ตอนที่ 4 : ตัวอย่าง 4
4
เอาล่ะ!...ที่นี่ดาวโลกและ ดร.เจตน์ ราชโยธิน(คำว่าอาจารย์น่ะมันดูเหมือนเขาเป็นคนใจดีเกินไป ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นเขาเลยแม้แต่นิดเดียว)ก็ไม่ได้อยู่ดาวอังคาร ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังเป็นอาจารย์พิเศษ(เหลือเกิน)ที่ภาควิชาสื่อสารมวลชนของหล่อนด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าหล่อนอาจจะเจอเขาไม่วันใดก็วันหนึ่งซึ่งวันนั้นก็เป็นวันซวย อย่างเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา และต่อไปนี้หล่อนต้องระวังตัวมากขึ้นอีกเป็นหลายๆเท่าเมื่อเหยียบย่างเข้าไปที่ภาคฯในทุกๆวัน ไม่ใช่เฉพาะวันจันทร์อีกแล้ว แก่นจันทน์สรุป และวิเคราะห์หาทางออกของตัวเองที่เกี่ยวกับ เจตน์อีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งไม่เข้าใจ
เรากลัวเขาจริงๆหรือนี่! หญิงสาวส่ายหน้ากับตัวเองทันที ไม่รู้ซิ…หล่อนก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาถึงได้ รู้สึกครั่นคร้ามและปั่นป่วน ซึ่งเพียงเท่านั้นก็เป็นสัญญาณไม่ดีแล้ว สำหรับ ผู้ชายคนนั้นหล่อนไม่คู่ควรที่จะไปต่อกรกับเขาให้เจ็บตัวเลยจะดีกว่า นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลัว แต่เป็นการใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้วว่ามันไม่คุ้ม สำหรับอะไรๆ ก็ตาม แน่นอนสำหรับบุคลิกที่ถือตัวและเอาจริงอย่างนั้นเขาไม่มีทางลดตัวลงมาต่อปากต่อคำ(ถ้าหล่อนคิดจะทำ)กับนักศึกษาเมื่อวานซืนอย่างหล่อน เพราะอย่างนั้นอะไรที่เกี่ยวกับ เจตน์ ราชโยธินหล่อนทำได้อย่างเดียวคือ เลี่ยง(ดีกว่าหลบนิดๆ)ได้เป็นดีที่สุด
ทั้งหมดนั้นคือมาตรการสำหรับ เขา และมาตรการที่หล่อนเอาไว้รับมือกับเรื่องราวกล่าวขวัญของเพื่อนๆในชมรมฯแก่นจันทน์ก็ทำได้แค่นิ่งฟัง ไม่สนับสนุน และไม่ขัดคอ แต่ไม่รู้เป็นไงเหมือนกันที่หล่อนไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ เขาให้เข้าหูซ้ายและผ่านทะลุหูขวาไปได้ อย่างน้อยเวลาได้ยินเสียงชื่นชมหล่อนก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาบ้าง ก็อารมณ์หงุดหงิดนั่นล่ะ!
“จันทร์เป็นอะไร นั่งคิ้วผูกโบ เงียบตลอดเวลาเลย”แล้วยายออมสินก็สังเกตเห็นความผิดปกติจนได้
“เปล่า แล้วจะให้เราคุยอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียนวิชานั้นกับพวกออมนี่ ” วิชานั้นเป็นที่รู้กันดี อมาวดีกับเพื่อนร่วมชมรมก็เออออ ไม่ติดใจ
“และเราก็จำได้ว่าเทอมนี้ เราไม่ได้เรียนแค่วิชาเลือกวิชาเดียว”แก่น จันทน์อดเหน็บเพื่อนไม่ได้ แต่ก็เท่านั้นแหละแม้จะรู้ว่าถูกเหน็บ เพื่อนตัวดี ช่างฝันอุดมไปด้วยต่อมโรแมนติกก็เอาแต่ยิ้มหน้าระรื่น
“แต่วิชาเลือกของเรา ก็เป็นวิชาเดียวที่เรียนแล้วมีความสุขที่สุด” เพื่อนอีกคนว่า ที่เหลือก็เสริมสอดรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“เพ้อเจ้อ” แก่นจันทน์ค่อนเสียงหมิ่นออกไป อีกครู่เมื่อหันไปหาเพื่อนที่มองมาด้วยแววฉงนถึงได้รู้สึกตัวแต่ก็ไม่ ทันเสียแล้วเมื่อมาวดีตั้งคำถาม
“จันทน์ไม่ชอบอาจารย์เจตน์เหรอ”
“ทำไมจันทร์จะต้องชอบ หรือว่าไม่ชอบเขาด้วยล่ะ”แก่นจันทร์ถามกลับไปอย่างไขสือ ปั้นหน้าซื่อจนแววฉงนของเพื่อนคลายลง หล่อนจึงอธิบายด้วยสุ่มเสียงจริงจัง
“เราเพียงแต่คิดว่า เขาเป็นคนละรุ่นกับเรา อย่างน้อยก็อายุมากกว่าหลายๆปี นั่นยังไม่นับโปรไฟล์ที่สูงลิบลิ่วของเขานะ เปรียบไปก็เหมือนอยู่กันคนละโลกนั่นแหละ”….จบ ดอกเตอร์มาจากเมืองนอก เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ยักษ์ที่กุมบังเหียนวงการสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งประเทศ นามสกุลก็แสนจะคุ้นในวงสังคม…ใช่แล้วถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ดาวอังคารอย่างที่หล่อนเคยสรุปแต่ถ้าเทียบในเรื่องนี้แล้วเขาน่าจะอยู่คนละกาแลกซีกับพวกหล่อนเลยเชียวล่ะ แต่อมาวดีก็ทักท้วงทันที
“จันทร์ลืมบวกคะแนนหน้าตา อ.เจตน์ด้วย”
แก่นจันทน์อ้าปากเหวอทันที นอกจากจะไม่พากันสลดแล้ว อมาวดียังหัวเราะเยาะหล่อนเสียอีก หญิงสาวถอนใจทั้งทำใจว่า…หล่อนคงไม่แคล้วนั่งฟัง เพื่อนๆพร่ำเพ้อถึงเขาไปตลอดทั้งเทอม
หลังจากประกาศจุดยืนที่มีต่อ เจนต์ ออกไปแก่นจันทน์ก็พบว่า อมาวดี กับกลุ่มเพื่อนที่ชมรมฯไม่ค่อยพูดคุยถึงเขาให้หล่อนได้ยินมากนัก หรือถ้าจะพูดพวกเจ้าหล่อนก็จะไปจับกลุ่มคุยและหัวเราะคิกคักๆเป็นการส่วนตัว นานๆเข้าก็รู้สึกว่า อาการปลาบปลื้มจนออกนอกหน้าจะค่อยๆเบาบางลง แต่อย่าได้พูดถึงเชียวเพราะแค่ได้ยินชื่อเขา ดวงตาใสแจ๋วของพวกนั้นจะวาวหวานขึ้นทันที
สถานการณ์เหมือนจะเป็นไปด้วยดี แม้แก่นจันทน์จะนึกถึงดวงตาคมดุของเขาอยู่บ่อยครั้งและอย่างไม่ชอบใจก็ตามที แต่นั่นก็เพียงความฝังใจในรูปแบบแสนเหี้ยมเพื่อเตือนตัวเองเท่านั้น หล่อนสรุปกับตัวเองอย่างนี้ทุกครั้งที่ดวงตาคู่นั้นผุดวาบขึ้นมา ก่อนจะพบว่า ทุกๆอย่างสงบและเข้าที่เข้าทางอย่างยิ่ง ทว่าแก่นจันทร์กลับลืมไปว่าบางครั้งทะเลสงบนั่นก็หมายถึงก่อนพายุจะมาได้เหมือนกัน!
มัน เป็นบ่ายแก่ๆที่บรรยากาศของชมรมฯแสนรื่นรมย์ เมื่อสมาชิกที่ไม่มีชั่วโมงเรียนแล้วในวันนั้นได้รวมตัวกันไม่เฉพาะกิจ กล่าวคือ เมื่อชมรมฯยังไม่มีกิจกรรมอันใดเป็นพิเศษ สมาชิกที่มาต่างก็ทำกิจกรรมของตัวเองตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็นการจับกลุ่มเล่นหมากรุก เล่นแบดมินตันที่ยึดเอาถนนหน้าชมรมที่ไม่ค่อยมีรถสัญจรไป-มาเป็นสนามชั่วคราว ตลอดจนนั่งคุยกันเล่นๆไปจนถึงหาขนมของขบเคี้ยวมากินกันไม่หยุดปาก แก่นจันทน์กับ อมาวดีก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่มาใช้เวลาว่างที่ชมรมฯเสียส่วนใหญ่รองลงมาจากห้องสมุดที่ต้องไปค้นหาหนังสืออยู่เป็นประจำ
หากบ่ายนี้พวกหล่อนต้องรีบร้อนเข้ามาที่ชมรมฯเพราะ บรรณาธิการหนังสือชมรมเรียกประชุมเล่มด่วน เป็นการประชุมสำหรับวางแผน แบ่งงานสำหรับหนังสือของชมรมที่ต้องออกเดือนละครั้ง แก่นจันทน์ กับอมาวดีก็เป็นหนึ่งในทีมกองบรรณาธิการ
แก่นจันทน์รู้สึกกระตือรือร้นทุกครั้งที่ได้อยู่ในบรรยากาศของการทำหนังสือ ที่นี่ถือว่าเป็นกองบรรณาธิการจำลองให้พวกหล่อนได้ฝึกงานจริง แม้จะไม่เทียบเท่าของจริงแต่สมาชิกทุกคนเมื่อสวมบทบาท และรับหน้าที่ก็ทุ่มเททำงานอย่างสุดตัว ไม่ว่าทีมนักเขียน นักข่าว ช่างภาพ ฝ่ายศิลป์ ยันพวกส่งข้าวส่งน้ำเมื่อต้องเร่งให้หนังสืออกตามกำหนด
“จันทน์สัมภาษณ์พิเศษ คุณมีใครที่หมายตาไว้หรือยัง” อชิระ หนุ่มปีสี่ ผู้มีตำแหน่งเป็นบรรณาธิการ ถามขึ้นเพื่อสรุปความรับผิดชอบของแต่ละคนอีกครั้ง
“ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”แก่นจันทน์ขมวดคิ้ว พลางนึกหาบุคคลพิเศษที่จะสัมภาษณ์ลงคอลัมน์ของตัวเองไปด้วย
“เล่มนี้ผมอยากได้คนที่น่าจับตามองหน่อยนะ เอาแบบคนอ่านเห็นแล้วตาลุก ไม่อ่านไม่ได้แล้วขนาดนั้นเลย”
“ดาราซิ คนสนใจแน่” มีสมาชิกคนหนึ่งเสนอขึ้น เป็นที่รู้กันดีว่า ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีนักศึกษาที่เป็นดารากำลังโด่งดังอยู่หลายคน
“ไม่ล่ะ”บ.ก.หนุ่มโบกมือ “คิดดูซิ ถ้าเราอยากรู้เรื่องของดารา ก็แค่เดินไปที่แผงหนังสือเท่านั้นเอง”
หลายเสียงต่างก็เห็นด้วย เป็นอันว่าดารานักแสดงตกไป
“สัมภาษณ์นักเขียนซีไรต์ที่เพิ่งได้ปีนี้ดีไหม”คนที่อยู่ในความสนใจของแก่นจันทน์ที่สุดในตอนนี้เห็นจะมีแต่คนในแวดวงหนังสือเท่านั้น
“เล่มที่แล้วคุณก็เพิ่งสัมภาษณ์ เจ้าของรางวัลช่อการะเกด”เขา ดักคอทันที แก่นจันทร์ได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญา สมาชิกในกองบรรณาธิการช่วยๆกันเสนอบุคคลที่น่าสนใจ ขึ้นมาหลากหลาย แต่ก็ยังไม่เป็นที่ปลงใจ ใช่ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่น่าสนใจเพียงแต่บางคนที่เสนอมาน่ะความเป็นไปได้ที่ จะได้เข้าสัมภาษณ์นั้นแทบไม่มี อย่าง อองซานซูจี หรือไม่ก็รัฐมนตรีไปโน่น เสนอแบบนี้ไม่ต้องเสนอดีกว่าไหม
“เอาอย่างนี้ คอลัมน์ของจันทน์ผมให้เวลาคิดวันหนึ่ง พรุ่งนี้เอารายชื่อมาดูกันตกลงไหม”
“เอางั้นก็ได้”หล่อนรับคำ และการประชุมก็ดำเนินไปที่คอลัมน์ของคนอื่นๆ จนจบการประชุมแก่นจันทน์ถึงได้เดินขมวดคิ้วออกมานั่งที่ม้านั่งหน้าชมรม นึกถึงคนเด่นคนดัง ที่ศักยภาพอันจำกัดของหล่อนพอจะติดต่อสัมภาษณ์มาลงหนังสือของชมรมได้ …อองซานซูจีน่ะตัดไปได้เลย นายกอีก เฮ่อถ้าเป็นนายก อบต.ที่ใดที่หนึ่งก็ว่าไปอย่าง
“ถ้าหายากนักสัมภาษณ์ อธิการบดีเลยดีไหม”อมาวดีเสนอขึ้น ซึ่งก็นับว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง แต่หล่อนก็เชื่อว่า อชิระ บ.ก.สุดเขี้ยวจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ
“โอ๊ย ไม่เอานะ ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นชวนอ่านเลย อีกออย่างเราก็เห็นอธิการสัมภาษณ์ลงข่าวบ่อยไป ไม่เอาๆ” สิลี เพื่อนอีกคนหนึ่งที่เดินมาสมทบได้ยินพอดีรีบแย้ง และตอนนี้ก็กลายเป็นว่าสามสาวช่วยกันคิดหาคนพิเศษที่จะสัมภาษณ์ลงคอลัมน์สุด เอ๊กคูซีฟ ของแก่นจันทร์อย่างคร่ำเคร่ง
ท่ามกลางการใช้ความคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย อชิระ ผู้มีตำแหน่งเป็นบรรณาธิการก็เดินออกมาจากข้างในห้องทำการ เขายื่นนิตยสารเล่มหนึ่งลงมา ทั้งที่เปิดพับหน้าเอาไว้ อมาวดีรับมาด้วยใบหน้างุนงง พอๆกับแก่นจันทน์และ สิลี
“ดูคอลัมน์สังคมธุรกิจด้านซ้ายมือสิ”เขาพยักพเยิดบอก
สามสาวก้มดูพร้อมๆกัน อีกเพียงอึดใจเท่านั้น อมาวดีกับสิลีก็อุทานดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“อ.เจตน์!”ทั้งสองเงยหน้าไปหาอชิระ ฝ่ายนั้นพยักหน้ายิ้มพราย
“เป็นไง ถูกใจใช่ไหม”
“ที่สุดเลย….บ.ก. ตาแหลมที่สุด” สองสาวชมแล้วชมอีก ในขณะที่อมาวดีกับสิลีกำลังตื่นเต้น อชิระผู้เป็น บ.ก.กำลังกระหยิ่มที่สามารถเฟ้นหาบุคคลผู้มีความน่าสนใจเหมาะสมที่จะสัมภาษณ์ มาลงคอลัมน์ สุดเอ๊กคูซีฟประจำฉบับได้ หากแต่ผู้เป็นเจ้าของคอลัมน์ กลับนิ่งอึ้งไม่พูดไม่จา…ถ้าหล่อนตะโกนออกมาได้ แก่นจันทน์อยากร้องว่า…ไม่จริ๊งงงงงงง
“จันทน์โอเคตามนี้นะ ตกลงเป็น อ.เจตน์ ผมให้คุณกำหนดธีมเต็มที่”
ไม่มีเสียงตอบรับจากแก่นจันทน์ เขาจึงเรียกซ้ำดังขึ้นอีก
“จันทน์!”
แก่นจันทน์สะดุ้ง พร้อมกับยิ้มเฝื่อนๆ ถ้าทำได้หล่อนอยากบอกว่า ไม่โอ เค…แต่ที่ทำคือถามกลับไปเสียงอ่อนอ่อยเต็มที
“แน่ใจหรือ จะดีหรือ”
“แน่ใจที่สุด ฝากด้วยนะ”อชิระหันหลังกลับเข้าห้องทำการเงียบๆเหมือนกับตอนที่เขามา
แก่นจันทน์ก้มมองใบหน้าคมสันชัดเจน ด้วยหัวใจอัน ปั่นป่วนทั้งหนักอึ้ง ได้ยินอมาวดีกับสิลีช่วยกันคิดคำถามสำหรับฝากไปสัมภาษณ์แว่วๆยิ่งทำให้หล่อนอยากกรีดร้อง
“ที่สำคัญสัมภาษณ์มาให้ได้เลยคือ สเปก…อ.เจตน์ชอบผู้หญิงแบบไหน ผมสั้น ผมยาว ผิวขาว คล้ำ ดำแทน เอาให้ละเอียดเลยนะจันทร์”
แก่นจันทน์ไม่ตอบรับไม่นำพา หล่อนถอนใจดังๆก่อนจะขอแยกตัวกลับบ้านอย่างซังกะตาย….วันนี้ หล่อนรู้สึกเหมือนลอยมาในทะเลอันสงบอยู่ดีๆ ก็เกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำถาโถมใส่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าถ้ำเสือด้วยมือเปล่า ทั้งที่รู้ว่าในถ้ำนั้นมีเสือหล่อนก็ยังเดินเข้าไป…แก่นจันทร์เอ๋ยเธอต้องตายแน่ๆ
*********
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
