ตอนที่ 26 : 26 | Come morning light
26 | Come morning light
อรุณรุ่งยามเหมันต์
เหน็บหนาว อ้างว้าง ทว่าตราตรึง
Secrets of Garden
( flashback )
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสองอาทิตย์ก่อน หญิงสาวร่างเล็กแอบย่องออกจากบ้านในเวลาย่ำค่ำ แสงแดดยามใกล้ลาลับย้อมสีของท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มชวนให้หม่นหมอง สกุณาตัวจ้อยเริ่มโผบินคืนรัง
รถยุโรปคันเล็กเคลื่อนตัวออกจากไร่ชาในยามที่ดวงตะวันคล้อยต่ำ ใบหน้าสะสวยเรียบนิ่งราวกับผืนน้ำ ผิดกับนัยน์ตาคู่สวยที่หมุนวนไปด้วยพายุอารมณ์ที่ทั้งรุนแรงและหลากหลาย
เธอกำลังเต็มตื้นไปด้วยความหวัง หากแต่ก็หวาดกลัวและกังวล
ครืด ครืดด
แรงสั่นจากสมาร์ทโฟนที่วางอยู่เบาะข้างคนขับทำให้หญิงสาวสะดุ้งตัวโยน ฝ่ามือบางลูบหน้าอกตัวเองเพื่อปลอบโยน ก่อนจะเอื้อมมือไปรับมาแนบหูและกรอกเสียงลงไปแผ่วเบา
“ค่ะ”
‘(เธออยู่ที่ไหนไอรีน)’
“ฉันกำลังไปหาคุณค่ะ”
‘(หึ แล้วเจอกันครับ)’
เสียงหัวเราะต่ำในลำคอที่ดังขึ้นจากปลายสายทำให้ไอรีนมือสั่น หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกตกประหม่า หากแต่ความหวังที่วาดฝันเอาไว้ในอนาคตก็ทำให้เธอเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์
ปางไม้เติมฝันในเวลาย่ำค่ำให้ความรู้สึกเงียบเหงาอย่างน่าประหลาด ไอรีนกวาดสายตามองไปรอบๆ เป็นระยะเมื่อรถคันเล็กเคลื่อนเข้ามาใกล้ท้ายปางมากขึ้นทุกที ความเปล่าเปลี่ยวและวังเวงที่รายล้อมอยู่ด้านนอกทำให้เธอเผลอกลั้นหายใจอย่างหวาดกลัว
เพียงไม่นานรถยนต์คันเล็กก็เคลื่อนมาถึงปลายทาง แสงไฟจากเรือนไม้หลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในพงไพรสะท้อนสู่นัยน์ตาคู่สวย ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มบางสวนทางกับมือที่สั่นพร่าขณะเอื้อมไปเปิดประตูรถ
“เชิญค่ะ”
“..!!”
เสียงเล็กแหลมที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ร่างบางสะดุ้ง ไอรีนหันขวับไปมองอย่างหวาดระแวงก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร แก้วตากลมสวยกวาดมองร่างอวบกลมของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง
“เจ้านายของฉันรอคุณอยู่นานแล้ว” อเดลที่เห็นสายตาของคนตรงหน้าเอ่ยเสียงแข็ง แววตาแข็งกร้าวกลอกมองบนอย่างเหนื่อยหน่าย
“น่ะ.. นำไปสิ”
“เหอะ”
หญิงรับใช้ผู้แสนซื่อสัตย์เดินนำแขกของเจ้านายเข้าสู่ตัวบ้านที่แสนเงียบเหงา บรรยากาศเย็นๆ ของลมหนาวและบรรยากาศของตัวบ้านทำให้ไอรีนขนลุก แขนเรียวเล็กยกขึ้นกอดตัวเองพร้อมกับกวาดมองไปรอบกาย
“มาแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“พาแขกเข้ามาสิเดล”
น้ำเสียงราบเรียบทว่าให้ความรู้สึกเยือกเย็นทำให้ไอรีนเริ่มวิตกกังวล หากถามว่าเธอรู้จักคนๆ นี้มากแค่ไหนคำตอบคือแทบไม่รู้อะไรเลย ตัวตนจริงๆ ของอีกฝ่ายเป็นยังไง จะสวยงามเหมือนรอยยิ้มบนใบหน้าสวยนั่นไหม เธอไม่รู้เลยจริงๆ
“เชิญนั่งครับ”
ไอรีนมองรอยยิ้มหวานหยดของคนตรงหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างเกร็งๆ ฝ่ามือทั้งสองข้างประสานอยู่บนตักพร้อมกับบีบแน่น ท่าทางหวาดกลัวนั้นอยู่ในสายตาของคนที่ทอดมองมาเป็นอย่างดี
ลู่หานกระตุกยิ้มก่อนจะเลื่อนถ้วยชาไปให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มหวานยังคงประดับอยู่บนใบหน้าสวย ผิดกับดวงตากลมโตที่ไม่ฉายแววยินดียินร้ายสิ่งใด
“ผมจะไม่อ้อมค้อม เธอ, ต้องการเป็นแม่นางของผืนป่าแห่งนี้จริงๆ ใช่ไหม”
“ฉัน..”
“ตอบว่าใช่หรือไม่แค่นั้นครับ”
แม้รอยยิ้มจะยังงดงามเหมือนเช่นที่เคยเป็น หากแต่แววตาที่ทอดมองมากลับน่ากลัวอย่างที่ไอรีนไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับคนตรงหน้าคือดอกกุหลาบที่แสนสดสวยและสง่างาม ทว่าเต็มไปด้วยหนามที่อาบย้อมด้วยยาพิษ
“ใช่ค่ะ ฉันต้องการ ฉัน.. รักพ่อเลี้ยง”
“หึ แล้วเธอจะสมหวังในทุกสิ่งที่ต้องการ”
แม้ใจจะหวาดกลัวและกังวลมากเพียงใด แต่ด้วยกิเลสที่มากล้นของมนุษย์ก็บดบังทุกสิ่งแม้แต่ความผิดบาป ไอรีนคลี่ยิ้มบางเมื่อนึกถึงอนาคตที่ได้ยินอยู่ข้างกายคนที่รัก ทว่าทุกสิ่งย่อมต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงกว่าเสียไป
หญิงสาวที่มองเห็นแต่ด้านสวยงามของความรักตกลงไปในหลุมกับดักของคนที่รู้จักความรักในด้านที่เลวร้าย หัวใจที่บิดเบี้ยวของลู่หานนำพาความสูญเสียมากมายมหาศาล ความแค้นข้นคลั่กยากเหลือเกินจะถูกชะล้าง
ไอรีนทำตามคำชักนำของลู่หานโดยการแอบเข้ามาวางเพลิงที่ฟาร์มโคนมของปางไม้เติมฝัน ลงมือพังรั้วกั้นคอกของลูกวัวจนเจ้าซันของแบคฮยอนวิ่งเตลิดเข้าป่า ก่อนจะตามไปดูความสำเร็จของตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
ทว่าคนร้ายที่ซุ่มรอทำร้ายแบคฮยอนกลับเลวทรามกว่าที่คาดคิด หลังจากที่พวกมันหัวเสียเพราะขืนใจแบคฮยอนไม่สำเร็จ หญิงสาวโชคร้ายที่เจอพวกมันคือไอรีนที่แอบตามเข้ามาในป่า
เธอดิ้นรนต่อสู้เพื่อหาทางรอดจากเดรัจฉานในคราบมนุษย์จนถูกหนึ่งในพวกมันพลั้งมือบีบคอจนสิ้นใจ ร่างไร้วิญญาณของเธอถูกกลบฝังอย่างน่าสงสาร เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงหวีดหวิวของลมหนาวที่ฟังคล้ายเสียงร่ำไห้ของผู้หญิง
ไดอารี่เล่มเล็กถูกปิดลงด้วยฝ่ามือสั่นเทา ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบลงบนหน้าปกสีชมพูอ่อนที่เปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา มอร์แกนโอบสมุดซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของหลานสาวที่รักเข้าสู่อ้อมกอดพร้อมกับพยายามกลั้นเสียงสะอื้น
เรื่องราวมากมายภายในสมุดเล่มน้อยทำให้ชายวัยกลางคนสะท้อนใจ เขาได้แต่โทษตัวเองว่าดูแลและให้ความรักกับหลานไม่มากพอ หลานสาวของเขาจึงไขว่คว้าหาความรักที่ไม่เห็นทางสมหวังจนต้องจบชีวิต
ถ้อยคำอัดอั้นและหวาดกลัวที่ถูกเขียนเอาไว้ตรงกับคำสารภาพของโจรใจทรามที่บอกกับตำรวจ พวกมันถูกว่าจ้างหากแต่ทำไม่สำเร็จ และคนที่อยู่เบื้องหลังคือคนๆ เดียวกันกับชื่อที่ถูกเขียนเอาไว้ในไดอารี่เล่มนี้
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้มอร์แกนรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แม้หัวใจจะเจ็บปวดจนแทบแหลกสลาย แต่ด้วยความทะนงในศักดิ์ศรีทำให้หนุ่มใหญ่ไม่อยากให้ใครได้เห็นว่าตนนั้นกำลังอ่อนแอ
“เข้ามา”
ประตูห้องนอนของหลานสาวถูกเปิดเข้ามาด้วยลูกน้องคนสนิท ร่างสูงกำยำเดินเข้ามาหาผู้เป็นนายก่อนจะประสานมือไว้ด้านหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม
“สารวัตรเมสันมาแล้วครับนาย”
ใบหน้ามีริ้วรอยพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากห้องตามด้วยลูกน้องคนสนิท ทั้งคู่ลงมาที่ห้องรับแขกของบ้านซึ่งมีแขกคนสำคัญนั่งรออยู่ ทว่าทันทีที่เดินเข้ามาภายในห้องมอร์แกนก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นแขกอีกคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบ
“พ่อเลี้ยงปาร์ค?” น้ำเสียงของคนอายุมากที่สุดในห้องมีทั้งความตกใจและประหลาดใจ หากแต่คนถูกเอ่ยเรียกทำเพียงยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยืนขึ้น
“สวัสดีครับคุณเบย์”
แม้จะเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงที่ไปมาหาสู่กันบ้างเป็นครั้งคราว หากแต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้มอร์แกนรู้สึกผิดจนไม่กล้าพบหน้าพ่อเลี้ยงแห่งปางไม้เติมฝัน แม้เรื่องคดีจะเกี่ยวพันกันแต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันเร็วขนาดนี้
“ผมไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงจะมาที่นี่”
“เราเป็นเพื่อนบ้านกันนะครับ ที่สำคัญผมควรมาแสดงความเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับคุณ”
มอร์แกนนับถือน้ำใจของชายหนุ่มตรงหน้าจนพูดไม่ออก หน่วยตาคมที่มองสบมาเต็มไปด้วยความเห็นใจและเข้าใจ เพราะอีกฝ่ายเองก็พบเจอกับความสูญเสียเช่นเดียวกัน
“ขอบคุณ.. ขอบคุณจริงๆ ที่อโหสิกรรมให้หลานสาวของผม”
ชานยอลทำเพียงยกยิ้มบางโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา แม้ในใจของเขาจะโกรธหลานสาวของคนตรงหน้าที่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียลูกน้อย หากแต่เธอก็จากไปแล้วจึงทำได้แค่ปล่อยวางและอโหสิกรรมให้
“ผมว่าเรานั่งคุยกันเถอะครับ” สารวัตรหนุ่มที่เห็นว่าบรรยากาศอึมครึมค่อยๆ จางหายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ซึ่งอีกสามชีวิตในห้องนี้ก็พยักหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าเรื่องสำคัญเลยนะครับ”
คนที่มาทำหน้าที่ของตนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้ทั้งชานยอลและเจ้าบ้านอย่างมอร์แกนเผลอกำมือแน่นเพื่อระงับความรู้สึกกรุ่นโกรธและเกลียดชัง
“จากคำสารภาพของสองคนร้ายและการสอบปากคำเพิ่มเติมจากคนงานในปางทำให้ทางเราทราบชื่อของผู้ว่าจ้างแล้วครับ แต่หลังจากที่ผมแจ้งเรื่องนี้ให้พ่อเลี้ยงทราบกลายเป็นว่าผู้ต้องหาได้หายตัวไปจากปาง”
“ผู้ต้องหาที่นายบอกชื่อว่าอะไร”
“อเดลครับ เป็นเด็กรับใช้ในเรือนของชานยอล”
“หึ ลุงว่ายังมีอีกคน”
เมสันขมวดคิ้วอย่างฉงนเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสนิทของบิดาพูด หากแต่เมื่อฝ่ามือหนายื่นไดอารี่เล่มหนึ่งมาให้ด้วยแววตาหมองเศร้า ชายหนุ่มก็รีบรับมาเปิดอ่านด้วยสัญชาตญาณตำรวจทันที
นัยน์ตาคมกวาดสายตาอ่านทุกบรรทัดบนหน้ากระดาษที่ถูกคั้นเอาไว้ จากเรียวคิ้วที่ขมวดเป็นปมค่อยๆ กลายเป็นผูกแน่นก่อนที่นัยน์ตาคมจะเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อ่าน ใบหน้าคมสันเงยขึ้นสบตากับคนที่นับถือเป็นลุงซึ่งมอร์แกนก็จ้องตอบมาด้วยแววตาจริงจัง
“ผมไม่อยากจะเชื่อ” แววตาสับสนของเพื่อนร่วมรุ่นสมัยไฮสคูลทำให้ชานยอลขมวดคิ้ว ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะไหล่ของเมสันก่อนจะแบมือเป็นเชิงขอไดอารี่ในมือของอีกฝ่าย
“ส่งมันมาให้ฉัน”
“ไอ้พ่อเลี้ยง..”
“แม็กซ์”
น้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้เมสันไม่อาจปฏิเสธได้ ไดอารี่เล่มเล็กถูกเปลี่ยนมาอยู่ในมือของชานยอลซึ่งเจ้าตัวก็ก้มลงอ่านทันที ทุกตัวหนังสือที่ปรากฏบนเนื้อกระดาษทำให้ฝ่ามือหนากำแน่นเช่นเดียวกับหน่วยตาคมที่สั่นระริกไปด้วยความโกรธ
“..ลู่หาน”
เสียงคำรามที่ถูกเอ่ยลอดไรฟันออกมาไม่อาจปกปิดความโกรธจัดที่แสดงออกผ่านน้ำเสียง หน่วยตาคมกริบแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกชิงชัง ฟันซี่คมขบแน่นจนสันกรามได้รูปปรากฏชัด
สายหมอกหนาไม่อาจคงอยู่นิรันดร์ตราบใดที่แสงแห่งอรุณรุ่งสาดมาเยือน เช่นเดียวกับความลับที่ไม่เคยมีอยู่จริงบนโลกที่แสนโสมมใบนี้
แลนด์โรเวอร์คันใหญ่วิ่งผ่านสายหมอกไปตามแนวเขาแบบเขาพับผ้า ลมหนาวของเหมันต์พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้ทั้งสองด้าน คลอไปกับเสียงนุ่มที่เริ่มทุ้มตามวัยที่ฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
เซฮุนที่เพิ่งมีวันหยุดยาวหลังจากเปิดภาคเรียนในเทอมที่สองมาร่วมสองเดือนยิ้มกว้างจนเต็มแก้ม หัวกลมภายใต้เส้นผมนิ่มโยกไปมาตามจังหวะเพลง ปลายคางได้รูปวางแนบลงบนขอบกระจกรับสายลมเย็นๆ ในยามสาย
“จะแวะจัตุรัสใช่ไหม”
“อื้ม~”
“จะซื้ออะไรหืม”
จงอินเอ่ยถามคุณหนูของตนด้วยน้ำเสียงเอ็นดู หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันในเรื่องเข้าใจผิดในครั้งนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ก้าวไปอีกขั้น จากนี้ก็แค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นในการขยับสถานะ
“ว่าจะไปเดินดูเสื้อผ้าเด็กน่ะ”
“เสื้อผ้าเด็ก? อย่าบอกนะครับว่า..”
“ใช่แล้ว ฉันจะไปดูเสื้อผ้าให้หลานไง”
รอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของเด็กหนุ่มทำให้จงอินไม่กล้าเอ่ยขัด สัตวแพทย์ผิวเข้มอยากจะบอกเหลือเกินว่าหลานของเจ้าตัวน่ะเพิ่งจะมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเท่านั้น
“จะซื้อสีอะไรดีล่ะ เด็กผู้ชายก็ต้องสีฟ้า แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องสีชมพู”
“ผมว่าให้หลานคลอดก่อนค่อยมาซื้อก็ยังทัน”
“ไม่ได้! นายนี่ไม่รู้อะไรเลย เด็กตัวเล็กๆ ที่เพิ่งคลอดน่ะเขาผิวบางมาก แล้วอากาศของที่นี่ก็หนาวจะตายชัก ถ้าเกิดหลานฉันโดนความหนาวของหิมะกัดผิวจะทำยังไง”
ประโยคร่ายยาวของปาร์คคนเล็กทำให้จงอินอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ ใจหรือก็อยากจะเถียงออกไปเหลือเกินว่ากว่าหลานจะคลอดก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว
“โอเคครับ แวะดูเสื้อผ้าเด็กเนอะ”
“ตามนั้น”
เมื่อถูกตามใจอย่างที่ต้องการเด็กดื้อก็ยกยิ้มกว้าง เรียวตาคมแอบเหลือบมองคนขับรถที่หน้าม่อยก่อนจะหัวเราะคิก ฝ่ามือเรียวเอื้อมไปคว้าท่อนแขนแกร่งมากอดพร้อมกับแนบหน้าลงไปอย่างออดอ้อน
“เป็นอะไรครับคุณหนูตัวแสบ”
“เปล่า, แค่อยากขอบคุณนายเฉยๆ”
“ขอบคุณผม?”
“อื้อ ขอบคุณนะที่ตามใจกัน”
จงอินคลี่ยิ้มบางก่อนจะกดจูบลงบนขมับเด็กดื้อหากแต่แสนน่ารักสำหรับตน ระยะห่างของช่วงวัยทำให้พวกเขาต้องค่อยๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน จงอินพยายามทำความเข้าใจในด้านเด็กๆ ของเซฮุน เหมือนกับเซฮุนที่พยายามจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและเอาแต่ใจให้น้อยลง
ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายคล้อยแลนด์โรเวอร์คันใหญ่จึงมาจอดเทียบที่หน้ารั้วสีขาว เรือนไม้หลังงามที่จากไปร่วมเดือนชวนให้คิดถึงจนเซฮุนรีบเปิดประตูลงจากรถ เรือนกายสูงโปร่งวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างไม่รอคนที่ขับรถไปรับถึงมหาวิทยาลัย
“คุณเล็ก!? มายังไงคะเนี่ย”
“งื้อออ คิดถึงแมรี่ที่สุดในโลก~”
เสียงโวยวายที่ดังออกมาจากตัวเรือนทำให้คนที่กำลังขนของลงจากรถอดหัวเราะไม่ได้ จงอินส่ายหัวเบาๆ อย่างนึกเอ็นดูทั้งเด็กซนและคุณป้าแม่บ้าน ตอนนี้คงกอดกันกลมจนน้ำตาซึมกันทั้งคนแก่คนเด็ก
“ว่าแต่มายังไงคะยังไม่บอกป้าเลย”
“จงอินไปรับน่ะครับ”
“หือ? แล้วตอนนี้คุณหมอคิมอยู่ไหนคะ”
“อ่า.. น่าจะขนของให้เล็กอยู่ล่ะมั้ง”
จงอินได้ยินเสียงร้องของปาร์คคนเล็กซึ่งคงจะถูกหยิกเอวแน่ๆ และก็จริงเพราะเด็กแสบของเขาเดินหน้ามุ่ยมาหาที่รถโดยด้านหลังมีป้าแมรี่เดินตามออกมาด้วยใบหน้าเชิงดุ
“ปล่อยให้คุณหมอขนของอยู่คนเดียวได้ยัง ป้าไม่เคยสอนให้เอาเปรียบคนอื่นเลยนะคะ”
“เล็กเปล่าเอาเปรียบสักหน่อย”
“ยังจะเถียงอีกค่ะ”
“อย่าดุน้องเลยครับ” จงอินที่เห็นท่าไม่ดีรีบเอ่ยห้ามคุณป้าแม่บ้านเสียงนุ่ม ฝ่ามือที่ยกขึ้นเตรียมหยิกเอวเด็กดื้อจึงลดลงแนบลำตัวตามเดิม
“เห็นแก่คุณหมอนะคะ, แล้วนี่ขนอะไรมาเยอะแยะคะคุณเล็ก” หันไปถามเด็กน้อยของตนด้วยน้ำเสียงกึ่งดุ ซึ่งคนที่ซื้อของให้หลานเพลินก็หัวเราะเสียงแห้ง
“เอ่อ.. เสื้อผ้ากับของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ของหลานน่ะครับ”
คำว่าเล็กๆ น้อยๆ เทียบไม่ได้เลยกับปริมาณที่แทบจะล้นออกมาจากถุงกระดาษขนาดใหญ่ แมรี่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับความเอาแต่ใจบวกความเห่อหลานของปาร์คคนเล็ก ก่อนจะหันไปดุผู้ใหญ่อีกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ที่ตามใจเด็กซนจนเคยตัว
“คุณหมอก็อย่าตามใจคุณเล็กมากสิคะ เดี๋ยวก็ดื้อจนปรามกันไม่ไหวหรอก”
“ฮ่าๆ ผมก็แค่—”
“คุณป้า! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!!”
เสียงตะโกนร้องของเด็กรับใช้ในเรือนคนหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบมาทำให้บทสนทนาหยุดลง ใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวร่างเล็กทำให้คนแก่อย่างแมรี่ใจไม่ดี เจ้าของร่างท้วมรีบปรี่เข้าไปหาเด็กในปกครองพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเครียด
“มีเรื่องอะไรถึงได้ส่งเสียงโวยวายแบบนี้”
“มะ มีคนงาน พบ.. พบศพขึ้นอืดที่บึงท้ายปางค่ะ!”
“ว่ายังไงนะ!!”
ร่างท้วมแทบล้มทั้งยืนจนจงอินและเซฮุนรีบเข้ามาประคองเอาไว้ ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนแทบหายใจไม่ออก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอีกครั้งที่ปางไม้เติมฝันซึ่งเคยมีแต่ความเงียบสงบ
“เป็นใครรู้ไหม” จงอินที่ยังมีสติที่สุดเอ่ยถามสาวใช้ร่างเล็ก ซึ่งเธอก็เอ่ยตอบปากคอสั่น
“มะ ไม่ทราบค่ะคุณหมอ ตะ แต่เสื้อผ้าที่ศพใส่เป็นยูนิฟอร์มแบบเดียวกับหนู”
สีหน้าของทุกคนตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัว ทุกคนต่างรู้ดีว่ามีคนๆ นึงหายตัวไปจากปางไม้เติมฝัน
อเดลหายไปอย่างไร้ร่องรอย .. ราวกับหยาดน้ำค้างยามฟ้าสางที่ระเหยหายเมื่อถูกแสงแดดโลมเลีย
“แบคฮยอนไม่ต้องไปหรอก อยู่กับคุณเล็กที่นี่แหละ”
“แต่ว่า..”
“เชื่อผมเถอะนะ”
แบคฮยอนสบตากับหน่วยตาคมที่สะท้อนความเป็นห่วงอย่างชัดเจน อ้อมแขนเล็กกระชับกอดคุณโชแน่นเพราะรู้สึกใจไม่ดี บางสิ่งบางอย่างกำลังเดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบในคราวเดียวกัน
เรียวตาคู่สวยช้อนมองสัตวแพทย์หนุ่มที่นับถือเป็นพี่ชายด้วยความกังวล ซึ่งจงอินก็คลี่ยิ้มบางก่อนจะยื่นมือมาลูบลาดไหล่เล็กแผ่วเบา
“ผมจะอยู่ข้างๆ มันเองไม่ต้องเป็นห่วง”
“ฝากคุณจงอินด้วยนะครับ”
เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งยิ้มรับก่อนจะเบนสายตาไปมองเด็กหนุ่มตัวสูงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างกายแบคฮยอน ตั้งแต่ที่ได้ยินว่ามีคนพบศพที่บึงน้ำท้ายปางคุณเล็กของทุกคนก็เงียบไปเลย คล้ายกับว่าร่างกายกำลังปกป้องหัวใจจากความเจ็บปวดจนชัตดาวน์ตัวเอง
“ทุกอย่างกำลังจะจบแล้วเด็กดี” จงอินเดินเข้ามากอดเด็กซนไว้แนบอก เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วทว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความปลอบโยน
“เขา อึก.. จะไม่ทำร้ายใครอีกแล้วใช่ไหม”
“ไม่แล้วครับ มันจะไม่มีเรื่องเลวร้ายแบบนั้นอีกแล้ว”
เด็กคนนึงที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลขนาดใหญ่ประทับอยู่บนหัวใจย่อมหวาดกลัวเรื่องราวเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต รอยเลือดและคราบน้ำตายังเด่นชัดเหมือนไม่เคยจางหาย และเซฮุนไม่อยากพบเจอกับช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
“ผมจะรีบกลับมา คุณเล็กอยู่ดูแลพี่แบคฮยอนที่นี่ได้ใช่ไหม”
“อะ อื้ม”
“เก่งมากครับ”
ฝ่ามือหนาลูบลงบนกลุ่มผมนิ่มก่อนจะผละออก จงอินหันกลับไปยิ้มให้แบคฮยอนอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ก่อนที่แลนด์โรเวอร์คันใหญ่จะเคลื่อนไกลออกไปจวบจนสุดสายตา
สายลมหนาวพัดแผ่วหันเหอุณหภูมิในอากาศให้ลดต่ำลง สุริยาดวงโตเริ่มโน้มต่ำเพื่อลาลับ หมู่เมฆทยอยข้ามฟ้าเปลี่ยนเฉดสีตามกาลเวลาที่หมุนผ่าน
เสียงกระซิบของพงไพรดังแว่วมาตามระลอกลม ดอกหญ้าริมทางลู่ไหวโอนอ่อนราวกับปีกผีเสื้อที่กำลังเต้นระบำ ยามสนธยาใกล้จะเคลื่อนทับ กลบแสงร้อนแรงของดวงอาทิตย์ในอีกไม่ช้า
รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนผ่านสายหมอกจางด้วยความเร็วมากกว่าที่เคย เพียงไม่นานคิม จงอินก็มาถึงบริเวณท้ายปางซึ่งมีเรือนไม้หลังเล็กแอบซ่อนตัวอยู่ หากแต่สัตวแพทย์หนุ่มก็ยังช้ากว่ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มาถึงก่อนหน้านี้ร่วมสิบนาที
ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งรีบก้าวลงจากรถด้วยความร้อนรน แผ่นหลังกว้างคุ้นตาที่ตั้งตรงจนแข็งเครียดทำให้หน่วยตาคมเบิกกว้าง ช่วงขายาวรีบสาวเข้าไปหาเจ้าของแผ่นหลังนั้นผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเจ้านาย
“..ชานยอล”
เสียงทุ้มต่ำที่ตั้งใจจะเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทให้หันมากลายเป็นผะแผ่วเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า จงอินทั้งสับสนและมึนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามออกไปเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนวีลแชร์
“ฮึก.. กรี๊ดดดดด!!!”
เสียงหวีดแหลมที่ไม่เคยได้ยินจากคนตรงหน้าทำให้จงอินสะดุ้ง หน่วยตาคมกลอกไปมาอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งท่อนแขนของชานยอลที่ทำเพียงยืนมองนิ่งๆ
“เกิดอะไรขึ้นไอ้พ่อเลี้ยง”
“ฮ่าๆๆ ฮึก ฉันนี่แหละ ฮ่าๆ ฉันฆ่าพวกมันเอง! ฮือออ”
ยังไม่ทันที่จงอินจะได้คำตอบ ร่างโอนเอนที่นั่งก้มหน้าอยู่บนรถเข็นไฟฟ้าก็หัวเราะลั่นก่อนจะสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ และนั่นทำให้สัตวแพทย์หนุ่มเริ่มเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
หลังจากที่ชานยอล เมสัน และมอร์แกนมาถึงเรือนเล็กท้ายปาง ลู่หานซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยก็ถูกเค้นถามอย่างหนักถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น สารวัตรหนุ่มแทบไม่อ่อนข้อแม้ว่าจะเห็นอาการผิดปกติของลู่หาน ซึ่งหลังจากที่ทนรับแรงกดดันไม่ไหวอีกฝ่ายก็เป็นอย่างที่เห็น
“เขาเป็นแบบนี้นานหรือยัง” เป็นเสียงของเมสันที่เอ่ยถามสาวใช้ร่างเล็กที่ยืนอยู่ไม่ไกล เธอผู้นี้ถูกส่งมาจากเรือนใหญ่ให้มาดูแลคนที่เรือนเล็กหลังจากที่คนรับใช้ประจำหายตัวไป
“เอ่อ ตอนแรกที่หนูมาถึงที่นี่คุณลู่หานยังปกติดีค่ะ เพียงแต่คุณเขาทานอาหารน้อยลงจนเริ่มซูบผอม แต่ช่วงสองสามวันนี้คุณลู่หานเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมทานข้าว แล้วก็บางครั้งหนูก็ได้ยินคุณเขาหัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ แต่บางคราวก็อาละวาดขว้างปาข้าวของจนพังไปหมด”
“เธอได้เข้าไปดูเขาในห้องไหม”
“หนู เอ่อ.. หนูไม่กล้าเข้าไปค่ะ หนูกลัว”
เมสันหันมาสบตากับชานยอลและจงอินที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างขอความคิดเห็น ก่อนจะหันไปมองมอร์แกนซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งเพราะอีกฝ่ายแตะบ่าของตน
“เราจะเชื่อคนๆ นี้ได้จริงหรือแม็กซ์ เขาอาจจะกำลังแสดงละครหลอกพวกเราอยู่”
นัยน์ตาเรียวแหลมแฝงด้วยอำนาจฉายแววเคียดแค้นอย่างไม่ปิดบัง หากฉีกเนื้อของคนตรงหน้าได้โดยไม่ผิดบาปมอร์แกนคงทำไปแล้วโดยไม่นึกลังเล
“คงต้องให้แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชวินิจฉัยครับ เพราะผมเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อเหมือนกัน”
บทสนทนาของทั้งสองดังก้องอยู่ในหัวของคนที่ยืนเงียบมาตั้งแต่ต้น หน่วยตาคมดุยังคงทอดมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา และในแววตาคู่นั้นไม่หลงเหลืออีกแล้วซึ่งความรู้สึกผูกพันแม้ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง
ชานยอลกำหมัดแน่นตั้งแต่ที่ได้รู้ความจริงจวบจนกระทั่งมายืนอยู่ตรงนี้ คนตรงหน้าที่เคยอ่อนหวานและสง่างามในอดีต ณ ตอนนี้กลายเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก เป็นใครก็ไม่รู้ที่กล้าทำเรื่องต่ำทรามบนผืนป่าของเขา
“ศพที่พบในบึงน้ำน่าจะเป็นอเดลที่หายตัวไป แต่ผมจะส่งให้ฝ่ายนิติเวชชันสูตรเพื่อยืนยันอีกที”
เสียงของสารวัตรหนุ่มที่พูดคุยกับมอร์แกนและจงอินยังคงดังอยู่ตลอดเวลา หากแต่ชานยอลกลับปล่อยให้มันไหลผ่านร่างกายที่แสนเย็นชืดของเขาไป ช่วงขายาวค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ ซึ่งคนที่เหมือนจะหลุดไปในโลกอีกใบก็คล้ายจะได้สติขึ้นมา
“ชะ.. ชาน”
“…”
“มา ฮึก มาหาเราสักที”
ดวงตากลมโตที่เคยงดงามบัดนี้แดงก่ำและขอบตาลึกโบ๋จนน่ากลัว ริมฝีปากเรียวบางคลี่ยิ้มหวานหากแต่มันไม่ได้น่ามองเหมือนเช่นแล้วมา ท่อนแขนซูบผอมจนแทบจะเหมือนหนังหุ้มกระดูกค่อยๆ ยื่นมาหาอย่างอ่อนแรง
“ชาน.. เรา อึก รอชาน มาหา ทะ.. ทุกวันเลยนะ”
“…”
“พะ พรุ่งนี้หมอ.. หมอนัดนะ ชาน ยะ.. อย่าลืมล่ะ”
“…”
“หมอบอก เรา กะ.. ใกล้จะหาย.. แล้ว”
ชานยอลเบนสายตามองสองมือซูบซีดที่กำลังลูบขาทั้งสองข้างของตัวเองด้วยแววตาราบเรียบ ครั้งหนึ่งเขาเคยโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าพิการ และตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาเฝ้าภาวนาขอให้คนตรงหน้ากลับมาเดินได้อีกครั้ง
ทว่าลู่หานไม่มีทางกลับมาเดินได้อีกแล้ว ลู่หานไม่มีวันหายจากความพิการ
เพราะไม่ใช่เพียงร่างกายที่ทุพพลภาพ แต่เป็นหัวใจของคนตรงหน้าที่บิดเบี้ยวและพิการกว่าขาทั้งสองข้างนั้น
“ชะ—”
“จิตใจของนายช่างน่ารังเกียจ”
“..!!”
“น่ารังเกียจกว่าร่างกายที่พิการอยู่ตอนนี้เสียอีก”
“กรี๊ดดดดดดด ไม่!! ออกไป!!! ฮือออ อึก! ฮ่าๆๆๆๆ”
ดวงตากลมโตแดงก่ำกวาดมองไปรอบกายอย่างหวาดกลัว หยดน้ำตาไหลเปื้อนแก้มหากแต่ริมฝีปากกลับฉีกยิ้มและปล่อยเสียงหัวเราะลั่น สองแขนปัดป่ายไปทั่วร่างกายก่อนจะทุบขาทั้งสองข้างที่ไร้ความรู้สึก ฝ่ามือซูบผอมดึงทึ้งผมของตัวเองก่อนจะทอดมองกระจุกผมนั้นด้วยแววตาหลงใหลระคนรังเกียจ
“แกตายไปแล้วนี่เดล!! ฮ่าๆๆๆ แกก็ด้วย! ฮืออออ ไอ้เด็กบ้าอย่ามาจับขาฉัน!!! ฮ่าๆๆๆ ฮึก ฮือออ”
ลู่หานกำลังดำดิ่งสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไร้แสงสว่างใดๆ ในความสิ้นหวังนั้นมีเพียงเสียงร้องเรียกอย่างโกรธแค้นจากทุกคนที่ต้องจบชีวิตเพราะตน จมลงสู่มหาสมุทรที่แสนมืดมิดและเหน็บหนาว
แหวกว่าย เวียนวน .. จมดิ่งสู่ห้วงแห่งเวรกรรม
เหมันต์อันหนาวเหน็บเริ่มโรยราเมื่อกาลเวลาหมุนเปลี่ยนอีกครั้ง ดอกไฮยาซินธ์ที่เคยแย้มกลีบบานค่อยๆ ร่วงโรยหลุดจากกิ่งก้าน เมล็ดเล็กๆ ถูกสายลมพัดพาไปยังสถานที่แห่งใหม่ เฝ้ารอเวลาให้หยาดฝนพร่างพรมเพื่อเบ่งบานอีกครั้งในรอบปี
อุณหภูมิในอากาศเริ่มอุ่นขึ้นหากแต่ก็ยังเย็นเยือกตามแบบฉบับเมืองหนาว เวลาล่วงผ่านแปรผันหลายสิ่งหลายอย่าง หากแต่บางสิ่งกลับยังคงเดิม
พายุหิมะเคลื่อนตัวผ่านฟากฟ้าไปแล้วตามคำบอกเล่าของสาวสวยจากข่าวพยากรณ์อากาศ สายลมอุ่นๆ จากทางเหนือเริ่มพัดลงมาตามช่องเขา เฮลเวเทียกำลังย่างเข้าสู่เทศกาลแห่งความสุขและสนุกสนานที่ผู้คนต่างรอคอย
“ต้นคริสต์มาสปีนี้จะต้องสูงและใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา!!”
เสียงตะโกนลั่นพร้อมกับแขนข้างหนึ่งที่ชูขึ้นเหนือหัวของปาร์คคนเล็กเรียกเสียงหัวเราะจากแบคฮยอนได้เป็นอย่างดี ต่างจากแมรี่ที่ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับนิสัยเหมือนลิงทะโมนของคุณหนูของตน
“ต้นเก่าเมื่อปีที่แล้วยังเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของอยู่เลยนะคะ”
“ต้นนั้นมันเล็กไปนะแมรี่”
“สูงกว่าคุณเล็กตั้งคืบมันเล็กตรงไหนกัน” แมรี่บ่นงึมงำเหมือนพูดกับตัวเอง ทว่าแบคฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับได้ยินจนอดหัวเราะไม่ได้
“มาช่วยพี่จัดดอกไม้ดีกว่าครับ” เสียงนุ่มเอ่ยบอกคนเด็กกว่าอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอ่อนไปให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เล็กจัดไม่สวยหรอกแบค อีกอย่างคือขี้เกียจอ่า”
“หัดทำบ่อยๆ ก็สวยแล้วครับ ที่สำคัญจะได้จัดใส่แจกันให้คุณหมอไปวางไว้ที่บ้านพักไม่ก็ห้องทำงานในฟาร์ม”
“อ่า.. แบคว่าหมอนั่นจะชอบไหม”
“แน่นอนครับ เวลาเหนื่อยๆ แล้วได้มองดอกไม้จะช่วยให้สดชื่น”
เด็กแสบกัดริมฝีปากตัวเองอย่างใช้ความคิด ท่าทางราวกับเรื่องที่กำลังขบคิดมันหนักหนาทำให้แบคฮยอนหัวเราะเบาๆ เรียวตาคู่สวยที่ทอดมองน้องชายของสามีเต็มไปด้วยความรักใคร่และเอ็นดู
“งั้นลองสักนิดก็ได้”
“โอเคครับ, คุณเล็กดูที่พี่ทำก่อนแล้วลองทำตามนะครับ”
“อื้ม~”
เสียงเจื้อยแจ้วของเซฮุนดังคลออยู่ตลอดช่วงเช้าของวันที่อากาศแสนอบอุ่น แจกันหลายขนาดถูกตกแต่งด้วยบุปผชาติหลากสีสัน ดอกทิวลิปสีเหลืองส้มแซมด้วยดอกเดซี่สีขาวในแจกันลายหินอ่อน ข้างกันคือแจกันใบใสที่ภายในเต็มไปด้วยดอกรักเร่สีแดงเข้ม
ยามเช้าของวันหมดไปกับการจัดแจกันดอกไม้ตามมุมต่างๆ ของบ้าน เสียงขับขานของวิหคน้อยใหญ่ดังแว่วมาจากพงไพร คล้ายกับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผืนป่ากลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
บนชั้นสองของเรือนไม้หลังใหญ่ แว่วยินเสียงหัวเราะมาจากห้องนอนทางปีกขวาของเรือน ผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังหยอกเย้าภรรยาที่รักด้วยความมันเขี้ยว จมูกโด่งคมเอาแต่ซุกซบลงบนหน้าท้องกลมด้วยอายุครรภ์ร่วมห้าเดือนเศษ
“ตื่นเต้นไหมหืมเจ้าก้อนของแด๊ด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเจ้าก้อนกลมที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในท้องของคนรัก ฝ่ามือหนาลูบหน้าท้องนูนก่อนจะจุมพิตแผ่วเบา
“ลูกไม่ตื่นเต้นหรอกครับ คนที่ตื่นเต้นเห็นจะเป็นคุณแดดดี้มากกว่า”
“ก็พี่อยากเห็นหน้าลูกนี่นา”
“ต้องน่ารักมากๆ อยู่แล้วครับ”
แบคฮยอนเอ่ยบอกผู้เป็นสามีอย่างเอ็นดู ถ้าถามว่าในปางไม้เติมฝันใครเห่อเจ้าก้อนกลมในท้องของเขามากที่สุด คำตอบก็คือว่าที่คุณพ่อและว่าที่คุณอาของเจ้าตัวเล็กเขานั่นแหละ
ปาร์คคนเล็กอย่างเซฮุนวางแผนจะทำห้องใหม่ให้หลานโดยที่ตนสามารถเข้าไปนอนด้วยได้ แต่ที่ยิ่งกว่าคือปาร์คคนโตอย่างชานยอลที่แทบจะสร้างเรือนหลังใหม่ให้ลูกเพราะกลัวว่าพื้นที่วิ่งเล่นจะไม่พอ
“ไปอาบน้ำได้แล้วครับ เดี๋ยวเลยเวลานัดคุณหมอนะ” แบคฮยอนเอ่ยบอกคนที่ยังนอนคุยกับลูกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะผละออกไป ซึ่งชานยอลก็อิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมลุกไปอาบน้ำแต่โดยดี
วันนี้พ่อเลี้ยงหนุ่มเข้าไปตรวจงานในปางตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะกลับมาที่เรือนในเวลามื้อเที่ยงเพื่อทานข้าวกับภรรยา และเพื่อเตรียมตัวไปโรงพยาบาลในช่วงบ่ายตามที่คุณหมอนัด
บ่ายวันนี้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มีนัดอัลตร้าซาวน์ประจำเดือนเพื่อตรวจสุขภาพของเจ้าก้อนกลม ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ทั้งคู่ตื่นเต้นที่สุดเพราะจะได้รู้เพศของลูกน้อยเป็นครั้งแรก
“ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนจะเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงกันแน่”
“แล้วพี่ชานยอลอยากได้ลูกชายหรือลูกสาวครับ”
“พี่ยังไงก็ได้ ถ้าคนนี้เป็นผู้หญิง คนต่อไปค่อยเป็นผู้ชาย หรือว่าจะแฝดไปเลยดีนะ อืม.. สี่คนกำลังดี”
ประโยคหลังคนตัวสูงคล้ายจะพึมพํากับตัวเอง ทว่าหน่วยตาคมที่ทอดมองมาด้วยแววเจ้าเล่ห์ก็ทำให้แบคฮยอนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น
“ไปอาบน้ำครับ”
“หึๆ”
เสียงหัวเราะต่ำที่ดังแว่วมาส่งผลให้ผิวแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ แบคฮยอนนั่งเม้มปากอยู่บนเตียงนอนหลังกว้างด้วยความเคอะเขิน ก่อนที่ฝ่ามือบางจะลูบลงบนหน้าท้องกลมของตนพร้อมกับก้มลงไปฟ้องลูกน้อยว่าแดดดี้กำลังเกเร
ครึ่งชั่วโมงต่อมา – บีเอ็มดับเบิลยูสีขาวปลอดก็เคลื่อนตัวออกจากปางมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลในตัวเมือง อุณหภูมิของเฮลเวเทียในบ่ายวันนี้เย็นสบายจนอดไม่ได้ที่จะลดกระจกลงเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติ เทือกเขาแอลป์ยังคงทอดตัวยาวมองเห็นอยู่ไม่ไกล ภูผาสูงตระหง่านถูกย้อมด้วยแสงแดดอ่อนๆ ตัดกับสีขาวของหิมะที่ยังไม่ละลาย
เพลงคันทรี่ในจังหวะช้าๆ ดังคลอไปกับเสียงทักทายของสายลม ชานยอลคลี่ยิ้มบางด้วยหัวใจที่เต้นรัวไปด้วยความสุข ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งผละจากพวงมาลัยรถก่อนจะเอื้อมไปจับหลังมือบางขึ้นมาแนบกับริมฝีปาก
“อัลตร้าซาวน์เสร็จแล้วไปเดินดูเสื้อผ้ากับของใช้ให้ลูกดีไหม”
คำถามของคนตัวสูงเรียกรอยยิ้มบางจากแบคฮยอน หากแต่คนถูกถามกลับไม่ได้เอ่ยตอบในสิ่งที่ผู้เป็นสามีถาม เพราะในใจของว่าที่คุณแม่มีเรื่องบางอย่างที่จำเป็นต้องทำมากกว่านั้น
แบคฮยอนขบคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้วและเชื่อว่าการตัดสินใจในครั้งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวเองและทุกคนที่ตนรัก เพราะการเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เพียงเดินจากไปและทิ้งอดีตเอาไว้เบื้องหลัง แต่เป็นการก้าวผ่านอดีตเหล่านั้นเพื่อจดจำไว้เป็นบทเรียน
“ผมขอไปเยี่ยมคุณลู่หานได้ไหมครับ”
“ไม่”
“พี่ชานยอล..”
แบคฮยอนเอ่ยเรียกคนรักเสียงอ่อน เรียวตาคู่สวยช้อนมองคนที่ขับรถอยู่อย่างออดอ้อนวอนขอ ใบหน้าหวานเอนซบท่อนแขนแกร่งก่อนจะถูไถไปมา
“พี่ไม่อยากให้เราไปเจอคนแบบนั้น” ชานยอลกำลังกลัวซึ่งแบคฮยอนก็รู้ดี ใบหน้าหวานจึงคลี่ยิ้มบางพร้อมกับยื่นหน้าไปกดจูบลงบนผิวแก้มสากแผ่วเบา
“ผมรู้ว่าพี่ชานยอลโกรธเขามากจนแม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากเห็น ผมเองก็เหมือนกัน”
“แล้วเราอยากไปทำไม”
“ผมแค่อยากไปเห็นกับตาว่าเขาได้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้วจริงๆ ผมอยากพบเขาเพื่อให้ความรู้สึกโกรธและแค้นที่สุมอยู่ในใจเบาบางลง ผมไม่อยากเก็บความรู้สึกไม่ดีนี้ไว้ อย่างน้อยก็อยากอโหสิกรรมต่อกัน”
“…”
“เราควรปล่อยให้ความโกรธความแค้นตายไปกับความทรงจำที่เลวร้าย อย่าให้มันยึดติดอยู่ในใจของเราจนตัวเราเองเป็นทุกข์เลยนะครับ”
คำพูดของคนที่อยู่เคียงข้างกายมาตลอดทำให้ชานยอลได้สติ หัวใจที่เคยเกลียดชังใครคนนั้นค่อยๆ ถูกเจือจาง และเพียงวินาทีที่หันไปมองรอยยิ้มหวานที่แสนคุ้นเคย ความโกรธแค้นที่เคยอัดแน่นอยู่ในใจก็จางหายไปราวกับสายหมอกยามต้องแสงอาทิตย์
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
“ครับ, เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
อรุณรุ่งยามเหมันต์นำพาความหนาวเหน็บและอ้างว้างมาสู่จิตใจ ทว่าในความเยือกเย็นนั้นกลับยังคงงดงามและตราตรึงใจเสมอ ตราบใดที่ร่างกายและหัวใจถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนของบุคคลอันเป็นที่รัก
tbc.
ตอนหน้าจะได้รู้เพศของเจ้าก้อนแล้วค่ะ
เตรียมของรับขวัญหลานกันด้วยนะจ๊ะ
Ps. ใครที่ไปคอนก็ดูแลตัวเองกันด้วยเน้อ
ส่วนเราโซนนั่งปาดน้ำตาอยู่หน้าคอมเหมือนทุกปี (ಥ﹏ಥ)
คิดถึงเสมอ :)
#ซคกด
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องแบคช่างจิตใจสูงส่งละเกิน ฮือออออออออออ
ช่ายยยย ผ่านมันไปด้วยกันนนนน
เจ้ากัอนต้องเป็นเจ้าชายแน่เลย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดแดดดี้น่ารักมากกก เห่อลูกหนักมาก! รอเจ้าก้อนเลยค่ะ จะผู้หญิงหรือผู้ชายกันนะ ไรท์รับสมัครแม่นมไหมคะ5555
พายุผ่านไปแล้วนะ