ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #19 : Part 16 หนทางช่วยเหลือ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.26K
      2
      11 พ.ค. 55

    /> /> />


    Part 16 หนทางช่วยเหลือ

     

                วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ...

     

                ชายหนุ่มแปลกใจไม่น้อยที่โรงพยาบาลดูจะคึกคักวุ่นวายกว่าปกติ ทั้งที่ไม่ได้มีคนไข้มากมายเลยแต่หมอ พยาบาลรวมถึงเจ้าหน้าที่ต่างก็ดูงานล้นมือกันทั้งนั้น

     

                “เช็ดให้สะอาดนะ อย่าให้มีคราบสกปรกแม้แต่มิลฯ เดียว” หญิงวัยกลางคนในชุดหัวหน้าพนักงานทำความสะอาดหันไปสั่งแม่บ้านที่กำลังเช็ดพื้นอย่างขมักเขม้น

    บรรยากาศตึงเตรียดแบบนี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยเจอมาก่อนตอนที่ลูกชายของผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาเยี่ยม วันนี้คงจะมีคนใหญ่คนโตที่ไหนมาอีกล่ะสิ ทุกคนถึงวุ่นกันแบบนี้ ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ

     

                “ฉันได้ยินมาว่าคุณหนูอีน่ะน่ากลัวมากเลยนะ เมื่อกี้เพื่อนที่อยู่ข้างล่างก็โทรมาเม้าท์ให้ฟังว่าคุณแกอาละวาดซะโรงพยาบาลเกือบแตก ดีที่คุณหมอคิมไปสงบศึกได้เสียก่อน” พยาบาลคนหนึ่งคุยกับเพื่อนพยาบาลอีกคนขณะที่มือก็จัดแฟ้มบนชั้นวางของให้เป็นระเบียบ

     

                “ตายล่ะ! อย่างนี้ถ้าพวกเราทำอะไรให้เขาพอใจจะเป็นยังไงเนี่ย” พยาบาลคู่สนทนายกมือปิดปากด้วยความตกใจ

     

                “ก็โดนเด้งน่ะสิยะหล่อน ได้ข่าวว่าคุณหนูอีแกสนิทกับผู้อำนวยการมากเลยนะ ขืนโดนเอาไปฟ้องล่ะก็ยุ่งแน่ รีบๆ ทำงานเข้าเถอะ ก่อนที่คณหมอคิมจะพาเขาขึ้นมา” พยาบาลอีกคนพูดตอบแทนแล้วหันไปทำงานต่อ

     

                เออแน่ะ...ท่าทางคุณหนูอีที่ว่านี่จะแสบไม่เบาทีเดียว

     

                คนไข้หนุ่มที่นั่งที่โซฟารับแขกซึ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาลพอดีและบังเอิญได้ยินบทสนทนาของสามสาวพยาบาลชักอยากเห็นหน้าคุณหนูคนที่ว่านี้ตงิดๆ

     

                แต่คนไข้นามคิมคิบอมที่ปกติจะใจเย็นในวันนี้กลับเบื่อที่จะรอ ร่างสูงลุกจากโซฟารับแขกเพื่อไปทำธุระของตัวเองต่อ เขาเชื่อว่าถึงอย่างไรก็ต้องได้เห็นหน้า คุณหนูอี นี่ให้เป็นบุญตาอยู่แล้วจากที่นั่งฟังพยาบาลสาวช่างเม้าท์คุยกันว่าอีกไม่นานคุณหนูคนนั้นจะเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลและเขาเองก็คงต้องติดแหงกอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ไปอีกนานเช่นกัน

     

     

     

                ซองมินสะดุ้งตื่นในตอนเช้าเพราะเสียงเคาะประตูจากพยาบาลที่นำถาดอาหารเช้ามาเสิร์ฟ นาฬิกาที่ติดอยู่ที่ผนังฝั่งตรงข้ามกับเตียงทำให้คนไข้หน้าหวานรู้ว่าเขาตื่นสายกว่าปกติ

     

                ด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับที่ยังตกค้างทำให้ซองมินรู้สึกเบลอๆ เหมือนสมองยังไม่ตื่นตัวดีและไม่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสเหมือนทุกเช้า ทั้งที่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม หลับสนิทแบบที่ไม่ฝันอะไรเลย

     

                มือเล็กยกขึ้นมาปิดปากหาวก่อนที่เจ้าของมือนั้นจะบิดกายไปมา ไม่ลืมเอ่ยขอบคุณพยาบาลที่ทำหน้าที่แต่เช้าดังเช่นทุกวัน เมื่อพยาบาลสาวออกไป ทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่ซองมินคนเดียว เขายังไม่ชินกับการที่ตื่นมาแล้วเห็นห้องว่างเปล่า ทุกครั้งโซฟาในห้องจะมีเด็กน้อยคนหนึ่งจับจองเป็นที่นอน แม้บางวันเจ้าเด็กตัวแสบจะออกไปซนข้างนอกจนไม่เห็นหน้าทั้งวัน แต่ซองมินก็ยังรับรู้ได้ว่าเด็กคนนั้นยังมีตัวตน

     

                ซองมินสูดจมูกที่เริ่มจะแดงแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวและล้างหน้าล้างตา ขับไล่ความเซื่องซึมอันเกิดจากฤทธิ์ยาและความรู้สึกภายในใจ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้อาวรณ์หาบารอมอีกแม้จะคิดถึงเด็กชายมากเพียงใดก็ตาม เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว วิญญาณบารอมที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างอาจจะไม่สงบสุข เด็กน้อยต้องรู้สึกไม่ดีแน่ที่เห็นพี่ชายที่รักทุกข์ใจ

     

                เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ซองมินก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียว เพราะวิญญาณเด็กน้อยอีกตนมานั่งรออยู่แล้ว พลันคำพูดสั่งเสียก่อนที่บารอมจะไปก็หวนกลับมาให้คิดถึง

     

                อึนจูกำลังมีห่วง และเขาจำเป็นต้องปลดมันออกเพื่อให้เด็กหญิงพ้นจากความทรมาน

     

     

     

     

                ทั้งที่คิดว่าวันนี้คงจะไม่ได้เห็นหน้าคุณหนูที่เลื่องชื่อลือนามว่าร้ายจนใครๆ ต่างก็พากันกลัว แต่คิบอมก็คิดผิดเพราะระหว่างทางที่จะกลับห้องพักของตน คนไข้หนุ่มก็เห็นชายหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่งยืนอยู่ข้างคุณหมอประจำตัวของเขาที่กำลังคุยกับพยาบาลที่เคาน์เตอร์ ส่วนคุณหนูอีผู้นั้นกำลังหันมองรอบๆ ตัว

     

                ตากลมโต จมูกรั้น ใบหน้าเรียบเฉยแต่สายตาดูไม่ชอบใจกับอะไรสักอย่าง ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ต่อให้คิบอมไม่เคยได้ยินคำพูดที่เหล่าพยาบาลจับกลุ่มนินทา เขาก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้ชายคนนี้คงจะเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจพอดู

     

                ส่วนทงเฮนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกสายตาคมของคนไข้ที่หลบมุมอยู่ที่เสาฝั่งตรงข้ามจับจ้องอยู่ ยังคงเหลียวซ้ายแลขวามองสภาพและบรรยากาศของโรงพยาบาล พร้อมกับนึกวิจารณ์โน่นนี่อยู่ในใจด้วยอะไรต่ออะไรก็ดูขัดหูขัดตาเขาไปหมด

     

                “นี่! เสร็จรึยัง คุยอะไรกันอยู่ได้ จะให้ฉันรออีกนานมั้ย” ทงเฮเริ่มโวยวายเมื่อตนยืนขาแข็งรอจงอุนคุยกับพยาบาลอยู่นานสองนานแล้ว

     

                “โอเค! งั้นไปเลยก็ได้ พี่จะพานายเข้าไปดูห้องพักคนไข้” จงอุนพูดเสียงหน่ายๆ แค่เขาหยุดแวะทักทายถามไถ่อาการของคนไข้กับพยาบาลได้ไม่ถึง 5 นาที พ่อเจ้าประคุณก็ออกอาการเสียแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าไม่มีพยาบาลคนไหนกล้าเดินตามมาคอยเป็นผู้ช่วยจนจงอุนต้องเอ่ยเรียกชื่อพยาบาลคนหนึ่งเป็นการบังคับแทน

     

                คล้อยหลังทั้งสามคนที่เดินหายเข้าไปในทางเดินซึ่งตัดไปยังห้องพักคนไข้ เหล่าพยาบาลสาวที่เหลือที่อยู่ที่เคาน์เตอร์ต่างเข้ามานั่งล้อมวงเพื่อสนทนากันตามประสาหญิงช่างเม้าท์ทันที หัวข้อหลักก็คงไม่พ้นเรื่องของคุณหนูอารมณ์ร้าย และนึกภาวนาให้เพื่อนผู้ดวงตกซึ่งโดนบังคับให้ทำหน้าที่ที่ไม่เต็มใจทำนั้นมีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมา

     

                คิบอมไม่ได้สนใจมองเหล่าพยาบาลสาวที่เริ่มคุยกันเสียงดังเพราะเป้าหมายไม่อยู่ในระยะได้ยิน ไม่ได้สนใจจะฟังเสียด้วยซ้ำว่าพวกเธอคุยอะไรกัน สายตาคมจับจ้องมองตามชายหนุ่มหน้าหวานที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา คิ้วหนาขมวดมุ่นขณะที่หัวใจเต้นแรง มือสองข้างบีบกันแน่นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว

     

               

     

                เวลาในการเยี่ยมเยียนคนไข้ยามเช้ามาถึงแล้ว ซองมินนอนจ้องนาฬิกาพลางถอนหายใจเฮือกๆ ท่าทีวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดนั้นทำให้อึนจูที่นั่งบนโซฟาที่เคยเป็นที่นอนบารอมได้แต่มองด้วยควมรู้สึกผิด

     

                “พี่ซองมิน อึนจูขอโทษ” เด็กหญิงเอ่ย น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ ซองมินจึงรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับโบกมือปฏิเสธไม่ให้เด็กหญิงคิดมาก

     

                “ขอโทษทำไมอึนจู ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย”

     

                “อึนจูทำให้พี่ซองมินไม่สบายใจ พี่ซองมินไม่ต้องช่วยอึนจูก็ได้” เด็กหญิงก้มหน้าพูดขมุบขมิบในลำคอ แต่ซองมินได้ยินชัดเจน

     

                “ไม่ได้หรอก ยังไงพี่ก็ต้องช่วยเรา มันต้องมีทางสิ ต้องมีวิธีทำให้เธอเข้าใจ” ประโยคหลังซองมินพูดกับตัวเอง พยายามขบคิดหาหนทางเพื่อช่วยเหลือวิญญาณเด็กน้อยที่มีบ่วงรัดร้อยคอยผูกไว้ให้ทรมาน ไม่ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่สมควร

     

                หลังจากที่ได้ซักถามจากปากของวิญญาณเด็กหญิง ทำให้ซองมินได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงที่อึนจูยังติดอยู่ในโลกใบนี้ ไม่ใช่เหตุผลเดียวกับบารอมที่เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา แต่เป็นเพราะอึนจูถูกกักขังไว้ด้วยจิตที่ยังเป็นห่วงของผู้เป็นมารดา

     

                ซองมินยังจำพยาบาลคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ เพราะในวันที่เจอเธอครั้งแรกก็เป็นวันที่เขาได้พบกับอึนจู เด็กหญิงเดินตามหลังมารดาเข้ามาในห้องและประหลาดใจที่คนไข้คนหนึ่งที่แม่ดูแลมองเห็นและสื่อสารกับเธอได้  ชีวิตที่เคยเหงียบเหงาเพราะต้องติดตามผู้เป็นแม่ตลอดเวลาเนื่องจากไม่มีที่ไปจึงเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างบารอมที่ช่วยคลายความเหงาไปได้มาก นับจากนั้นอึนจูก็แวะเวียนมาให้เห็นอยู่ไม่ขาด ตัวติดกับบารอมราวกับเป็นปาท่องโก๋ แม้ตอนนี้บารอมจะไม่อยู่แล้วแต่วิญญาณเด็กหญิงก็ยังมาขลุกอยู่ในห้องนี้กับซองมิน

     

                แต่อึนจูก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา ซองมินเข้าใจแล้วว่าทำไมบางครั้งอึนจูถึงหายตัวไป แม้แต่วันที่บารอมซึ่งเปรียบเสมือนทั้งเพื่อนและพี่ชายของเธอต้องจากไป อึนจูก็ยังไม่สามารถอยู่รอส่งได้ และบางวันซองมินไม่เห็นอึนจูเลยทั้งวัน นั่นเป็นเพราะวิญญาณของเด็กหญิงมีจิตผูกอยู่กับผู้เป็นแม่ หากปาร์คมินจองไม่อยู่แล้ว อึนจูก็ไม่สามารถอยู่ได้ จำต้องตามแม่กลับบ้านไป และจะมาโรงพยาบาลได้ก็ต่อเมื่อแม่มาทำงานเท่านั้น

     

                คำบอกเล่าของอึนจูตอบคำถามทุกอย่างในใจซองมินว่าทำไมบางครั้งเด็กหญิงถึงหายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุและทำไมครั้งหนึ่งในฝันจึงเห็นโซ่ผูกล่ามเท้าเธอเอาไว้

     

                โซ่เส้นนั้นคือบ่วงจากผู้เป็นแม่ที่รัดรึงเด็กหญิงไว้ไม่ให้จากไปในที่ๆ สมควรต้องไป ทำให้เธอต้องทรมานอยู่บนโลกใบนี้ซึ่งไม่ใช่ที่ของตนเอง

     

                กุญแจสำคัญที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่พยาบาลนามปาร์คมินจองผู้ยึดรั้งลูกสาวเอาไว้เท่านั้น แต่ที่ซองมินยังคิดไม่ตกคือจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เธอยอมปลดปล่อยบ่วงอาวรณ์ที่ยังรัดตรึงเด็กหญิงเอาไว้ การที่จะไปบอกตรงๆ ว่าวิญญาณของลูกสาวยังวนเวียนไม่ได้ไปเกิดและทุกข์ทรมานนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ในสายตาคนอื่นซองมินคือคนไข้ผู้มีอาการทางจิต ขืนทำอะไรไปโดยไม่คิด ดีไม่ดีเขาจะถูกจับฉีดยาระงับประสาทอีกเข็ม การเป็นคนบ้านั้นทำให้เขาไม่มีสิทธิมีปากมีเสียงอะไรทั้งสิ้น นั่นทำให้ซองมินเจ็บใจไม่น้อย

     

                และที่สำคัญ ท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าลูกสาวตัวเองตายไปแล้วทั้งที่วิญญาณของเธอยืนอยู่ตรงหน้าซองมินตั้งแต่วันแรกที่พบกันทำให้เขาตะขิดตะขวงใจไม่น้อย ลูกตัวเองตายไปทั้งคนเธอไม่รู้เลยหรือ พอเอ่ยปากถามอึนจูเรื่องนี้ เด็กหญิงก็เอาแต่ส่ายหน้าว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้เป็นแม่คิดอะไร บอกแต่เพียงว่าแม่ยังทำราวกับเธอมีชีวิตอยู่ แล้วเด็กหญิงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก คล้ายจะกลัวในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป

     

                แล้วสรุปว่าการทำราวกับลูกสาวยังมีชีวิตอยู่นั้นมันหมายความว่าอะไรกันแน่ ซองมินขบคิดจนหัวแทบแตกแต่ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าต้องไปดูให้เห็นกับตาที่บ้านของเธอเท่านั้น แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขายังเป็นคนไข้อยู่ อย่าว่าแต่ออกไปข้างนอกเลย แม้แต่เดินเล่นในสวนของโรงพยาบาลโดยไม่มีบุรุษพยาบาลตามคุมยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไอ้การที่เขาเดินลอยชายในเขตตัวตึกโรงพยาบาลโดยไม่ถูกจับตามองได้ก็นับว่าเก่งแล้ว

     

                ซองมินหันไปมองนาฬิกาอีกครั้ง ปกติเวลานี้คยูฮยอนควรจะมาได้แล้ว เขามีเรื่องต้องคุยกับผู้ชายคนนั้น แม้จะเฝ้ารอให้เขามาแต่ซองมินก็ยังคิดไม่ออกว่าจะขออนุญาตออกไปข้างนอกได้อย่างไร แม้คยูฮยอนจะดูไม่เข้มงวดเท่าแพทย์ประจำตัวที่แท้จริงอย่างชินบยองชอล แต่คุณหมอลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลก็ไม่ใจดีเป็นพ่อพระยอมฟังทุกคำพูดของเขาแน่ อาจจะต้องอ้างว่าอยากกลับไปที่บ้านแม่เพราะคิดถึง มันเหมาะเจาะกับเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาใช้แก้ตัวตอนร้องไห้พอดีและดูท่าว่าประเด็นอ่อนไหวนี้จะทำให้คยูฮยอนรับฟังเสียด้วย แต่บ้านแม่เขาอยู่ตั้งอินชอนนี่นา ถ้าเกิดคยูฮยอนเห็นว่าไกลไปไม่อนุญาตล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องอ้างว่าไปบ้านพ่อที่โซล แล้วถ้าตาหมอจอมจุ้นนั่นขอตามไปด้วยจะทำอย่างไร เขาไม่คิดอยากกลับไปเจอแม่เลี้ยงตัวเองตอนนี้หรอกนะ

     

                ซองมินสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ถึงแม้จะเร่งเวลาอยากพบหมอประจำตัวชั่วคราวของตัวเองไวๆ แต่พอเวลามาถึงจริงๆ แล้วซองมินกลับอยากเลื่อนให้ช้าไปอีกหน่อย เพราะเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย

     

                ประตูห้องเปิดออก ซองมินเตรียมปั้นหน้าสดใสยิ้มรับคุณหมอหนุ่มแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเอาใจแต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเลือนหายไปทันทีเมื่อพบว่าไม่ใช่คุณหมอหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เป็นผู้เดินเข้ามาในห้องแต่กลับเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมหน้าตาใจดีในชุดเสื้อกาวน์แพทย์แทน

     

                “สวัสดีครับคุณอี” คุณหมอที่ซองมินไม่รู้จักเอ่ยทักทาย ซองมินจึงจำต้องก้มหัวให้อย่างงุนงง

     

                “ครับ เอ่อ...ขอโทษนะครับ คุณเป็นใคร”

     

                “ผมชื่อคิมมยองฮุนเป็นหมอที่มาทำหน้าที่แทนคุณหมอโจวครับ วันนี้คุณหมอโจวติดธุระจึงมาไม่ได้ครับ” คุณหมอตอบยิ้มๆ แต่ซองมินก็ยังไม่หายสงสัย

     

                “ติดธุระเหรอครับ ธุระอะไรกันครับ เอ่อ...ขอโทษนะครับ ผมพอจะทราบได้มั้ย” ซองมินรีบเสริมเมื่อตนดูอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป

     

                “ที่จริงก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกนะครับ พอดีคุณหมอแกรู้สึกไม่สบาย วันนี้ไปตรวจร่างกายชุดใหญ่ ก็เลยต้องลางานครึ่งวันครับ”

     

                คำตอบของนายแพทย์ร่างท้วมทำให้ซองมินตาโตด้วยความตกใจ ผู้ชายกวนประสาทท่าทางถึกทึนแบบคยูฮยอนนี่น่ะหรือจะป่วย หรือว่า....เป็นเพราะถูกผีร้ายทำร้ายจนป่วยกันแน่

     

                “เขาไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยครับ” ซองมินถามหน้าตาตื่น ท่าทางตระหนกตกใจราวกับคยูฮยอนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเรียกรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของคุณหมอมยองฮุน สงสัยที่พวกพยาบาลลือว่าคุณหมอหนุ่มอนาคตไกลกำลังขายขนมจีบคนไข้ในแผนกคงจะจริงล่ะกระมัง แล้วคนไข้คนที่ว่าก็คงจะเป็นคุณอีคนนี้ไม่ผิดแน่

     

                “เขาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ร่างกายภายนอกดูแข็งแรงดี แต่คงแค่ตรวจเพื่อป้องกันเอาไว้เผื่อเป็นโรคแฝง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” คุณหมอพูดพลางยิ้มพราย

     

                ซองมินหลบสายตา หน้าร้อนวูบเมื่อเห็นแววตาล้อเลียนของคุณหมอผู้มารับหน้าที่แทนก่อนจะบ่นอุบอิบในลำคอว่าไม่ได้เป็นห่วงเสียหน่อย

     

                การตรวจเป็นไปอย่างปกติ ซองมินสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีและดูไม่มีอาการไม่ว่าจะทางกายหรือทางจิตที่ผิดปกติ นายแพทย์ร่างท้วมจึงเอ่ยลาเพื่อจะไปตรวจคนไข้คนสุดท้ายที่อยู่ห้องถัดไป แต่คนไข้หน้าหวานที่สงสัยว่าเป็นคนรักของคยูฮยอนก็เรียกเอาไว้เสียก่อน

     

                “เดี๋ยวครับคุณหมอ...”

     

     

     

     

                คิบอมกำลังดูละครตอนบ่ายอยู่เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าแขกผู้มาเยี่ยมเยือนเป็นใคร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น

     

                “มาอีกแล้วเหรอ” คิบอมทักพลางยิ้มกว้างจนตาหยี

     

                “ทักแบบนี้ไม่อยากให้มาเหรอ” ซองมินหัวเราะเบาๆ แล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงผู้ป่วย

     

                “อยากให้มาสิ อยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้เหงาจะตาย” คิบอมพูด

     

                “ซองมินก็กลัวคิบอมจะเหงาเลยเอานี่มาฝาก” ซองมินพูดพร้อมกับอวดของที่แอบเอาซ่อนไว้ข้างหลัง

     

                “หนังสือเหรอ” คิบอมมองอย่างสนใจแล้วรับหนังสือมาจากมือซองมิน

     

                “อื้อ ซองมินขอยืมจากน้องชายน่ะ อยู่ที่ห้องไม่มีอะไรทำเลยบอกน้องให้หาหนังสือมาให้อ่าน พอดีนึกขึ้นได้เลยเอามาให้คิบอมยืม” ซองมินพูดพลางมองว่าคิบอมจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

     

                คิบอมพลิกอ่านปกหลังที่เขียนเรื่องย่อของหนังสือคร่าวๆ เป็นหนังสือนิยายแนวสืบสวนสอบสวนชื่อดังที่ถูกทำเป็นภาพยนตร์ เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ดูท่าทางสนุกและน่าอ่าน

     

                “ขอบคุณมากนะซองมิน ผมชอบอ่านหนังสือแนวแบบนี้พอดี” คิบอมพูด ส่งรอยยิ้มละลายใจให้

     

                “ดีจังที่คิบอมชอบ เรื่องนี้สนุกมากเลยนะ น้องชายของซองมินน่ะเป็นทนายความ ชอบอ่านหนังสือแนวพวกนี้แหละ ซองมินก็ว่าสนุกดี ว่าจะขอยืมอีกแล้วจะมาแบ่งคิบอมอ่านด้วย”

     

                “ถ้าไม่ได้ซองมินผมคงเหงาแย่ แล้วที่มาวันนี้กะเอาหนังสือมาให้อย่างเดียวเหรอ” คิบอมถาม วางหนังสือเล่มที่ว่าไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ตั้งใจว่าถ้าซองมินไปแล้วจะหยิบมาอ่าน

     

                “ก็ไม่เชิงหรอก จะแวะมาเยี่ยมด้วยแหละ” ซองมินตอบ

     

                “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า หรือยังเคลียร์กับเพื่อนไม่ได้” คิอมถาม น้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้น

     

                “ไม่ใช่หรอก ที่จริงก็กะจะมาขอบคุณคิบอมเรื่องนี้แหละที่ช่วยเตือนสติซองมิน ซองมินคงเสียใจไปตลอดชีวิตจริงๆ ถ้าไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเพื่อนคนนั้น ตอนนี้ซองมินกับเขาเข้าใจกันแล้วล่ะ” ซองมินพูด แต่คิบอมยังเห็นความกังวลใจอยู่บนใบหน้าที่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้ของซองมิน

     

                “แล้วมีปัญหาอะไรล่ะ” คิบอมถามอย่างเป็นห่วง

     

                “ไม่ใช่เรื่องของเพื่อนคนนั้นหรอก เฮ้อ....! อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก” ซองมินทำท่าเหมือนไม่อยากเล่า แต่พอคิบอมเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย ร่างบางก็เปลี่ยนใจกะทันหัน เอ่ยปากถาม “คิบอมเคยออกจากโรงพยาบาลหรือเปล่า”

     

                “ไม่เคยหรอก ติดอยู่ที่นี่หลายปีจนชักเบื่อแต่ก็ออกไปไม่ได้หรอก ถึงออกไปก็ไม่รู้จะไปไหนอยู่ดี ซองมินถามทำไมเหรอ” คิบอมตอบก่อนจะถามกลับ

     

                “ซองมินอยากออกไปข้างนอกซักครึ่งวัน แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี” ซองมินพูดกลุ้มๆ

     

    ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าถึงเอ่ยปากขอกับคุณหมอคิมมยองฮุนที่ดูใจดีแต่เขาก็คงไม่อนุญาตอยู่แล้ว ใครจะไปกล้าเสี่ยงปล่อยให้คนไข้อย่างเขาออกไปข้างนอกล่ะ ยิ่งไม่ใช่คนไข้ของตัวเองด้วย ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาคุณหมอผู้นั้นก็ต้องเดือดร้อน แม้ว่าเขาแน่ใจว่าตัวเองจะไม่อาละวาดก่อเรื่องวุ่นวายก็เถอะ แต่ใครมันจะไปเชื่อใจ

     

    “ก็ลองขอหมอออกไปสิ ซองมินก็ดูปกติดี เขาไม่น่าจะปฏิเสธนะ” คิบอมแนะนำ แต่กลับเป็นหนทางที่ซองมินทำและแป้วไปเรียบร้อยแล้ว

     

    “แหะๆ ไม่ได้ผลล่ะ ซองมินลองขอดูแล้ว คนไข้อย่างซองมินไม่มีใครเขาอยากปล่อยออกไปข้างนอกหรอก”

     

    คิบอมได้แต่มองซองมินด้วยความสงสารแต่เขาก็คงจะช่วยอะไรซองมินไม่ได้อยู่ดี

     

    “เอาเถอะๆ ยังไงซองมินก็ต้องหาทางออกได้อยู่ดีนั่นแหละ งั้นซองมินไม่กวนคิบอมละ คิบอมจะได้พักผ่อนแล้วจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย ซองมินไปก่อนนะ” ซองมินทำท่าจะลุกจากเก้าอี้แต่เสียงเรียกของคิบอมทำให้ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งใหม่

     

    “ซองมินรู้หรือเปล่าว่ามีหุ้นส่วนของโรงพยาบาลจะมาทำงานที่นี่” คิบอมถาม

     

    “อ๋อ! คุณทงเฮน่ะเหรอ รู้สิ คิบอมรู้ได้ยังไงล่ะ” ซองมินตอบ ใจนึกไปถึงคุณคู่หมั้นของคุณหมอโจวที่แสดงท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคู่หมั้นของตัวเองเสียจนเขาเองยังแอบหมั่นไส้เล็กๆ

     

    “วันนี้เขามาดูงานที่นี่น่ะ เลยเห็นแวบนึง” คิบอมตอบ

     

    “เป็นไง น่ารักมั้ย” ซองมินถามยิ้มๆ  ดูจากสีหน้ากระอักกระอ่วนของคิบอมแล้วคงจะรู้ความหมายแฝงในคำพูดของซองมินดี ท่าทางคุณหนูคนนี้คงจะแผลงฤทธิ์เดชออกมาให้เห็นกันตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงานเลยทีเดียว

     

    “อื้ม....น่ารักมากกกกเลยล่ะ” คิบอมลากเสียงยาวประกอบเรียกเสียงหัวเราะร่วนจากซองมิน

     

    “เขาทำอะไรล่ะถึงดูน่ารักในสายตาคิบอมขนาดนั้น”

     

    “ก็ไม่ทำไมหรอก แค่ดู....อืม...เป็นคุณหนูเอาแต่ใจ สงสัยคงถูกตามใจจนเคยตัว” คิบอมทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบ

     

    “มองคนได้เฉียบคมจริงๆ สุดยอดเลย” ซองมินอดยกนิ้วให้กับการอ่านคนได้ทะลุปรุโปร่งประดุจมีสายตาเอ๊กซ์เรย์ของคิบอมไม่ได้ ขนาดไม่ได้เจอมากับตัวจังๆ อย่างเขาแต่คิบอมกลับมองออกว่าทงเฮเป็นคนอย่างไร

     

    “เปล่าหรอก เห็นพยาบาลจับกลุ่มสรรเสิรญเขาอยู่น่ะ ผมบังเอิญผ่านไปได้ยินเข้าพอดี” คิบอมแก้ข้อเข้าใจผิดของซองมินจึงเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง

     

    “โธ่! ไอ้เราก็นึกว่าจะเก่ง ฮ่าๆ แล้วว่าแต่ถามถึงเขาทำไมล่ะ หรือว่าสนใจ คนน่ารัก แบบนั้น” ซองมินกระเซ้าพลางชี้หน้าคิบอม

     

    “เปล่าหรอก” คิบอมตอบ ใบหน้าคมเคร่งเครียดขึ้นจนซองมินแปลกใจที่อยู่ๆ เพื่อนหนุ่มเปลี่ยนอารมณ์ไวแบบนี้ “ซองมินมองเห็นผีได้ใช่มั้ย”

     

    “อ..อื้อ ทำไมเหรอ” ซองมินเองก็เริ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากปากคิบอม ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มก่อตัวขึ้นมา และมันก็ไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง

     

    “คุณทงเฮนั่นน่ะมีผีผู้หญิงตามอยู่ ซองมินเคยเห็นหรือเปล่า”

     

     

     

     

     

     

    ซองมินหน้าซีดเผือด ในหัวขบคิดไปถึงบทสนทนาท้ายๆ ที่คุยกับคิบอมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

     

    อีทงเฮมีผีผู้หญิงตาม!

     

    เรื่องนี้มันช่างฟังดูคุ้นๆ ราวกับเกิดเหตุการณ์เดจาวู

     

    เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ผีตนนั้นจะใช่ตนเดียวกับที่ตามคยูฮยอนและเคยรังควาญเขาหรือเปล่า ถ้าใช่...ทงเฮก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว หรือถ้าไม่ใช่ ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าวิญญาณตนนั้นมีจุดประสงค์อะไรถึงได้ทำแบบนี้

     

                ถึงแม้ทงเฮจะอารมณ์ร้าย เอาแต่ใจและนิสัยไม่น่ารัก แต่ซองมินก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ และคิบอมเองก็คงจะเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่บอกเขาและมีท่าทีสนใจอย่างเห็นได้ชัดถึงขั้นถามว่าเขาเคยเห็นผีตัวนี้มาก่อนหรือไม่ เป็นใครและทำไมถึงตามทงเฮ เพราะคิบอมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าชายหนุ่มเองก็สามารถมองเห็นวิญญาณได้เช่นเดียวกัน ถึงจะไม่อาการสาหัสสากรรจ์เท่าซองมินเพราะจิตแข็งกว่าก็ตาม

     

                แต่ซองมินก็ตอบคำถามคิบอมไม่ได้เลยสักคำถามเดียว แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าผีตนนั้นเป็นใครและตามทงเฮเพราะอะไร เพราะถ้าบอกนั่นย่อมหมายความว่าเขาต้องเล่าย้อนไปอีกว่าผีตนนั้นเคยตามหลอกหลอนเขาเพราะสาเหตุเดียวกับที่ตามทงเฮนั่นแหละ

     

                หึงหวงผู้ชายของตัวเอง...

     

                เพียงแค่คิดเรื่องนี้ซองมินก็ขนลุกซู่ เขายังไม่ลืมว่าตัวเองเคยเจอกับอะไรบ้าง และตอนนี้เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ (กว่าเดิม) ว่าจะอยู่ให้ห่างคุณหมอผู้มีประวัติไม่ดีคนนี้ให้ไกลที่สุด ซึ่งก็นับว่าโชคเข้าข้างเพราะอีกไม่นานคุณหมอชินบยองชอลก็จะกลับมาแล้ว

     

                แล้วซองมินก็ออกมาจากห้องของคิบอมด้วยสภาพตื่นตระหนกแบบนี้โดยที่ไม่ไขข้อสงสัยของคิบอมเลยสักข้อเพราะเขาไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีก เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เขาไม่ได้ระบายให้คิบอมฟังเพราะกลัวเพื่อนสนิทคนเดียวในโรงพยาบาลเป็นห่วงและตกใจ ขนาดเห็นแค่ผีตามคนที่ไม่คุ้นเคยคิบอมยังขวัญเสียแล้ว ถ้ารู้ว่าผีตนนั้นเคยทำอะไรซองมินไว้บ้างจะไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือ

     

                “คุณซองมิน คุณซองมินครับ!

     

                เสียงเรียกดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ซองมินที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อยและยังคงเยื้องย่างช้าๆ ไปตามทางของตนเองจนกระทั่งเจ้าของเสียงนั่นแตะเข้าที่ไหล่ คนที่กำลังขวัญอ่อนจึงสะดุ้งโหยงร้องออกมาดังลั่น

     

                “เฮ้ย!!

     

                “เป็นอะไรครับคุณซองมิน” คนที่ทำให้ซองมินตกใจถาม ถึงจะเป็นห่วงแต่ก็อดยิ้มขำท่าทางของซองมินที่ตอนนี้ลูบอกตัวเองพลางเป่าปากฟู่ๆ ไม่ได้

     

                “หมอจงอุนนี่เอง ผมตกใจหมดเลย” ซองมินพูดพลางส่งค้อนเล็กๆ ให้

     

                “ผมเรียกคุณซองมินตั้งนานก็ไม่สนใจเลยต้องตามมาสะกิดสิครับ แล้วนี่มาเยี่ยมคุณคิมเหรอครับ” จงอุนถามไถ่ตามประสาคนรู้จักกัน

     

                “เอ่อ....อ่า...ครับ” ซองมินตอบ สติยังดูไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นเพราะขวัญหนีดีฝ่อหรือเพราะยังคิดถึงเรื่องผีและทงเฮก็ยังไม่อาจทราบได้

     

                “งั้นให้ผมไปส่งที่ห้องนะครับ พอดีตอนนี้เพิ่งออกเวร กำลังว่างเลย” จงอุนพูด ซองมินรีบพยักหน้าตอบรับคำชวนโดยไม่ปฏิเสธหรืออิดเอื้อน ก็ดีเหมือนกัน เขากำลังใจเสีย เดินคนเดียวเปลี่ยวๆ แล้วเสียวสันหลังพิลึก “ว่าแต่คุณซองมินมีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือเปล่าครับ” จงอุนถามด้วยความเป็นห่วงขณะเดินอยู่ข้างๆ ซองมิน เมื่อครู่นี้ทั้งที่เขาเดินสวนเจ้าตัวแท้  ๆ แต่ชายหนุ่มหน้าหวานคนนี้กลับเอาแต่เหม่อ ไม่ทักทายเหมือนทุกครั้ง ขนาดเรียกยังไม่ได้ยินจนต้องถึงเนื้อถึงตัวถึงจะรู้ตัว

     

                “ไม่...เอ้อ...มีครับ!” ซองมินเปลี่ยนคำตอบกลางอากาศเสียจนจงอุนงง สรุปว่ามีหรือไม่มีกันแน่

     

                “ครับ?”

     

                “มีครับ คือผมมีเรื่องจำเป็นที่ต้องออกจากโรงพยาบาล ผมขออนุญาตออกไปข้างนอกวันเสาร์นี้สักครึ่งวันได้มั้ยครับ” ซองมินรีบสวมรอยคว้าโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ทันที เอาวะ! ลองเสี่ยงดู อย่างน้อยขอจากจงอุนก็ดูจะมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จมากกว่าคยูฮยอน

     

                “ผมไม่ใช่หมอในแผนกคุณ คงจะอนุญาตไม่ได้หรอกนะครับ” จงอุนตอบ มีท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

     

                “แต่คุณก็เป็นหมอ...”

     

                “ไม่ได้หรอกครับ คุณไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผม คุณต้องไปขออนุญาตจากหมอประจำตัวครับ”

     

                “เขาไม่ให้หรอกครับ” ซองมินพูดเสียงอ่อย ถอนใจอีกเฮือกใหญ่จนจงอุนชักใจไม่ดี

     

                “ผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้างมั้ย” จงอุนถาม อยากจะเอื้อมมือไปแตะบ่าคนตัวเล็กแต่ก็ไม่กล้า

     

                “คุณจะช่วยผมจริงๆ เหรอครับ” ซองมินตาโตขึ้น รอยยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ทำใจคุณหมอหนุ่มกระตุก

     

                “ครับ ได้สิครับ” จงอุนตอบไปอย่างไม่รีรอ

     

                “ถ้าอย่างนั้นผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิครับ” ซองมินพูด ยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อขอโทรศัพท์จากคุณหมอหน้าตี๋ พอได้มาแล้วก็กดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจทันทีและไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เพียงกดตัวเลขไปแค่ 3-4 ตัวก็มีชื่อขึ้นมาว่า รยออุค

     

    เป็นอันแน่ชัดว่าสองคนนี้สนิทกันจนถึงขั้นแลกเบอร์กันแล้ว

     

                “รยออุคเหรอ นี่พี่ซองมินนะ ตอนนี้ว่างมั้ย....ตอนเย็นเหรอ มาหาพี่หน่อยสิ ไม่ต้องถามมากน่ามาก่อนเถอะแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง” พอคุยธุระจบซองมินก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้จงอุนแล้วกล่าวคำขอบคุณ

     

                “คุณคงไม่คิดจะหนีออกจากโรงพยาบาลหรอกใช่มั้ยครับ” จงอุนถาม น้ำเสียงส่อแววกังวล

     

                “เปล่าครับ ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก” ซองมินตอบ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ แต่ยิ่งเห็นแบบนั้นแล้วจงอุนก็ยิ่งใจไม่ดี

     

                เปล่าหรอก ซองมินไม่ได้คิดจะหนีออกจากโรงพยาบาลแค่แอบแวบไปทำธุระข้างนอกแป๊บเดียวเอง

     

     

     

     

                หลังจากที่อึนจูต้องกลับบ้านเพราะผู้เป็นแม่ทำงานเสร็จ ทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่เจ้าของห้องอย่างซองมินเพียงคนเดียวที่กำลังนอนคิดทบทวนแผนการในใจ

     

                เขาต้องออกจากโรงพยาบาลวันเสาร์สักครึ่งวัน ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นวันอาทิตย์ เพราะสองวันนี้ปาร์คมินจองไม่มีเวรทำงานที่โรงพยาบาลจึงอยู่บ้าน และแผนการนี้ต้องมีคนนอกช่วย เขาไม่สามารถทำได้คนเดียว ทั้งที่ตอนแรกคิดจะขออนุญาตออกจากโรงพยาบาลให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่คิดๆ ดูอีกทีมันคงกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย เพราะถึงแม้โรงพยาบาลจะอนุญาตจริงแต่ก็ต้องมีบุรุษพยาบาลติดสอยห้อยตามไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้เขาไม่อยากให้คนนอกเข้ามาวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้จึงมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องแอบออกไป

     

                คนเดียวที่เขาไว้ใจและคิดว่าจะช่วยเขาได้ก็คือรยออุคเท่านั้น

     

                คิดถึงรยออุค รยออุคก็มา ทนายความร่างเล็กเข้ามาในห้องสองมือถือข้าวของพะรุงพะรังเต็มไปหมด จากการสังเกตของซองมิน ถุงพลาสติกเหล่านั้นล้วนบรรจุของกินทั้งสิ้น

     

                “โทษทีนะครับพี่ที่มาช้าไปหน่อย พอดีแวะไปเอารถแล้วเลยซื้อของมาฝากพี่ด้วย” รยออุคพูดเสียงใสแล้วอวดถุงมากมายในมือให้ซองมินดู

     

                “ซื้ออะไรมาเยอะแยะล่ะนั่น พี่กินไม่หมดหรอกนะ”

     

                “ไม่หมดก็เก็บเข้าตู้เย็นสิครับ ผมเห็นในห้องมีตู้เย็นด้วย แล้วอย่างพี่ซองมินเนี่ยนะกินไม่หมด ไม่เชื่อหรอก” รยออุคพูดพลางหัวเราะคิกคัก

     

                “คิมรยออุค เดี๋ยวเถอะ! ว่าพี่เหรอ แต่ก็ดีเหมือนกัน พี่ก็ชักเบื่ออาหารโรงพยาบาลละ ไหนดูซิมีอะไรบ้าง” ซองมินรีบปรี่เข้าไปดูของในถุงที่รยออุควางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง มีทั้งของหวานของคาวล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดซองมินทั้งนั้น

     

                “เห็นของกินแล้วลืมธุระเลยนะครับ ตกลงพี่เรียกผมมาทำไมครับเนี่ย” รยออุคพูด ยิ้มขำพี่ชายที่ตาโตเพราะเห็นของโปรดที่ตัวเองไม่ได้ทานมานาน

     

                “พี่มีเรื่องขอให้นายช่วย” ซองมินพูด

     

                “ครับ” รยออุคตอบอย่างไม่ใส่ใจขณะที่แกะกล่องเกี๊ยวที่เพิ่งนึ่งร้อนๆ

     

                “พี่อยากออกจากโรงบาลซักแป๊บนึง”

     

                “ครับ!” คราวนี้รยออุคหันมามองหน้าซองมินหน้าตาตื่น “พี่จะหนีออกจากโรงพยาบาลเหรอ”

     

                “ไม่ใช่หนี แค่จะออกไปทำธุระแป๊บนึง แล้วพี่ต้องการให้นายช่วยด้วย ถ้าไม่มีนายพี่ทำไม่ได้แน่” ซองมินพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน

     

                “แล้วพี่จะออกไปไหน ออกไปทำอะไร” รยออุคถามอย่างร้อนรน ซองมินจึงต้องเล่าเรื่องของวิญญาณเด็กหญิงให้ผู้เป็นน้องฟัง

     

    “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เลยต้องไปที่บ้านเขาเพื่อหาทางช่วย” รยออุคทวนคำพูดสรุปเรื่องเล่าที่ซองมินพูดมา แม้จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกัน โตด้วยกันมา รยออุคจึงรู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งเหลวไหลไร้สาระ ซองมินมีสัมผัสพิเศษที่ติดต่อกับวิญญาณได้จริง “แล้วพี่รู้เหรอว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน”

     

    พอเจอคำถามนี้ซองมินถึงกับใบ้กิน จริงสิ! เขามัวแต่คิดว่าจะหาทางหนีออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไร จนลืมนึกไปว่าถ้าออกไปได้แล้วจะไปไหน

     

    “เดี๋ยวพี่ถามอึนจูก็ได้ บ้านเขาเขาก็ต้องรู้ว่าอยู่ที่ไหน”

     

    “เด็กตัวแค่นั้นเขาจะอธิบายให้พี่เข้าใจได้เร้อ” รยออุคพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ

     

    “เอาน่า...ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ไว้ถ้าไม่ได้เรื่องจริงๆ ค่อยหาทางสืบจากที่อื่นก็ได้” ซองมินตัดบท แม้ปัญหานี้จะเป็นเรื่องใหญ่แต่ก็ไม่มีอะไรจะหนักหนาเท่าจะออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไรแล้ว

     

    “แล้วพี่จะให้ผมช่วยยังไง” รยออุคถาม

     

    ซองมินยิ้มกว้างขณะที่แจงแผนการให้น้องชายที่ไว้ใจที่สุดฟัง

     

    -----------------------------------------------


    Writer Talk:  ทอล์คอะไรดีนะ ไม่มีอะไรจะทอล์คอ่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวบทตัวรองๆ จะเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วนะคะ ตอนนี้ตากี้หายเงียบไปเลย ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนหน้ามาแน่ ติดตามอ่านกันต่อไป เย้!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×