ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #51 : บทที่ 50 สตรีศักดิ์สิทธิ์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 190
      0
      12 มิ.ย. 51

                    ราชามนุษย์เอ๋ย ท่านจะยอมถอดใจแล้วหรือ? น้ำเสียงอันทรงอำนาจ ทั้งตั้งคำถาม และตำหนิต่อโจเอล ทำให้ชายหนุ่มวัยสิบแปดต้องหยัดกายยืนขึ้น ละทิ้งความเหนื่อยอ่อนไว้เบื้องหลัง

                    ท่านอาราริค โจเอลเอ่ยนามของชายที่ปรากฏกายอย่างลึกลับราวปาฏิหาริย์ ซึ่งฝ่ายที่ถูกเรียกก็ยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี

                    เราทั้งสองคงมีเรื่องให้คุยกันพอควรทีเดียว แต่ตอนนี้เห็นทีจะต้องจัดการเรื่องวุ่นๆเสียก่อน อาราริคกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่กลุ่มคนกำลังมุ่งตรงเข้ามาทำร้าย ทว่าอาราริคเพียงสะบัดมือเบาๆ ฝูงชนเหล่านั้นก็ล้มระเนระนาดเป็นวงกว้าง ราวกับถูกผลักด้วยอำนาจอันรุนแรง

                ท่านเองคงจะเหนื่อยล้ามากแล้ว หาที่นั่งพักสักหน่อยน่าจะดี ชายร่างสูงโปร่งเอ่ย โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ อาราริคก็อุ้มร่างของโจเอลไว้ แล้วกระโดดสูงขึ้นไปยังท้องฟ้าซึ่งมีเพดานหินปิดกั้นไว้

                    โจเอลหลับตาแน่น คิดว่าคงจะชนเข้ากับพื้นหรือเพดานที่ว่านั่นแล้ว แต่ก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกเขากลับมาปรากฏยังอีกสถานที่หนึ่งแทน คล้ายกับว่าเพิ่งจะทะลุแผ่นพื้นเมื่อสักครู่มา

                    เท้าของทั้งคู่ได้เหยียบลงบนพื้น(?) อีกครั้ง ในสถานที่ซึ่งแปลกประหลาดไม่ต่างจากที่พวกเขาเพิ่งจากมา เพียงแต่ให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า และสวยงามมากกว่า

                    บริเวณรอบๆมีหมอกจางๆลอยทั่วไปหมด ทำให้เห็นภาพรอบกายพร่าเลือน ราวกับที่นี่เป็นโลกในความฝัน นอกจากหมอกแล้ว ยังมีเสาต้นใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งสูงตระหง่านจนมองไม่เห็นยอด เสาแต่ละต้นดูเหมือนจะได้รับการแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม เพียงแต่โจเอลมีเรื่องอื่นควรแก่การสงสัยมากกว่าจะมัวใส่ใจกับความสวยงามเบื้องหน้า

                    ท่านอาราริค ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร แล้ว... ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่? ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลถามขึ้นทันทีที่ตั้งสติได้

                    เอ้า! ใจเย็นสิ ว่ากันไปทีละข้อก็แล้วกันนะ ข้อแรก สถานที่ซึ่งพวกเราเพิ่งจากมานั้น คือโลกหลังความตาย... อาราริคตอบ เมื่อได้ฟังเช่นนั้น โจเอลก็ถึงกับนิ่งขึง ทำหน้าบอกอารมณ์ไม่ถูก บ่นพึมพำกับตัวเอง

                    นะ... นี่ข้าตายไปแล้วหรือ...

                    อาราริคเลิกคิ้ว ถอนหายใจขึ้นหน่อยหนึ่ง ก่อนจะกล่าว ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ที่จริงควรจะเรียกว่าดินแดนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตายเสียมากกว่า ถ้าจะพูดถึงสภาพของท่านในตอนนี้ ก็คงต้องอธิบายแบบนั้นล่ะนะ...

                หมายความว่าอย่างไรกันหรือ? โจเอลถามขึ้นด้วยความร้อนใจ

                    ก็หมายความว่าท่านยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพน่ะสิ หากว่าไม่ถอดใจไปเสียก่อน อาราริคกล่าวพร้อมยิ้ม

                    แล้ว... คนพวกนั้นเป็นใครกันหรือ? โจเอลถามต่อไป

                    ท่านโจเอล ก่อนที่จะพูดคุยกันต่อไป คงไม่เหมาะนักหากจะมัวยืนอยู่อย่างนี้ กล่าวจบอาราริคก็ปรายมือ เนรมิตเก้าอี้ตัวเล็กๆ หน้าตาเรียบๆขึ้นมาสองตัว

                    แย่จริง ไอ้เรื่องการเนรมิตสิ่งของนี่ ทำไมข้าถึงทำไม่ได้ดั่งใจสักครั้งเลยนะ!” อาราริคบ่นกับตัวเอง น้ำเสียงค่อนข้างจะหงุดหงิดอยู่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะลืมคำถามของโจเอลไปแล้ว

                    ชายผู้สูงวัยกว่าเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งบนเก้าอี้ที่เพิ่งเนรมิตขึ้น ทว่าตนเองกลับมีทำทีลุกลน คล้ายกับว่ามีเรื่องใดรบกวนใจอยู่ โดยไม่บอกกล่าวอันใดก็ผลุนผลันเดินหายไป ทิ้งให้โจเอลนั่งอยู่ลำพังด้วยความงุนงง

     

                    ท่ามกลางฟากฟ้าที่ดูบิดเบี้ยวแปลกประหลาด อาราริคที่จากมาโดยไม่ล่ำลา ได้พุ่งทะยานผ่านบรรยากาศด้วยความเร็ว ทั้งนี้ก็เพื่อจะจัดการกับเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจ

                    เจ้าพวกวิญญาณเร่ร่อนน่ารำคาญ...อาราริคบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลงถึงพื้นดิน ร่างของชายวัยสี่สิบก็ถูกอาบไปด้วยแสงสว่าง เมื่อแสงจางลง ร่างนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นมังกรขนาดมหึมา บนศีรษะมีเขาทั้งสิ้นหกเขา ร่างมหึมาของพญามังกรลงถึงพื้นเสียงดังสนั่น ทำให้ฝุ่นทรายลอยฟุ้งเต็มไปหมด

                    ครั้นฝุ่นจางลง ร่างของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา

                    วันนี้นับว่าพวกเจ้าโชคดี ข้าจะมาช่วยให้พวกเจ้าได้ไปผุดไปเกิดสักที พญามังกรกล่าวด้วยเสียงกังวาน สิ้นคำ เปลวไฟรุนแรงก็ถูกพ่นใส่ฝูงชนจนลุกไหม้สลายไปนับร้อยในคราเดียว

     

                    โจเอลนั่งอยู่ผู้เดียวในสถานที่อันสงบและสวยงาม นานๆครั้งก็จะได้ยินครืนครันดังมาจากเบื้องล่าง ทว่าไม่รู้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร

                    หลังจากนั่งรออยู่นานจนดูเหมือนว่าได้ถูกทิ้งไว้ลำพังแน่แท้แล้ว โจเอลจึงตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นเดินไปดูภาพสลักบนเสาหินแต่ละต้นเป็นการฆ่าเวลา

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก้าวเดินไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่ใกล้เสาหินเหล่านั้นขึ้นมาเลย ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ ว่าเขากำลังเดินอยู่กับที่หรือเสาเหล่านั้นเป็นเพียงภาพมายากันแน่?

                    โจเอลลองวิ่งดู เผื่อว่าจะเข้าใกล้เสาหินพวกนั้นขึ้นมา แต่การณ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม พักหนึ่งเขาก็แว่วยินเสียงเรียกดังมา จึงลองเดินไปยังทิศทางนั้น

                    องค์จักรพรรดิ เสียงเรียกชัดเจนขึ้น เมื่อโจเอลเดินมาจนพบคนกลุ่มหนึ่งยืนเข้าแถวรอรับเต็มสองข้างทาง ล้วนแต่งกายงดงาม ราวกับเป็นเทวดาและนางฟ้า

                    เมื่อลองมองดูตนเอง โจเอลก็พบว่าเขาได้สวมชุดที่สง่างามภูมิฐานอยู่เช่นกัน โดยไม่รู้เลยว่าได้สวมมันตั้งแต่เมื่อไหร่ 

                    องค์จักรพรรดิ!” เสียงแซ่ซ้องจากผู้คนเหล่านั้นดังขึ้นอีกครา ทั้งชวนเชิญและรุนหลังผลักไสให้ชายหนุ่มก้าวเดินต่อไป

                    องค์จักรพรรดิ! องค์จักรพรรดิ! องค์จักรพรรดิ!”  เสียงร้องเรียกซ้ำๆยังคงดำเนินต่อไป หากน้ำเสียงฟังดูชืดชา ไร้ความจริงใจ กดดันให้โจเอลเดินต่อไป

                    บัดนี้ร่างกายของโจเอลคล้ายไม่อยู่ในการบังคับของตนอีกแล้ว เสียงร้องรอบๆกายทำให้เขาไม่กล้าจะหยุดเดิน หรือแม้แต่จะเหลียวมองไปข้างหลังด้วยซ้ำ คล้ายดังว่าเขาได้แบกรับเอาความคาดหวังของผู้คนเหล่านั้นไว้

                    ในที่สุดเสียงแซ่ซ้องเงียบลง เมื่อโจเอลเดินมาหยุดอยู่หน้าบันไดที่ทอดสูงขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา เมื่อโจเอลทำท่าลังเลที่จะก้าวขึ้นไป ผู้คนรอบข้างก็เริ่มร้องแต่คำเดิม ดังขึ้นและถี่ขึ้น คล้ายบังคับให้เขาต้องก้าวต่อไป

                    ท่านโจเอล กำลังทำอะไรอยู่หรือ? น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นแทบจะทันทีที่เท้าของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลวางลงบนบันไดขั้นแรก

                    ท่านอาราริค โจเอลกล่าวพร้อมเหลียวมองกลับมา น้ำเสียงและสีหน้าแสดงความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองไปรอบๆ บัดนี้กลุ่มคนปริศนาได้หายไปจนหมดแล้ว

                    นี่ข้าเตือนแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้นั่งรอเฉยๆ อย่าได้เที่ยวเดินไปไหน ชายผู้อาวุโสกว่าตำหนิอีกฝ่าย พร้อมกับปัดฝุ่นที่เกาะตามตัว แลดูกระมอมกระแมมออกไป แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีทีท่าว่าจะโต้แย้ง จึงชิงกล่าวขึ้นก่อน

                    เอ๊ะ! หรือข้าไม่ได้เตือนท่านกันนะ? ช่างเถิด ถึงจะสายไปสักหน่อย แต่คงต้องบอกให้รู้ไว้ว่า ที่นี่น่ะ น่ากลัวพอๆกับดินแดนด้านล่างที่ท่านเพิ่งจากมาทีเดียว

                    ที่นี่... คือที่ไหนกันหรือ? โจเอลถามด้วยความสงสัย

                    อ้อ! มันคือสวรรค์ชั้นแรก เรียกว่าอิดิโอ(Ideo) เป็นสวรรค์ที่มนุษย์ที่ยังมีชีวิตบางคนอาจมาถึงได้ แต่กับมังกรชั้นไฮดราก้อนแล้ว ที่นี่ก็เหมือนกับบ้านพักแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงจะถูกจัดให้เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง ทว่ามันก็ค่อนข้างอันตรายสำหรับคนที่หลงมาทั้งๆที่ยังไม่พร้อม เพราะที่นี่น่ะ ไม่ว่าจะคิดอะไรก็จะปรากฏเป็นจริงทั้งหมด เพราะอย่างนี้นี่แหล่ะ เจ้าพวกที่ยังอยากได้นั่นอยากได้นี่ถึงติดอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้กันเป็นส่วนใหญ่ อาราริคอธิบาย ก่อนจะเนรมิตม้านั่งหน้าตาเรียบๆสองตัว และเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง

                    ตกลงแล้ว เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่? ท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยได้ไหม? โจเอลถาม ด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

                    เอ... อันที่จริงข้าก็เพิ่งจะมาถึงไม่นานนี่แหล่ะ เรื่องราวก่อนหน้านั้นจะเป็นอย่างไร ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าตอนนี้ท่านเองอยู่ในสภาพที่จะเรียกว่าตายไปแล้วก็พอได้ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่? อาราริคถามกลับ ทว่าโจเอลกลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร เขากำลังนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพราะเจ้ามือสังหาร...

                    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งอยู่อย่างนั้น อาราริคจึงกล่าวต่อไป

                    เอาเถิด ข้ารู้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มักจะยังยอมรับไม่ได้ เมื่อรู้ว่าตัวเองตาย ฉะนั้นข้าจะยังไม่คาดคั้นท่านก็แล้วกัน ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะของสิ่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงข้าไว้ เกล็ดที่ข้ามอบให้ท่านอย่างไรล่ะ ดูเหมือนว่าจะมีคนใช้สิ่งนั้นอัญเชิญให้ข้ามาคุ้มครองดวงวิญญาณของท่าน โลกเบื้องล่างที่ท่านเพิ่งจะเผชิญมานั้น คือดินแดนระหว่างความเป็นและความตาย เอ๊ะ! ข้าบอกท่านไปแล้วสินะ เอาเถิด ข้าจะขยายความต่อก็แล้วกัน ที่นั่นเป็นที่สำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างความเป็นและตายเช่นท่าน นอกจากนั้นก็ยังเป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณเร่ร่อน พวกผีตายซากที่จะไปนรกหรือสวรรค์ก็ไม่ได้ ให้ตายสิ! เห็นพวกนั้นทีไรก็รู้สึกหงุดหงิดทุกที อาราริคบ่นงึมงำในประโยคสุดท้าย ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก

                    แล้ว... เมื่อสักครู่ท่านไปไหนมากันหรือ? โจเอลเอ่ยด้วยเสียงอันเบา ด้วยไม่แน่ใจว่าสมควรถามหรือไม่

                    อ้อ! ที่จริงก็ไม่มีอะไรลับลมคมในหรอก ข้าแค่ลงไปชำระวิญญาณเจ้าพวกนั้น เปลวไฟจากไฮดราก้อนสามารถส่งวิญญาณพวกนั้นให้ไปยังที่ที่ควรไปได้ พวกเรามักจะทำเช่นนี้เสมอๆเวลาที่มายังโลกแห่งนี้ อาราริคตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่โจเอลกลับรู้สึกไม่ดีนัก เมื่อคิดว่าการทำร้ายคนพวกนั้นกลับถือเป็นเรื่องดีงาม

                    ...ท่านบอกว่าตัวข้าเองยังไม่อาจเรียกว่าคนตายได้เต็มปากนัก... หรือว่ายังมีหนทางที่ข้าจะสามารถฟื้นคืนชีพได้อีก? โจเอลถามต่อไป เมื่อทำใจยอมรับในเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องคิดหาหนทางแก้ไข

                    อ้อ! มีสิ เพียงแต่มันไม่ได้อยู่ในวิสัยที่มังกรหรือไฮดราก้อนจะทำได้ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้รับมาจากผู้สร้างสรรพชีวิต มันถูกเรียกว่า... ความรัก

                    โจเอลฟังคำตอบที่ได้ด้วยความงุนงงสงสัย ความรักจะเกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีวิตในแง่ใดกัน?

                    มันเป็นแค่ถ้อยคำกว้างๆน่ะ อาราริคกล่าวต่อไป ทั้งมนุษย์ มังกร หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ล้วนรู้จักความรักในความหมายที่แตกต่างกัน หากแต่ความรักในความหมายที่แท้จริง ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตนั้น น้อยนักที่จะมีผู้ใดเข้าถึง เฮ้อ! ที่ข้าสรุปเอาว่ามังกรและไฮดราก้อนไม่อาจจะเข้าใจสิ่งนั้นได้ ก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์ของเราติดอยู่ในกับดักที่เรียกว่าอำนาจเสียแล้ว การที่เกิดมามีอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตทุกอย่างทำให้เราเย่อหยิ่ง ไม่อาจเข้าถึงความรักอย่างที่มนุษย์เข้าใจได้ ยิ่งกลายเป็นไฮดราก้อนก็ยิ่งแล้วไปใหญ่... บางที... ความอ่อนแอก็มีข้อดีอยู่บ้าง... น้ำเสียงของอาราริคแฝงไว้ด้วยความเศร้า ทำให้โจเอลอยากปลอบใจ หากแต่ไม่รู้จะทำประการใด ตั้งแต่ได้พูดคุยกับอาราริค เขาก็รู้สึกว่ามังกรไม่ได้มีเพียงภาพลักษณ์ที่น่าหวาดหวั่นเช่นในนิทาน แต่ยังมีแง่มุมอื่นๆทั้งความทุกข์ใจ หรือความเศร้า ไม่ต่างจากมนุษย์ เพียงแค่มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่นนั้นทำไมมังกรถึงไม่สามารถเข้าใจถึงความรักในแบบที่มนุษย์เข้าใจได้กันนะ

                เอ้อ! ยังมีหนทางลัดอีกวิธีหนึ่ง แต่ข้าไม่แน่ใจนักว่าจะทำได้ อาราริคโพล่งขึ้นมา อารมณ์แปรเปลี่ยนเร็วจนโจเอลชักจะตามไม่ทัน

                    หากบินขึ้นไปจนพ้นโลกหลังความตาย ข้าน่าจะนำวิญญาณของท่านกลับสู่โลกที่ท่านอยู่ได้ อาราริคกล่าว โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ชายวัยสี่สิบปลายๆก็กลายร่างเป็นพญามังกร แล้วพาโจเอลบินผ่านหมู่เมฆ สูงขึ้นไปจนราวกับการเดินทางครั้งนี้จะยาวนานไม่รู้จบ

     

                    ข้างฝ่ายบารอนเคอร์เบน นับแต่วันที่หนีจากฟอร์ทอังเคิลก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในปราสาท โดยสั่งทหารให้ตรวจตราแน่นหนา เพราะเข้าใจว่าพวกการ์กอนคงจะรุกไล่มาถึงในเร็ววัน

                    เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ซึ่งอาจจะส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา จึงต้องมีการแต่งละครเพิ่มมาอีกสักบท พร้อมด้วยนักแสดงชุดใหม่ ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อฟีบัสและเฮอร์มจึงได้เดินทางไปยังปราสาทไดมานอน ที่พำนักของบารอนเคอร์เบน

                    บาทหลวงผู้ทรงศีล กับพรานเฒ่าผู้ไร้ศรัทธา ช่างเป็นการจับคู่ที่ประหลาดเสียจริง...

     

                    วัตถุประสงค์ในการเดินทางมาพบบารอนเคอร์เบนของทั้งคู่ ก็เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่า กองทัพการ์กอนได้ถอยกลับไปจากฟอร์ทอังเคิลไปจนหมดแล้ว ทั้งนี้ก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อฟีบัส ที่ได้เทศนาและแสดงอภินิหารจนคนเถื่อนพวกนั้นสำนึกในบาปกรรม กระทั่งยอมถอยกลับดินแดนของตน(แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เฮอร์มและจูเหลียงสุมหัวกันแต่งขึ้น ฉะนั้นพรานเฒ่าจึงมาที่นี่ในฐานะคนเล่าเรื่อง ส่วนบาทหลวงฟีบัสทำหน้าที่เพียงแสดงตัวให้ดูน่าเลื่อมใส กระนั้นท่านบาทหลวงเองก็ยังรู้สึกสำนึกในความผิดของตนในข้อมุสา ทว่าก็จำเป็น เพื่อจะให้เรื่องราวจบลงด้วยดี)

                    บารอนเคอร์เบนแม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าก็ไม่กล้าจะขัดหลวงพ่อฟีบัส หากโต้แย้งออกไปก็จะเท่ากับกล่าวหาว่าท่านผู้ทรงศีลได้มุสา ซึ่งคงไม่เป็นการดี เพราะอำนาจของศาสนจักรเองก็น่าคร้ามเกรงพอๆกับอำนาจของจักรวรรดิ ยิ่งครั้งนี้ เฮอร์มได้แอบปล่อยข่าวลือถึงการรอดชีวิตของตนและคนอื่นๆ รวมถึงการถอนกำลังของพวกการ์กอนว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านบาทหลวง ความเลื่อมใสก็ยิ่งมีมาก การจะแสดงตัวว่าไม่เชื่อในเรื่องที่หลวงพ่อฟีบัสรับรอง จึงออกจะเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดนัก ท่านบารอนจึงต้องยอมรับในเรื่องทั้งหมดที่เล่ามาอย่างไม่เต็มใจนัก(ที่เจ็บใจที่สุด คือการได้รู้ว่าโจเอลยังมีชีวิตอยู่ การตั้งวัซซัลคนใหม่จึงต้องพับไว้ก่อน)

     

                    ที่ฟอร์ทอังเคิล หลังจากภารกิจที่ทำให้หลวงพ่อฟีบัสจำต้องยอมมุสาด้วยความจำเป็นสัมฤทธิ์ผล ทุกอย่างจึงเริ่มเข้าที่เข้าทางตามเดิม เมื่อข่าวลือจากเฮอร์มแพร่กระจายไป บรรดาชาวบ้านที่อพยพหนีไปก่อนหน้านี้ก็ได้ทยอยกลับมาทำไร่นาตามเดิม

                    แม้การอพยพกลับของชาวบ้านจะเหมือนกับเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าอันที่จริงแล้วสำคัญมาก เพราะการเคลื่อนทัพไปตามราชโองการขององค์จักรพรรดิ ทำให้ฟอร์ทอังเคิลแทบตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องสูญเสียชายวัยฉกรรจ์ไปในการรบร่วมครึ่งร้อย ไหนจะเสบียงอาหารและค่าใช้จ่ายต่างๆ ทว่าการแสดงความภักดีในครั้งนี้ กลับไม่ได้รับการตอบแทนแต่อย่างใด นอกจากการได้รับรู้ถึงเนื้อแท้อันชั่วร้ายขององค์จักรพรรดิ!

     

                    ในระยะนี้ จอร์ชรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงคนว่างงานที่ได้แต่เดินไปมาด้วยความกระวนกระวายใจ ไม่มีอะไรที่เขาพอจะหยิบจับเป็นชิ้นเป็นอันได้สักอย่าง การดูแลฟอร์ทอังเคิลตกเป็นหน้าที่ของโมเกอร์ ขณะที่การค้นหาวิธีการรักษาโจเอลก็เป็นหน้าที่ของจูเหลียง

                    แม้ว่าหลังจากที่ใช้พลังอำนาจของเพชรที่อาราริคมอบให้ ในการรักษาร่างของโจเอลให้คงสภาพไว้ โดยที่จูเหลียงไม่ต้องคอยฝังเข็มอีก แต่การอยู่เฉยๆโดยไม่อาจทำอะไรเพื่อช่วยสหายก็ทำให้จอร์ชหงุดหงิดใจมากขึ้นทุกที ขณะที่ลูนาร์ก็ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในโบสถ์ หรือนี่จะทำให้จอร์ชกระวนกระวายมากยิ่งกว่า... เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังทำอะไร หรือคิดอะไรอยู่กันแน่...

                หลังจากทนกระสับกระส่ายอยู่หลายวัน ในที่สุดจอร์ชก็ตัดสินใจลอบเข้าไปในโบสถ์เพื่อจะพบกับลูนาร์ เขาต้องพูดกับเธอ หรือไม่ก็ทนคิดฟุ้งซ่านคนเดียวต่อไป

     

                    ค่ำคืนอันเงียบสงัด แม้จะเป็นเพียงช่วงหัวค่ำ แต่กับบ้านนอกเช่นนี้ หลายคนก็พากันเข้านอนแล้ว ทว่าภายในโบสถ์ประจำหมู่บ้าน หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าก้มหน้าด้วยอาการสำรวม เบื้องหน้าแท่นสวดมนต์ ท่าทางจดจ่อเสียจนไม่รับรู้ถึงชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาจากด้านหลัง

                    ลูนาร์... จอร์ชทักขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่รู้สึกถึงการมาของเขา

                    จอร์ช ท่านมาที่นี่ทำไมกันหรือ? ลูนาร์ถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เธอยังคงอยู่ในอากัปกิริยาเดิม มิได้หันมามองแต่อย่างใด

                    ข้า... เอ่อ... จอร์ชอ้ำอึ้งขึ้นมาทันใด รู้สึกเหมือนถูกตำหนิ ที่เข้ามา ณ ที่แห่งนี้อย่างไม่ถูกกาลเทศะ

                    ...ขอโทษที่ข้ามารบกวน เพียงแต่ข้าไม่เห็นเจ้ามาหลายวัน ก็เลยเป็นห่วง...เขากล่าวออกมาในที่สุด

                    ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง ข้าสบายดี หญิงสาวตอบ

                    ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงเก็บตัวไม่ยอมออกไปไหนเล่า? จอร์ชถามต่อไปด้วยความร้อนรน

                    ลูนาร์ก้มหน้านิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันมา ข้า... กำลังค้นหาวิธีช่วยโจเอลอยู่

                    ด้วยเวทชุบชีวิตน่ะหรือ? จอร์ชเอ่ยออกมาทันใด

                    ลูนาร์มิได้ตอบ ทว่าดวงตาที่นิ่งสงบนั้นคล้ายจะฉายแววสงสัย ว่าเหตุใดจอร์ชจึงรู้เรื่องนี้

                    ...ข้าเองก็กำลังขบคิดถึงสิ่งนั้น... ลูนาร์กล่าวออกมา หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน

                    เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้ากับจูเหลียงเถิด เจ้าอย่าได้ร้อนใจเกินไปนักเลย จอร์ชพยายามโน้มน้าวให้ลูนาร์เปลี่ยนใจ

                    ข้ารู้ว่าท่านเองก็พยายามอยู่เช่นกัน แต่ว่า... จะให้ข้าเอาแต่อยู่เฉยๆนั้นข้าคงทำไม่ได้...เธอปฏิเสธ

                    จอร์ชยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงหวั่นใจต่อการดึงดันของลูนาร์ในครั้งนี้ หรือเพราะว่านี่เป็นการยืนยันว่าเธอรักโจเอลมากเพียงไร

                    เจ้า... เพราะเจ้ารักโจเอลสินะ... จอร์ชเปรย

                    ลูนาร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมา ความรักหรือ ข้าเองก็ขบคิดถึงสิ่งนั้น เมื่อถึงตอนนี้ ข้าก็คิดว่ายังคงมีสิ่งนั้นต่อโจเอล รวมทั้งคนอื่นๆ เพียงแต่ว่า... มันไม่ใช่ในแบบเดิมที่ข้าเคยรู้จัก หากข้าจะชุบชีวิตชายผู้นี้ ก็เพราะว่าเขายังไม่ควรตาย และข้าไม่อาจปล่อยเลยไปโดยมิได้กระทำในส่งที่ควรกระทำ น้ำเสียงที่เย็นฉ่ำดุจสายน้ำ ลมหายใจไม่มีวี่แววลังเลและสับสน ประหนึ่งว่านี่ออกมาจากจิตใจที่แท้จริง หรือนี่คือสิ่งที่เธอได้ใช้เวลาครุ่นคิดในหลายวันที่ผ่านมานี้

                    จอร์ชขยับปากจะพูด ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นั่นเพราะไม่อาจไตร่ตรองหาคำใดมาโน้มน้าวหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า คล้ายกับมีรัศมีเจิดจ้าออกมาจากหญิงสาวผู้นี้ หรือนี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าหวั่นใจ ลูนาร์ไม่ได้อยู่บนพื้นดินเดียวกับเขาอีกแล้ว หากแต่ลอยห่างจนไกล เกินที่ใครจะเอื้อมมือถึง

                    ขณะเดียวกัน จอร์ชก็ได้สำรวจลึกลงไปในจิตใจตนเอง และพบกับสิ่งที่น่าตระหนก เขาไม่ได้อยากให้โจเอลฟื้นคืน... มันเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งอยู่ภายในใจ ในแง่ของสหายที่เขารักที่สุด และมีบุญคุณที่ควรตอบแทน เขาควรจะทำทุกทางเพื่อให้โจเอลฟื้นคืนชีพ แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว... ความรักระหว่างเขากับลูนาร์อาจลงตัวได้อย่างพอดี หากว่าโจเอลจะไม่ฟื้นคืน...

                    ริมฝีปากบางสวยขยับโดยไม่มีคำพูดอยู่พักหนึ่ง กระทั่งมีเสียงเล็ดรอดที่พอจับใจความได้ออกมา

                    เจ้า... อย่า... เอ่อ... บางที... เรื่องของโจเอล... เจ้าหรือใครก็อาจไม่สามารถแก้ไขได้... อาจเป็นการดีกว่า... หากเจ้าจะตัดใจ...

                    เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่ล้มเหลวอย่างน่าสมเพช เมื่อหญิงสาวมองตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งสนิทดังรูปสำริด แม้มิได้เอ่ยวาจาหรือส่งสายตาตำหนิ ทว่าจอร์ชเองกลับเกิดความรู้สึกละอายยิ่งนัก เขาอาจรู้สึกดีเสียยิ่งกว่า หากเธอจะต่อว่า หรือแสดงความโกรธขึ้งดังก่อน

                    จอร์ชก้มหน้าลง หันหลังแล้วเดินจากไปโดยไม่บอกลา เขาไม่สมควรจะอยู่ที่ฟอร์ทอังเคิลอีกต่อไปแล้ว...

     

                    ในสถานที่อันเงียบสงัด ลูนาร์ยังคงนั่งอยู่เพียงผู้เดียวเบื้องหน้ารูปเคารพอันศักดิ์สิทธิ์ เฝ้าคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา

                    ลูนาร์รู้ดีว่าจอร์ชคิดเช่นไรต่อเธอ ทว่าเธอไม่อาจจะรักใครในแบบนั้นได้อีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นกับโจเอลก็ตาม ความคิดของเธอได้ข้ามพ้นไปจากวัยดรุณีอันไร้เดียงสาไปแล้ว และจะไม่มีวันหวนกลับมาเป็นเช่นเดิมอีก ความรักระหว่างชายและหญิง อิ่มเอิบและรุ่มร้อน ทว่าก็ไม่จีรัง และหลายครั้งกลับนำพาความทุกข์ใจมาให้ นี่คือความหลง เป็นปลักวังวนอันเศร้าหมอง เธอจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มอบความรักให้กับคนผู้หนึ่ง แต่จะมอบความรักให้กับผู้คน ด้วยการอุทิศตน ชักพาพวกเขาออกจากความเศร้าตรม

                    เจ้าค้นพบในสิ่งที่พ่อได้ถามไปก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง? บาทหลวงฟีบัสเอ่ย พร้อมกับก้าวมาจากมุมหนึ่ง

                    ค่ะ ลูนาร์ตอบด้วยอาการสำรวม

                    บาทหลวงฟีบัสฟังคำตอบของบุตรสาวแล้วก็ถอนหายใจหนัก ก่อนจะกล่าว ลูกเอ๋ย พ่อนั้นมีความปรารถนาที่ขัดแย้งกันอยู่สองประการ หนึ่งคือหวังให้เจ้าได้ออกเรือนมีความสุขในแบบหญิงสาวทั่วไป ขณะที่อีกหนทางกลับยากยิ่งกว่า นั่นคือหนทางของนักบวชที่เหนื่อยยากและเคร่งครัด... เจ้าจงเลือกมันด้วยตัวเองเถิดนะ

                    ขอบคุณท่านพ่อ บัดนี้ลูกได้ค้นพบหนทางแห่งความสุขอันจีรังแล้ว หญิงสาวกล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยว ปราศจากความลังเลใจ

                    เช่นนั้น พ่อจะทำพิธีเข้ารับเจ้าเป็นนักบวช บาทหลวงฟีบัสกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                    ลูนาร์คุกเข่าลง มือประสานไว้ตรงอก ขณะที่ผู้เป็นบิดาเริ่มสวดมนต์ อันเป็นการให้โอวาทและพูดถึงหลักปฏิบัติของนักบวช ระหว่างนั้น กรรไกรที่อยู่ในมือขวาของบาทหลวงฟีบัสก็ตัดเล็มผมอันยาวสลวยของบุตรสาว เส้นผมซึ่งครั้งหนึ่งเคยสำคัญยิ่งสำหรับหญิงสาว บัดนี้ค่อยๆถูกตัดไล่ไปเรื่อยๆ อันเป็นการแสดงถึงความไม่ยึดติดในสังขาร นักบวชจะต้องเป็นผู้อยู่ง่าย กินง่าย ละทิ้งต่อความอาวรณ์ และอุทิศตนเพื่อค้นหาหนทางให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ ซึ่งหนทางแห่งการบูชาวัตถุไม่อาจไปถึง

                    ลูนาร์ก้มลงมองปอยผมแต่ละปอยที่ร่วงหล่น คล้ายมองดูวันเวลาในอดีตกำลังพ้นผ่าน พลันน้ำตาได้ไหลพรู ซึ่งมิได้เกิดจากทั้งความเศร้าใจหรือยินดี มันไหลหลั่งเพียงเพราะมันไหลหลั่งเท่านั้นเอง

                    บาทหลวงฟีบัสท่องบทสวดบทสุดท้ายจนจบ พร้อมกับปอยผมสุดท้ายที่ปลิดปลง

                    วันพรุ่งนี้ หญิงสาวผู้หนึ่งจะหายไป แต่แทนที่ด้วยนักบวชซึ่งไม่ถือครองเพศใด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×