ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #40 : บทที่ 39 ความลับของฟรีแลนซ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 164
      0
      16 พ.ย. 50

                    สียงร้องเตือนจากเวรยาม ทำให้ทุกคนรีบเข้าประจำที่ ทว่าเมื่อมองเห็นตัวผู้บุกรุกก็ให้ประหลาดใจ เพราะมีกันเพียงแค่สามคนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่โจเอลจำได้ดี

                    ท่านชินดา? ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลร้องถาม ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็คือหัวหน้าหมู่บ้านเซกินั่นเอง และเป็นผู้ที่โจเอลควรที่จะจำให้แนบแน่น เพราะได้ทำสัญญาขอยืมใช้หมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้นั่นเอง

                    ชายชราร่างเล็กเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพูดขึ้นท่านโจเอล ข้ามีเวลาไม่มาก ช่วยเปิดประตูให้เข้าไปพูดคุยข้างในหน่อยเถิด

                    คำร้องขอของชายชราทำให้โจเอลอึกอัก ด้วยเกรงอยู่ว่าอาจเป็นอุบายของฝ่ายการ์กอน ทว่าในที่สุดก็ยินยอมตามด้วยความระแวดระวังอย่างดี

     

                    หลังจากที่ชินดาและผู้ติดตามได้กลับมาเหยียบหมู่บ้านของตนอีกครั้งก็เอาแต่มองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะกับรั้วสูงใหญ่แลตระหง่าน

                    ขออภัยด้วย ที่ข้าต้องทำการดัดแปลงหมู่บ้านของท่านไปบ้าง นั่นคงไม่ถือเป็นการผิดสัญญาหรอกนะ โจเอลกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รู้สึกดีใจที่ได้สนทนากับชายผู้นี้อีกครั้ง

                    โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปรั้วพวกนี้ก็ดูดีทีเดียว อืม... บางทีหลังจากนี้ข้าอาจได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ท่านสร้าง ชายชราตอบ ในประโยคท้ายๆเขาพูดเสียงเบายิ่ง คล้ายบ่นกับตัวเอง

                    นี่แน่ะ ท่านโจเอล ข้ามีเวลาไม่มากนักหรอก ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ชินดาชวนเข้าเรื่องโดยมิพักให้ต้องถาม เขากล่าวต่อ ที่ข้าต้องเร่งรีบมาพบท่านก็เพื่อจะคืนสิ่งนี้นี่แหล่ะ

                    เมื่อชายชราหยุดพูด ผู้ติดตามทั้งสองก็นำสัมภาระมาวางไว้ตรงหน้า จากนั้นจึงคลี่ผ้าที่ห่อให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน มันคือชุดเกราะของออร์แลนโดนั่นเอง

                    เกิดอะไรขึ้น? ทำไมท่านจึงรีบนำมันมาคืนให้ข้า? โจเอลรู้สึกแปลกใจ

                    ก็เพราะว่าถ้าข้าไม่คืนมันในตอนนี้ ท่านจะไม่ได้มันคืนเลยน่ะสิ! “ชินดาตอบ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้โจเอลงุนงงมากขึ้นไปอีก ชายชราจึงต้องอธิบายต่อไป

                    ...วาคียาใช้กำลังบังคับเอาเจ้าสี่ขาไปจากข้าแล้ว ข้าเลยเกรงว่าเจ้านั่นจะมาเอาชุดนี้ไปอีก...

                    ถึงตรงนี้ โจเอลก็เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่ข้ายังไม่พร้อมจะคืนหมู่บ้านให้ท่านตอนนี้หรอกนะ เขากล่าว

                    ชินดาโบกมือไล่  เรื่องนั้นช่างเถิด ข้าแค่ไม่อยากจะรู้สึกผิดหากว่าไม่ส่งมันคืนให้กับท่าน นี่แน่ะ อย่าหาว่าแช่งกันเลยนะ หมู่บ้านนี้น่ะ ท่านคงรักษาไว้ได้ไม่นานอยู่แล้ว อย่างไรเสียข้าก็ต้องได้มันคืนอยู่ดี เอาล่ะ ช่วยเปิดประตูที ข้าคงต้องรีบไปก่อนที่จะมีใครรู้เรื่องนี้เข้า

                    เมื่อชายชราตัดบทเช่นนั้น โจเอลจึงกล่าวอำลา แล้วสั่งให้เปิดประตูให้ เขาเฝ้ามองดูจนชาวการ์กอนทั้งสามกลืนหายไปในความมืด

     

                    ในที่พักอันเงียบสงัด โจเอลนั่งคิดอยู่อย่างเรื่อยเปื่อยเพียงลำพัง ตาจับจ้องไปยังชุดเกราะที่ตีขึ้นมาอย่างวิเศษตรงเบื้องหน้า แล้วก็พลางทอดถอนใจ

                    เมื่อสิ้นวันนี้ไปก็เหลืออีกเพียงเก้าวันเท่านั้น การประลองที่ชี้ชะตาก็จะเริ่มขึ้น ฟรีแลนซ์เองแม้จะมีฝีมือดี แต่กับคู่ต่อสู้อย่างวาคียานับว่าก้ำกึ่งกันอยู่ ยิ่งได้ฟังคำพูดของชินดาก็ทำให้สะท้านใจ ที่ว่าเขาคงรักษาหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ได้ไม่นาน หรือว่าบางที วาคียาจะคิดโจมตีในเร็ววันนี้กัน?

                    นัยน์ตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องไปยังผิวโลหะที่มันวาว พลางครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ในที่สุดเขาก็ดับไฟแล้วปล่อยตัวเองให้ม่อยหลับไปกับความมืดสนิทของรัตติกาล

     

                    เมื่อรุ่งวันใหม่มาถึง พวกเวรยามที่อยู่บนเชิงเทินก็มองเห็นความแปลกประหลาดอยู่ตรงทุ่งข้างล่าง ไกลลิบจากที่พวกเขายืนอยู่

                    จะว่าเป็นความประหลาดก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวหากเทียบกับชาวเกลลาร์ แต่กับชาวการ์กอน สิ่งนี้นับว่าแปลกทีเดียว นั่นก็คือการขี่ม้า หรือจะพูดให้ถูกแล้ว ต้องเป็นความพยายามจะขี่ม้าเสียมากกว่า

                    ที่ว่าน่าแปลกก็เพราะไม่เคยมีใครเห็นชาวการ์กอนขี่ม้ามาก่อน (ยกเว้นโมเกอร์ ซึ่งแทบจะไม่เหลือความเป็นชาวการ์กอนแล้ว) สิ่งนี้แม้แต่กับโก๊กและมาโก๊กก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะหากไม่นับถึงการใช้เรือและแพแล้ว ชาวการ์กอนมักจะไปไหนมาไหนโดยพึ่งเพียงขาของตนเองตลอด และพวกเขาก็ไม่เคยเห็นม้ากันมาก่อน

     

                    ที่ค่ายของพวกการ์กอน เสียงหัวเราะครื้นเครงอย่างไม่เกรงอกเกรงใจดังอยู่เป็นระยะ เมื่อผู้นำของพวกเขาพลัดตกจากหลังม้าอยู่บ่อยครา

                    การแสดงออกต่อผู้นำ สำหรับชาวการ์กอนแล้ว เป็นอะไรที่ไม่สู้จะเคร่งครัดนัก ยิ่งได้เห็นการกระทำของวาคียาก็ให้รู้สึกแปลกใจระคนขำ การขึ้นไปนั่งบนหลังของเจ้าสัตว์สี่ขาดูจะเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่านัก เพราะก็เห็นแล้ว ว่ามันมักลงเอยด้วยการตกลงมาหัวคะมำเอาได้ง่าย ๆ

                    ท่านวาคียา ลงมาเถิด! ข้าว่าท่านวิ่งเอายังไวกว่า!” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น หลังจากที่ชายหนุ่มร่างเล็กผลัดตกจากหลังม้าอีกหน และไม่ใช่เป็นเพียงการเล่นสำบัดสำนวน ที่ว่า วิ่งเอายังไวกว่า เพราะทุกครั้งที่วาคียาล้มลงกลิ้งโค่โร่ และเจ้าม้าซึ่งตกใจวิ่งเตลิด เขาก็ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปจับมันกลับมาด้วยตัวเอง เป็นเช่นนี้จนทั้งคนทั้งม้าเหนื่อยอ่อนเป็นที่สุด จึงต้องผลัดเรื่องนี้ไปไว้ในวันรุ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจขาดใจตายเอาเสียก่อน

                    ใครต่อใครในหมู่ชาวการ์กอนต่างก็คิดว่านี่เป็นเรื่องตลกไร้สาระ ในเมื่อวาคียาสามารถจะไปไหนมาไหนด้วยเท้าของตนได้เร็วกว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้เป็นไหนๆ แล้วไฉนกลับต้องมาเสี่ยงกับการหัวร้างข้างแตกด้วย จึงปลงใจเอาว่านี่คงเป็นการหาเรื่องฆ่าเวลา ไม่ให้ฟุ้งซ่านที่คนรักถูกจับตัวไปเท่านั้น

     

                    ทางด้านโจเอล เขาคิดว่าจะลองพูดคุยกับเชลยที่จับตัวมาได้สักหน่อย เพราะดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้มีปีกจะคลายจากความกลัวลงบ้างแล้ว

                    สวัสดี ข้าชื่อโจเอล ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร หญิงสาวจ้องมองกลับมา นัยน์ตาสีอำพันฉายแววตระหนกระคนแปลกใจ ที่คนต่างถิ่นผู้นี้สามารถพูดภาษาการ์กอนได้

                    อย่ากลัวไปเลย เราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก โจเอลกล่าวต่อไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ปรายตามองไปยังบาดแผลตรงเนินอก เป็นการยอกย้อนต่อคำพูดของชายหนุ่ม แล้วก็ชำเลืองกลับมาเหมือนกับจะบอกว่า เจ้าทำร้ายข้าไปแล้ว เล่นเอาโจเอลหน้าเจื่อน

                    ...ข้าชื่อซีบิล หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ตั้งใจว่าจะหุบปากนิ่ง นั่นก็เพราะเห็นว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

                    โจเอลเผยยิ้มด้วยความยินดี ที่เห็นว่าอีกฝ่ายยอมโต้ตอบกลับมาบ้าง และไม่ใช่การโต้ตอบด้วยคำผรุสวาทเช่นครั้งที่หมู่บ้านคูอูล

                    เราเคยเจอกันทีหนึ่งแล้ว ที่ทุ่งข้างล่างนั่นเมื่อหลายวันก่อน เขาชวนคุยต่อ

                    ใช่... ครั้งนั้นท่านช่วยเตือนอันตรายให้ข้า หญิงสาวตอบด้วยอาการเหน็บแนม นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มจะคลายจากความกลัวแล้ว

                    ข้าต้องขอโทษด้วย ที่ต้องทำร้ายและจับเจ้าไว้ แต่โปรดเข้าใจเถิด ว่านี่เป็นสงคราม ซึ่งตั้งอยู่บนความเข้าใจผิด ข้าอยากจะหยุด แต่หยุดอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้

                    คำว่า สงคราม ที่โจเอลใช้ ในภาษาการ์กอนหมายถึง ต่างฝ่ายต่างทำร้ายกัน นั่นช่วยอธิบายสภาพการณ์ปัจจุบันให้เห็นเด่นชัดขึ้น ซึ่งการตอบโต้จะมีอยู่อย่างไม่จบสิ้น จนกว่าฝ่าหนึ่งฝ่ายใดจะหมดแรงลงไป แต่ที่โจเอลต้องการจะชี้ให้เห็นก็คือ การทำร้ายจะยุติลงได้ หากว่าทั้งคู่ตั้งใจจะหยุด

                    แต่พวกท่านเป็นคนเริ่ม มีแต่พวกเราที่ควรมีสิทธิยุติ หรือไม่ท่านก็ต้องเอาชนะพวกเรา ซีบิลยังคงไม่ยอมง่ายๆ และชาวการ์กอนส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกเช่นกัน

                    เรื่องนั้นข้าพยายามจะหาเงื่อนไขที่เหมาะสมร่วมกับวาคียาอยู่

                    คำตอบที่ได้ ทำให้ซีบิลประหลาดใจ วาคียาไม่เคยมีทีท่าจะรอมชอมกับผู้รุกรานมาก่อน หรือเป็นเพราะเธอถูกจับมากันนะ ที่ทำให้เขาต้องยอมรับเงื่อนไขของคนพวกนี้ นี่เธอเป็นสาเหตุให้ชายคนรักต้องลำบากใจอีกแล้วอย่างนั้นหรือ

                    โจเอลมองท่าทีกลัดกลุ้มของหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ เขาคิดเอาเองว่าการยุติการรบจะทำให้เธอเบาใจ เพราะโดยทั่วไปแล้วสตรีย่อมไม่ชื่นชอบในการสงคราม แต่นั่นก็เพราะเขาไม่ทันจะเฉลยออกไป ว่าเขาและวาคียาตกลงจะทำการประลองกัน ช่องว่างนี้เอง ที่กลับทำให้ซีบิลคิดไปในทางร้าย

                    ...ถ้าเช่นนั้น... ท่านเข้ามาหาข้าที่นี่ทำไมกัน... หรือว่า... หญิงสาวเข้ามากระซิบกระซาบใกล้ๆ น้ำเสียงในตอนท้ายแฝงไว้ซึ่งความนัยน์ พลางเปลี่ยนท่าที ปรายตามองมาอย่างยวนยั่ว

                    โจเอลถึงกับใบหน้าแดงก่ำ หวั่นไหวต่อท่าทีเช่นนั้น โดยไม่ได้คิดคำนึงว่าเธอต้องการจะเสนอร่างกายเพื่อต่อรองในบางสิ่ง เมื่อยามที่สตรีใช้มารยาแล้วไซร้ ไม่มีทางที่บุรุษจะตามเท่าทันได้ มิใช่ด้อยกว่าด้วยปัญญา หากเป็นอารมณ์ที่มาบดบังเหตุผล

                    ข้ารู้นะ ตั้งแต่คราแรกที่พบกัน สายตาของท่านก็มองมาด้วยความหลงใหล ซีบิลแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงที่หวานจนหยาดเยิ้ม รุกหนักต่อชายที่ยืนนิ่งแทบไม่หายใจ

                    จริงดังที่กล่าวมา ความงามของหญิงสาวที่ดูประหนึ่งนกน้อยสีขาว ทำให้โจเอลชมชอบตั้งแต่แรกเห็น ทว่าเมื่อกลั้นใจจนเกือบจะตายอยู่แน่แล้ว สิ่งหนึ่งก็ช่วยให้เขาพ้นจากความทุรนทุรายนี้ นั่นคือการคิดถึงนางในดวงใจ... ลูนาร์

                    เหมือนดังเทวดาที่มักปรากฏกายได้อย่างเจ้าเล่ห์และลึกลับจนกลายเป็นน่าศรัทธา จู่ๆประตูห้องก็เปิดอย่างกะทันหัน เหมาะสมแก่เวลาที่จะช่วยชายผู้น่าสงสารไว้ได้จากบ่วงเล่ห์มารยา

                    นักบวชฝึกหัดในชุดสีขาวก้าวเข้ามาในห้อง ปรายตามองคนทั้งสองด้วยสายตาเรียบนิ่งมิได้เอื้อนเอ่ยอันใด ที่จริงแล้วเธอเข้ามาก็เพื่อจะดูอาการบาดเจ็บของเชลย ว่าจำเป็นจะต้องใช้เวทมนต์รักษาด้วยหรือไม่ตามที่โจเอลขอร้อง เพียงแต่เธอต้องเสียเวลากับการทำวัตร จึงได้ตามมาล่าช้า

                    ...ข้าเพียงต้องการจะมาบอกให้เจ้าเบาใจ ว่าอีกเพียงสิบวันเราก็จะปล่อยเจ้ากลับไปแล้ว ช่วงนี้ขอให้อดทนสักหน่อย โจเอลกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเปิดทางให้ลูนาร์เข้ามาดูอาการบาดเจ็บของเชลย

                    หญิงสาวในชุดนักบวชก้มลงสังเกตบาดแผลให้ถนัด ขณะที่ทั้งห้องก็เงียบลงชวนให้อึดอัด จนโจเอลไม่แน่ใจว่าลูนาร์รู้สึกโกรธอยู่หรือไร ตามประสาของวัวสันหลังหวะ

                    ทว่าบรรยากาศอันน่าอึดอัดก็คงอยู่เพียงไม่นาน เมื่อลูนาร์ลุกขึ้นและออกความเห็นว่าอาการของเชลยไม่สู้เป็นไรมาก จึงมีความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เวทรักษา ทั้งที่บาดแผลยังไม่สู้จะสนิทดี จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่กล่าวอะไรอีก

     

                    ในห้องอันมืดทึบแทบจะไร้แสง ดวงตางดงามทว่าลึกลับมองไปยังรอยแยก เพียงฝาผนังกางกั้นก็จะพบกับความแตกต่างอย่างมากมาย ที่ภายนอกคือแสงสว่างและความจอแจ ห่างไปแค่เพียงชั่วนิ้วเดียวเท่านั้น...

                    แต่เธอก็เลือกที่จะอยู่กับความมืดมิดและเงียบสงัดดังเช่นที่เป็นมาทั้งชีวิต เพราะมีเพียงความเงียบเท่านั้น จึงจะสามารถสดับเสียงได้แจ่มชัด และมีเพียงความมืด ที่ช่วยให้เร้นกายจากการมองเห็น คนโง่ต่างหาก ที่ชอบพร่ำพูดและปรากฏกายในที่แจ้ง เปิดเผยร่องรอย แล้วก็สูญหายไปด้วยฝีมือของผู้ที่อยู่ในความมืด...

                    อา... ดูอย่างเสียงพูดคุยของคนโง่พวกนี้สิ มันทำให้รู้อะไรได้บ้าง... ดูเหมือนว่าจะมีการตกลงกับพวกคนเถื่อนอย่างนั้นหรือ? เป็นการประลอง? ช่างน่าแปลกใจเสียจริง...

                    ดวงตาอันงดงามฉายแววเจ้าเล่ห์ พลางแสยะยิ้มในความมืด เธอคงปล่อยให้เรื่องนี้ล่วงเลยไปโดยไม่ขัดขวางไม่ได้ เพียงแต่ต้องเลือกเวลาลงมือสักหน่อย...

     

                    วันนั้นทั้งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยแทบจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ฟรีแลนซ์เองก็ไม่แสดงความอนาทรร้อนใจกับวันเวลาที่เปล่าเปลืองลงไป ทั้งๆที่ตนต้องเป็นผู้ที่เข้าสู่สนามประลอง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะบาดแผลที่ยังไม่หายดีก็เป็นได้

                    ส่วนฮานส์นั้น เขาได้เสนอตัวเข้ารับหน้าที่เพิ่มอีกอย่างหนึ่ง โดยได้เข้ามาพูดกับโจเอลในช่วงสายว่า

                    นายท่าน หากไม่เป็นการอาจเอื้อมจนเกินไป ข้าขออนุญาตเป็นผู้อารักขาชุดเกราะแห่งราศีเมษจะได้หรือไม่

                    ผู้เป็นนายมองกลับด้วยความรู้สึกแปลกใจ เขาไม่ได้ขัดข้อง เพียงแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น

                    นายท่านคงไม่ลืมเจ้ามือก่อการลึกลับหรอกนะขอรับ การที่พักนี้มันมิได้ลงมือทำให้พวกเราออกจะย่อหย่อนการระวังตัวลงไป แต่ข้าสังหรณ์ว่ามันจะต้องก่อเรื่องอีกแน่ และหากจะมีสิ่งที่เหมาะแก่การเป็นเป้าหมายของมันแล้วล่ะก็... ข้าคิดว่าน่าจะเป็นชุดเกราะที่ท่านเพิ่งจะได้รับกลับคืนมานี่เอง ผู้เป็นบ่าวอธิบาย เมื่อตรองดูก็เห็นจะจริง เพราะชุดเกราะของท่านโอแลนโดเป็นของที่มีค่ามากอย่างมิต้องสงสัย โจเอลจึงได้ตกลงไปตามนั้น

     

                    ช่วงมื้อเย็น การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างครื้นเครงเกือบจะปกติ ที่ต้องย้ำว่าเกือบจะ นั่นก็เพราะบางคนกลับเงียบขรึมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

                    โจเอลรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ลูนาร์สนทนากับเขาอย่างน้อยคำและห่างเหิน ซึ่งตามปกติแล้ว แม้ว่าเธอจะเง้างอนใส่ก็ไม่เย็นชาเท่านี้ ผิดกับฟรีแลนซ์ที่ชวนลูนาร์คุยอย่างไม่ย่อท้อ และไม่ใส่ใจต่อสายตาของจอร์ช ส่วนโจเอลนั้นได้แต่ก้มหน้าทานอาหารด้วยความหดหู่

     

                    “ฮะ ฮะ โจเอล ดูท่านไม่ค่อยมีความสุขเอาเสียเลยนะ” จอร์ชเย้าแหย่ เมื่อเห็นผู้เป็นสหายนั่งทอดถอนใจอยู่เพียงผู้เดียวหลังจากมื้อเย็นที่ผ่านพ้น ซึ่งชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแค่เหลียวมามอง ทว่าไม่ได้ตอบอะไร

                    “ท่าทางลูนาร์จะมีเรื่องให้ขึ้งโกรธท่านอยู่หรอก ก็เชลยที่จับมาได้น่ะ สวยใช่หยอกอยู่...” ชายหนุ่มใบหน้าสวยยังคงล้อต่อไป ซึ่งคำพูดนั้นเหมือนศรแทงเข้ากลางใจดำ ทำเอาโจเอลหน้าแดงขึ้นทันใด

                    “เรื่องนี้ท่านอย่าได้เข้าใจเลยเถิดไป ข้าเพียงรับปากกับคนรักของนางมา ว่าจะพิทักษ์รักษานางให้ดีที่สุด...” เขาแย้งน้ำเสียงเขียว

                    “เอาเถิดๆ แต่ก็ดูเหมือนลูนาร์จะไม่เข้าใจในเรื่องนี้? อืม... ข้าเคยได้ยินจากไหนมาก่อนนะ  ที่ว่า... อย่าได้มีเรื่องกับผู้หญิงเชียว เพราะว่าพวกนางจะชนะเสมอ ไปสิ โจเอล รีบไปขอโทษนางเสีย คงไม่ต้องให้ข้าบอกหรอกนะ ว่าท่านโชคดีขนาดไหนที่ได้ครอบครองใจนาง เพราะจะว่าไปแล้วยังมีหนุ่มๆอีกเยอะอยู่นะ ที่หมายปองลูนาร์...” จอร์ชกล่าวประโยคท้ายๆอย่างไม่เต็มเสียง ก็ในเมื่อเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หากไม่ใช่ว่าคนที่ลูนาร์หลงรักคือโจเอล เขาเองก็คงจะไม่ยอมถอยง่ายๆแน่นอน

                    โจเอลหันมายิ้มให้สหายด้วยความขอบใจ โดยไม่ได้สังเกตถึงแววตาเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย ทว่าเมื่อจะก้าวไปเพื่อทำตามคำแนะนำ เสียงหวีดร้องของหญิงสาวก็ดังขึ้น

                    ลูนาร์!!! ชายหนุ่มทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน

     

                    ด้วยระยะทางที่ไม่ห่างกันนัก ทั้งโจเอลและจอร์ชจึงมาถึงทิศทางของต้นเสียงแทบจะในทันที

                    เสียงร้องของลูนาร์ดังมาจากเรือนพักของเธอนั่นเอง และที่ประตูก็มีร่องรอยการพังเข้าไป ซึ่งยิ่งทำให้โจเอล เร่งรีบมากขึ้นไปอีก

                    “ลูนาร์! เป็นโจเอลที่ร้องเรียกเข้าไปในความมืด เพราะในอาคารนั้นมิได้จุดคบไฟไว้เลย

                    ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ชายหนุ่มต้องเขม้นตามองหาหญิงคนรัก และเมื่อปรับสายตาได้ในระดับหนึ่งแล้ว เขาก็เห็นเงาลางๆของคนสองคน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีขาว ซึ่งมองเห็นได้ง่ายกว่า นั่นน่าจะเป็นลูนาร์ อีกหนึ่งอยู่ในเสื้อคลุมสีดำสังเกตได้ยาก ทว่าหมวกปีกกว้างและร่างสูงโปร่งก็ทำให้โจเอลนึกได้ทันที ว่าคนผู้นั้นคือใคร...

                    แล้วความคลุมเครือภายในห้องก็มลายไป เมื่อจอร์ชที่ตามมาภายหลังได้คว้าเอาคบไฟติดมือมาด้วย ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า คือหญิงสาวร่างบอบบางกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มผิวเข้ม เธอพยายามขัดขืน ทว่าข้อมือน้อยๆที่ดูไร้เรี่ยวแรงก็ถูกเกาะกุมไว้ด้วยมือที่ทั้งใหญ่และหยาบกร้าน ส่วนเสื้อคลุมของฝ่ายสตรีนั้นเล่าก็ปรากฏรอยฉีกขาด เผยให้เห็นผิวขาวนวล

                    “โจเอล! ช่วยด้วย” ลูนาร์ร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งจนแม้ขณะที่ทั้งโจเอลและจอร์ชปรากฎตัวขึ้นเช่นนั้น ฟรีแลนซ์ก็ยังคงกอดร่างของหญิงสาวไว้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม

                    ไม่ทันให้ต้องฟังเสียงวิงวอนซ้ำสอง จอร์ชก็ทิ้งคบไฟแล้วคว้าคันศรขึ้นลั่นกระสุนเข้าใส่ฟรีแลนซ์ทันที ลูกธนูพุ่งเข้าหาด้วยความแม่นยำ ทว่าชายในชุดดำก็ว่องไวไม่แปรเปลี่ยน รีบผละจากร่างหญิงสาวแล้ววิ่งตรงไปทางจอร์ช ตั้งใจจะเข้าปะทะชายหนุ่มร่างเพรียวบางในจังหวะที่ใช้อาวุธสั้นไม่ได้เพื่อเปิดทาง

                    ทว่าอาจเป็นด้วยการตอบสนองอย่างฉุกละหุก หรือไม่ก็เพราะยังไม่หายจากบาดแผลดี ทำให้ทหารรับจ้างที่โชนศึกอย่างฟรีแลนซ์เปิดช่องว่างให้เมื่อตอนที่ผ่านโจเอล และโจเอลก็ไม่พลาดโอกาสนี้ รีบฟาดตุ้มดาบเข้าใส่ท้ายทอยเจ้าคนร้ายจนสลบเหมือน ซึ่งทันทีที่ฟรีแลนซ์ลงไปกองกับพื้น ลูนาร์ก็ทรุดกายลงร่ำไห้อันอาจเป็นด้วยความตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด

                    ทันทีที่ได้เห็นน้ำตาร่วงพรู ยิ่งทำให้จอร์ชนึกโกรธ ตั้งใจจะสังหารฟรีแลนซ์ หากว่าโจเอลไม่ห้ามไว้

                    “ใจเย็นๆไว้ก่อน เรื่องนั้นไว้จัดการที่หลัง ตอนนี้ท่านช่วยออกไปอธิบายกับคนอื่นๆก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะดูแลลูนาร์เอง” โจเอลปราม ทำให้จอร์ชต้องยอมตามนั้น เพราะเสียงร้องของลูนาร์คงปลุกให้ใครต่อใครตื่นขึ้นมา และหากไม่มีการชี้แจงให้เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ก็อาจจะทำให้เกียรติของนางต้องหมองมัวลงได้

                   

                    “ลูนาร์เป็นอย่างไรบ้าง?” จอร์ชถามขึ้นทันทีที่เห็นโจเอล ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องร้ายกับลูนาร์ จอร์ชก็ได้เฝ้าเจ้าคนร้ายไว้ โดยให้สหายเป็นผู้ดูแลหญิงสาว

                    “นางหายกลัวจนหลับไปแล้วล่ะ” ฝ่ายที่เพิ่งมาถึงตอบ

                    สถานที่ซึ่งพวกเขาควบคุมตัวฟรีแลนซ์ไว้ เป็นอาคารที่ดูเหมือนจะทิ้งร้างไว้ตั้งแต่ตอนที่พวกการ์กอนยังอยู่ เพราะหลังคานั้นเปิดโล่ง มีเพียงแค่ผนังล้อมรอบเท่านั้น ซ้ำด้านหนึ่งยังพังลงเสียอีก

                    ร่างของนักโทษซึ่งบัดนี้ยังคงไม่ได้สติ ถูกมัดไพล่หลังไว้กับเสาต้นหนึ่ง โดยปลดเสื้อและเกราะอ่อนออกจนสิ้น ทำให้เห็นร่างกายที่มักถูกปิดบังด้วยเสื้อคลุมได้กระจ่างชัด

                    ชายผู้นี้ออกจะผ่ายผอมไปสักหน่อย แต่ก็ต้องเรียกว่าผอมเกร็งจึงจะถูก เพราะกล้ามเนื้อทุกมัดนั้นสมบูรณ์ยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเทอะทะแต่อย่างใดเลย ตามเนื้อตัวปรากฏแผลเป็นให้เห็นหลายแห่ง ซึ่งคงเป็นผลพวงจากการเข้าสู่สมรภูมิ โดยแผลล่าสุดได้มาจากวาคียานั่นเอง

                    สายตาของโจเอลชำเลืองไปยังกองไฟคุโชนซึ่งก่อไว้ใกล้ๆ มีหอกเล่มหนึ่งแหย่ปลายลงไปเพื่อให้มันร้อนอยู่

                    “ท่านเกือบมาช้าไปหน่อยนะ” ชายหนุ่มใบหน้าสวยหันมาพูดอย่างมีเลศนัย แสงไฟที่แดงฉาน เมื่อสาดลงบนใบหน้าหมดจด กลับช่วยฉายแววอำมหิตขึ้นมาทีเดียว

                    อันที่จริงโจเอลเองก็ใช่ว่าจะไม่คุ้นเคยต่อเรื่องนี้ การเป็นผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิล ทำให้เขาต้องมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือการมอบความยุติธรรมให้กับชาวบ้าน ซึ่งการทรมานนักโทษก็เป็นส่วนหนึ่งของความยุติธรรมที่ว่า(ตามมาตรฐานยุคนั้น) แต่ในฟอร์ทอังเคิลก็ไม่ค่อยจะมีอาชญากรรมร้ายแรงมากนัก

                    ไม่ทันที่โจเอลจะได้กล่าวอะไร จอร์ชก็สาดน้ำในถังที่กำลังเย็นเฉียบไปยังนักโทษเพื่อปลุกจากการสลบ ทว่าไร้ผล ฟรีแลนซ์ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ทำให้จอร์ชซึ่งโกรธอยู่แล้วเงื้อไม้หวดลงไป แต่กลับต้องผงะ เมื่อจู่ๆเจ้านักโทษตัวดีลืมตาโพลงจ้องเขม็งมา

                    “แค่ก แค่ก นี่มันที่ไหนกัน...” ฟรีแลนซ์บ่นงึมงำในลำคอ

                    “เจ้าโจรร้าย! บอกมาสิ! ทำไมเจ้าจึงได้บังอาจทำเช่นนี้กัน?” จอร์ชตวาดใส่หน้าชายที่ถูกมัดไว้ด้วยความกราดเกรี้ยวจนโจเอลนึกแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นสหายหนุ่มมีอารมณ์รุนแรงเช่นนี้มาก่อน แม้ว่านี่ออกจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่โจเอลก็ไม่ได้รู้สึกฉุนเฉียวเท่า ทั้งลูนาร์ก็ได้อธิบายแล้ว ว่าฟรีแลนซ์เพิ่งจะเข้ามาเท่านั้น ยังไม่ได้ทำอันตรายเธอแต่อย่างใด

                    ในความรู้สึกของจอร์ชแล้ว ความห่วงใยที่เขามีต่อลูนาร์ ถึงขนาดที่ไม่ต้องการให้ใครแตะต้องนางเสียด้วยซ้ำ และอีกประการก็ด้วยความรู้สึกไม่ไว้ใจฟรีแลนซ์มาตั้งแต่ต้น ใครที่ไหนจะเข้ามากลางที่คับขันเช่นนี้โดยไม่มีแผนการอื่น เจ้านี่ต้องเป็นคนขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน!

                    “นิ่งอยู่ทำไมล่ะ! บอกสิ่งที่เจ้ารู้มา!” ชายหนุ่มใบหน้าสวยยังคงตะคอกใส่ พลางฟาดเข้าใส่ร่างที่ถูกพันธนาการอย่างไม่ปราณี จนโจเอลต้องห้ามปรามไว้

                    “เฮ้อ ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน ถึงได้มัดข้าไว้แบบนี้?” ฟรีแลนซ์ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนดูเหมือนกับเป็นการยั่วให้โมโห แต่ความจริงแล้วมันเป็นเพราะถูกทำให้สลบด้วยการที่สมองกระทบกระเทือน จึงต้องอาศัยเวลาสักระยะในการทบทวน

                    โจเอลต้องใช้ความใจเย็นอย่างที่สุด เพื่อจะอธิบายว่าฟรีแลนซ์ได้ทำอะไรลงไป จนเมื่อลำดับเหตุการณ์ได้ ชายที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายก็กลับหัวเราะเสียงดังลั่น

                    “ฮะ ฮะ ฮะ นี่พวกท่านคิดว่าข้ากำลังจะทำอะไรกันล่ะ?  อืม... ริมฝีปากของนางได้รูปทีเดียว ผิวละเอียดนวลเนียน อกอวบอิ่มขนาดกำลังพอเหมาะ  สะโพกนั่นเล่า... ก็ผายกลมกลึง...”

                    ไม่ทันได้กล่าวจนจบ จอร์ชก็ฟาดเข้าฟรีแลนซ์ด้วยความเดือดดาล ทว่าผู้ที่ถูกทำร้ายกลับส่งยิ้มให้อย่างไม่ยี่หระ

                    “ใจเย็นซี่ เจ้าหนุ่มน้อย ข้ากำลังจะพูดอยู่เชียว ว่าของเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ข้าสนใจสักนิด ข้าไม่มีจิตจะอภิรมย์กับสตรีใด รวมทั้งสิ่งไหนบนโลก...”

                    คำตอบของฟรีแลนซ์ยิ่งทำให้ชายทั้งสองงุนงงมากขึ้นไปอีก เจ้าตัวจึงถอนหายใจขึ้นหน่อยหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ

                    “เฮ้อ... บ้าจริง... ทำไมข้าต้องบอกเรื่องนี้ให้พวกท่านรู้กันนะ เอาเถิด ไหนๆก็พูดไปแล้ว จะอธิบายยืดยาวก็คงไม่เชื่อกันอยู่ดี” เขาเว้นจังหวะ แล้วชำเลืองไปยังปลายหอกที่ถูกแยงลงไปในกองไฟจนร้อนแดง ก่อนจะพูดขึ้น

                    “ลองเอาเหล็กร้อนๆนั่น นาบบนตัวข้าดูสิ”

                    คำขอของชายหนุ่มที่ถูกมัดทำเอาโจเอลยืนนิ่งไปเลยทีเดียว มันสุดแสนจะน่าประหลาด ที่นักโทษกลับเป็นผู้ร้องขอการทรมานเช่นนี้ ทว่าท่ามกลางความกระอักกระอ่วนใจนั้น จอร์ชกลับทำตามที่ถูกขออย่างไม่ลังเล

                    ปลายหอกด้ามนั้นร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเสียงฉ่าเมื่อนาบลงบนผิวสีเข้มและควันที่ลอยฉุย แต่แปลก... ผู้ที่ถูกเหล็กร้อนทำร้ายกลับไม่ร้องแม้สักแอะ กระทั่งกล้ามเนื้อสักมัดก็ไม่ปรากฏปฏิกิริยา

                    “ฮะ ฮะ พวกท่านคงแปลกใจกันล่ะสิ แต่นี่ไม่ใช่มายากลหรอก กล่าวกันในแบบที่จะให้เข้าใจได้ง่ายๆแล้วล่ะก็... ผิวกายข้าไม่สามารถรับความรู้สึกได้ ฉะนั้นเลิกคิดเรื่องที่ข้าจะทำมิดีมิร้ายสตรีใดได้เลย” ฟรีแลนซ์อธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นยิ่ง ซึ่งผู้ที่ยังมีความรู้สึกอยู่ไม่อาจเข้าใจความทุกข์ของการสูญเสียสัมผัสได้เลย นั่นทำให้พาลคิดไปว่า อาการรื่นเริงที่ผ่านมาทั้งหมดของชายผู้นี้ เป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้นหรือ

                    โจเอลฟังคำอธิบายแล้วก็พลันนึกถึงเรื่องที่ตนสงสัยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น คราวที่ประมือกับวาคียา เขารู้สึกได้ว่าถูกพลังบางอย่างก่อให้เกิดความเจ็บปลาบจนกุมอาวุธไม่อยู่ ทว่าฟรีแลนซ์กลับมิได้สะทกสะท้าน เป็นดังที่เฮอร์มได้ตั้งข้อสังเกต ร่างกายของเจ้านั่นมีอะไรแปลกๆ

                    “...ถ้าเช่นนั้น... ทำไมกัน?” จอร์ชบ่นงึมงำ เหมือนกับไม่ทันตั้งตัวกับคำอธิบายแบบนี้

                    “หมายถึงเรื่องที่ข้าเข้าไปจับตัวแม่หญิงลูนาร์นั่นรึ?” ฟรีแลนซ์ย้อนถาม ซึ่งเขาก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว จึงได้กล่าวต่อ “...ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าทำไมนางถึงได้ต้องการจะวางยาเจ้าแบล๊คชัคกัน”

                    “ลูนาร์น่ะหรือ จะวางยาม้าของท่าน?” ทั้งโจเอลและจอร์ชต่างอุทานออกมาแทบจะพร้อมกันทีเดียว ยิ่งฟังคำอธิบายของฟรีแลนซ์ เรื่องราวกลับยิ่งจะน่างุนงงขึ้นเรื่อยๆ

                    “แน่ล่ะ ข้าเห็นกับตาเลยทีเดียว ถึงได้วิ่งตามนางไปถึงที่พักจนจับตัวไว้ได้” ชายที่ถูกมัดกล่าวยืนยัน

                    ฟังเช่นนั้น โจเอลและจอร์ชต่างก็ยืนนิ่ง ประติดประต่อเหตุการณ์ไม่ถูกเสียแล้ว

                    ฉับพลันโจเอลก็เลือกที่ทิ้งความเชื่อและการรับรู้ หากแต่พึ่งพาสัญชาติญาณ เขาหันหลังแล้วรีบวิ่งกลับไปยังที่พักของลูนาร์ ซึ่งจอร์ชก็พลอยทำตามด้วย ทว่าเพียงไม่นาน เสียงร้องของทหารยามก็ดังขึ้น

                    เชลยหนีไปแล้ว!

                   

                    ดวงตาคู่กลมโตหวานซึ้งส่องประกายภายใต้เบ้าตาที่หรุบลึกดูเร้นลับ ฟรีแลนซ์เผยรอยยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากที่โจเอลและจอร์ชหายลับไปแล้ว ทิ้งเพียงทหารสองคนให้คอยเฝ้าไว้

                    เขาผิวปากครวญเพลงขึ้นในความเงียบสงัด ริมฝีปากที่ห่อตัวเพื่อบังคับลมหายใจ ยิ่งส่งผลให้แก้มนั้นตอบลึกจนเค้าโครงหน้าเด่นชัด มองในความมืดยิ่งคล้ายดังปิศาจ ทว่าก็เป็นปิศาจที่ทรงเสน่ห์

                    ทหารยามเอ็ดขึ้นทีหนึ่ง หวังให้นักโทษที่สงบเสงี่ยมกว่านี้

                    “อะไรกัน พวกเจ้าไม่ชอบฟังเพลงกันหรอกรึ?”

                    เมื่อเจอคำยอกย้อน พวกทหารก็ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ แค่ต้องออกมายืนตากน้ำค้างก็แย่อยู่แล้ว จึงปล่อยให้นักโทษทำตามใจ เพราะคงจะไม่กระไรนัก

                    “เอ... พูดความจริงเพียงครึ่งเดียวนี่จะถือว่าโกหกไหมนะ?” ฟรีแลนซ์บ่นงึมงำ ซึ่งผู้คุมก็ไม่ได้สนใจจะฟัง  จากนั้นชายผิวเข้มก็กลับไป ส่งเสียงผิวปากแหลมสูงดังจะกรีดไปในความมืดมิดและเงียบสงัด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×