ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #39 : บทที่ 38 ท้าประลอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 184
      0
      16 ต.ค. 50

                    ญิงสาวผู้มีผิวขาวนวลเผยอเปลือกตาด้วยความอ่อนล้า ดวงตาสีอำพันงามล้ำกลอกไปมารอบกายอย่างหวาดระแวง เธอฟื้นขึ้นมาในอาคารเรียบๆหลังหนึ่งซึ่งไม่มีข้าวของใดวางอยู่เลย นอกจากกองหญ้าแห้งที่ใช้ปูนอน

                    บาดแผลตรงทรวงอกยังคงตึงปวด ตอนนี้ลูกธนูได้ผ่าออกไปแล้ว และยังมีสมุนไพรประคบปากแผลไว้ แต่ถึงแม้จะได้รับการรักษา เธอก็ยังคงไม่ไว้วางใจคนพวกนี้อยู่ดี พวกนี้เป็นชนต่างเผ่า เป็นผู้รุกราน และยังเป็นศัตรูอีกด้วย

                    เมื่อมองดูแสงที่ลอดเข้ามาตามช่อง ทำให้พอจะเดาได้คร่าวๆว่านี่คงเข้าช่วงสายแล้ว ป่านฉะนี้แล้วท่านวาคียาจะเป็นอย่างไรบ้าง...

                    ถึงจะด้วยความห่วงหาอาทรเช่นนั้น แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะกล้ากลับไปเจอหน้า เพราะครั้งนี้ได้ทำเกินคำสั่งจนต้องตกมาเป็นเชลย ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก หญิงสาวจึงกระถดกายอิงแอบฝาผนังด้วยความตื่นกลัว

                    ผู้ที่เข้ามาคือชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ซึ่งแม้จะเคยสบหน้าแค่เพียงแวบเดียว ทว่ากลับติดตรึงอย่างแม่นยำ คนผู้นี้เคยร้องเตือนเธอไว้ และถึงจะไม่มีลักษณะของคนที่คิดร้าย แต่เธอก็ยังวางใจอะไรง่ายๆไม่ได้

                    ในมือของชายผู้นั้นมีถาดอาหารร้อนๆส่งกลิ่นหอม เธอหิว แต่ก็กลัว จึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าขดกายเฝ้ามองดู

                โจเอลนิ่งมองสตรีที่ถูกจับเป็นเชลย พลางคิดว่าควรจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเห็นแววตาตื่นกลัวที่จ้องมองมาก็พลันเปลี่ยนใจ บางทีเขาควรจะปล่อยให้เธอได้อยู่คนเดียวสักระยะ เพราะหากพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงจะไม่เป็นผลอยู่ดี มันทำให้เขานึกถึงคราวที่จับเด็กสาวที่ดูเหมือนครึ่งคนครึ่งแมวไว้ได้ที่หมู่บ้านคูอูล จึงไม่คิดจะฝืนดึงดัน หาไม่แล้วอาจจะได้รับความเกรี้ยวกราดตอบกลับมา ฉะนั้นโจเอลจึงปล่อยให้เชลยอยู่ตามลำพัง โดยตั้งให้โก๊กคอยเฝ้า ด้วยเหตุที่เป็นชาวการ์กอนเหมือนกัน หากมีสิ่งใดที่เธอต้องการจะได้นำมาบอกแก่เขาได้

     

                    หลังจากที่โจเอลได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกอย่างไม่ทันจะคล้อยหลังดี ทหารนายหนึ่งก็รีบวิ่งมาบอกเขา ว่ามีนักรบการ์กอนผู้หนึ่งมุ่งตรงมา นั่นทำให้นายบ้านหนุ่มนึกฉงน การมาเพียงผู้เดียวออกจะน่าประหลาด หรือว่านักรบผู้นั้นจะต้องการเจรจาสิ่งใดกัน?

                    เพียงเฝ้าสงสัยอยู่ไม่นาน เสียงตะโกนด้วยภาษาการ์กอนก็ดังมาจนถึงที่ที่โจเอลยืนอยู่ ด้วยเสียงทอันทรงพลังยิ่ง ใจความคำนั้น คือต้องการให้มีผู้ออกมาเจรจาด้วย

     

                    โจเอลขับม้าออกมาจากประตูค่ายพร้อมด้วยมาโก๊กตามคำเรียกร้องของอีกฝ่าย ผู้ที่ยืนประจัญอยู่ตรงหน้าก็คือวาคียา ซึ่งมาเพียงผู้เดียวเท่านั้น เขามีอาการรุกรี้รุกรน เฝ้าเดินวนไปมาดังเสือติดจั่น พลางเพ่งมองมาอย่างเอาเรื่อง

                    ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลพยายามวางตัวนิ่งเฉยที่สุด เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูฝีมือร้าย การที่เขาพามาโก๊กมาด้วย มิใช่เพื่อคุ้มกันหรือคุกคามคู่เจรจา หากแต่เผื่อว่าจะมีข้อผิดพลาดในการสื่อสารเกิดขึ้น หรือความไม่เข้าใจกันในวัฒนธรรมบางอย่าง เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจในการใช้ภาษาการ์กอนของตนนัก เพียงพูดและฟังได้รู้ความเท่านั้น

                    พวกเจ้าจับผู้หญิงของข้าไว้วาคียาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยความร้อนใจ ซึ่งโจเอลก็ตอบรับ

                    ข้าต้องการนางคืน พวกเจ้ามีเงื่อนไขอะไร? การเจรจาเข้าสู่วัตถุประสงค์อย่างรวดเร็วไม่อ้อมค้อม แม้ด้วยท่าทีที่ฉุนเฉียว วาคียาก็ไม่ได้ขาดสติ เขาอาจทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อชิงเอาหญิงคนรักคืน ทว่าศัตรูก็อาจจับนางเป็นตัวประกันหากเข้าตาจน เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ยอมเจรจาอย่างผู้มีอารยะ และมิได้แสดงอาการคุกคามมากนัก

                    โจเอลนิ่งนึกอยู่นาน การใช้ตัวประกันไม่ใช่แผนที่เขาวางไว้ และไม่คิดจะใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวประกันที่เป็นสตรี แต่การได้เจรจาต่อกันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี บางทีเขาอาจหาทางออกสำหรับทั้งสองฝ่ายได้

                    ปล่อยพวกเราทั้งหมดไป ข้อเสนอของโจเอลตรงประเด็นไม่แพ้กัน

                    ไม่ได้ วาคียาตอบเสียงเข้ม ข้ามาเจรจาต่อเจ้าในฐานะบุรุษต่อบุรุษ มิใช่ผู้นำต่อผู้นำ เรื่องที่เกี่ยวพันกับคนของข้าหรือคนของเจ้า ข้ารับปากให้ไม่ได้

                    ทันทีที่ได้ยินคำตอบ สถานการณ์ก็เริ่มจะตึงเครียด การต่อรองที่มิได้อยู่ในฐานะตัวแทนต่อตัวแทน จะมีความหมายอะไรในสถานการณ์เช่นนี้

                    ก่อนที่ท่านจะปฏิเสธ ข้าขอให้ท่านรู้ไว้ก่อนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เรามิได้ตั้งใจจะรุกรานดินแดนของท่าน ตอนนี้เราต้องการเพียงแค่ได้กลับบ้านเท่านั้น โจเอลพยายามอธิบาย

                    แต่คนของข้าที่ตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืน วาคียาย้อนกลับ

                วาคียา เจ้าสามารถยุติเรื่องนี้ได้ในฐานะส่วนตัวและผู้นำศึกของชาวการ์กอน... การประลองยังไงล่ะ มาโก๊กเสนอ

                    เจ้าคนทรยศ จงอย่าได้บังอาจสอดแทรก ขืนพูดอีกคำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตรงนี้ วาคียาตะคอกใส่ยักษ์แดงด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าอีกฝ่ายกลับหาได้กริ่งเกรงแม้แต่น้อย

                    ก็ลองดู มาโก๊กท้าทาย และเพียงสิ้นประโยค ชายร่างเล็กก็ปราดเข้าใส่ เขาอาจทำได้ดังคำขู่ หากไม่ถูกธนูดอกหนึ่งขัดขวางไว้

                    เป็นจอร์ชที่จับเอาชายผู้มีเขาไว้เป็นเป้าหมาย ซึ่งหากว่ามีเรื่องใดขึ้นมาก็พร้อมจะจัดการได้ทันที

                    พอที!” โจเอลตวาด ด้วยน้ำเสียงที่น่ายำเกรง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ยุติลง

                    การประลอง ข้าคิดว่าเป็นเงื่อนไขที่ดี อย่างน้อยเราทั้งสองฝ่ายก็ไม่ต้องเปลืองไพร่พล ถ้าท่านชนะ ข้าจะส่งสตรีของท่านคืน แต่ถ้าข้าชนะ... ท่านก็ช่วยเปิดทางให้คนของข้าด้วย ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยื่นข้อเสนอ ว่าอย่างไรล่ะ ท่านจะรับคำท้าไหม? เขาถามขึ้นอีกเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป

                    ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามา วาคียาตอบด้วยความองอาจ พร้อมที่จะเข้าต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

                    ไม่ใช่วันนี้ ในกลุ่มชนของข้ามีธรรมเนียมการประลองอยู่ อย่างน้อยเราก็ไม่ต่อสู้กับผู้ที่บาดเจ็บ ข้าจึงขอเลื่อนไปจนกว่าท่านจะหายดี

                    แววตาของวาคียาฉายแววลังเลอยู่หน่อยหนึ่ง ก่อนจะเป็นฝ่ายเสนอกำหนดการ ...ถ้าเช่นนั้น สิบวันหลังจากนี้...

                    โจเอลพยักหน้ารับ ท่านจะต่อสู้ด้วยอะไร มีเงื่อนไขใดเป็นพิเศษหรือไม่?

                    ไม่มี ท่านจะนั่งมาบนสัตว์สี่ขาหรือต่อให้มันมีแปดขาก็ตามใจ คำตอบของวาคียาแสดงความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

                    ถ้าเช่นนั้น ข้าขอมอบปอยผมนี้ไว้เป็นตัวแทนของข้อตกลงครั้งนี้ ในวันที่กำหนด ขอให้มีพยานมาฝ่ายละสิบคนเท่ากันด้วย กล่าวจบโจเอลก็ตัดปอยผมของตนแล้วยื่นให้ ซึ่งวาคียาก็ทำในแบบเดียวกัน

                    ช้าก่อน วาคียาร้องเรียกขึ้นอีกครา ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังแยกกันกลับสู่ที่มั่นของตน เมื่อโจเอลเหลียวมา เขาจึงพูดต่อ

                    ท่านพูดภาษาของเราได้ แม้จะไม่ดีนัก แต่ก็แสดงว่าท่านไม่โง่ ในระหว่างนี้ หากผู้หญิงของข้าถูกทำร้ายแล้วล่ะก็... จงเตรียมใจเผชิญกับการแก้แค้นที่สาสมไว้ได้เลย

                    ข้าขอสัญญา ว่านางจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด โจเอลให้คำมั่น ชายทั้งสองต่างก็จ้องมองตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบ่ายหน้ากลับไปยังฝ่ายตน

     

                    การจับเชลยและนัดหมายในการประลอง น่าที่จะเป็นข่าวดีต่อฝ่ายโจเอล เพราะว่าในช่วงสิบวันนี้น่าจะว่างเว้นจากการโจมตีลงบ้าง และไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็แทบจะไม่สูญเสียเลย ซ้ำยังไม่ลำบากแก่บรรดาทหารเสียอีก ทว่าการประชุมวันนี้กลับเคร่งเครียดไปเสียได้

                    นับเป็นทางออกที่ดีทีเดียว หากเราจะยุติเรื่องพวกนี้ได้ด้วยการประลอง อย่างน้อยก็ช่วยลดความได้เปรียบในเรื่องกำลังพลลงได้ ทว่า... ปัญหาสำคัญก็คือ... ใครจะเป็นแชมเปี้ยน (Champion) ของฝ่ายเรา? จอร์ชตั้งคำถามให้ชวนขบคิด

                    ทางด้านการ์กอนนั้น ผู้ที่จะลงประลองคงเป็นวาคียาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะอันที่จริงนี่นับเป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับวาคียาไม่น้อยกว่าครึ่ง ทั้งมาโก๊กยังบอกให้ฟังอีก ว่าในหมู่นักรบการ์กอนจะหาผู้ที่เก่งกาจกว่านี้เป็นไม่มี และวาคียายังออกนำหน้าในทุกการศึก นั่นจึงทำให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก ว่าพวกเขาควรจะให้ผู้ใดเข้าประลองดี

                    ...ถ้าไม่มีใครว่าอะไร ข้าขอให้หน้าที่นี้เป็นของฟรีแลนซ์ จอร์ชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนต่างพากันเงียบ

                    ฮะ ฮะ ขอบคุณที่ให้เกียรติกันนะ แต่ไม่รู้ว่าแผลของข้าจะหายวันไหน อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะคว่ำเจ้านั่นได้ คราวที่แล้วยังเกือบตายไปทีหนึ่งล่ะ ฟรีแลนซ์เว้นจังหวะแล้วหันไปชำเลืองเฮอร์ม ก่อนจะกล่าวต่อ ทำไมไม่ให้ท่านฮานส์เป็นแชมเปี้ยนฝ่ายเรากันล่ะ แค่เพลงดาบนั้นก็น่าจะริบคอหมอนั่นได้ในทีเดียว...

                    ที่เขากล่าว หมายถึงกระบวนท่าที่ฮานส์ได้ฟันดาบออกไปเป็นคลื่นสุญญากาศ ซึ่งได้เผยออกมาเพียงชั่วแวบเดียวในคืนที่การศึกชุลมุน นอกจากฟรีแลนซ์และโจเอลแล้ว ก็ไม่มีใครในที่นี้จะรู้ว่ามีเพลงดาบที่ว่านี้อยู่เลย

                    ท่านฟรีแลนซ์ นั่นมันช่วงพลั้งเผลอต่างหากหรอก... ฮานส์ตอบด้วยเสียงที่เบายิ่ง

                    เรื่องนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของท่านเสียแล้วล่ะ ท่านฟรีแลนซ์ ฝีมือท่านเทียบได้กับคนร้อยคนมิใช่หรือ คงมิได้ระย่อกับคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวกระมัง จอร์ชสรุปความเอาเอง พร้อมกับยั่วเย้ามิให้แชมเปี้ยนฝ่ายตนคร้ามศึก และเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน ฟรีแลนซ์จึงต้องยิ้มหน้าแห้งรับภาระนั้นไป

                    ว่าแต่เจ้าพวกนั้นจะรักษาคำพูดแน่รึ? แบเรียมโยนคำถามขึ้นกลางวง โจเอลจึงสอบถามเรื่องนี้กลับมาโก๊ก และได้คำตอบว่านี่เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชาวการ์กอนเช่นกัน ชัยชนะจากการประลองก็ย่อมจะถือโดยทั่วไปว่าเป็นการเอาชนะศึกด้วย

                    เมื่อในที่ประชุมไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือมีข้อเสนอใดแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายกันไป มีเพียงโจเองที่ยังนั่งเงียบๆอยู่ที่เดิม

                    ท่านมีอะไรไม่สบายใจอยู่หรือ? โจเอล จอร์ชย้อนกลับเข้ามาเมื่อเห็นท่าทีของสหาย อันที่จริงเขาสังเกตเห็นตั้งแต่ในการประชุมแล้ว ว่าโจเอลมีอาการดังน้ำท่วมปาก แทบมิได้แสดงความเห็นใดเลย

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเงยหน้าขึ้นสบตาสหาย เขามิได้ตอบคำถามในทันที จนในที่สุดก็ถอนหายใจแรงก่อนจะกล่าว

                    ขออภัยด้วย... ข้ามีความตั้งใจหนึ่งที่ยังมิได้ปรึกษาแก่ท่าน...

                    ชายหนุ่มใบหน้าสวยมิได้เอ่ยอะไร เพียงเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย

                    อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ข้าควรบอกท่าน เพราะท่านเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รักและเป็นห่วงลูนาร์ไม่น้อยกว่าข้า

                    เมื่อเอ่ยถึงลูนาร์ จอร์ชจึงเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง ท่านกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ช่วยอธิบายให้ข้ารู้หน่อยเถิด

                    คือ... จะว่าไปเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับการประลองอยู่เหมือนกัน... ถ้าจะกล่าวให้รวบรัดแล้ว... ข้าตั้งใจจะให้ฟรีแลนซ์พาลูนาร์กลับไปส่งยังฟอร์ทอังเคิลนั่นเอง... คำเฉลยของโจเอล สร้างความประหลาดใจไม่น้อย

                    ท่านว่าอย่างไรนะ? จอร์ชถามย้ำด้วยความรู้สึกสับสน

                    จอร์ช ข้าคิดว่าเรื่องนี้ท่านน่าจะเข้าใจได้นะ สถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็นับว่าเลวร้ายลงทุกที เพื่อจะไม่ต้องพะวักพะวง ข้าจึงคิดว่าควรจะให้ลูนาร์ได้กลับไปยังฟอร์ทอังเคิลเสียก่อน...

                    โดยให้ไปกับฟรีแลนซ์นี่นะ? จอร์ชแย้ง

                    ใช่... ข้าเชื่อว่าเขาจะทำได้ หรือท่านเห็นว่ามีทางอื่นกัน? โจเอลถามกลับ

                    ข้ามีเหตุผลสองประการที่จะไม่เห็นด้วยกับท่าน หนึ่งคือเราต้องใช้ฟรีแลนซ์ในการประลองกับพวกการ์กอน สองคือข้าไม่ไว้วางใจคนผู้นี้พอที่จะให้พาลูนาร์ไปตามลำพัง ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้สังเกตสินะ ว่านักรบรับจ้างผู้ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้แสดงอาการกรุ่มกริ่มเพียงไหนคำตอบของจอร์ชแม้จะฟังดูขัดแย้ง ทว่าก็เป็นความจริง เพราะฟรีแลนซ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการจะลงประลองกับศัตรู ไม่เพียงฝีมือที่เจนจัดเท่านั้น การที่เขาเป็นเพียงทหารรับจ้าง หากว่าจะเสียชีวิตไปในครั้งนี้ก็ไม่กระเทือนต่อทุกคนแต่อย่างใด ขณะที่ลูนาร์เป็นหญิงสาวที่น่ารัก ใครเห็นก็นึกชมชอบ และฟรีแลนซ์ก็เป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นบุรุษที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เขาจึงไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในการณ์นี้

                    แล้วท่านจะรู้สึกอย่างไรกัน ถ้านางยังอยู่ที่นี่แล้วต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกับพวกเรา หากต้องพ่ายแพ้?

                    คำถามที่โจเอลตั้งขึ้นมาทำให้จอร์ชนิ่งงันเพื่อใคร่ครวญอย่างหนัก

                    ...เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี แต่อยากให้ท่านใจเย็นสักหน่อยหนึ่งเถิด อย่างน้อยในการประลองเราก็น่าจะมีหวังบ้าง ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว ข้าจะยอมให้ท่านทำตามที่ตั้งใจ จอร์ชเอ่ยออกมาในที่สุด โจเอลไม่ได้ตอบออกมาแต่ประการใด ฉะนั้นเขาจึงกล่าวต่อ ข้าคิดว่ายังมีอีกผู้หนึ่งที่จะช่วยเราได้...

                    ใครกันหรือ?

                    อืม... ข้าจะเรียกเขาว่าอะไรดีนะ... เอลฟ์? หรือชายประหลาดที่ท้ายหมู่บ้านดี?

                    เมื่อเห็นว่าโจเอลไม่ได้พูดอะไร จอร์ชจึงกล่าวต่อ คนผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดา อย่างน้อยเขาก็ล่วงรู้ความคิดศัตรูของเราส่วนหนึ่ง โจเอล ถึงแม้ท่านจะไม่ได้บอกข้า แต่แปลนที่ใช้สร้างกำแพงก็คงจะมาจากชายผู้นี้สินะ ปัญหาก็คือ... จะทำอย่างไรให้เขาช่วยเราดี เพราะจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ยอมพูดกับข้าแม้สักคำ

                    จอร์ชรู้ดีว่าโจเอลได้สนทนากับชายที่ถูกเรียกว่าเอลฟ์มาไม่น้อย ซึ่งคงได้บอกอะไรที่มีประโยชน์มาบ้างแน่ แต่ทำไมคนผู้นี้จึงไม่ยอมสนทนากับเขากันแน่ ทั้งที่ได้ยอมเป็นคู่เล่นเกมเช่นเดียวกับที่โจเอลทำ มันคงต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่

                    โจเอลยังคงมิได้ปริปากแต่อย่างใด เขายอมรับว่าจูเหลียงมีความหลักแหลมอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของยักษ์ฝาแฝดก็จำต้องนิ่งไป ถ้าคนผู้นี้ถูกมองเป็นผีร้ายสำหรับชาวการ์กอน แล้วเขาจะยังคงไว้ใจได้หรือ อีกทั้งการกระทำที่ลับๆล่อๆ ทำให้จนบัดนี้ก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อการคงอยู่ของชายผู้นี้ยิ่งนัก

                    เอาล่ะ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ข้าคงต้องขอตัวไปตรวจตราเสบียงดูที ว่าจะเหลือมากน้อยสักเท่าไหร่กัน ฟรีแลนซ์ก็ช่วยในการศึกได้ดีอยู่หรอกนะ เสียแต่ว่าทานเปลืองไปสักหน่อย จอร์ชตัดบท เมื่อเห็นว่าสหายของตนมิได้ตอบอะไร

     

                    ทางด้านฝ่ายการ์กอน นัดหมายในการประลองได้สร้างความขัดแย้งขึ้น มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และปิดปากเงียบ ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายที่คัดค้าน ย่อมต้องมีคูรานที่ไม่ชอบวาคียาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

                    วาคียา ข้าแปลกใจทีเดียว ที่เจ้ายอมตกลงในสิ่งที่ทำให้พวกเราเสียเปรียบขนาดนี้ คูรานกล่าวกลางที่ประชุม ชายวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้าที่ยับย่น แต่ก็เรียบนิ่งไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆ หรืออาจไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ เพราะผิวของเขานั้นแข็งกระด้างไม่ผิดกับเปลือกไม้ แต่ก็ด้วยคำสาปนี้เองที่กลับทำให้เขามีบุคลิกน่าเชื่อถือในหมู่ชาวการ์กอน โดยเฉพาะเมื่อรวมกับร่างกายสูงสง่า ผิดกับวาคียาที่ตัวค่อนข้างเล็ก และมักแสดงอารมณ์อย่างซื่อตรง ซึ่งบ่อยครั้งเป็นไปในทางฉุนเฉียว

                    คงไม่ใช่ว่าเจ้าเอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นอารมณ์หรอกนะ ชายคนเดิมกล่าวอีกในทำนองต้องการจะยั่วยุ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ และสายตายิ้มเยาะของประดาลูกไล่

                    เสียเปรียบหรือ? เปล่าเลย ข้าแค่ทำตามที่ท่านแนะนำต่างหากเล่า แสดงความกล้าหาญอย่างไรล่ะ ท่านอา วาคียาตอบอย่างไม่กลัวเกรง ยิ่งสรรพนามตอนท้ายที่ใช้เรียกนั้นออกสำเนียงเสียดสีชัดเจน

                    ว่ากันตามเทือกเถาเหล่ากอแล้ว คูรานนับเป็นอาห่างๆของวาคียา ทว่าการที่ถูกเด็กรุ่นหลังเหยียบข้ามหัว ทำให้ผู้เป็นอาเก็บมาเป็นความแค้นสุมทรวง วาคียาจะเลือกใช้สรรพนาม ท่านอา ทุกครั้งที่ต้องการยั่วโมโห เป็นอาการมีสัมมาคารวะในแบบเสแสร้งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องสติขาดผึงได้ทุกคราวไป

                    เจ้าเด็กอ่อนหัด! กำลังเราตอนนี้มากกว่าพวกมันตั้งหลายเท่า! เหตุผลอะไรที่จะรับคำท้าพวกนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนางกาลกิณีนั่น!” คูรานตะเบ็งเสียงใส่ด้วยความโกรธแม้ว่าใบหน้าจะยังนิ่งเฉย เขาพยายามจะทำให้วาคียาขาดสติเช่นกันด้วยการพาดพิงถึงหญิงคนรัก

                    เป็นที่รู้โดยทั่วกันโดยทั่วไป ว่าซีบิลนั้นถูกทำนายไว้ให้ชะตาเป็นกาลกิณี จะมีก็แต่วาคียา ที่ไม่สนใจในเรื่องนั้นและนำมาอยู่กินด้วย แต่ก็ด้วยคำทำนาย ที่ทำให้ไม่อาจอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าวาคียาแล้ว จะไม่มีใครกล้าพูดจาหยามหมิ่นหญิงสาวผู้มีชะตาอาภัพ

                    แม้ว่าจะถูกยั่วยุให้โกรธ แต่สีหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กกลับขยับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ถึงใครๆจะพากันคิดว่าเขาเป็นคนที่ระเบิดอารมณ์ออกมาได้ง่ายๆ แต่วาคียาก็เป็นคนที่ชอบเล่นเกมและชอบเอาชนะด้วย บ่อยครั้งจึงมักแสดงทีท่าตรงกันข้าม หากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนสนองตอบเช่นไร

                    นี่แน่ะ ท่านอา วาคียากล่าว การที่ข้ากำหนดวันประลองเป็นสิบวันให้หลังนี้มีแต่จะเป็นข้อดีให้กับเรา เพราะนี่เท่ากับเป็นการสงบศึกกลายๆ ฉะนั้นช่วงนี้เราก็สามารถผ่อนกำลังออกไปลาดตระเวนหาเสบียงมาเพิ่มได้ ทดแทนส่วนที่ถูกทำลายไป ขณะที่พวกนั้นมีแต่อดโซอยู่ในกระดอง

                    เมื่อถึงตอนนี้ นักรบคนอื่นๆซึ่งอยู่ในที่นั้นก็เริ่มจะเห็นคล้อยตาม เพราะแม้จะเป็นการรับคำท้าของศัตรู แต่ก็ยังคงสอดคล้องกับแผนการเดิมไม่แปรเปลี่ยน

                    หรือว่ามีใครในที่นี้ คิดว่าข้าจะพ่ายแพ้ในการประลอง? วาคียาลุกขึ้นมองไปถ้วนทั่วเพื่อจะหาผู้โต้แย้ง แต่ก็มีเพียงผู้ที่ปิดปากเงียบเป็นส่วนใหญ่ เพราะรู้กันดีว่าวาคียาไม่เคยพ่ายให้แก่ใครในการประลอง ถึงจะอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนแย้งเอาเสียเลย

                    เจ้าเด็กน้อย อย่าเพิ่งคิดไปเองสิว่าในที่นี้จะไม่มีใครเก่งไปกว่าเจ้า คูรานยืนขึ้นแสดงตัว ถึงแม้เจ้าเด็กรุ่นหลานจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่ผู้เป็นอาห่างๆก็รู้ว่าในใจนั้นคงมีความรู้สึกโกรธขึ้งอยู่ไม่น้อย ซึ่งหากท้าทายในตอนนี้ วาคียาย่อมจะรับปากโดยง่าย

                    บรรยากาศในที่ประชุมตอนนี้เงียบสงบด้วยความตึงเครียด นักรบคนอื่นๆต่างไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่ามาเพื่อนั่งดูการทะเลาะกันเองระหว่างวาคียาและคูรานเท่านั้น

                    ...ก็เอาสิ คูราน ถ้าเจ้าอยากทดสอบนัก วาคียาพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ก่อนจะเดินนำไปยังทุ่งโล่ง ซึ่งทั้งสองจะได้ใช้ในการประลองกัน

     

                ชายวัยกลางคนเดินตามเจ้าเด็กรุ่นหลานไปด้วยความลำพองใจ เขาคิดอยู่เสมอว่าตนมีคุณสมบัติเหนือกว่าทุกอย่าง และเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ที่บรรดาผู้อาวุโสพากันไว้วางใจเด็กอวดดีเหนือตัวเขา

                    แม้จะกินแหนงกันมานาน แต่ทั้งคูรานและวาคียาก็ยังไม่เคยได้ลองฝีมือกันเลย ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีของชายผู้มีศักดิ์เป็นอา ที่จะแสดงความเหนือกว่าให้คนอื่นๆได้เห็น

                    เจ้าจะทดสอบข้าด้วยวิธีใด คูราน!” วาคียาร้องถาม

                    ซัดหอก!” อีกฝ่ายตอบด้วยความมั่นใจ นี่เป็นการประลองที่ง่ายที่สุดแต่ก็ต้องใช้ฝีมือและความกล้ามากที่สุดเช่นกัน นั่นคือชายสองคนจะยืนอยู่ห่างกันห้าสิบก้าว ต่างฝ่ายมีหอกข้างละสามอัน จากนั้นก็ผลัดกันซัดหอกเข้าใส่อีกฝ่าย ผู้ที่ชนะก็คือผู้ที่ซัดถูกคู่ต่อสู้ หรือเคลื่อนกายจากจุดยืนน้อยที่สุด

                    คูรานมีความมั่นใจมากในการประลองด้วยวิธีนี้ ด้วยผิวกายที่แข็งดังเนื้อไม้ ซึ่งต่อให้นักรบที่แข็งแรงที่สุดจามลงไปด้วยขวานอย่างเต็มแรง ก็จะปรากฏอยู่เพียงแค่รอยบากเล็กๆ เขาจึงไม่จำเป็นต้องหลบอาวุธของอีกฝ่ายเลย และด้วยวิธีนี้ วาคียาก็จะไม่สามารถจู่โจมเขาได้ด้วยสายฟ้า ทั้งเจ้าหนุ่มยังบาดเจ็บ จึงไม่มีทางที่เขาจะพ่ายแพ้ได้เลย

                    ตอนนี้ผู้หญิงของเจ้าคงอยู่กับคนต่างถิ่น ดูเหมือนเจ้าจะไม่เป็นห่วงนางเสียเลยนะ เขาพยายามยั่วให้คู่ต่อสู้โกรธมากขึ้นเพื่อจะได้พลาด ซึ่งตอนนี้หอกทั้งสามเล่มถูกปักอยู่กับพื้นในตำแหน่งที่จะคว้าได้สะดวกแล้ว

                    ข้าให้เจ้าเริ่มก่อน คูราน วาคียาเสนอ

                    คูรานทั้งแปลกใจและยินดี การประลองเช่นนี้เป็นที่รู้อยู่ว่าผู้ที่เริ่มก่อนย่อมได้เปรียบเป็นอย่างมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งใคร่จะดับผยองเจ้าเด็กคนนี้ยิ่งนัก

                    อ่อ เสียงเดิมขัดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมืออันหยาบกร้านเริ่มคว้าด้ามหอก คูรานนึกกระหยิ่ม คิดว่าเจ้าเด็กน้อยคงเริ่มสำนึกในความโง่งม แต่เมินเสียเถิด เขาคว้าอาวุธแล้ว และนี่เป็นโอกาสอันดี ที่จะจัดการกับหนามยอกอกให้สิ้นไปเสีย

                    ชายผู้อาวุโสกว่าซัดหอกออกไปโดยไม่ฟังความที่อีกฝ่ายกำลังจะบอก ทว่าการโจมตีครั้งแรกกลับพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย มันตกลงแค่ปลายเท้าเจ้าหนุ่มเท่านั้น

                    ฮะ ฮะ จะรีบร้อนไปไย คูราน ข้ากำลังบอกว่าให้เจ้าซัดอาวุธมาให้ครบทั้งสามครั้งเถิด แล้วข้าจึงจะเริ่ม วาคียากล่าวด้วยสีหน้าระรื่น นั่นเท่ากับเป็นการหยามหยันอีกฝ่ายอย่างที่สุด

                    คูรานซัดหอกเล่มที่สองออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โดยเล็งเอาตรงศีรษะเป็นเป้าหมาย ทว่ามันก็พลาดเป้า ทำได้ดีที่สุดก็แค่ถากแก้มคู่ต่อกรไปเพียงหน่อย ซ้ำเจ้าหนุ่มยังมิได้เคลื่อนกายไปไหน นัยน์ตาสีทองจ้องกลับมาอย่างแน่วนิ่ง ซึ่งเจ้าของแววตาอันคมกล้าสงบนิ่งจนมิได้เช็ดคราบเลือดออกจากบาดแผลด้วยซ้ำ

                    แม้จะพลาดเป้าหมายถึงสองครั้ง แต่คูรานยังไม่ละความพยายาม เขาก้าวล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ย่อมจะไม่ยอมละทิ้งโอกาสที่จะปราบเจ้าเด็กเมื่อวานซืน หอกเล่มที่สามจึงพุ่งไปด้วยความแม่นยำยิ่งกว่าทุกครั้ง เป้าหมายก็คือ กลางอกของเจ้าหนุ่มนั่นเอง!

                    สิ้นสุดโอกาสเดิมพันครั้งสุดท้ายของคูรานแล้ว เป็นการจบลงอย่างไร้ผล แม้ว่าครั้งปลายหอกจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างแม่นยำ ทว่ามันก็เปล่าประโยชน์ นั่นเพราะวาคียาคว้ามันไว้ได้ก่อนคมอาวุธจะทันลิ้มเลือด เขาคว้ามันไว้ด้วยข้อมืออันแข็งแกร่ง ขนาดหยุดแรงพุ่งของหอกอย่างสนิทแน่นิ่งในชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นก็ปักมันไว้กับพื้นรวมกับหอกอีกสามเล่มที่จะใช้ในการซัดของตน ซึ่งเท่ากับว่าเขามีโอกาสโจมตีได้ถึงสี่หน!

                    คูรานยืนตัวแข็งทื่อ ต้องลงมือถึงสามหนเขาถึงจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้มีดีแค่ความว่องไวหรือการใช้ไฟฟ้าโจมตีศัตรูเท่านั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือนัยน์ตาสีทองคำนั่นต่างหาก ดวงตาที่เหมือนกับจะสามารถมองลึกเข้าไปในวิญญาณ ซึ่งผู้ที่ถูกจ้องมองจะลดทอนกำลังลงไปเสียตั้งครึ่ง

                    ถึงตอนนี้คู่รานจึงเพิ่งรู้ ว่าทำไมวาคียาจึงเลิกพูดเพื่อกวนประสาทตน นั่นเพราะเขาไม่จำเป็นต้องอาศัยเล่ห์กระเท่ห์เล็กๆน้อยๆเพื่อจะเอาชนะเลย ด้วยความเชื่อดีในตนเอง เจ้าหนุ่มผู้นี้ยอมให้คู่ต่อสู้ได้แสดงฝีมือเต็มที่ในการประลอง

                    มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตัวเจ้า ที่ตัวเจ้าเองกลับไม่รู้นะ คูราน วาคียาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

                    เจ้าตอไม้เอ๋ย ใจของเจ้ามันโดนหนอนแห่งความริษยาชอนไชจนกลวงโบ๋ ทีนี้ก็ลองนึกภาพต้นไม้ยืนซากที่มีแต่โพรงข้างใน ซึ่งกำลังจะถูกขวานฟาดเข้าไปกลางลำดูที...

                    ชายหนุ่มผู้มีเขาสงบคำพูดลง คว้าเอาหอกเตรียมเงื้อขึ้นสุดแรงเพื่อตัดสินในการประลองในชั่วอึดใจ...

                    คูรานล้มลงแล้ว และผลของการประลองก็ประจักษ์แจ้ง ทว่าหอกมิได้หลุดจากมือวาคียา ร่างกายของคูรานก็มิได้ปรากฏบาดแผลสักหน่อยหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

                    สิ่งที่ชายผู้มีผิวดังเปลือกไม้พ่ายแพ้มิใช่คมอาวุธ เพราะสิ่งนั้นยังไม่ได้หลุดจากมือคู่ต่อสู้ หากแต่สิ่งที่เขาแพ้นั่นคือจิตใจ เฉกเช่นดินปั้นที่ไม่อาจเทียบกับหินแข็ง ใจของเขาตอนนี้แตกกระสานซ่านเซ็นเกินกว่าจะยืนรับการท้าทายได้ เมื่อสรุปให้สั้นและกระชับความที่สุด มันก็คือ ความกลัว นั่นเอง เพราะฉะนั้นเขาจึงล้มลงก้นจ้ำเบ้าเสียก่อนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะได้ทำประการใด และนับจากนั้น ความเคารพนับถือจากผู้อื่นก็ไม่เวียนมากรายใกล้คูรานอีกเลย

                    วาคียาปรายตามองผู้ที่ตั้งตนเป็นคู่แข่งอย่างแสนสมเพช ผ่อนลมหายใจก่อนจะปักคมหอกลงกับพื้นดินดังเดิม ไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะสังหารผู้ที่ตายไปแล้ว นั่นคือคำสอนของบิดา ซึ่งปกติแล้วเขามักทำไม่ค่อยได้ แต่ครานี้กลับเชื่อฟังอย่างประหลาด

                    แต่ก็นั่นแหล่ะ หากจะฆ่าเจ้านี่แล้วต้องมีเรื่องวุ่นวายภายหลัง สู้เอาเวลานั่งคิดการศึกจะเหมาะกว่า เขาเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในตัวเองเสมอ ทว่าก็ไม่เคยประมาท อย่างน้อยในบรรดาผู้รุกราน มีอยู่สองคนที่อาจเอาชนะเขาได้ ยิ่งถ้าหากเข้าประลองบนหลังเจ้าสัตว์สี่ขาด้วยแล้ว... เรื่องนี้เขาต้องครุ่นคิดในการที่จะเข้าต่อสู้โดยไม่ให้เสียเปรียบ...

                   

                    ม่านอันดำมืดของรัตติกาลคลี่คลุมทั่วผืนฟ้าอย่างรวดเร็วในวันนั้น และแม้ว่าจะมีนัดหมายในการประลองเป็นที่ประจักษ์อีกในสิบวันข้างหน้า ทว่าการเฝ้าเวรยามในค่ายของโจเอลก็จะย่อหย่อนไม่ได้ ด้วยบางทีนี่อาจเป็นเพียงอุบายที่จะทำให้พวกเขาเผอเรอ ซึ่งหลังจากที่ทุกคนพากันพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์หลังมื้อเย็น เสียงร้องเตือนจากทหารยามที่อยู่บนเชิงเทินก็ดังขึ้น

                    มีคนมุ่งตรงมา!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×