ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #41 : บทที่ 40 ความช่วยเหลือจากคนนอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 182
      0
      25 พ.ย. 50

                    จเอลและจอร์ชวิ่งตัดฝ่าความมืดมิดของรัตติกาลด้วยความร้อนใจ ทั้งสองต่างก็กังวลถึงหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเร่งรีบในยามนี้

                    จอร์ช ท่านคิดว่าลูนาร์เป็น... ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตัดสั้นเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ไม่กล้าพูดต่อ

                    ตัวปลอม? จอร์ชขยายความ เขาหันกลับไปแล้วกล่าว เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้า

                    แน่ล่ะ ในเมื่ออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต โจเอลย่อมจะรู้จักเธอดีกว่าใครๆ แต่บางครั้ง... มันก็สามารถจะถูกทำให้ไขว้เขวได้ รวมถึงเรื่องนี้ก็ยังนับว่าเหลือเชื่อเกินไป

                    มัน... โจเอลทำท่านึก ไม่แน่ชัดนัก... แค่ความรู้สึกบางอย่างเท่านั้น ที่บอกว่าไม่ใช่นาง...

                เอาไว้เดี๋ยวเราคงได้รู้กันล่ะ แต่มีอีกเรื่องที่รีบร้อนไม่แพ้กัน... ท่านจะไปดูลูนาร์หรือว่าเชลย? จอร์ชหันมาถาม

                    โจเอลตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ ใจเขาอยากจะไปดูลูนาร์ แต่ถ้าว่ากันตามหน้าที่แล้ว เขาย่อมจำเป็นที่จะต้องไปดูเชลย

                    ฝากท่านเรื่องลูนาร์ด้วย ข้าจะไปดูเชลย เขาตอบ ทั้งสองจึงแยกกันไป มิได้สังเกตเห็นเงาหนึ่งที่สวนผ่านไปไม่ไกล

     

                    เมื่อโจเอลมาถึงที่คุมขังสตรีครึ่งนก ทุกอย่างก็ดูจะสายไปเสียแล้ว กระนั้นเขาก็จำเป็นต้องมาเพื่อดูที่เกิดเหตุ ซึ่ง ณ ที่นั้น เฮอร์มได้มาถึงก่อนแล้ว และฮานส์ก็ตามมาในไม่ช้า ที่น่าแปลกก็คือโก๊กซึ่งควรจะอยู่เพื่อเฝ้าเชลยกลับไม่อยู่ที่นั่น... หรือนี่จะเป็นเหตุให้เชลยหนีไปได้?

                    โจเอลเดินเข้าไปในที่คุมขังเพื่อจะสำรวจร่องรอย ทว่าเขาก็ฉุกคิดอะไรได้บางอย่างจึงได้สั่งกับฮานส์

                    “ฮานส์ เจ้าช่วยไปดูลูนาร์หน่อยเถิด ตอนนี้จอร์ชน่าจะถึงที่นั่นแล้ว”

                    คำสั่งของโจเอลฟังดูพิกลเหมือนมีความใดที่ไม่ได้บอกให้กระจ่าง แต่ผู้เป็นบ่าวก็มิได้ปริปากซักไซ้ไล่เลียง

                    หลังจากที่ฮานส์แยกไปแล้ว เฮอร์มก็ชี้ชวนให้ดูร่องรอยต่างๆ ที่หลังคามีรูโหว่ขนาดพอที่คนจะลอดได้ หญิงสาวที่ชื่อซีบิลอาศัยช่องทางนี้หนีไปอย่างนั้นหรือ?

                    ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหากรวมเอาปีกเข้าไปด้วยแล้ว ขนาดของช่องนั้นน่าจะเล็กเกินไป ซ้ำเฮอร์มยังไม่เห็นขนนกที่ร่วงหรือติดตามขอบรูโหว่นั้นเลย เรื่องนี้จึงนับว่าน่าประหลาดนัก

                    พรานเฒ่ายังหยิบเอาเชือกที่ใช้มัดซีบิลมาให้ดู มันยังมีสภาพสมบูรณ์ไม่ได้ถูกทำให้ขาด หมายความว่าต้องมีคนแก้มัดให้?

                    “เอ... นี่มันอะไรกัน?” พรานเฒ่าบ่นขึ้น พลางหยิบเม็ดหินเกลี้ยงๆสีขาวขัดจนมันวาว เมื่อโจเอลเห็นเข้าก็จำได้โดยทันที ว่ามันคืออะไร

                    “ท่านพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้างไหม?” เฮอร์มดีดหมากเม็ดนั้นมาให้ นายบ้านหนุ่มรับเอาไว้แต่ไม่ได้พูดอะไร ทั้งที่จริงเขาพอจะรู้แล้ว ว่าใครอยู่เบื้องหลังการหนีไปของเชลย

     

                    ย้อนกลับไปยังสถานที่ซึ่งโจเอลและจอร์ชเพิ่งจะจากมานั้น ทหารสองนายที่ต้องอยู่โยงเฝ้าฟรีแลนซ์ ต่างก็หาวหวอดด้วยความเบื่อหน่าย มิได้เตรียมใจจะเผชิญกับการคุกคาม...

                    หนึ่งในนั้นออกเดินไปรอบๆเพื่อจะคลายความเมื่อย แต่แล้วกลับปรากฏผู้ร้ายร่างดำทะมึนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว มันได้เอาหัวโขกใส่ทหารนายนั้นจนสลบเหมือด

                    ทหารอีกนายเห็นเพื่อนล้มตึงก็รีบหยิบอาวุธเพื่อป้องกันตัว ทว่ายังช้าไป ศัตรูลึกลับปราดเข้าใส่ในชั่วอึดใจ แล้วยกขาหน้าประทับรอยกีบเข้าจังเบ้อเร่อ

                    “แบล๊คชัค กว่าจะมาได้นะ เจ้าเพื่อนยาก” ฟรีแลนซ์ร้องเรียกผู้ที่มาช่วย แต่เจ้าม้าศึกตัวดีกลับยิงฟันแล้วผงกศีรษะ พลางเดินเล่นไปมาไม่ยอมแก้มัดให้สักที

                    “อย่ามาทำเป็นเล่นตัวน่า ประเดี๋ยวต้องแวะไปเอาสัมภาระอีก” 

                    ยิ่งพูดเช่นนั้น เจ้าเพื่อนสี่ขาก็กลับหันก้นให้เสียอีก จนฟรีแลนซ์ต้องยอมเสียงอ่อนเสียงหวาน

                    “จ้า พ่อยอดอาชา ถ้ารอดไปได้จะทูนหัวให้หมดทุกอย่างเลย เอาอย่างนี้ เราขึ้นเหนือกันไหม ที่นั่นมีม้าสาวๆอยู่เพียบเชียว แถมยังมีทุ่งหญ้าเขียวขจีตลอดทั้งปีอีก เชื่อเถอะน่า ข้าเคยไปมาแล้ว”

                    คราวนี้ดูเหมือนเจ้าแบล๊คชัคจะสบอารมณ์ขึ้น ในที่สุดมันก็ช่วยกัดเชือกที่มัดฟรีแลนซ์จนขาด แล้วพากันออกจากที่นั้นด้วยความไวปานลมพัด

     

                    ทางด้านโจเอลซึ่งเร่งฝีเท้าเพื่อจะไปสมทบกับจอร์ชนั้น จู่ๆเขาก็รู้สึกถึงสายลมที่พัดมาวูบหนึ่ง เมื่อเหลียวกลับไปมอง ก็พบว่ามีม้าศึกสีดำพาผู้ขี่กระโจนข้ามศีรษะเขาไปเสียแล้ว

                    “ฟรีแลนซ์!” ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลตะโกนเรียกฝ่ายที่เพิ่งจะผ่านจนไป ซึ่งชายที่กำลังหนีได้หยุดม้าแล้วหันกลับมาเพื่อจะกล่าวบางอย่าง

                    “ท่านโจเอล ความไว้วางใจ เป็นบทเรียนที่ท่านต้องเรียนรู้นะ”

                    สิ้นคำ ชายในชุดดำสนิทก็หายลับไปพร้อมด้วยอาชาคู่ใจ ตามมาด้วยเสียงเอะอะเอ็ดตะโรที่หน้าประตู ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าฟรีแลนซ์คงจะหนีไปจากค่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                    โจเอลเก็บเอาคำกล่าวนั้นไปขบคิดในความกำกวมของมัน “ความไว้วางใจ” อย่างนั้นหรือ? มันหมายความว่าเขาไว้วางใจผู้อื่นมากเกินไป หรือว่ามีมันน้อยเกินไปกันแน่?

                   

                    ณ ที่พำนักของลูนาร์ เมื่อโจเอลมาถึงก็พบกับจอร์ชและฮานส์ซึ่งจ้องหน้ากันเขม็ง เหตุก็เนื่องจากนักบวชฝึกหัดได้หายตัวไปอย่างแทบจะไร้ร่องรอย และเพราะโจเอลไม่มีเวลาอธิบายให้แจ่มชัด ฮานส์จึงได้มองจอร์ชอย่างไม่ไว้วางใจนัก

                    “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลรีบเข้ามาแทรกกลาง

                    “โจเอล เป็นอย่างที่คิดไว้ นางหายไปแล้ว”  จอร์ชกล่าว พลางชำเลืองไปยังฮานส์ เหมือนจะถามว่าควรให้รู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่

                    “เอาเถิด ข้าคิดว่าฮานส์น่าจะไว้ใจได้” โจเอลเว้นจังหวะ แล้วหันไปอธิบายให้กับผู้เป็นบ่าว “ฮานส์ เรื่องนี้อาจจะแปลกอยู่สักหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ ลูนาร์ที่อยู่กับเราไม่ใช่ตัวจริง...”

                    ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจแม้เพียงน้อย เขารู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?

                    “ทว่าตอนนี้แม้แต่ตัวปลอมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่... เราจะทำอย่างไรกันดี?” จอร์ชแทรกขึ้น

                    “เรื่องนี้มีแนวโน้มว่าลูนาร์จะถูกจับไปโดยเจ้าตัวปลอม ถ้าเราหาเจ้านั่นเจอ เราก็น่าจะหาลูนาร์เจอด้วย ข้าคิดว่าบางทีเราควรพึ่งพาเฮอร์ม” โจเอลเสนอ เมื่อจอร์ชได้ฟังก็มีท่าทีครุ่นคิดอยู่หน่อยหนึ่งก่อนจะแย้ง

                    ข้าไม่แน่ใจว่าเราควรจะให้เรื่องนี้เอิกเกริกไปหรือเปล่า หากทุกคนรู้ว่าที่พึ่งทางจิตใจถูกลักพาไป สถานการณ์ตอนนี้จะยิ่งย่ำแย่ ท่านลองคิดดูเถิด ว่าขวัญกำลังใจของบรรดาทหารจะตกต่ำขนาดไหน...

                    เมื่อได้ฟังดังนั้น ทั้งสามคนต่างก็ยิ่งเคร่งเครียดหนัก เพราะการสูญเสียศูนย์รวมทางความเชื่อในยามนี้ ย่อมเสี่ยงเป็นอย่างมาก กระนั้นก็ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้น

                    ถ้าเช่นนั้น... เราจะช่วยลูนาร์ได้อย่างไรกัน? น้ำเสียงของโจเอลแสดงถึงความว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด ถึงตรงนี้จอร์ชก็หยิบสิ่งหนึ่งออกมาอย่างเสียมิได้

                    สิ่งที่ชายหนุ่มใบหน้าสวยหยิบออกมา คือกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีข้อความเขียนไว้ จงนำองค์รัชทายาทแห่งเลโอเดนมาแลกกับนักบวชหญิงที่ถ้ำในอีกเก้าวันนับจากนี้

                    ความชัดแจ้งในสาส์นนั้นช่างน่าประหลาดนัก เมื่อเทียบกับการกระทำที่ผ่านมาของคนร้ายรายนี้ มันแสดงวัตถุประสงค์อย่างแจ่มชัด จนราวกับสาสน์ฉบับนี้มิใช่ของจริง

                    อาจเป็นเพราะมันได้คิดเอาว่าฝ่ายโจเอลรู้อะไรมากพอแล้วก็เป็นได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะคุ้มกันตนเองด้วยความคลุมเครืออีก แต่ถ้าหากว่ายังไม่รู้... สิ่งนี้ก็จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการค้นหาตัว “องค์รัชทายาทแห่งเลโอเดน” ออกมา เพราะตอนนี้นัยน์ตาดำเข้มของฮานส์ก็เริ่มจะฉายแววสงสัยขึ้นมาแล้ว จนโจเอลและจอร์ชต่างมองตากัน ว่าควรจะเปิดเผยเรื่องนี้หรือไม่ และผู้ใดควรจะเป็นฝ่ายอธิบาย

                    ไม่เป็นไร นายท่าน ข้าไม่คิดว่าควรจะรู้อะไรมากเกินไป” ฮานส์ชิงกล่าวเพื่อให้ทั้งสองสบายใจ

                    “ถึงอย่างไรนี่ก็นับเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี ฮานส์เคยบอกว่าเจ้าคนร้ายนี่ฝีมืออยู่ หากเราไปตามที่มันนัดหมาย... ข้าเกรงว่า...” โจเอลรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเป็นห่วงลูนาร์ แต่การส่งสหายไปให้ถูกสังหารก็ทำให้ตัดสินเรื่องนี้ได้ลำบากนัก

                    “เจ้าคนร้ายนี่มันเจ้าเล่ห์ทีเดียว มันเลือกนัดหมายวันเดียวกับการประลอง นั่นเท่ากับว่าเราต้องขาดมือดีที่จะรับมือมันได้” จอร์ชเสริม

                    “นายท่าน ตอนนี้เชลยได้หนีไปแล้ว ท่านคิดว่าจะยังมีการประลองอยู่อีกหรือ” ฮานส์ติง

                    “เรื่องนั้น...” โจเอลยิ่งรู้สึกหนักใจขึ้นอีกเป็นทวี

                    “เอาเถิด ข้าอยากให้ตัดเรื่องอื่นออกไปก่อน ตอนนี้ที่สำคัญก็คืออย่างเพิ่งให้ใครรู้ว่าลูนาร์ถูกจับตัวไป ส่วนนัดหมายของเจ้าวายร้ายนั่นยังเหลืออีกตั้งเก้าวัน เราคงพอมีเวลาคิดอ่านกันอยู่หรอก แต่หากว่าไม่มีทางใดแล้ว... ข้าก็ยินยอมแม้ต้องก้าวเข้าสู่ห้วงมรณะ...” จอร์ชกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า

                    “แล้ว... เราจะปิดบังเรื่องที่ลูนาร์ถูกจับตัวไปได้อย่างไร?” โจเอลตั้งคำถาม

                    “ข้าคิดว่าพอมีวิธี...” จอร์ชตอบ

     

                    “ท่านคิดว่าจูเหลียงจะยอมช่วยเราในเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาปานกระซิบ ขณะมุ่งหน้าสู่กระท่อมท้ายหมู่บ้าน ในที่สุดเขาก็หลุดนามของผู้ที่ใครๆพากันเรียกว่า เอลฟ์ ออกมาด้วยรู้สึกรำคาญต่อสรรพนามอันแสนคลุมเครือ

                    “จูเลียน? อ้อ! หมายถึงเอลฟ์ตนนั้นใช่ไหม? ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาจะยอมช่วยเรา แต่ท่านอย่าลืมสิ ว่านี่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของลูนาร์ ฉะนั้นหากต้องยอมคุกเข่าขอร้อง ข้าก็เชื่อว่าท่านจะยอมทำ” จอร์ชตอบ

                    โจเอลค่อนข้างคล้อยตามคำของสหาย ทว่าก็ยังอึดอัดต่อสถานภาพอันไม่แน่ชัดของจูเหลียง หากชายผู้นี้อยู่ในแดนการ์กอนก็ย่อมจะเป็นชาวการ์กอนด้วย (สิ่งนี้โจเอลสรุปเอาเอง) อีกประการนั้นเขาจะเป็นคนดีหรือว่าคนร้ายกันแน่? ในเมื่อโก๊กได้เคยกล่าวเตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้ กระนั้นก็ดูเหมือนว่าจอร์ชจะเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ว่าชายผู้ทำตัวลึกลับจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ อาจเพราะทั้งคู่มีลักษณะที่คล้ายกันในบางสิ่ง หรืออาจเพราะจอร์ชสามารถมองคนได้เก่งกว่าเขา

                    หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็หยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา มันคือเม็ดหินสีขาวขัดจนมันวาว

                    “ท่านคงจำสิ่งนี้ได้”

                    “หมากตัวนั้น... ทำไมกันหรือ?” จอร์ชถามกลับด้วยความรู้สึกสงสัย แน่นอนว่าเขาจำมันได้อย่างแม่นยำ เพราะได้ใช้ประลองกับคนผู้นั้นอยู่หลายหน แต่มันมาเกี่ยวอะไรด้วย?

                    “มันหล่นอยู่ในที่จองจำเชลย” โจเอลเฉลย

                    “ท่านกำลังคิดว่าจูเลียนอาจเป็นคนร้าย?”

                    “เรื่องนั้นข้ายังไม่แน่ใจ แต่เขาคงจะมีส่วนรู้เห็นต่อการปล่อยตัวเชลย ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ... เกิดอะไรขึ้นกับโก๊กที่ควรจะเฝ้าเชลย รวมทั้งมาโก๊กที่ข้าได้ขอให้ช่วยดูจูเหลียง...”

                    “...ถึงข้าจะมีอคติต่อพวกการ์กอนอยู่บ้าง แต่ยักษ์สองตนนั้นไม่ใช่พวกเหลวไหล... ถ้าหากว่าเป็นในทางร้าย เราอาจต้องระวังตัวสักหน่อยสินะ...” จอร์ชตอบ

                    โจเอลหันไปมองสหาย คำพูดนั้นทำให้เขาต้องกระชับยอดดาบดูรันดานาให้แน่นเข้า

     

                    ที่กระท่อมหลังน้อยปลายหมู่บ้าน เพียงหยุดอยู่ตรงด้านหน้าโจเอลก็ต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่ง นั่นเพราะยักษ์สองพี่น้องล้วนอยู่ที่นี่เอง โดยผู้พี่ดูเหมือนจะบาดเจ็บหนัก ขณะที่ผู้น้องคอยดูแลอยู่อย่างระแวดระวัง

                    “ท่านโจเอล” โก๊กเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเห็นชายทั้งสองแต่ไกล

                    “โก๊ก มาโก๊ก เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าทั้งสองกัน?” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลถามกลับทันที ซึ่งยักษ์ทั้งสองต่างก็พากันก้มหน้านิ่งด้วยความลำบากใจ จอร์ชจึงสะกิดสหายให้หันมาสนใจกับธุระที่ตั้งใจไว้

                    “ท่านโจเอล... ระวังตัวด้วย...” ยักษ์ผู้พี่กล่าวเตือนพลางข่มความเจ็บปวด โจเอลหันมายิ้มน้อยๆให้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเพื่อเยือนเจ้าของกระท่อม

     

                    แม้จะด้วยความรู้สึกคุ้นเคย ทว่าโจเอลก็ยังคงกระชับอาวุธประจำกายไว้ด้วยความระแวดระวัง ใครที่เล่นงานมาโก๊กได้เพียงนี้ก็สมควรที่จะไม่ประเมินให้ต่ำไปนัก ซึ่งบางทีเขาอาจคิดผิดที่มาที่นี่พร้อมกับจอร์ชเพียงสองคน หากเทียบไปแล้วก็ไม่ต่างกับครั้งที่เผชิญหน้ากับพญามังกรสักเท่าไหร่ นั่นคือข้อมูลส่วนหนึ่งเตือนอยู่ว่าเบื้องหน้ามีอันตราย ขณะที่ส่วนลึกในใจกลับไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงแต่อย่างใด

                    ภายในกระท่อม ตะเกียงถูกติดไว้สว่าง หากไม่ปรากฏผู้ใด ตรงยกพื้นมีที่นั่งเป็นเบาะเรียบๆจัดไว้สี่ที่ สองที่ในนั้นคงเป็นของจูเหลียงและเด็กสาวซึ่งคอยติดตามอยู่เสมอ นอกจากนี้ก็ยังมีกระดานหมากล้อมตั้งไว้ เหมือนรอคนมาเล่นด้วย

                    “มากันแล้วหรือ เชิญนั่งสิ” คำเชื้อเชิญดังมาจากภายใน อันเป็นน้ำเสียงและสำเนียงเฉพาะตัวของชายที่มีร่างค่อนข้างเตี้ยทว่าสง่างาม ผมและเคราดำยาวสลวย และเอกลักษณ์ที่ผู้คนกล่าวขานกันอย่างเข้าใจผิด นั่นคือใบหูที่ยาวชี้แหลม

                    ทั้งโจเอลและจอร์ชยังคงยืนนิ่งสองจิตสองใจอยู่ ผู้ที่ดูภายนอกเป็นมิตร บางทีอาจอันตรายกว่าที่คิด

                    “พวกท่านไม่นั่ง? มีอะไรกันหรือ?” เจ้าของกระท่อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าใสซื่อราวกับเสแสร้ง

                    “ท่านทำอะไรกับโก๊กและมาโก๊ก?” โจเอลยอมปริปากในที่สุด

                    จูเหลียงร้องอ้อก่อนจะตอบ “ถ้าหมายถึงเจ้ายักษ์ตัวสีแดงน่ะ ไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็น สิ่งนั้นต่างหาก ส่วนอีกตนนั้น ข้าคิดว่ามันก็แค่ตัดสินใจละทิ้งหน้าที่ เพื่อจะมาดูแลพี่ชายฝาแฝดก็เท่านั้น”

                    “สิ่งนั้น?” จอร์ชทวนด้วยความสงสัย

                    “สิ่งไหนที่พวกเจ้าพบในถ้ำก่อนมาถึงที่นี่ก็ สิ่งนั้นนั่นแหล่ะ เอ... หรือข้าจะเข้าใจผิดไป ว่าพวกท่านมีวัฒนธรรมแปลกๆ ในการเลี่ยงไม่เอ่ยนามในสิ่งที่ไม่สมควรเอ่ย?” จูเหลียงกล่าวพลางลูบเคราเรียวงาม

                    โจเอลฟังคำตอบพลางประหวัดไปถึงคำสาปที่มาโก๊กเคยได้รับ ตอนที่สังหารเมยานาร์ หรือว่ามันจะมาส่งผลเอาตอนนี้? อีกใจก็นึกไปถึงคำของยักษ์แดงก่อนหน้านี้ ที่ว่าเขาคงไม่อาจใช้คนธรรมดาไปเฝ้าภูตผีได้ หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของจูเหลียงกัน? ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ระวังชายที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นไปอีก

                    “เป็นอะไรกันไปล่ะ? ถ้าไม่เชื่อคำพูด เช่นนั้นเราออกไปดูอาการเจ้ายักษ์ฝาแฝดด้วยกันเป็นไร” ชายผู้มีใบหูชี้แหลมเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่าอาคันตุกะทั้งสองพากันนิ่งเงียบ โดยไม่รอความเห็น พูดจบจูเหลียงก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไปยังที่ซึ่งยักษ์ทั้งสองอยู่

     

                    สายตาของโก๊กและมาโก๊กส่อแววแตกตื่นเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างของจูเหลียง ไม่ช้าโจเอลและจอร์ชก็ตามออกมาด้วย และก่อนที่คนอื่นๆจะได้กล่าวอะไร จูเหลียงก็บ่นงึมงำด้วยภาษาประหลาด ซึ่งช่วยมาโก๊กให้คลายเจ็บปวดจากรอยแผลเป็น มันเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าประหลาด และหดเล็กลงในที่สุด

                    “มาโก๊ก เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” โจเอลถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งฝ่ายที่ถูกถามก็พยักหน้าแทนคำตอบ ว่าตนไม่เป็นอะไรมากแล้ว

                    “ท่านโจเอล ข้าขอโทษด้วยที่ละทิ้งหน้าที่เพื่อมาดูแลพี่ชาย” โก๊กกล่าวโดยไม่ยอมสบตาด้วยรู้สึกผิด

                    “ทีนี้ ท่านก็รู้แล้วว่าที่ข้าพูดมาล้วนเป็นจริง” จูเหลียงแทรกขึ้น

                    จอร์ชหันมามองจูเหลียงแล้วถาม “เมื่อสักครู่ท่านบ่นงึมงำด้วยภาษาประหลาด ตกลงแล้วท่านทำอะไรกันแน่?”

                    แทนที่จะตอบคำถามแต่โดยดี จูเหลียงกลับกอดอกนิ่งพลางลูบเคราเล่นยั่วยวนโทสะ จนเมื่อทุกคนเกือบจะทนไม่ไหว มาโก๊กจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้น

                    “มนุษย์พรายตนนี้ไม่ได้ทำอะไรข้า นี่เป็นผลจากคำสาปของเมยานาร์”

                    “ใช่แล้ว และเพราะภาษาเดิมของข้าอาจจะเชื่อมโยงได้กับ สิ่งนั้น บทสวดที่ข้ารู้บางบทจึงพอจะระงับความเจ็บปวดจากสิ่งนั้นได้” จูเหลียงรีบเสริม เป็นการสลับภาษาไปมาจนน่าปวดหัว จากภาษาการ์กอนที่โก๊กและมาโก๊กพูด กับภาษาเกลลาร์ที่จูเหลียงใช้สื่อสารกับโจเอลและจอร์ช จึงเป็นภาระให้โจเอลต้องคอยทำหน้าที่ล่ามเฉพาะกิจ

                    “แต่ว่านี่ก็แค่ช่วยชะลอผลของ สิ่งนั้นได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ข้าแนะนำว่าควรจะปรึกษาผู้เฒ่าในเผ่าของพวกเจ้าที่รู้เรื่องนี้ดีกว่านะ ถ้าไม่รู้วิธีแก้คำสาปล่ะก็ อาการเจ็บปวดแบบนี้คงไม่หายไปแน่” จูเหลียงกล่าวต่อไป คราวนี้เป็นภาษาการ์กอน อันเป็นการเจาะจงพูดกับมาโก๊ก ขณะที่โจเอลเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นบ้าง

                    “มาโก๊ก หากเจ้ารู้ว่าจะสอบถามเรื่องนี้ได้จากที่ใดก็จงไปเถิด คำสาปนี้เจ้ายอมรับมันไว้แทนข้า ฉะนั้นสิ่งที่ข้าพอจะตอบแทนเจ้าได้ในเวลาเช่นนี้ ก็คือการยอมให้เจ้าไปค้นหาวิธีแก้คำสาป...” เขาหันไปทางโก๊กแล้วกล่าวอีก “เจ้าก็จงตามไปดูแลพี่ชายเถิด”

                    ยักษ์ทั้งสองฟังคำพูดของผู้ที่ตนตั้งใจจะให้เป็นจ้าวชีวิต แล้วก็หันมามองหน้ากัน ต่างอ้ำอึ้งกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นอำลาเป็นการชั่วคราว

                    “ข้าทั้งสองจะรีบกลับมาโดยไว” กล่าวจบโก๊กและมาโก๊กก็เดินจากไปเงียบๆ จนลับตาแล้วจูเหลียงจึงหันมายังโจเอลและจอร์ช

                    “เอาล่ะ ทีนี้ก็มาว่ากันถึงสาเหตุที่พวกท่านอุตส่าห์มาที่นี่ในยามวิกาลกันเสียที” ชายผู้มีใบหน้าเยาว์วัยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก พลางปรายมือเชื้อเชิญไปทางกระท่อมหลังน้อย

                   

                    ภายในกระท่อม คนทั้งสี่ต่างนั่งกันอย่างเงียบเชียบอยู่นานพอควร โจเอลชำเลืองมองจอร์ชอย่างลังเล ว่าใครควรจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

                    “...ข้าคิดว่า นี่คงเป็นของท่าน...” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยอมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ด้วยการหยิบเม็ดหมากสีดำซึ่งพบในที่คุมขังเชลย

                    “นั่นน่ะหรือ...” จูเหลียงชำเลืองมองอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจเท่าใด “ทิ้งมันไปเถิด”

                    “ทิ้ง?” โจเอลทวน

                    “ใช่” จูเหลียงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าทิ้งจึงจะรอด”

                    คำตอบที่ได้ชวนให้งุนงงสงสัย จนอาคันตุกะทั้งสองต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก

                    “ท่านเป็นคนปล่อยตัวเชลย?” โจเอลตัดสินใจถามให้ชัดขึ้น

                    “ปล่อย อ้า! ใช่แล้ว! ปล่อย! อย่างที่เคยบอกนั่นล่ะ ว่าข้ายังใช้ภาษาของพวกท่านได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ทิ้งกับปล่อยความหมายก็คงคล้ายๆกัน” บุรุษเจ้าปัญหาหยุดพูดแล้วมองมา แต่เมื่อเห็นแววตางงงันก็จำต้องอธิบายต่อ

                    “เอาล่ะ นี่ข้าคงไม่ต้องอธิบายซ้ำซากหรอกนะ ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของพวกท่านนั้นเข้าตาจนเต็มที... ขอโทษนะ ขอหมากเม็ดนั้นคืนที” จูเหลียงยื่นมือมา และเมื่อโจเอลส่งเม็ดหมากล้อมคืนให้ จูเหลียงก็นำมันมาวางบนกระดาน เสริมหมากสีขาวเม็ดอื่นที่วางอยู่เต็มพรืด ล้อมหมากสีดำจำนวนน้อยนิดกลางกระดาน

                    “ขอถามหน่อยเถิด ว่าประโยชน์อันใดหรือ ที่จะจับตัวเชลยนั้นไว้ ซึ่งมีแต่จะผลักดันให้วาคียาเร่งหักค่ายให้เร็วเข้า”

                    “แต่นั่นเป็นเครื่องมือต่อรองสำหรับฝ่ายเรา ในการจะประลองกับฝ่ายการ์กอน” จอร์ชแย้ง

                    “นั่นยิ่งจำเป็นที่จะต้องปล่อยตัวนาง ท่านรู้หรือไม่ ว่านางคือคนรักของวาคียา” จูเหลียงถาม ซึ่งโจเอลก็พยักหน้ารับ อีกฝ่ายจึงกล่าวต่อไป

                    “ข้ามีเรื่องจะเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับหมาป่าและกระต่าย ในฤดูหนาวครั้งหนึ่ง หมาป่าหิวโหยไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย พลันมาพบกับกระต่ายน้อยจึงออกไล่ล่า... ท่านคิดว่าในการวิ่งแข่งครั้งนี้ ฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ?”

                    “หมาป่า” ชายหนุ่มใบหน้าสวยตอบแทบจะในทันที ขณะที่สหายยังคงครุ่นคิดอยู่ จากนั้นจึงอธิบายความคิดตน “เพราะหมาป่าต้องการอาหารและมันแข็งแกร่งกว่า มันจึงน่าจะเป็นผู้ชนะ”

                    “ฮะฮะฮะ ความเห็นท่านน่าสนใจดี แต่อันที่จริงแล้ว... กระต่ายน้อยเป็นผู้ชนะ” จูเหลียงเฉลย เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งฉงน เขาจึงลูบเคราเล่นอย่างอารมณ์ดี ราวกับชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งผู้คน ในที่สุดจึงยอมอธิบาย

                    “เรื่องนี้อาจารย์ของข้าท่านกล่าวไว้ ว่าเพราะหมาป่าต่อสู้เพื่ออาหาร ขณะที่กระต่ายน้อยต่อสู้เพื่อชีวิตรอด ฉะนั้นกระต่ายน้อยจึงเป็นผู้ชนะ เพราะเป้าหมายของมันสำคัญกว่าของหมาป่า แม้ว่าในกรณีนี้อาจจะไม่เหมือนกันนัก แต่สิ่งที่ข้าจะบอกกับพวกท่าน ก็คือแรงจูงใจ สิ่งนี้สำคัญนัก ถ้าจะให้พูดกันตรงๆแล้ว การที่ท่านจะประลองกับวาคียาโดยจับคนรักของเขาเอาไว้ นั่นย่อมไม่มีหนทางที่จะชนะได้เลย ฉะนั้น ข้าจึงช่วยพวกท่านด้วยการทำลายแรงจูงใจของวาคียา...” จูเหลียงเว้นจังหวะ แล้วยกเครื่องดื่มรสฝาดแต่หอมที่เรียกว่า น้ำชา ขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ รอจนอีกฝ่ายตั้งท่าจะพูด จึงค่อยชิงตัดหน้าด้วยรู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องใด

                    “การจะท้าประลองกับวาคียานั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวประกันแต่อย่างใดเลย หากว่าท่านรู้จักชายผู้นี้ ปัญหาก็คือ... ท่านแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศัตรู รวมไปถึง เจ้านั่น

                    “เจ้านั่น?” ทั้งโจเอลและจอร์ชถามขึ้นเกือบจะพร้อมกัน รู้สึกว่าจูเหลียงจะชอบพูดอะไรทิ้งไว้ครึ่งๆกลางๆเสียอยู่เรื่อย

                    “อ้อ! ข้าหมายถึงคนที่ท่านเรียกว่ามือสังหารนั่นไง” เจ้าของกระท่อมหันมองยังจอร์ชแล้วกล่าวต่อ “และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ข้าต้องชิงปล่อยตัวเชลยของพวกท่าน เพราะนางได้ตกเป็นเป้าหมายของมือสังหารนั่นเอง”

                    “ท่านรู้การเคลื่อนไหวของมัน?” จอร์ชยิ่งรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น

                    “ฮะฮะฮะ ก็ไม่เชิงนักหรอก น่าจะเรียกว่าสังหรณ์ใจเสียมากกว่า ถ้าจะมีสิ่งที่ทำให้พวกท่านตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นี้ นั่นก็เห็นจะเป็นการสังหารเชลยทิ้งเสีย และก็ดูเหมือนจะจริงดังคาด เพราะข้าปล่อยนางก่อนที่เจ้านั่นจะมาถึงไม่นาน”

                    “ท่านพบเจ้ามือสังหาร?” โจเอลถามขึ้นบ้าง

                    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่อย่าได้ถามถึงรูปพรรณสัณฐานของมันเชียว เพราะตอนนั้นมันมืดมาก และเจ้านั่นก็ไม่ได้อ้อยอิ่งจนดูรู้แน่ จากรูปร่างแค่พอคะเนได้ว่าน่าจะเป็นหญิงกระมัง”

                    สิ้นคำอธิบายของจูเหลียง โจเอลและจอร์ชก็หันมามองหน้ากัน ชั่งใจอยู่ว่าจะเชื่อในสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้หรือไม่ จนเมื่อผ่านไปชั่วครู่ จอร์ชจึงได้หยิบจดหมายที่คาดว่าเป็นของมือสังหารออกมา เพื่อจะเข้าสู่อีกวัตถุประสงค์ที่มา ณ ที่นี้

                    “ท่านจูเลียน ข้ามีเรื่องที่อยากจะให้ท่านช่วยสักหน่อย” จอร์ชกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม

                    ชายผู้มีใบหูชี้แหลมรับจดหมายฉบับนั้นมาดูด้วยสีหน้างุนงง (และจอร์ชก็ไม่ได้สังเกตเลย ว่าตอนที่เรียกชายผู้นี้ว่า จูเลียนหัวคิ้วของเขาได้กระตุกเล็กน้อย)

                    “มันเขียนไว้ว่าอย่างไรกันหรือ?” จูเหลียงส่งมันกลับไปอย่างไม่สู้จะใส่ใจเท่าไหร่ หลังจากที่กวาดตามองอยู่สองสามที ซึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่รู้ในอักษรเกลลาร์ ความจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่โจเอลและจอร์ชได้ลืมไป ด้วยความที่จูเหลียงพูดภาษาของพวกเขาได้ดีจนน่าทึ่ง

                    “จงนำองค์รัชทายาทแห่งเลโอเดน มาแลกกับนักบวชหญิงในอีกเก้าวันนับจากนี้” จอร์ชอ่านเนื้อความในจดหมาย

                    “รัชทายาทแห่งเลโอเดน... หมายถึงท่านสินะ” จูเหลียงกล่าวกับจอร์ช ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เพราะจอร์ชได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังไปแล้วก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับที่เคยเล่าให้โจเอลฟัง

                    “แล้วนักบวชหญิงที่ว่านี้คือใคร?” จูเหลียงตั้งคำถามพลางลูบเคราเล่นอย่างครุ่นคิด

                    “นาง... คือคนรักของโจเอล” จอร์ชตอบ การสรุปความเช่นนั้น ทำให้สหายหนุ่มที่นั่งข้างๆหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว

                    “อ้อ” จูเหลียงลากเสียงยาว เผยยิ้มที่มุมปากอย่างเอ็นดู แต่กลับกล่าวเฉไฉ “แต่ว่า... เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้าสักหน่อยนี่นะ แล้วพวกท่านคิดว่าข้าจะช่วยอะไรได้อย่างนั้นหรือ”

                    ทั้งโจเอลและจอร์ชต่างก็หน้าจืดไป จนจูเหลียงออกปากตำหนิต่อ

                    “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้ากัน ในเมื่อท่านมองข้าในฐานะเชลย ถึงได้ให้เจ้ายักษ์นั่นมาเฝ้า ทำให้ไม่ได้จดบันทึกดวงดาวเสียหลายวัน ฉะนั้นธุระของพวกท่านย่อมไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด”

                    แม้จะเป็นการต่อว่า แต่น้ำเสียงก็เหมือนกับจะล้อเล่นอยู่ในที เปิดช่องให้จอร์ชตอบโต้วาจา

                    “ท่านจูเลียน(คิ้วของจูเหลียงกระตุกโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง) ถึงจะกล่าวเช่นนั้นก็ตามเถิด แต่ท่านเพิ่งบอกไปเองไม่ใช่หรือ ว่าที่ปล่อยตัวเชลยก็เพื่อให้พวกเรารอดพ้นจากแรงพิโรธของวาคียา เช่นนั้นก็เท่ากับว่าท่านมีใจช่วยฝ่ายเราอยู่ไม่น้อย โปรดอย่าได้เกี่ยงงอนอีกต่อไปเลย เพราะเวลาของเรามีน้อยนิด”

                    จูเหลียงฟังคำของจอร์ชแล้วก็ผุดลุกขึ้น จนทำให้ชายหนุ่มทั้งสองตกใจว่าอีกฝ่ายอาจกำลังโกรธขึ้ง ชายร่างเล็กแต่ดูสง่าเดินกลับไปกลับมาอยู่สองสามรอบ พลางลูบเคราเรียวยาวด้วยอาการครุ่นคิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอามือมาไพล่หลัง พร้อมหันมากล่าว

                    “เอาเถิด ข้าจะยอมช่วยพวกท่านในเรื่องนั้น”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×