพราะมันได้หายสาบสูญไปแล้ว

    บางประวัติศาสตร์ระบุว่าผู้คิดค้นการทำกระดาษเป็นผลงานของอีกบุคคลหนึ่งซึ่งวรรณะต่ำกว่าไช่หลุน อย่างไรก็ตามในสมัยราชวงศ์ชิงมีภาพพิมพ์ของไช่หลุนในฐานะผู้ค้ำจุ้นการผลิตกระดาษ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×