ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #53 : บทที่ 52 ระหว่างทางสู่รีมัส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      0
      20 ก.ค. 51

                    หุบเขาแห่งหนึ่งในอาณาจักรไลบราลิค ชายคนหนึ่งนอนพังพาบ ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้า พลางนึกทบทวนเหตุการณ์

                    ก่อนหน้านี้ เขากำลังเดินทางไปตามเส้นทางน้อยบนเทือกเขาเคเบลอส อันเป็นเส้นทางอันตรายที่ไม่ค่อยมีผู้คนใช้มัน แต่ตัวเขาเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงด่านตามตัวเมือง จึงได้ยอมเสี่ยงใช้เส้นทางนี้

                    แม้การกระทบกระเทือนจะทำให้เขานึกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ออก แต่บาดแผลตามเนื้อตัวก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเขาคงจะเพิ่งประสบอุบัติเหตุ ถึงได้มานอนอยู่แบบนี้

                    ชายหนุ่มพยายามยันกายลุกขึ้น แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ทว่าเมื่อมองจากความสูงที่น่าจะตกลงมา ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ทีเดียว ที่เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเท่านี้

                    เขาค่อยๆนึกออกทีละน้อย ว่าเหตุอันใดจึงได้พลาดท่าตกลงมา จำได้ว่าระหว่างการเดินทางที่เสี่ยงอันตราย ตนเองกลับนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผิดหวังและเสียใจ จู่ๆชื่อของสถานที่หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว ฟอร์ทอังเคิล ดูเหมือนเหตุการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นที่นั่น เพียงแต่ตัวเขาจำรายละเอียดไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขาวอกแวก และพลาดตกลงมา

                    ฟ้าที่เริ่มมืด ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบพาร่างอันบอบช้ำไปให้พ้นจากก้นหุบเขา การอยู่ในสภาพบาดเจ็บเพียงลำพังในป่าลึกยามค่ำคืนไม่ใช่เรื่องดี

                    ขณะที่เขากำลังพยายามจะลุกขึ้นอยู่นั้น เสียงอันชวนให้หวั่นวิตก ก็แว่วลอยมาแต่ไกล

                    โบร๋วว

                    เสียงของหมาป่าตัวหนึ่งดังขึ้น ไม่ช้าก็มีเสียงของตัวอื่นๆขานรับ ชายผู้นั้นเริ่มรู้ว่าคงไม่สามารถพาร่างไปให้พ้นจากที่นั่นได้ทันการณ์ เขาจึงเริ่มเหลียวมองหาอาวุธที่จะใช้ป้องกันตัว และพบธนูคันหนึ่ง ทว่ามันก็แตกหักยับเยินสิ้น

                    ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ากำลังถูกดวงตานับสิบคู่จ้องมอง หูแว่วยินเสียงคำรามและการเคลื่อนไหวไปรอบๆ ตอนนี้ชายหนุ่มจึงเริ่มควานมือเปะปะ เพื่อจะหาแท่งไม้หรืออะไรสักอย่างไว้ป้องกันตัว โดยไม่กล้าจะละสายตาไปจากทิศทางที่ได้ยินเสียง ขณะที่ความหวังริบหรี่ลงเต็มที พลันเสียงร้องจากพวกหมาป่าก็ดังขึ้นอีกครา แต่หนนี้เป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

                    เอ๋ง!” หมาป่าตัวหนึ่งร้องลั่น ไม่ช้าก็มีอีกตัวร้องเช่นเดียวกัน กระทั่งรู้สึกได้ว่าพวกมันต่างพากันล่าถอยในที่สุด

                    ท่านพ่อ ข้าจัดการได้ห้าตัว พ่อล่ะได้กี่ตัว? เสียงหนึ่งดังขึ้น ฟังแล้วออกจะแหลมเล็ก ทว่าแยกไม่ออกว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย

                    สองตัวเท่านั้นเอง อีกเสียงหนึ่งซึ่งฟังดูอ่อนล้า แก่ชรากว่า ร้องตอบ นี่คงจะเป็นคนที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อ

                    วันนี้โชคดีเสียจริง ได้หมาป่ามาหลายตัวเชียว เอ... ดูเหมือนว่าจะมีคนตกเขาอีกแล้วกระมัง พวกหมาป่าถึงมารอรุมทึ้งแบบนี้

                    ท่านพ่อ เข้าไปดูกันเถอะ เผื่อจะมีของมีค่าอะไรติดตัวบ้าง เสียงที่อ่อนเยาว์กว่าตะโกนบอก ถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากบาดแผล ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกกลไกการป้องกันของร่างกายข่มไว้ เนื่องจากความตื่นกลัว ความเจ็บปวดนั้นมากมายนัก เพียงชั่วแล่นก็ทำให้เขาถึงกับสลบ ก่อนจะทันได้เห็นหน้าผู้ที่มาช่วยชีวิต

     

                    ในห้วงเวลาที่สลบไสลอยู่นั้น ชายหนุ่มกำลังฝัน ซึ่งสถานการณ์ไม่แตกต่างช่วงก่อนที่จะสลบนัก เขานอนอยู่อย่างเดียวดายในความมืด ความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชินอย่างยิ่ง แม้ในเวลาที่แวดล้อมด้วยผู้คน เขาก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว อาจเป็นเพราะผู้คนเหล่านั้นไร้ความจริงใจ หรือเป็นเพราะเขาเองได้สร้างกำแพงขึ้นมาจากความหวาดระแวง

                    ในความมืดมิดที่เดียวดายนั้น ตัวเขาหิวโหยและอ่อนแรง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว กระทั่งหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา ราวกับมีแสงสว่างนวลเปล่งออกมาจากร่างของหญิงคนนั้น เพียงเธอมองมาก็ช่วยให้ชายหนุ่มหายจากความเหน็บหนาว ความหิวโหย และความอ่อนแรง แม้กระทั่งความโดดเดี่ยวที่เขาคุ้นชิน

                    มืออันบอบบางของหญิงสาว ลูบไปยังศีรษะของชายผู้โดดเดี่ยวเพื่อปลอบประโลม เธอก้มหน้าลงมาใกล้ ทำให้ชายหนุ่มเห็นหน้าได้ถนัด เขาเอ่ยปากร้องเรียกชื่อเธอ

                    ลูนาร์

                    เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็ลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน ภาพแรกที่เขาเห็น คือใบหน้าของเด็กสาว หรืออาจจะเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาออกจะหวานไปสักหน่อย อยู่ห่างจากใบหน้าของเขาไปไม่กี่นิ้ว ดวงตาสีเงินกลมโต จับจ้องมาอย่างไม่วางตา เมื่อเห็นว่าชายที่สลบฟื้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฝ่ายที่มัวจ้องมองก็ถึงกับหน้าแดงด้วยความตกใจ

                    เจ้า... เป็นใครกันหรือ? ชายที่บาดเจ็บเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่เนิ่นนาน

                    อ๋า เอ๋อ เอ้อ ข้ากับพ่อเป็นคนช่วยท่านมาน่ะ อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อนึกขึ้นได้จึงผละใบหน้าออกห่างจากชายหนุ่ม

                    ขอบใจที่กรุณาช่วยข้า เอ่อ... เจ้าชื่ออะไรกันหรือ? ชายที่บาดเจ็บเอ่ยพลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ เด็กที่ช่วยเขาไว้ อายุคงราว ๆ 12-13 ปี ด้วยอายุในวัยนี้ทำให้แยกเพศได้ลำบาก หากมองแต่เพียงภายนอก โดยเฉพาะผมสีเงินดูแปลกตาของเด็กคนนี้ ได้ถูกตัดสั้นแบบเด็กผู้ชายทั่วไป กระนั้นใบหน้าที่หวานและริมฝีปากแดงสดก็ชวนให้คิดว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิง

                    ข้าชื่อไดอา นี่จะจ้องแบบนี้อีกนานไหม? อีกฝ่ายตอบ พร้อมกับเอ็ดเข้าเพราะไม่พอใจ ที่โดนจ้องจนหน้าแดง

                    เอ่อ ขอโทษด้วย แต่เมื่อกี้เจ้าก็เอาแต่จ้องข้าไม่ใช่หรือ ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แสดงถึงการล้อเล่น แต่ไม่วายที่อีกฝ่ายจะพาลโมโห

                    เมื่อไหร่กัน!” ไดอาแย้ง ใบหน้ายิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก

                    ตอนที่ข้าสลบไง นี่ไม่รู้ว่าโดนจ้องไปแค่ไหน ข้ามองคืนแค่นี้คงไม่โกรธหรอกนะ ชายหนุ่มยอกย้อน

                    เออ ไม่มองก็ได้ อย่ามามองข้าก็แล้วกัน ไหนๆก็ฟื้นแล้ว เช็ดเนื้อเช็ดตัวไปเองสิ ไดอาทำท่ากระฟัดกระเฟียด แต่ก่อนจะเดินหนีไปก็ถูกชายหนุ่มยุดข้อมือไว้

                    เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน เขาพยายามรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เด็กน้อยยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ พยายามสะบัดมือให้พ้นจากการยึดกุม

                    ระหว่างที่ทั้งสองมัวยื้อยุดกันอยู่นั้น พลันประตูกระท่อมก็เปิดออกดังปัง พร้อมกันนั้น ร่างของชายวัยกลางคน ร่างกายสูงใหญ่ หน้าตาดุดัน ไว้หนวดเครารุงรัง ชุดของเขามีเลือดเกรอะกรัง มือถือมีดเล่มยาว ก้าวเข้ามาในห้อง ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มจึงค่อยๆปล่อยมือไดอา

                    อ้อ ฟื้นแล้วหรือ ชายวัยกลางคนทักทาย

                    ข้าชื่อแดน ส่วนลูกข้าชื่อไดอา คงจะทำความรู้จักกันแล้วสินะ เขากล่าวต่อไป พร้อมกับจ้องเขม็งไปยังชายที่บาดเจ็บ

                    ขอบคุณพวกท่านทั้งสองมาก ชายหนุ่มตอบ

                    ไม่เป็นไร ที่นี่นานๆทีก็มีคนพลัดตกจากภูเขาลงมาแบบท่านนี่ล่ะ แต่ส่วนใหญ่จะไม่โชคดี บางคนช่วยไว้ได้ไม่เท่าไหร่ก็ตาย เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว พักหลังเราเลยเลือกช่วยเฉพาะที่ดูแล้วน่าจะรอดเท่านั้น เอาล่ะ ไหนๆข้าก็ช่วยท่านมาแล้ว นี่ไม่คิดจะแนะนำตัวบ้างเลยรึ

                    ขอโทษด้วย ข้า... เอ่อ... ชายหนุ่มทำท่าว่าจะแนะนำตัว แต่แล้วกลับนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าวต่อข้าชื่อ ฟิลลิป

                    ฟิล ข้าเรียกแบบนี้แล้วกันนะ อาการของท่านนับว่าดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยช่วยมา อีกสักสาม สี่วันก็น่าจะหายดี ว่าแต่... ทำไมถึงเลือกใช้เส้นทางที่อันตรายแบบนั้นกันนะ ท่านคิดจะไปที่ไหนกันหรือ? แดนถามต่อไป

                    ข้า... ฟิลลิปนิ่งไปอีกครั้ง พยายามนึกทบทวน ว่าตนตั้งใจจะเดินทางไปที่ใดกันแน่

                    อะไรกัน พูดจาอ้ำๆอึ้งๆอยู่เรื่อย แดนเอ็ดด้วยความรำคาญ

                    พ่อนี่ล่ะก็ เขาเพิ่งจะฟื้น อย่าเพิ่งถามเซ้าซี้สิ ไดอาแก้ตัวแทน เมื่อได้ยินดังนั้น แดนจึงตัดบทเสีย

                    เอาเถอะ อีกสาม สี่วัน ข้าจะเอาหนังหมาป่าเข้าไปขายในเมืองพอดี เอาเป็นว่าจะส่งท่านให้ทางการก็แล้วกัน กล่าวจบชายวัยกลางคนก็เดินออกจากระท่อมไป ขณะที่ไดอากำลังจะหยิบผ้าที่อยู่ในถังน้ำมาเช็ดตัวให้ฟิลลิป แต่แล้วก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก

                    ไดอา เจ้าหนุ่มนั่นฟื้นแล้วก็ให้มันดูแลตัวเองไป เจ้ามาช่วยพ่อขึงหนังนี่

                    เพียงเท่านั้น เด็กน้อยจึงต้องรีบวิ่งออกไปก่อนจะถูกดุ ทิ้งให้ฟิลลิปอยู่ตามลำพัง

     

                    ฟิลลิปใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการพักรักษาตัว ก็พอจะเดินเหินไปไหนด้วยอาการโขยกได้ ส่วนหนึ่งเพราะยาดีที่แดนมีติดบ้านไว้ เผื่อเวลาที่บาดเจ็บ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะ

                    ในช่วงที่ไปไหนมาไหนไม่คล่องแคล่ว ทำให้ชายหนุ่มได้ใช้เวลาครุ่นคิดเงียบๆเพียงลำพัง แต่ก็มักจะถูกขัดจังหวะอยู่บ่อยครั้ง

                    ไดอามักจะมาคอยเฝ้าดูอาการของฟิลลิปด้วยความสนใจ หรืออาจมองได้อีกแง่หนึ่งว่าเขาเป็นของเล่นแก้เบื่อของเด็กน้อยเสียมากกว่า เพราะการแยกตัวมาอาศัยในป่ากันลำพังสองพ่อลูก คงจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็ก ฉะนั้นเมื่อมีคู่สนทนาที่ไม่อาจลุกหนีไปไหนง่ายๆ จึงนับเป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับไดอา

                ลูนาร์นี่คือใครกันหรือ? เด็กน้อยถามขึ้นในวันหนึ่ง

                    ฟิลลิปหันมามองดวงตาใสแป๋วของอีกฝ่าย ที่เหมือนกับเป็นการบังคับให้ต้องตอบคำถาม

                เอ่อ... ข้าเองก็จำไม่ได้ ทำไมหรือ?

                ก็ท่านละเมอขึ้นมา แสดงว่าจะต้องสำคัญทีเดียว แล้วน่าจะเป็นคนหรือว่าสัตว์เลี้ยงล่ะ? เด็กน้อยถามต่อไป

                เอ่อ... ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันชายหนุ่มตอบ

                งั้นอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้นะ เพราะว่าเมื่อก่อนข้าก็เคยเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง มันเป็นลูกหมาสีขาวหน้าตาน่ารักทีเดียว ข้าเลยตั้งชื่อมันว่าสโนว์ ตอนที่มันตายข้าก็เสียใจมากๆเลย เห็นพ่อบอกว่าข้าละเมอเรียกชื่อมันด้วยล่ะ เด็กน้อยเจื้อยแจ้วต่อไปไม่หยุด ขณะที่คู่สนทนาได้แต่นั่งฟังทำตาปริบๆเท่านั้น กระทั่งพักหนึ่ง ไดอาก็หันมาจ้องมองชายหนุ่มและถามด้วยความสงสัย

                นี่... ท่านเป็นผู้ชายจริงๆน่ะเหรอ?

                    ฟิลลิปนิ่งอึ้งไม่ได้ตอบอะไรออกไป เด็กน้อยจึงถอนหายใจแล้วพูดต่อ

                เฮ้อ ทีแรกข้าก็อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าจะได้แม่ใหม่ ก็หน้าตาท่านน่ะ เหมือนผู้หญิงจริงๆนา นี่ถ้าไม่ถอดเสื้อผ้าตอนทำแผล รับรองว่าดูไม่ออกหรอก

                    คำพูดของไดอาทำเอาฟิลลิปหน้าแดง กระชับเสื้อผ้าแนบชิดกายโดยไม่รู้ตัว

                ข้าเองไม่เคยเห็นหน้าแม่หรอก พ่อบอกว่าแม่ข้าเสียไปตั้งแต่ยังเด็ก ข้าเลยไม่รู้ว่าการมีแม่นี่มันเป็นยังไงกันแน่ แววตาของเด็กน้อย เศร้าหมองลงไปชั่วขณะ ฟิลลิปสะท้านใจขึ้นมา คล้ายกับนึกถึงเรื่องของตัวเอง ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปลอบโยน ไดอาก็พูดขึ้นต่อ

                ที่จริงข้าก็ไม่ได้คิดว่าการอยู่กับพ่อแค่สองคนจะแย่นักหรอกนะ แต่ว่า... อีกไม่นานพ่อคงเลี้ยงข้าไม่ไหว เห็นว่าอีกปีสองปีก็คงจะให้ข้าแต่งงาน แต่ก็อย่างที่ท่านเห็น ครอบครัวของเราค่อนข้างยากจน คงหาผู้ชายดีๆได้ยาก...

                    คำพูดของไดอา ทำให้ฟิลลิปนิ่งขึงด้วยความประหลาดใจ พูดตะกุกตะกักออกมา

                จ... เจ้า... เป็น... ผู้หญิง?

                ก็ใช่สิ เอ๊ะ ทำไมกัน อีกฝ่ายย้อนเข้าให้ด้วยความโมโห

                ฮะฮะฮะ เปล่าดอก แค่เห็นเจ้าตัดผมสั้น กับกิริยาท่าทางแบบนั้น ข้าเลยพลอยเข้าใจผิด ชายหนุ่มพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน แต่กลับยิ่งทำให้เด็กน้อยโมโห

                จะบอกว่าข้ากระโดกกระเดกล่ะสิ ผมนี่พ่อข้าคอยตัดให้สั้น เพราะว่ามันดูแลง่ายต่างหากล่ะ

                เถอะน่า เจ้าเองก็ยังเข้าใจว่าข้าเป็นผู้หญิง ถือว่าเสมอกันนะ ฟิลลิปแก้ตัว

                ถึงยังไงข้าก็ดูแลงานบ้านงานเรือนเก่งล่ะน่า ต้องมีผู้ชายที่อยากได้ข้าไปเป็นภรรยาบ้างหรอก เด็กสาวบ่นอุบอิบ ฟิลลิปเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ ทว่าคำที่จะพูดกลับพูดไม่ออก คล้ายกับว่ามีสิ่งใดค้างคาใจขัดขวางเอาไว้ กระนั้นเด็กสาวก็หน้าแดงขึ้นมาทันใด แต่ก็ยังไม่วายพูดดักคอไว้

                อย่ามาเกาะแกะเชียว ท่านน่ะจนจะตาย ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีสมบัติสักชิ้น พ่อไม่ยกข้าให้หรอก ถึงจะกล่าวเช่นนั้น เธอก็ยังไม่ยอมดึงมือกลับ

                อย่าเพิ่งตัดรอนซี่ ข้าร่ำรวยกว่าที่เจ้าคิดนะ ชายหนุ่มรุกคืบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้แข็งขืนก็ยิ่งได้ใจ คว้าเอามือน้อยๆประทับไว้ที่แก้มตน

                    ทันใดนั้นเอง เด็กสาวคล้ายรู้สึกสำเหนียกบางอย่าง จึงสะดุ้งขึ้นแล้ววิ่งไปทางประตู โดยคว้าเอาคันธนูและลูกศรติดตัวไปด้วย

                    ด้วยความสงสัย ฟิลลิปจึงตามออกไปด้วยความลำบาก เพราะขาที่ยังไม่หายดี

     

                    ที่ด้านนอก ป่าทั้งป่าเงียบสงบจนน่าประหลาด ไดอารีบวิ่งไปเก็บหนังหมาป่าที่ตากไว้ ทว่าก็ช้าเกินไป เพราะบัดนี้ที่แนวป่าได้มีหมีดำตัวหนึ่ง ค่อยๆเยื้องย่างตรงมายังราวที่ตากหนังหมาป่าไว้

                    เมื่อเห็นว่าคงเก็บหนังที่ตากไว้ไม่ทัน ไดอาจึงหยุดอยู่กับที่ ย่อตัวลงต่ำแล้วคว้าลูกธนูขึ้นพาดสาย ก่อนจะยิงใส่หมีตัวนั้น

                    แม้จะอายุยังน้อย แต่การจู่โจมของไดอาก็เด็ดขาดและแม่นยำ ลูกธนูที่ถูกยิงออกมาพุ่งเข้าปักที่ซอกคอของหมีตัวนั้น ทว่ากำลังแขนของเด็กสาวยังไม่พอจะง้างคันศร ให้ส่งลูกธนูทะลุหนังและไขมันของสัตว์ร้าย จึงไม่อาจไล่เจ้าหมีไปได้ ซ้ำร้ายมันกลับร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะปรี่เข้าใส่คนที่ทำร้าย

                    เด็กสาวยังไม่ถอดใจโดยง่าย เธอยิงธนูเข้าขัดขวางสัตว์ร้ายอีกสองดอก แต่เป้าที่เคลื่อนที่และความลนลาน ทำให้กระสุนพลาดเป้าสำคัญไป ยิ่งสัตว์ร้ายใกล้เข้ามา เด็กสาวก็ยิ่งหวั่นเกรงความตาย ทันใดนั้นก็มีมือที่แข็งแรงกว่ามาแย่งยึดอาวุธในมือของเธอไป แล้วง้างคันธนูสังหารสัตว์ร้ายภายในดอกเดียว

                    ร่างของเจ้าสัตว์ร้ายล้มลงไถลไปตามแรง จนมาหยุดแทบเท้าไดอา เด็กสาวเซหลบด้วยความตกใจกลัว จนเสียหลักมาพิงเข้ากับอกของชายที่เป็นผู้สังหารเจ้าสัตว์ร้าย ซึ่งยังบาดเจ็บจึงยืนได้ไม่ดีนัก ทำให้เสียหลักล้มลงตามกัน

                    ทั้งสองต่างนอนนิ่งแทบไม่ได้ไหวติงใดๆ เด็กสาวยังคงมีแววตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ กับการที่เกือบเผชิญหน้ากับมัจจุราชมาหยกๆ บรรยากาศโดยรอบที่เงียบสงัด ทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวได้ชัดเจน

                    ไดอาหอบหายใจแรงด้วยความตื่นเต้น แต่พักหนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นหายใจกระชั้นและเริ่มหัวเราะคิกคัก สาเหตุเพราะฟิลลิปได้ถือโอกาสล้อเล่นกับเรือนร่างของเธอ การถูกปลายจมูกของชายหนุ่มซุกไซร้ที่ต้นคอ ทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้ จนเมื่อครองสติได้ เด็กน้อยจึงสะบัดกายลุกหนี

                ทำอะไรของท่าน นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นจั๊กจี้สักหน่อย ไดอาสะบัดเสียงใส่

                ก็แล้วเจ้าชอบหรือเปล่าล่ะ ชายหนุ่มทำเสียงหวาน อมยิ้มด้วยความพอใจที่ได้ล้อเล่นกับเด็กสาว

                ไม่รู้ไม่ชี้ ไดอาทำท่ากระเง้ากระงอด เธอหันไปให้ความสนใจกับซากของเจ้าหมีที่เพิ่งตาย เมินเฉยต่อฟิลลิปที่ยกมือค้างไว้ หวังจะให้อีกฝ่ายช่วยฉุดให้ลุกขึ้น

                นี่ข้าบาดเจ็บอยู่นะ ชายหนุ่มโอดครวญ

                เมื่อกี้ไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลยนี่นา เด็กสาวยังคงไม่สนใจ ชายหนุ่มจึงต้องพยุงกายลุกเองในที่สุด

                ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ๆ ฟิลลิปบ่นอุบอิบ ทว่าอีกฝ่ายกลับแสร้างทำเป็นไม่ได้ยิน

                โอ้โห ลูกธนูลึกเข้าไปตั้งเกือบฟุต เด็กสาวอุทาน หลังจากได้ดึงลูกธนูที่ปักลึกเข้าไปทางเบ้าตาของเจ้าหมีผู้เคราะห์ร้าย ท่านทำได้ไงนี่ ฆ่ามันด้วยธนูแค่ดอกเดียวเอง เธอกล่าวต่อด้วยความอัศจรรย์ใจ

                ก็แค่ต้องฝึก... น้ำเสียงของฟิลลิปนิ่งขึงขึ้นมาทันใด

                ถ้าอย่างนั้นท่านก็น่าจะสอนข้าได้ เด็กสาวทำท่าออดอ้อน แต่ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอันใด เธอจึงหันไปสนใจซากหมีตัวนั้นอีกครั้งด้วยความไม่สบอารมณ์

                เอาเถอะ มาช่วยกันจัดการซากเจ้านี่ก่อนดีกว่า ขืนทิ้งไว้เป็นได้เชื้อเชิญสัตว์อื่นมาแน่ เธอกล่าวพร้อมกับยื่นมีดเล่มหนึ่งมาให้ แล้วทั้งสองก็ช่วยกันแล่หนังและเนื้อของหมีตัวนั้นจนเรียบร้อย

     

                    เย็นวันนั้น เมื่อแดนกลับจากการล่าสัตว์ก็ต้องประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งก็นับเป็นเรื่องดี ที่จะมีสินค้าไปขายในเมืองมากขึ้น แต่มิวายที่ไดอาจะถูกดุ เพราะแดนรู้ดีว่าเธอมัวเอาเวลาไปคุยเล่นกับฟิลลิป ไม่ยอมดูแลหนังหมาป่าที่ตากไว้ ทำให้เกิดเรื่องในที่สุด

                    แดนได้แบ่งเนื้อหมีมาปรุงเป็นมื้อเย็น ซึ่งมากราวกับงานเลี้ยงฉลอง และนำเหล้าที่เก็บไว้มาดื่มกิน ไดอาได้รับอนุญาตให้ดื่มเหล้าเป็นครั้งแรก ซึ่งแค่เพียงไม่กี่อึกเธอก็ถึงกับเมาหลับ จึงเหลือแค่ฟิลลิปและแดนที่ยังนั่งดื่มกินกันอยู่

     

                ไม่นึกมาก่อน ว่าท่านจะมีฝีมือยิงธนูเก่งกาจขนาดนี้ ชายวัยกลางคนเอ่ยชม ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น

                อย่าหาว่าข้าก้าวก่ายเลยนะ ไม่ว่าจะด้วยผิวพรรณหน้าตา หรือว่าฝีมือในการยิงธนู ดูอย่างไรท่านก็ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ทำไมถึงมาที่นี่ตามลำพังได้ แดนตั้งข้อสงสัย

                ข้า... ฟิลลิปเว้นช่วงอยู่นาน สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิดเรื่องนั้น... ข้าเองก็จำไม่ได้...

                ...ช่างเถอะ นั่นมันเรื่องส่วนตัวของท่านนี่นะ อย่าหาเรื่องลำบากมาให้พวกเราสองพ่อลูกเป็นพอ แดนไม่ต้องการจะคาดคั้นอีก เขากระดกแก้วเหล้าอีกครั้ง ซึ่งจะผ่านไปกี่แก้วแล้วก็ไม่อาจจะนับได้ แต่ใบหน้าที่ออกท้วมก็เริ่มจะเจือสีขึ้นบ้าง ขณะที่ฟิลลิปยังคงดื่มแต่น้อย สีหน้าจึงยังปกติดีอยู่

     

                    ต่างฝ่ายต่างนั่งกินกันโดยที่แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกัน บรรยากาศเป็นไปอย่างน่าอึดอัด กระทั่งไดอาที่หลับไปแล้ว นอนพลิกตัวจนผ้าห่มเลิกลงมา ผู้เป็นบิดาจึงเดินเข้าไปจัดแจงให้ใหม่

                    แดนเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น ดูเหมือนลูกข้าจะติดท่านมากทีเดียวเขาเว้นจังหวะเพื่อกระดกเหล้าเข้าคอ ก่อนจะกล่าวต่อไป เรื่องที่จะต้องหาคู่ครอง ไม่รู้ว่าลูกข้าได้บอกท่านไปหรือยัง

                    ฟิลลิปฟังแล้วก็พยักหน้ารับเบา ๆ

                อันที่จริง การเข้าไปในเมืองครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เรื่องที่ข้าได้นัดแนะดูตัวให้กับลูกข้านี่แหล่ะ ฝ่ายชายเองแม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็สมฐานะกันดีแล้ว แดนหยุดพูดไปชั่วขณะ เพื่อเติมเหล้าให้เต็มแก้ว ขณะที่ฟิลลิปก้มหน้านิ่ง

                คนป่าคนดอยอย่างข้า ไม่ชอบพูดอะไรอ้อมค้อม ที่ข้าช่วยชีวิตท่านก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่ถ้ามีสิ่งที่ท่านจะช่วยข้าได้แล้วล่ะก็ ข้าขอให้ท่านอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวข้ามากไปกว่านี้ ข้าไม่ได้รังเกียจที่ท่านไร้ทรัพย์ ตรงกันข้าม ข้ากลับรู้สึกว่าท่านไม่น่าจะเป็นนักเดินทางธรรมดา เฮ้อ... ข้ามีลูกสาวเพียงคนเดียว ก็หวังจะให้นางมีความสุขตามอัตภาพ อะไรที่เกินกว่าฐานะตัวนั้น รังแต่จะมีเรื่องทุกข์ใจตามมาด้วย อีกอย่าง ข้าไม่อยากให้นางเป็นเพียงเครื่องมือรองรับความผิดหวังของใคร ไม่รู้สินะ... ข้าแค่รู้สึกว่าท่านไม่ได้จริงใจกับนาง พูดจบ ชายวัยกลางคนก็ดื่มเหล้าทีเดียวจนหมดแก้ว แล้วกล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนจะล้มตัวลงบนที่นอนของตน เพียงครู่เดียวก็หลับสนิท ทิ้งคู่สนทนาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีโอกาสโต้แย้งแต่อย่างใด

     

                    ฟิลลิปดับไฟแล้วนอนลงยังที่ซึ่งสองพ่อลูกจัดไว้ให้ เพียงแต่เขายังไม่หลับ หากมัวครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งเรื่องที่แดนได้พูดทิ้งท้ายไว้

                    ขณะเดียวกัน แดนเองก็ยังไม่ได้หลับสนิท เขาเพียงปิดตาลง แต่หูยังคงฟังเสียงรอบกายได้ชัดเจน

                    พักหนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ได้ยินเสียงคนลุกจากที่นอน เก็บข้าวของ และเดินไปมาด้วยความลังเลใจ จนในที่สุดก็มีเสียงเปิดและปิดประตู แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบ

                    แดนลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง ชำเลืองไปยังที่นอนที่ว่างเปล่า แล้วเหลียวไปมองบุตรสาวซึ่งยังคงหลับสนิท

                นี่คงจะดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่เขาเปรยออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับไปจนถึงรุ่งเช้า

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×