ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #52 : บทที่ 51 มังกรแดง โวลเกีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 189
      0
      14 ก.ค. 51

                    ญามังกรอาราริคพุ่งทะยานขึ้นสู่เบื้องบนด้วยความเร็วเกินคณานับ ทว่าฟากฟ้าอันกว้างไกลก็ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

                    ในอุ้งมืออันใหญ่โตของพญามังกร คือโจเอลที่ต้องหยีตาสู้แรงลมที่ปะทะ แถมเลือดในกายคล้ายจะไหลลงไปกองที่เท้า นี่เป็นการเดินทางที่ไม่สนุกเอาเสียเลย และในไม่ช้า ทั้งสองก็กำลังจะรู้ว่า การนำวิญญาณออกนอกดินแดนหลังความตายไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิด

                    ขณะที่อาราริคกำลังพุ่งทะยานสูงขึ้นไปนั้น พลันปรากฏสายฟ้าสีเขียวเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว อำนาจทำลายล้างอันรุนแรงของสายฟ้า ฟาดถูกหลังปีกของอาราริคเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ร่างมหึมาหล่นวูบจากกลางหาว แต่ไม่ช้าพญามังกรก็ได้สติ รีบขยับปีกพยุงร่างไม่ให้ร่วงหล่นไปมากกว่านี้

                    ท่านอาราริค เกิดอะไรขึ้น? โจเอลร้องถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

                    เอ... ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกนะ ทุกทีไม่มีอะไรแบบนี้นี่นา หรือว่าจะเป็นระบบป้องกันไม่ให้พาวิญญาณออกนอกดินแดนนี้กันแน่นะ อาราริคตอบอย่างไม่สู้จะแน่ใจนัก

                    โจเอลขยับปากกำลังจะบอกให้อาราริคทิ้งเขาไว้ที่ดินแดนหลังความตาย ทว่าก็ดูเหมือนจะช้าเกินไป

                    อาราริคร้องคำรามขึ้นหกครั้ง แต่ละครั้งจะปรากฏหินรูปหน้าคนขนาดใหญ่หนึ่งก้อน จนเมื่อครบทั้งหกก้อน พญามังกรผู้องอาจก็พุ่งทะยานขึ้นไปอีกครั้ง

                    สายฟ้าสีเขียวฟาดลงมาอีกครา ด้วยจำนวนที่มากขึ้น หากแต่อาราริคมิได้ใส่ใจต่อการโจมตีเหล่านั้นอีกต่อไป เพราะหินรูปหน้าคนทั้งหกได้ทำหน้าที่ป้องกันสายฟ้าเหล่านั้นไว้ ทุกครั้งที่ถูกสายฟ้าฟาดใส่ มันก็จะทำการหักเห ปลดปล่อยพลังงานไปยังทิศทางอื่น แต่ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการป้องกันที่สมบูรณ์แบบ ทว่าการรับพลังงานมหาศาลเช่นนั้นในแต่ละครั้ง ก็ทำให้หินแต่ละก้อนเกิดการแตกกะเทาะ กระทั่งหินก้อนหนึ่งได้รับสายฟ้าไว้มากเกินไปจนพังทลาย กระนั้นมันก็ซื้อเวลาให้กับอาราริคมากพอ จนสามารถเข้าใกล้ขอบฟ้าอันเป็นเขตแดน ทว่าการข้ามดินแดนแห่งความตายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น...

                    ขณะที่อาราริคเริ่มชะล่าใจ เมื่อสายฟ้าสีเขียวหยุดการโจมตีไปครู่ใหญ่ แต่แล้วการจู่โจมครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ครั้งนี้เป็นลำแสงสีเขียวที่มองเผินๆเหมือนไม่มีพิษภัยอะไร จนเมื่อใกล้เข้ามา สัญชาติญาณก็ได้เตือนให้อาราริคหลีกหนีลำแสงนั้นให้เร็วที่สุด

                    เพียงชั่วอึดใจ ลำแสงดังกล่าวก็แสดงความเกรี้ยวกราดออกมา โดยการไล่จี้ตามติดอาราริคอย่างกระชั้นชิด หินใบหน้าคนที่เหลืออีกห้าก้อนพยายามอารักขา แต่ก็ถูกทำลายลงไปในชั่วพริบตา

                    แม้อาราริคจะบินหลบได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว แต่ลำแสงมรณะก็ไล่ตามมาแทบจะทันกัน หนำซ้ำเหตุการณ์กำลังจะเลวร้ายลงอีก เมื่ออาราริคกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น! เขากำลังถูกล้อมกรอบ และลำแสงมรณะก็กำลังใกล้เข้ามา!

                ก่อนที่เหตุการณ์จะคับขันเลวร้ายไปกว่านี้ ร่างของทั้งสองก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสว่างที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด ซึ่งลำแสงสีเขียวไม่อาจผ่านเข้ามากรายใกล้

                    ท่านโจเอล ดูเหมือนจะหมดธุระของข้าแล้ว มีคนมารับท่านแล้วล่ะ อาราริคบ่นพึมพำ โจเอลรู้สึกงุนงงต่อคำกล่าวนั้น ทว่าไม่ทันเอ่ยอะไร ก็รู้สึกว่าตนถูกแสงสว่างที่ห้อมล้อมนำพาไปยังที่อื่น

                    ขอให้โชคดี ท่านคงไม่มีโอกาสเช่นนี้บ่อยนักหรอก อาราริคกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่โจเอลจะมองเห็นภาพรอบกายเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งไม่เห็นสิ่งใดอีก นอกจากแสงสว่างจ้าจนไม่อาจฝืนลืมตา

     

                    โจเอล... น้ำเสียงหวานใสฟังดูคุ้นเคยกล่าวต้อนรับ ขณะที่โจเอลค่อยๆเผยอเปลือกตามองภาพรอบกาย แต่คล้ายกับดวงตาของเขาจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับแสงสว่าง จึงเห็นสิ่งต่างๆรอบกายพร่าเลือน

                    โจเอลใช้เวลาปรับตัวอยู่พักหนึ่งจึงมองเห็นภาพรอบกายได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งสิ่งแรกที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า คือหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี นัยน์ตาสีฟ้าใสของเธอจับจ้องมาด้วยความห่วงหา ใบหน้าของเธอยังคงงดงามเช่นเดิม แม้ว่าจะดูซูบผอมไปบ้าง ทว่าผมสีบรอนซ์ที่เคยยาวสลวย บัดนี้กลับสั้นจนเกือบติดหนังศีรษะ

                    ลูนาร์... โจเอลเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา มืออันไร้เรี่ยวแรงเอื้อมไปจับที่ผมของหญิงสาว เพื่อให้แน่ใจว่ามิใช่ภาพลวงตา

                    เกิดอะไรขึ้นกับผมของเจ้ากันหรือ... เขาเอ่ยถาม

                    ข้าเข้าพิธีเป็นนักบวชแล้ว ลูนาร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม ทั้งสองได้แต่มองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไรอยู่พักใหญ่

                    เรา... อยู่ที่ไหนกันหรือ? โจเอลถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ เขาพยายามพยุงกายขึ้นเพื่อจะมองไปรอบๆ ลูนาร์จึงเข้ามาช่วยประคองก่อนจะตอบ

                    ท่านสบายใจเถิด ตอนนี้เราอยู่ที่ฟอร์ทอังเคิลแล้ว

                    ฟอร์ทอังเคิล? เกิดอะไรขึ้นหรือ พวกเรามาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน? โจเอลถามต่อไปด้วยความสงสัย เพราะครั้งสุดท้ายที่จำได้ พวกเขายังอยู่กลางวงล้อมของพวกการ์กอน และสถานการณ์มีแต่จะแย่ลงทุกที

                    จอร์ชเป็นคนพาพวกเรามา ลูนาร์ตอบเพียงสั้นๆ

                    คำตอบที่ได้ทำให้โจเอลรู้สึกดีใจ เพราะนี่เท่ากับสหายของเขารอดพ้นจากมือสังหาร เขาจึงเร่งร้อนที่จะถามต่อไป

                    แล้วเขาอยู่ที่ไหนกันหรือ?

                    ครั้งนี้ลูนาร์มิได้ตอบในทันที เธอนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา จอร์ช... ไปจากที่นี่แล้ว... เอ่อ... ข้าจะออกไปบอกคนอื่นนะ ว่าท่านฟื้นแล้ว

    กล่าวจบ ลูนาร์ก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้โจเอลพักผ่อนตามลำพัง

     

                    ห่างไกลออกไปจากฟอร์ทอังเคิล สตรีนางหนึ่งกำลังตกอยู่ในสภาพสลบไสล มีบางครั้งที่เธอรู้สึกตัวในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ทว่าเมื่อมองไปรอบๆก็พบเพียงขอบฟ้าอันเวิ้งว้าง และแรงลมที่ปะทะมาตลอด เมื่อมองดูสิ่งที่รองรับร่างของเธอไว้ มันมีสภาพคล้ายก้อนหินสีแดงเหมือนหินลูกรังขนาดค่อนข้างใหญ่หลายก้อนเรียงต่อกันไป เธอไม่รู้ว่ามันได้ปูลาดไปถึงไหนกันแน่ เพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอจะทำการสำรวจ

                    เธอกวาดสายตาต่อไป เพียงให้ได้พบกับชายหนุ่มที่เธอห่วงหา เมื่อเห็นว่าเขากำลังหลับอยู่ใกล้ๆ เธอจึงเขยิบกายเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปตระกรองกอดร่างนั้นไว้ และหลับต่อไปด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย

     

                    หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างล่วงล้ำผ่านริมฝีปากของเธอ เจ้าสิ่งนั้นคล้ายกับมีชีวิต มันขยับเขยื้อนไปมาอย่างแผ่วเบา ขณะเดียวกันนั้น เธอก็รู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวปะทะอยู่ตรงหน้า

                    เธอลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ พยายามขัดขืนต่อการล่วงล้ำ ทว่าไม่อาจต่อสู้กับพลังที่เหนือกว่าได้ หญิงสาวเพ่งมองดูผู้ที่กระทำการหยาบคายต่อเธอ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ผมสั้นสีแดงสด นัยน์ตาสีแดงฉายแววดุดัน แต่งกายด้วยชุดสีแดงเข้มจนเกือบดำ เขาใช้กำลังบดเบียดริมฝีปาก และชอนไชลิ้นเข้ามาโดยที่เธอไม่อาจขัดขืน

                    หญิงสาวพยายามผลักไสชายหนุ่มผมแดงอย่างอ่อนแรงเต็มที กระทั่งรู้สึกได้ว่าลิ้นของเขาล้วงลึกผ่านลำคอลงไป ทำให้เธอเกิดความรู้สึกประหลาด...

                    ฉับพลันทันใด ชายผู้นั้นก็ถอนลิ้นออกอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับผละกายถอยห่าง ปากของเขาได้คาบบางสิ่งเอาไว้ มันเป็นของเหลวสีดำที่มีความหนืด สิ่งนั้นดูคล้ายกับมีชีวิต มันดิ้นรนไปมาทั้งยังส่งเสียงหวีดร้อง ชวนให้รู้สึกขยะแขยง สิ่งนี้มาจากภายในร่างกายของหญิงสาวอย่างนั้นหรือ?

                    ชายหนุ่มผมแดงถ่มเจ้าของเหลวสีดำลงบนพื้นอีกด้านหนึ่ง แล้วพ่นเปลวเพลิงร้อนแรงออกมาจากปาก เผาทำลายเจ้าของเหลวสีดำเป็นจุลก่อนที่มันจะหนี

                    ของเหลวสีดำดิ้นทุรนทุรายในเปลวเพลิง มันส่งเสียงหวีดร้องโหยหวน ทว่าชายหนุ่มมิได้แยแสต่อมันอีก เพียงปล่อยให้มันมอดไหม้ไปเอง เขาหันกลับมายังหญิงสาวแล้วกล่าว

                    คำสาปนี่... เจ้าคงจะเจอกับพวกอาร์คีมาสินะ

                    ฝ่ายหญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร เธอเอาแต่ใช้มือป้ายปากด้วยความรังเกียจ สายตาจับจ้องมาทางชายหนุ่มผมแดงด้วยความหวาดระแวง

                    ไม่พูด... หรือเจ้าพูดไม่ได้กันแน่? ไม่สิ ถ้าลองอยู่ในร่างนี้ได้ เจ้าก็น่าจะใช้ภาษาชั้นสูงได้นี่นา ชายหนุ่มยังคงไม่ลดละ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขม้นมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีสนใจเป็นพิเศษ ขณะที่หญิงสาวกระถดกายถอยหนี พลางกระชับผ้าคลุมสีน้ำเงินสด อันเป็นอาภรเพียงชิ้นเดียวให้แนบชิดกาย

                    เป็นอะไรไป? เจ้าควรจะดีใจที่ได้พบกับพวกพ้องสิ โลกทุกวันนี้ไม่ได้มีมังกรเหลืออยู่มากเหมือนดังก่อนหรอกนะชายหนุ่มกล่าวต่อไป

    แม้จะได้ยินเช่นนั้น แต่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกยินดีขึ้นมาสักนิด น้ำเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าฟังดูแข็งกร้าวพอกันกับแววตา ยิ่งเขาพูดออกมามากเท่าใด เธอกลับยิ่งรู้สึกเหมือนถูกคุกคามมากเท่านั้น

                    เอาอย่างนี้ เจ้ามีชื่อไหม? ชายหนุ่มถอยออกมา น้ำเสียงดูอ่อนลง

                    ลาร์...ซ หญิงสาวยอมพูดออกมาในที่สุด ทว่าก็ตะกุกตะกักเต็มที

                    พอ! พอ!” อีกฝ่ายร้องห้ามด้วยความหงุดหงิด เจ้าแค่เพ่งความคิดมา เราจะคุยกันทางจิต

                    หญิงสาวทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าจะทำเช่นที่ว่าได้อย่างไร

                    เอ้า! เงียบอยู่ทำไมล่ะ เจ้าชื่ออะไร ไหนลองว่ามาใหม่ซิ เสียงของอีกฝ่ายดังก้องเข้ามาในหัว หญิงสาวจึงลองเพ่งความคิดตอบกลับไป

                    ข้าชื่อลาร์ซ

                    ลาร์ซ? หึ! ชื่อเหมือนสัตว์เลี้ยง อีกฝ่ายเยาะ

                    แล้วท่านล่ะ? ลาร์ซถามกลับบ้าง โดยพยายามข่มความโกรธไว้

                    ข้าหรือ? หึ! มังกรทุกตัวรู้จักข้ากันทั้งนั้น แต่เอาเถอะ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน คงจะเป็นมังกรเร่ร่อนกระมัง จงฟังแล้วจำไว้ให้ดี ข้าคือโวลเกีย เพลิงแห่งฟราทุนดรา

                    ลาร์ซจ้องมองชายที่ชื่อโวลเกียด้วยความรู้สึกไม่ชอบหน้ายิ่งขึ้นทุกที ชายผู้นี้ทั้งหยาบกระด้าง ไร้มารยาท และอวดโอ่ แต่เธอก็รู้สึกคุ้นชื่อนี้อยู่เหมือนกัน หลังจากที่ลองนึกอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเธอก็นึกออก

                    โวลเกีย... อ๊ะ! ท่านคือคนที่สู้กับท่านอาราริคที่ถ้ำผลึกนี่นา

                    ใช่ ข้าเอง นี่เจ้ารู้จักกับเจ้าอาราริคด้วยรึ? โวลเกียถามกลับ สีหน้าของเขาฉายแววกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย

                    ลาร์ซพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับ

                    เจ้านั่นพูดถึงข้าว่าอย่างไรบ้างล่ะ? โวลเกียถามต่อไป

                    ท่านอาราริคไม่ได้เอ่ยถึงท่านเลย ลาร์ซตอบ

                    หึ! แน่ล่ะ เจ้าคนที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของเราตกต่ำจะกล้าพูดถึงข้ารึ โวลเกียกลับมาวางท่าหยิ่งยะโสตามเดิม ก่อนจะถามสืบไป

                    แล้วเจ้าไปทำอะไรในดินแดนของพวกอาร์คีกัน นั่นไม่ใช่ที่ที่มังกรอ่อนต่อโลกแบบเจ้าจะเข้าไปเลยนะ

                    หญิงสาวมีสีหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบไปตามตรง ข้าติดตามผู้เป็นนายเข้าไป

                    นาย? โวลเกียทวนคำ นัยน์ตาสีแดงแข็งกร้าว จ้องเขม็งมาทางหญิงสาว

                    เจ้าเป็นสเลนอย่างนั้นหรือ? น้ำเสียงของเขาแสดงความขุ่นข้อง

                    ลาร์ซพยักหน้ารับด้วยท่าทางตื่นกลัว พลันที่ตอบรับเช่นนั้น สีหน้าท่าทางของโวลเกียก็ฉายแววรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

                    พวกจุดด่างพร้อยของเผ่าพันธุ์! ข้าน่าจะปล่อยให้ตายนัก จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป!” โวลเกียตะคอกใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยว การสื่อสารทางจิตที่รุนแรงเช่นนั้น ทำให้ลาร์ซรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เลือดกำเดาของเธอไหลออกมาโดยไม่ทันรู้สึกตัว

                    แต่ว่า... โวลเกียมีท่าทีอ่อนลง เขาใช้สายตาสำรวจร่างของลาร์ซจนทั่ว ก่อนจะยื่นมือมาเชยคางหญิงสาวเพื่อจะพิจารณาใกล้ๆ ทำไมเจ้าถึงอยู่ในร่างนี้กัน? พวกสเลนยังไม่มีร่างจำแลงนี่นา ไหนจะเปลวไฟที่พ่นออกมาอีก ตัวเจ้านี่มีปริศนาพอดูทีเดียว...

                    ลาร์ซยังคงนิ่ง ไม่ตอบความอันใด เธอพยายามเบือนหน้าหนีให้พ้นจากมือที่เชยคางอยู่ ทว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอจะขัดขืน อันที่จริงโวลเกียไม่ได้ใช้แรงมากมายแต่อย่างใด เพราะแค่เพียงแววตาดุดันที่จ้องมองมา เท่านั้นก็พอจะทำให้ลาร์ซกลัวจนรู้สึกชาไปทั้งตัว แต่ถึงจะหวาดกลัวเพียงใด เธอก็ยังมีสิ่งที่เป็นห่วงอย่างยิ่งอยู่

                    ดารูเกนซ์... เอ่อ... ชายที่อยู่กับข้า เขาอยู่ที่ไหนกันหรือ? เธอถามออกมาทั้งที่น้ำเสียงสั่นสะท้าน

                    อีกฝ่ายหนึ่งไม่ตอบ เพียงมองกลับมาด้วยสายตาที่เย็นชาและเดินจากไป ปล่อยหญิงสาวไว้เพียงลำพัง

     

                    หลังจากที่โวลเกียจากไปแล้ว ลาร์ซก็ได้สำรวจบริเวณรอบๆ ซึ่งมารู้ว่าที่ที่เธออยู่นั้น เป็นชะง่อนผาที่ลึกเข้าไป และอยู่สูงกว่าพื้นดินมากโข

                    เธอลองมองไล่ไปตามหน้าผาสูงชัน และเห็นว่ามีชะง่อนผาอยู่อีกหลายแห่ง ซึ่งโวลเกียและดารูเกนซ์อาจอยู่ที่ใดสักแห่ง

                    การนึกถึงดารูเกนซ์ทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก ด้วยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอรู้สึกเป็นห่วง และเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ

                    สิ่งที่ทำให้ลาร์ซเป็นกังวลอีกอย่าง ก็คือชายที่ชื่อโวลเกีย ซึ่งเธอรู้สึกไม่ไว้วางใจเลย ด้วยหวั่นเกรงว่าเขาจะทำร้ายดารูเกนซ์ มันช่างต่างกับตอนที่เธอพบกับท่านอาราริค ที่เธอดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับเผ่าพันธุ์เดียวกัน หรืออย่างน้อยก็พอจะเชื่อมโยงถึงกันได้ และท่านอาราริคก็เป็นคนที่อ่อนโยนและมีเมตตากว่านี้มาก แม้น้ำเสียงจะทรงไว้ซึ่งอำนาจ ทว่าก็แฝงความอบอุ่น หาได้ดุดันและหยาบกระด้างเช่นโวลเกีย ท่านอาราริคนี่เองที่สอนให้เธอรู้จักการฝึกฝนจิต อันเป็นหนทางที่จะพ้นจากคำสาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และทำให้เธอสามารถจะอยู่ในร่างนี้ได้ แต่ก็เฉพาะในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น

                    ลาร์ซสะดุ้งขึ้นด้วยความตกใจกลัว เมื่อมีเงามหึมาบดบังท้องฟ้า เพียงครู่เดียว เงาอันใหญ่โตนั้นก็ค่อยๆแปรเปลี่ยน กระทั่งกลายเป็นร่างของชายผู้หนึ่ง

                    หญิงสาวกระถดกายถอยห่างทันทีที่เห็นชายผู้นั้น ด้วยยังรู้สึกหวาดกลัวชายที่ชื่อโวลเกียอยู่

                    ข้าเอาอาหารมาให้ เจ้าคงจะหิวอยู่บ้างสินะ ชายหนุ่มผมแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น และท่าทีก็ดูสุภาพขึ้น ในมือมีแกะหรืออะไรสักอย่างที่คล้ายแกะทั้งตัว ย่างจนสุก ส่งกลิ่นหอม ขณะที่แขนอีกข้างหอบกองฟืนไว้

                    เอ้า กินเสียสิ เขายื่นแกะตัวนั้นให้กับหญิงสาว แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับเอาไว้ จึงวางมันตรงหน้า แล้วหันไปจัดการกับฟืนที่นำมา โดยการกองไว้รวมกัน และเมื่อเอ่ยคำว่า ไฟ กองฟืนก็เริ่มมีไฟลุกติด

                    นี่คงให้ความสว่างและอบอุ่นได้บ้าง เขาพูด

                    ลาร์ซได้กลิ่นหอมจางๆมาจากกองไฟ ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่ช้าความหิวก็รบเร้าให้เธอหยิบชิ้นเนื้อตรงหน้ามากินทีละน้อย และเริ่มกัดคำโตขึ้น เมื่อได้ลิ้มรสชาติความอร่อยของมัน แต่ด้วยความไม่คุ้นชินในร่างนี้ ทำให้เธอต้องก้มลงกัดชิ้นเนื้อ โดยใช้แขนที่อ่อนแรงช่วยประคับประคอง

                    การเป็นสเลนนี่คงจะลำบากไม่น้อยสินะ โวลเกียเปรยขึ้น น้ำเสียงฟังดูเห็นอกเห็นใจมากกว่าจะเย้ยหยัน น่าประหลาดที่ท่าทีของเขาต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคน

                    ลาร์ซไม่ได้ตอบ เธอยังคงหวั่นเกรงชายผู้นี้ และอีกเหตุผลก็เป็นเพราะเธอกำลังสนใจอยู่กับการกินนั่นเอง

                    โวลเกียยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสเลน ดราก้อน และไฮดราก้อน ซึ่งส่วนใหญ่ลาร์ซเคยได้ยินจากท่านอาราริคมาบ้างแล้ว เพียงแต่เรื่องเล่าทางฟากของโวลเกีย เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและชิงชัง และมีการเอ่ยถึงท่านอาราริคในแง่ที่ไม่ดีอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นคนทรยศที่ทำให้เผ่าพันธุ์มังกรเสื่อมถอย

                    ลาร์ซไม่รู้จะกล่าวอะไร รวมทั้งกลัวว่าการพูดแทรกจะทำให้อีกฝ่ายแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาอีก เธอจึงนั่งฟังเฉยๆ และมุ่งความสนใจไปกับการกิน ขณะที่ในใจคิดเผื่อไปถึงดารูเกนซ์ ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะหิวหรือว่าหนาวบ้างหรือเปล่า

                    ชั่วขณะที่หญิงสาวมัวเหม่อลอยคิดถึงเรื่องอื่นจนคลายความระมัดระวังตัวนั้นเอง พลันชายหนุ่มผมแดงก็มายืนอยู่ที่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบจนเธอแทบไม่รู้สึกตัว

                    เผ่าพันธุ์ของเรามีแต่จะลดน้อยถอยลงทุกที... โวลเกียเอ่ย ลาร์ซนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ใบหน้าเริ่มจะแดงซ่านเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้มาก สังเกตได้จากลมหายใจที่ปะทะต้นคอ แต่เธอก็ไม่กล้าเหลียวกลับไปมอง

                    แม้ว่าฝ่ายหญิงจะไม่ยอมเหลียวหันมา แต่โวลเกียก็ใช้มืออันแข็งแกร่ง เชยคางบังคับสาวเจ้าให้หันมา มิเพียงเท่านั้น เขายังประกบริมฝีปากลงไปโดยไม่รอช้า ขณะที่มืออีกข้างทำการดึงผ้าคลุมสีน้ำเงินสดที่ปิดเร้นร่างงามของสาวน้อยให้พ้นไป

                    แต่ทุกอย่างก็สะดุดหยุดลงเพียงเท่านั้น

                    โวลเกียเงยหน้าผละออกมา เขาเลื่อนนิ้วปาดเลือดที่ไหลซึมอยู่ตรงริมฝีปาก ซึ่งถูกลาร์ซกัดเป็นการโต้ตอบ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

                    ...เป็นอะไรไป? สเลนอย่างเจ้าควรจะยินดีด้วยซ้ำ ที่มังกรระดับข้าสนใจในตัวเจ้า 

                    ลาร์ซไม่ตอบ เธอพยายามถอยห่างจากชายคนนี้ให้มากที่สุด ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ติดตาม เพราะบนผาสูงเช่นนี้ สเลนที่บินไม่ได้จะไปได้สักกี่น้ำ

                    ทั้งสองต่างนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ลาร์ซรู้ดีว่าหากโวลเกียใช้กำลังบังคับเธอย่อมไม่อาจขัดขืน ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบ

                    ดารูเกนซ์... อยู่ที่ไหน?

                    โวลเกียขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าว เจ้ามนุษย์นั่นน่ะหรือ ทำไมกัน? คิดว่าข้าฆ่าเจ้านั่นไปแล้วหรือไร ข้ายังไม่โง่ขนาดนั้นหรอกนะ นี่เจ้ากับมันมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่รึ?

                    ลาร์ซนั่งนิ่ง พูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบว่าเขาเป็นนาย และเธอเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง หรือว่าเป็นสหายที่เติบโตร่วมกันมา หรือว่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น...

                    เอาเถิด โวลเกียชิงกล่าว ที่จริงข้าก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด เพียงแต่ มีข้อแม้ว่า...

                    ข้อแม้อะไรหรือ? ลาร์ซรีบถามทันที

                    โวลเกียยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเฉลย เจ้าต้องยอมเป็นเจ้าสาวของข้า

                    ลาร์ซตกใจต่อข้อเสนอนั้น นี่ออกจะรวดเร็วเกินไป เธอยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ถึงวัยที่จะตัดสินใจในเรื่องแบบนั้นได้เลย และต่อให้เธอพร้อมที่จะตัดสินใจ เธอก็คงไม่เลือกผู้ชายที่ทั้งหยาบกระด้าง อวดโอ่ และทะนงตนเช่นนี้เป็นอันขาด เธอมีแบบอย่างของชายในดวงใจไว้อยู่แล้ว ซึ่งห่างไกลจากโวลเกียเป็นอย่างมาก

    เจ้าจะค่อยๆคิดไปก็ได้ แต่ข้างนอกนั่นอากาศหนาวมากทีเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะทนได้นานสักเท่าไหร่ โวลเกียกล่าวออกมาลอยๆ ซึ่งเป็นการเร่งเร้าให้ลาร์ซต้องรีบตัดสินใจ

                    การยกเอาความเป็นความตายของดารูเกนซ์มาใช้บีบบังคับ ทำให้ลาร์ซไม่จำเป็นต้องไคร่ครวญให้เสียเวลาอีกต่อไป ยามที่อยู่ในสนามรบ เธอตั้งใจว่าจะปกป้องเขาไว้แม้ด้วยชีวิต ฉะนั้น หลังจากลังเลเพียงชั่วครู่ เธอก็ตัดสินใจได้

                    ได้... ข้าตกลง หญิงสาวตอบ และหลับตาพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

                    ลมหายใจของหญิงสาว หอบแรงด้วยความหวาดเกรง เรือนร่างบอบบางสั่นสะท้าน เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายได้เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ กระทั่งมืออันแข็งแรงได้คว้าเข้าที่แขนเรียวงามของหญิงสาว ทำเอาเธอสะดุ้ง

                    ข้าพูดว่า เจ้าสาว อย่าได้เข้าใจไปแบบนิสัยของพวกมนุษย์!” ชายหนุ่มผมแดงตำหนิ เมื่อหญิงสาวลืมตา ก็เห็นดวงตาสีแดงดุดันจ้องมองเขม็ง

                    พวกเราเผ่าพันธุ์มังกร จะครองคู่เพียงหนึ่งเดียวตราบจนสิ้นชีวิต ตัวเจ้าในตอนนี้ ยังไม่พร้อมจะเป็นเจ้าสาวของข้าหรอกนะ เพียงแต่ข้ารู้สึกสนใจในตัวเจ้าด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เจ้าจะต้องคู่ควรกับข้ามากกว่านี้ อย่างน้อยก็ควรจะปลดเปลื้องให้พ้นจากคำสาป และพ้นจากการเป็นสเลนที่ต่ำชั้นเกินกว่าที่ข้าจะยอมรับ

                    โวลเกียดึงมืออันบอบบางของลาร์ซเข้าหาตัว พัฒนาการของเจ้าน่าสนใจ แต่ตอนนี้เจ้ายังเป็นแค่ว่าที่เจ้าสาวเท่านั้น เอาล่ะ จงรับเครื่องหมายแสดงการหมั้นหมายของเราไว้สิ!”

                พูดจบโวลเกียก็ใช้เล็บแหลมคม กรีดปลายนิ้วนางซ้ายของตนเองเป็นแผล เขาปาดเลือดที่ไหลรินไปรอบนิ้วนางซ้ายของลาร์ซ พลันรอยเลือดดังกล่าวก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเริ่มร้อนและมีควันลอยออกมา ไม่ช้าเลือดพวกนั้นก็จับตัวเป็นของแข็ง พื้นผิวมันวาวคล้ายโลหะ

                    ว่าที่เจ้าสาวงอตัว ขบเม้มริมฝีปากทนต่อความเจ็บปวดจากความร้อนและการหดตัวจนรัดแน่นของแหวนหมั้นซึ่งเธอมิได้ยินดียอมรับ

                    ถ้าพร้อมแล้วก็จงลุกขึ้น ข้าจะพาเจ้าไปส่งในที่ที่เจ้าเรียกว่าบ้าน’ ” โวลเกียกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

     

                    โวลเกียกลายร่างเป็นมังกรที่มีเกล็ดสีแดงเข้ม เพื่อพาว่าที่เจ้าสาวของตนไปส่งยังเขตแดนของอาณาจักรดราโกเนียร์ ลาร์ซนั่งขดกายต่อสู้ลมหนาวที่ปะทะบนแผ่นหลังของโวลเกีย เธอได้พบกับดารูเกนซ์อีกครั้ง เขายังคงหลับใหลภายใต้มนต์นิทราที่โวลเกียร่ายละกดไว้ ทำให้ไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่า ตนเพิ่งจะสูญเสียสหายเพียงหนึ่งเดียวไป

                    ลาร์ซจ้องมองใบหน้าของดารูเกนซ์ด้วยดวงตาเศร้าหมอง พลางนึกถึงคำพูดของโวลเกีย ที่ว่า จะมารับเธอเพื่อเป็นเจ้าสาวในวันหนึ่ง ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นเมื่อไหร่

                    เธอค่อยๆกระเถิบกายอิงแอบร่างอัศวินหนุ่ม ที่มิได้รู้สึกตัวแต่อย่างใด หญิงสาวเฝ้าหวังเพียงว่า วันที่จะต้องจากกันคงไม่มาถึงเร็วเกินไป

     

                    แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ไม่ช้าดวงอาทิตย์จะฉายฉาน บดบังดวงจันทร์ที่สิ้นแรง ขณะที่หญิงสาวผู้หนึ่งหลั่งรินน้ำตาโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อสิ้นแสงจันทร์เต็มดวง เธอจะต้องกลับคืนสู่ร่างเดิม เมื่อตรองดูแล้วจึงรู้สึกว่าตนช่างโง่เขลาสิ้นดี ที่เผลอใจหลงรัก เฝ้าฝันในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงได้เลย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×