ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #20 : Part 17 ศัตรูหัวใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.4K
      3
      22 พ.ค. 55


    href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_filelist.xml" /> href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_themedata.thmx" /> href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_colorschememapping.xml" />

    Part 17 ศัตรูหัวใจ

     

                “หมายความว่าพี่จะออกไปคนเดียวอย่างนั้นเหรอ!” รยออุคร้องถามหน้าตาตื่นหลังจากที่ฟังซองมินเล่าแผนการของตนเองจนจบและตอนนี้กำลังใช้ส้อมพลาสติกจิ้มเกี๊ยวที่เขาแกะให้

     

                ซองมินพยักหน้า ขณะที่เคี้ยวเกี๊ยวคำโตจนแก้มตุ่ย

     

                “พี่จะออกไปคนเดียวได้ยังไง มันอันตราย แล้วถ้าเกิดหลงทางจะทำยังไง พี่ยังไม่เคยเดินทางมาไหนไปไหนในโซลเลยนะ” รยออุคพูด ชักไม่เห็นด้วยกับแผนการบ้าดีเดือดของพี่ชายคนนี้ซะแล้วสิ

     

                ซองมินรีบกลืนเกี๊ยวในปากจนเกือบสำลักเพื่อจะโน้มน้าวใจน้องชายสุดที่รัก “ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ นายเองก็เพิ่งกลับจากอเมริกา ยังไม่เห็นหลงทางเลย แล้วอีกอย่างพี่ก็อยู่ที่โซลมาตั้งนานแล้ว มาอยู่ก่อนนายอีก”

     

                “ถึงมาอยู่ก่อนแต่ก็อยู่แต่ในนี้ไม่ใช่รึไง” รยออุคสวนกลับทันควัน ซองมินจึงหน้าม่อยเพราะเถียงไม่ออก “ไม่รู้ล่ะ ผมคัดค้านแผนนี้ ถ้าพี่จะไปผมต้องไปด้วย”

     

                “เฮ้ย! ไม่ได้ๆ ถ้านายไปแล้วใครจะมาเป็นตัวแทนพี่ล่ะ” ซองมินรีบโต้กลับ

     

                “อันที่จริงถึงในห้องนี้ไม่มีคนอยู่ก็ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พี่ก็ออกไปเดินข้างนอกได้อยู่แล้วนี่ ถ้าเปิดประตูเข้ามาจะไม่เจอเจ้าของห้องบ้างก็ไม่น่าจะแปลก”

     

                “ไม่เอา! ถ้าเกิดมีใครสงสัยล่ะ แผนได้แตกกันพอดี” ซองมินยังคงยืนยันคำเดิมที่จะให้รยออุคปลอมตัวเป็นเขาอยู่ในห้อง เพราะถึงแม้ตนเองสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกได้อย่างที่น้องชายว่า ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ตามใจชอบทุกอย่าง อย่างน้อยเขาก็ประพฤติตัวเป็นคนไข้ที่ดี ถึงจะไม่อยู่ในห้องตลอดเวลาแต่พอถึงเวลาที่พยาบาลและหมอเข้ามาเยี่ยมในห้อง ไม่ว่าจะมาตรวจร่างกาย เสิร์ฟข้าว เสิร์ฟยาเขาก็อยู่ตลอด ถ้าเกิดเขาหายไปอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้

     

                รยออุคเม้มริมฝีปากแน่น มือก็ลูบคางตัวเองเบาๆ ท่าทางที่บอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แต่อยู่ๆ ร่างเล็กก็สะดุ้งโหยงเพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์เป็นเพลงของวงบอยแบนด์ชื่อดังของประเทศซึ่งเจ้าตัวจำได้ว่ามาจากโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้นมา

     

                มือเล็กหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง มองชื่อที่โชว์บนหน้าจอพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นแล้วจึงเอ่ยปากขอตัวไปรับโทรศัพท์ข้างนอกโดยที่ผู้เป็นพี่ชายที่แม้จะกำลังกลุ้มกับแผนการทำความผิดครั้งแรกในชีวิตแต่ก็เจริญอาหารทานเกี๊ยวเจ้าอร่อยที่น้องชายซื้อมาฝากเป็นอย่างดีไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเลย

     

                ระหว่างนั้นซองมินก็นึกทบทวนแผนการอยู่ในใจ เขาไม่รู้ว่าตนเองย้ำคิดถึงแผนนี้มากี่รอบแล้วแต่ก็เพื่อความรอบคอบว่าจะไม่มีช่องโหว่ตรงไหนให้เกิดความผิดพลาด

     

                เช้าวันเสาร์ เขาต้องรอให้หมอเข้ามาตรวจร่างกายรอบเช้าเสียก่อน จากนั้นรยออุคจะมาพบเขาตอน 9 โมงเช้าโดยประมาณพร้อมกับเสื้อผ้าเพื่อให้เขาใช้ผลัดเปลี่ยนออกโรงพยาบาล ส่วนเจ้าน้องตัวดีก็จะต้องใส่ชุดเครื่องแบบคนไข้ของเขาแล้วเป็นตัวแทนเขาอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงเคาะประตู รยออุคต้องคลุมโปงหลบอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วแกล้งทำเป็นหลับเพื่อไม่ให้โดนจับได้ว่าเป็นตัวปลอม แม้รยออุคจะหุ่นผอมบางกว่า แต่ก็ส่วนสูงพอๆ กันกับเขา เวลานอนคลุมด้วยผ้าห่มผืนใหญ่น่าจะดูไม่แตกต่างจากเขานัก แต่เพื่อความรอบคอบเดี๋ยวต้องลองให้รยออุคนอนคลุมตัวด้วยผ้าห่มดู แต่ก็คงต้องหลังจากกล่อมเจ้าตัวได้สำเร็จแล้ว จากนั้นเขาก็จะออกจากโรงพยาบาลในชุดธรรมดา ขับรถรยออุคไปที่บ้านของพยาบาลผู้เป็นแม่ของอึนจู โชคดีที่รยออุคได้รถคืนแล้วหลังจากเข้าอู่อยู่นาน เพราะเขาไม่อยากใช้บริการรถสาธารณะเท่าไหร่เนื่องจากไม่สะดวกทันใจ แม้จะเป็นแท็กซี่ก็ยังสู้ใช้รถของตัวเองไม่ได้

     

                ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร การสืบเสาะหาสาเหตุที่อึนจูยังคงวนเวียนอยู่บนโลกนี้อย่างทรมานน่าจะไม่เกินครึ่งวัน เขาก็จะกลับมาที่โรงพยาบาลทันก่อนที่หมอจะมาตรวจร่างกายตอนเย็น แม้ครั้งนี้จะยังไม่สำเร็จแต่อย่างน้อยเขาน่าจะพอหาทางช่วยเหลือวิญญาณเด็กน้อยผู้น่าสงสารได้บ้าง

     

                ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง ซองมินที่กำลังเหม่อคิดถึงแผนการจึงออกจากภวังค์ เอ่ยปากทักน้องชายที่เดินเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ได้หันไปมอง “กลับมาแล้วเหรอ ทำไมไปคุยโทรศัพท์นานจัง พี่....” คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายลงคอเมื่อเห็นว่าผู้เป็นน้องไม่ได้เดินเข้ามาในห้องเพียงคนเดียว

     

     

     

     

     

     

     

                เขาคิดไปเองหรืออย่างไรกันนะ

     

                มือบางยกขึ้นมาลูบแขนตัวเองเบาๆ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาแล้วจึงค่อยๆ หันไปมองข้างหลัง ดวงตากลมโตฉายแววตื่นตระหนก

     

                ไม่มีอะไร...ไม่มีใครตามมา แต่ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา....

     

                เขาต้องอุปาทานไปเองแน่ๆ ใช่แล้ว เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้เขาเก็บมาคิดฟุ้งซ่านเป็นตุเป็นตะ ต้องเป็นแบบนี้แหละ ไม่มีใครตามเขามาหรอก ไม่ว่าจะเป็นคนหรือ...

     

                “โอ๊ะ!!” ทงเฮเกือบจะร้องกรี๊ดเหมือนผู้หญิงเสียแล้วถ้าไม่หันไปมองข้างหลังแล้วเห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่นั่งรออยู่เข้ามาแกล้งจี้เอวเล่นให้ตกใจ

     

                “ยังบ้าจี้เหมือนเดิมเลยนะทงเฮ” คยูฮยอนพูดยิ้มๆ พลางบีบแก้มน้องชายคนสนิทเบาๆ ในขณะที่ทงเฮนั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

                “พี่คยูนี่เอง นึกว่าใคร อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ถ้าเฮหัวใจวายตายจะทำยังไง” ทงเฮพูดพลางส่งค้อนให้

     

                “น้องชายพี่ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า ก็หนังเหนียวซะขนาดเนี้ย” คยูฮยอนบีบจมูกรั้นๆ ของทงเฮอีกทีด้วยความหมั่นเขี้ยวจึงโดนตีคืนเข้าที่ต้นแขนเป็นการลงโทษ

     

                “แล้วสรุปตรวจร่างกายเป็นไงบ้าง”

     

                “ไม่เป็นอะไรหรอก ปกติดีทุกอย่าง ช่วงนั้นคงจะพักผ่อนน้อย ร่างกายเลยอ่อนเพลีย” คยูฮยอนตอบ

     

                ทงเฮพยักหน้ารับรู้ เขามานั่งรอคยูฮยอนที่ตรวจร่างกายอย่างละเอียดตั้งแต่เช้าและเพิ่งจะมาเสร็จเอาก็บ่ายค่อนเย็นด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมผิดปกติจนพยาบาลที่ได้ยินกิติศัพท์มาถึงกับแปลกใจที่คุณหนูอีดูจะเรียบร้อยผิดจากที่ได้ยินมา รวมถึงคยูฮยอนด้วยเช่นกันที่คิดว่าคุณหนูอารมณ์ร้ายผู้นี้จะถล่มเขายับเยินฐานที่ผิดนัดซ้ำยังปล่อยให้รอเสียนาน

     

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” คยูฮยอนอดจะถามไม่ได้เมื่อเห็นว่าทงเฮนั้นเอาแต่นั่งเงียบ ขนมเค้กที่สั่งมาแทบไม่พร่องลงไปเลย

     

                “เปล่าซะหน่อย ไม่ได้เป็นอะไร” ทงเฮตอบเบาๆ แล้วจึงใช้ช้อนตักเค้กเข้าปากทั้งที่ไม่มีความอยากเลยแม้แต่น้อย

     

                “ไม่โกรธพี่เหรอที่เมื่อเช้าเบี้ยวนัดน่ะ” สุดท้ายคยูฮยอนก็เป็นฝ่ายถามออกไปเอง เมื่อไม่เห็นว่าทงเฮจะเอ่ยถึงเรื่องนี้

     

                “โกรธ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยโกรธแล้ว” ทงเฮตอบ

     

                ก็จริงอยู่ที่ตอนแรกเขาโกรธคยูฮยอนมากแต่หลังจากได้คุยกับพยาบาลถึงได้ทราบมาว่าก่อนหน้านี้คยูฮยอนเคยเป็นลมหมดสติมาแล้วครั้งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้ชายแข็งแรงที่ไม่ค่อยเจ็บป่วยนอกจากเป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ อย่างคยูฮยอน ความเป็นห่วงที่มีมากกว่าความไม่พอใจจึงทำให้ทงเฮแทบจะหายโกรธแล้ว ยังไม่นับกับเหตุการณ์เขย่าขวัญสั่นประสาทที่ทำให้ทงเฮไม่เหลือสมองพอจะไปนึกขัดเคืองใจใคร ลืมแม้แต่จะอาละวาดแสดงความไม่พอใจเวลาเห็นอะไรขัดหูขัดตาเสียด้วยซ้ำ

     

                “เป็นห่วงพี่ล่ะสิ” คยูฮยอนพูดพลางเหล่ตามองหน้าน้องชายที่ดูอารมณ์จะไม่ค่อยแจ่มใสเท่าใดนัก

     

                “ใครห่วง เฮไม่ห่วงพี่คยูหรอก ถึกทึนออกขนาดนั้นจะไปป่วยได้ไง” ทงเฮเบ้ปากก่อนจะแลบลิ้นให้ จึงโดนมือใหญ่ขยี้หัวด้วยความเอ็นดูจนเจ้าตัวรีบปัดออกแทบไม่ทัน

     

                “แล้วเมื่อเช้าเป็นไงบ้าง ไปดูงานกับพี่จงอุน สนุกมั้ย”

     

                “สนุกอะไรล่ะ คนอะไรใจร้ายชะมัด ทำเป็นเก๊กหน้าโหด ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งคุณลุงกับคุณน้าจ้างให้เฮก็ไม่ไปหรอก” พอนึกถึงใบหน้าเคร่งขรึมกับเสียงดุๆ ของคุณหมออีกคนทงเฮก็ทำหน้าบูดด้วยความไม่พอใจ

     

                “พี่เยซอง...เอ้อ พี่จงอุนน่ะ จริงๆ แล้วเขาใจดีออกนะ เราน่ะทำตัวไม่น่ารักหรือเปล่าถึงได้โดนเขาดุน่ะ” คยูฮยอนแกล้งถาม อันที่จริงเขาก็พอจะได้ยินพวกพยาบาลเล่าขานกันมาบ้างว่าคุณหนูอีออกฤทธิ์ออกเดชอะไรเมื่อตอนเช้า แต่ตอนนี้พ่อเจ้าประคุณกลับกลายเป็นเด็กดีผิดปกติเสียอย่างนั้น ข้ออ้างพร้อมคำปลอบที่เตรียมมาล่วงหน้าเพื่อรับมือกับทงเฮจึงต้องเก็บเข้ากรุไปอย่างน่าเสียดาย

     

                “เฮออกจะน่ารัก ไม่งั้นพี่คยูจะรักเหรอ” ทงเฮแกล้งทำตาแป๋วแล้วกระพริบตาปริบๆ ทำท่าน่ารักแบบทุกครั้งเวลาอ้อนคยูฮยอน

     

                “จ้า...รู้แล้วว่าน่ารัก แต่ตอนนี้พี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว เราก็นั่งรออยู่แถวนี้แหละ เสร็จงานพี่จะมาหา” คยูฮยอนกำลังจะลุกขึ้นแต่กลับโดนรั้งแขนเอาไว้

     

                “ยังต้องทำงานอีกเหรอ นี่จะหมดวันแล้วนะ”

     

                “แค่ไปราวน์วอร์ดเย็นน่ะ แป๊บเดียว ไม่น่าจะเกินชั่วโมงหรอก” คยูฮยอนตอบ อันที่จริงเขาลางานแค่ครึ่งวัน แต่เพราะการตรวจร่างกายที่ใช้เวลายืดเยื้อกว่าที่คิด สุดท้ายเลยต้องยืดเวลาพักงานมาเป็นเต็มวัน เขาไม่จำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมคนไข้ตอนเย็นเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะมีใครบางคนที่อยากพบหน้ารออยู่

     

                “ตั้งชั่วโมงแหน่ะ เฮรอพี่คยูมาทั้งวันแล้วนะ” ทงเฮเริ่มออกอาการงอแง

     

                “งั้นเรากลับไปก่อนก็ได้ พี่จะโทรเรียกคนขับรถที่บ้านมารับ” คยูฮยอนล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบโทรศัพท์มือถือ

     

                “ไม่เอา เฮจะกลับกับพี่คยู”

     

                “งั้นก็ต้องรอพี่ที่นี่”

     

                “เฮจะไปด้วย ถ้าพี่คยูไม่ให้เฮไป เฮก็ไม่ปล่อย” ไม่พูดเปล่า ทงเฮยังยึดแขนคยูฮยอนแน่นด้วยมือทั้งสองข้างจนคุณหมอหนุ่มส่ายหน้าด้วยความระอาใจ

     

     

     

     

     

     

                “สวัสดีครับคุณหมอ มาได้ยังไงกันครับ” แม้คำถามจะถูกเอ่ยกับชายหนุ่มผู้เข้ามาใหม่ แต่สายตาของซองมินกลับตวัดไปมองน้องชายตัวดีที่ยืนมองเพดานเขม็งราวกับจะพินิจพิจารณาเข้าไปถึงเนื้อปูนว่าทำมาจากอะไร

     

                “อย่าโทษคุณรยออุคเลยนะครับ ผมขอตามมาพบคุณซองมินเอง” จงอุนรีบพูดปกป้องทนายความตัวเล็กที่บัดนี้กลายเป็นจำเลยโดนซักฟอกทางสายตาโดยซองมินไปแล้ว

     

                “คุณหมอมีธุระอะไรเหรอครับ” ซองมินแกล้งถามทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าจงอุนเข้ามาพบด้วยเหตุผลอะไร

     

                “ผมทราบมาว่าวันเสาร์คุณซองมินจะออกจากโรงพยาบาล...”

     

                “นี่นายบอกเขาหมดเลยเหรอเนี่ย” ซองมินหันมาเอาเรื่องผู้รู้แผนการอีกคนที่ตอนนี้เปลี่ยนมายืนก้มหน้านิ่งยอมรับผิด

     

                “คุณซองมินใจเย็นๆ นะครับ อันที่จริงผมก็รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ที่คุยกับคุณเมื่อเช้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัด” จงอุนพยายามจะเข้าไปสงบศึกแต่ดูเหมือนคำพูดของเขาจะกลายเป็นราดน้ำมันเข้ากองไฟแทน

     

                “นายเล่าแผนของพี่ให้เขาฟังหมดเลยเหรอ เสียแรงที่พี่อุตส่าห์ไว้ใจนาย”

     

                “คุณซองมินครับ...ไม่ใช่ความผิดของคุณรยออุคเขาหรอกนะครับ ผมเป็นคนโทรถามเขาเองแล้วก็คาดคั้นจนเขาบอก”

     

                “พอเถอะครับคุณหมอ ใช่...ผมบอกคุณหมอเขาเองแหละ เขาไม่ได้คาดคั้นอะไรหรอก เขาถามผมคำเดียว ผมก็เล่าให้เขาฟังหมดเลย” รยออุคตอบตรงๆ คราวนี้ไม่ได้หลบสายตาซองมินแล้ว แต่กลับจ้องมองกลับ

     

                “ทำไมนายทำกับพี่แบบนี้ เดี๋ยวนี้เห็นคนอื่นดีกว่าพี่แล้วเหรอ” ซองมินถามด้วยความผิดหวัง รยออุคไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อใจของเขาแต่ยังตัดโอกาสที่จะช่วยเหลืออึนจูด้วย หากแผนการครั้งนี้โดนขัดขวาง เขาก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำอย่างไร ทุกอย่างคงยากกว่านี้หากทางโรงพยาบาลรู้ว่าเขาคิดจะหนีออกไป

     

                “ผมไม่เคยเห็นใครดีกว่าพี่ทั้งนั้นแหละ แล้วคุณจงอุนเขาก็ไม่ใช่คนอื่นด้วย เขาเป็นเพื่อนของพี่ไม่ใช่รึไง” รยออุคพูด ดวงตาที่จ้องมองซองมินแม้จะเด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวแต่ก็มีน้ำตาเคลือบขัง ไม่ต่างจากดวงตาอีกคู่ที่จ้องมองกลับมาเลย

     

                “นายทำให้พี่ผิดหวังนะรยออุค” ซองมินพูด เสียงเยียบเย็นจนแม้แต่คนนอกครอบครัวอย่างจงอุนอดตกใจไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นด้านนี้ของผู้ชายอ่อนโยนใจดีอย่างซองมินมาก่อน

     

                “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณซองมินแล้วฟังผม เรื่องที่คุณจะออกจากโรงพยาบาล ผมไม่คิดจะขัดขวางและจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ผมจะช่วยคุณ”

     

                ซองมินหันขวับมองจงอุนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง จงอุนจะช่วยเขา ไม่ได้จะมาห้ามเขาหรอกหรือ

     

                “คุณหมอว่ายังไงนะครับ”

     

                “ครับ ผมจะช่วยคุณ แล้วก็นี่ แฟ้มประวัติของพยาบาล ผมขอมาด้วยเผื่อให้คุณดูที่อยู่ของบ้านพยาบาลที่คุณจะไป” จงอุนพูดแล้วยื่นแฟ้มสีน้ำตาลที่ถือมาด้วยให้ซองมินที่ยังทำหน้างง

     

                “เอ้า! รับไปสิพี่ซองมิน อ้าปากหวอเดี๋ยวแมลงก็ได้บินเข้ากันพอดี” รยออุคที่กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมรีบดึงแฟ้มจากมือจงอุนยัดใส่มือซองมินที่ดูเหมือนยังตามเรื่องไม่ค่อยทัน

     

                “อ่า....เอ่อ..ขอบคุณมากนะครับ” ซองมินรีบเปิดแฟ้มเพื่อตามหาพยบาลผู้เป็นมารดาของอึนจู ใบหน้าหวานยังคงแดงก่ำ ความโมโหโกรธาเมื่อครู่หายไปหมดเพราะถูกแทนที่ด้วยความเขินอายแทนที่ตัวเองฟาดงวงฟาดงาใส่น้องชายโดยไม่ได้ฟังความให้ดีเสียก่อน

     

                “อันนี้เป็นแฟ้มประวัติเฉพาะพยาบาลแผนกจิตเวชนะครับ พอดีผมเดินผ่านเคาน์เตอร์เลยขอมาให้ ผมไม่ทราบว่าพยาบาลที่คุณตามหาทำงานอยู่แผนกไหน ถ้าไม่ใช่ของที่นี่ผมจะได้ไปขอที่แผนกอื่นให้”

     

                “ไม่...ไม่ต้องครับ ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ เธออยู่แผนกนี้นี่แหละครับ ผมนี่แย่จัง ไม่ทันได้ฟังอะไรก็” ซองมินยิ้มแห้งๆ แล้วก้มหน้าหลบสายตาคมของจงอุนเพื่อหาชื่อของพยาบาลผู้นั้นต่อ

     

                “ตกลงว่าแผนการจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้แทนนะ ผมจะอยู่ที่ห้องนี้เป็นตัวแทนพี่ซองมิน ส่วนพี่ก็ต้องออกไปกับคุณหมอเขา โดยที่เขาจะจัดการพาพี่ไปส่งและพากลับมาอย่างปลอดภัย” รยออุคพูดชี้แจงแผนการคร่าวๆ “ไม่มีคำว่าแต่ ไม่มีการโต้แย้ง ถ้าพี่ไม่ตกลง ผมก็จะไม่ร่วมมือด้วย เป็นอันจบ” รยออุคตัดบททันทีที่ซองมินอ้าปากกำลังจะพูด ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าพี่ชายตัวเองคิดจะทำอะไร ฝันไปเถอะว่าเขาจะยอมปล่อยซองมินให้ออกไปคนเดียว ไม่มีทางเสียหรอก

     

                “ก็ได้ๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” ซองมินพูดอุบอิบแล้วก้มลงไปจัดการกับแฟ้มต่อ

     

                “คุณหมอก็ต้องดูแลพี่ชายผมให้ดีนะครับ ผมมีพี่ชายคนเดียว ทั้งรักทั้งหวงยิ่งกว่าไข่ในหินซะอีก” รยออุคพูดต่อ ไม่สนใจซองมินที่ส่งค้อนพลางยู่ปากขัดใจ

     

                “ครับ ผมจะดูแลคุณซองมินยิ่งชีพ ไม่ให้ใครทำอะไรได้เลยล่ะครับ” จงอุนรับปากอย่างแข็งขัน

     

                ซองมินก้มหน้าต่ำลงเพื่อซ่อนรอยยิ้ม เหตุผลหนึ่งก็คือซาบซึ้งในความรักและเป็นห่วงของรยออุคและความมีน้ำใจของจงอุน และอีกเหตุผลคือ...คู่นี้เข้ากันได้ดีขนาดนี้ เห็นทีเขาจะได้น้องเขยเป็นหมอจริงๆ แล้วล่ะ

     

     

     

     

     

     

                “ยังไม่หมดอีกเหรอพี่คยู เฮเดินจนเมื่อยขาอยู่แล้วนะ เหลืออีกกี่ห้องเนี่ย” ทงเฮบ่นกระปอดกระแปด เกาะแขนคยูฮยอนแน่นจะปล่อยก็ต่อเมื่อคุณหมอหนุ่มต้องตรวจคนไข้เท่านั้น มีพยาบาลที่ตีหน้าไม่ถูกเดินตามมา

     

                “พี่บอกแล้วไงว่ามันไม่สนุกหรอกนะ ถ้าเหนื่อยก็ไปนั่งรอพี่ก่อนก็ได้ อีก 2-3 ห้องก็หมดแล้ว” คยูฮยอนตอบ

     

                “อีกแค่ 2-3 ห้องเอง เฮทนได้” ทงเฮตอบ ยังไงก็ต้องทนล่ะ เพราะเขาไม่มีทางปล่อยให้คยูฮยอนอยู่กับนายซองมินอะไรนั่นหรอก หนึ่งในสองสามห้องที่เหลืออยู่ ต้องมีสักห้องหนึ่งนี่ล่ะที่เป็นของคนไข้คนนั้น คิดเหรอว่าจะมาแย่งพี่คยูของเขาได้ ไม่มีทางเสียหรอก

     

                สุดท้ายคยูฮยอนก็หยุดยืนอยู่หน้าห้องที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของตนเอง ชายหนุ่มก้มลงมองน้องชายคนสนิทที่เกาะแขนเขาแน่นและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย เห็นทีคงต้องเข้าไปตรวจทั้งอย่างนี้แล้วสินะ จะถอยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว และอีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้เป็นคุณหมอประจำตัวของคนไข้หนุ่มน้อยหน้าหวานคนนั้น ได้เอ่ยลากันสักนิดก็ยังดี

     

                พยาบาลที่เดินตามมายังไม่ทันจะได้เปิดประตูห้องให้ ประตูก็ถูกเปิดออกจากอีกด้านหนึ่ง บุคคลที่ออกมาจากห้องของซองมินทำให้ทั้งคยูฮยอนและทงเฮตกใจ โดยเฉพาะคยูฮยอน

     

                “อ้าว! พี่จงอุนมาทำอะไรที่นี่น่ะ” ทงเฮเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน ขณะที่คยูฮยอนจ้องมองชายหนุ่มรุ่นพี่เขม็ง

     

                “มาเยี่ยมคุณซองมินเขาน่ะ พอดีพี่กับเขาสนิทกัน” จงอุนตอบพลางยิ้มบางๆ ให้ทงเฮเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ชายหนุ่มกลับมาจากต่างประเทศ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่คยูฮยอนรู้สึกว่าจงอุนดูจะเน้นคำว่า สนิท เหลือเกิน

     

                จงอุนเอ่ยปากขอตัวแล้วจึงเดินเลี่ยงหลบคยูฮยอนที่ยืนขวางอยู่ แต่จิตแพทย์หนุ่มกลับเอ่ยปากรั้งเอาไว้

     

    “เดี๋ยว นั่นแฟ้มอะไร” คยูฮยอนถาม ตาก็เขม้นมองแฟ้มสีน้ำตาลที่อยู่ในมือของแพทย์หนุ่มรุ่นพี่

     

    จงอุนยักไหล่ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “แฟ้มคนไข้ พอดีหยิบติดมือมาด้วย มีอะไรเหรอ”

     

    คยูฮยอนส่ายหน้าแต่ก็มองตามหลังจงอุนด้วยแววตาสงสัยจนกระทั่งทงเฮกระตุกแขนเขาเบาๆ เป็นเชิงให้เข้าไปในห้องได้แล้ว

     

    ซองมินนั่งอยู่บนเตียง กำลังหัวเราะพูดคุยอย่างสนุกสนานกับผู้ชายตัวเล็กที่คยูฮยอนจำได้ว่าเป็นน้องชายของซองมิน พอทั้งคู่เห็นเขาก็เงียบเสียงลง โดยเฉพาะผู้เป็นน้องชายที่ดูจะหน้าตึงขึ้นมาทันที

     

    “สวัสดีครับคุณซองมิน เป็นยังไงบ้างครับ” คยูฮยอนส่งยิ้มและทักทายซองมินเหมือนดังเช่นที่ทำทำกับคนไข้ทุกคนแล้วจะเดินเข้าไปใกล้ แต่ติดตรงที่ว่าอีกคนที่เกาะแขนเขาอยู่กลับยึดแขนเอาไว้แน่น

     

    “แหมคุณ ปล่อยแขนแฟนคุณซักนาทีสองนาทีเขาก็ไม่หายไปไหนหรอกครับ ถ้าหวงขนาดนั้นก็ล่ามโซ่เอาไว้ซะเลยสิ”

     

    “รยออุค!” ซองมินหันมาปรามน้องชายเสียงดุ แต่ผู้เป็นน้องกลับลอยหน้าลอยตาทำท่าไม่สนใจ ชายหนุ่มจึงหันไปเอ่ยกับอีกคนที่ยืนทำหน้าถมึงทึงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ขอโทษแทนน้องของผมด้วยนะครับ”

     

    “น้องชายคุณหรอกเหรอ ถึงว่าล่ะ...” ทงเฮพูดพลางยิ้มเยาะ ยิ่งทำให้รยออุคเดือดปุดๆ

     

    “ถึงว่าอะไรครับ” รยออุคถามเสียงหวาน ริมฝีปากยิ้มแต่สายตากลับประกาศสงครามอย่างชัดเจน

     

    “ก็พี่ติดอยู่ในโรงพยาบาลบ้าตั้งปีคงไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนมารยาทน้อง ถึงว่าล่ะน้องเลยเป็นแบบนี้ไงล่ะ” ทงเฮสวนกลับ

     

    รยออุคจะลุกขึ้นมาเอาเรื่องแต่ซองมินเร็วกว่ารีบจับแขนน้องชายอารมณ์ร้อนทันที

     

    “อย่ารยออุค พี่ไม่อยากมีเรื่อง” พี่ชายกระซิบข้างหูผู้เป็นน้องที่สูดหายใจเข้าออกลึกๆ พร้อมกับนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อระงับอารมณ์แต่ก็นับได้ถึงแค่สามเท่านั้น

     

    “นี่แฟนคุณหมอเหรอครับ ผมรู้นะครับว่าคุณสองคนน่ะรักกันมากกกกก แต่ตอนนี้เป็นเวลางาน กรุณาแยกแยะให้ออก ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะตรวจคนไข้ก็ให้คุณหมอท่านอื่นมาแทน มีคนที่เขาอยากจะตรวจพี่ชายผมรออยู่แล้ว” รยออุคพูดเสียงเย็นพร้อมกับมองหน้าคยูฮยอนนิ่ง

     

    ไม่ต้องอธิบายขยายความใดๆ คุณหมอหนุ่มก็พอใจเข้าใจความหมายแฝงที่ญาติคนไข้ผู้นี้ต้องการจะสื่อ และไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารยออุคคงถือหางพี่เยซองของเขาที่ตอนนี้กลายเป็นศัตรูหัวใจเต็มตัวแล้วอย่างแน่นอน

     

    “ทงเฮ ปล่อย”

     

    ท่าทางจริงจังบวกกับน้ำเสียงเข้มจนเกือบจะดุทำให้ทงเฮจำต้องปล่อยแขนคยูฮยอนอย่างไม่เต็มใจเพราะรู้แล้วว่านายแพทย์หนุ่มที่ตนตกหลุมรักนั้นโกรธจริงๆ แล้ว

     

    ใช่ว่าจะมีแต่ทงเฮคนเดียวที่รับรู้ได้ถึงอารมณ์ของคยูฮยอน แต่คนไข้หนุ่มผู้รอการตรวจเองก็ร้อนๆ หนาวๆ เช่นกัน

     

    การตรวจเป็นไปโดยปกติที่ผิดปกติคงจะตรงที่มีญาติคนไข้นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมลุกหนีเพื่อความสะดวกในการทำงานของแพทย์เหมือนญาติคนไข้คนอื่นๆ ยังไม่นับว่ามีทงเฮที่ยืนกอดอกปักหลักไม่ไปไหนพร้อมกับส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้รยออุคสลับกับซองมินด้วย

     

    “คุณเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บขาอยู่หรือเปล่า หรือรู้สึกไม่ดีอะไรตรงไหน” คยูฮยอนถามเสียงนุ่ม

     

    “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ ยาของคุณน่ะได้ผลดีเลยล่ะ” ซองมินตอบโดยไม่ยอมสบตา แต่คยูฮยอนกลับไม่คิดว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะผู้เป็นคนไข้ต้องการซ่อนความผิดหวังระคนขมขื่นที่ถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นคนไข้ที่มีอาการทางจิตจนต้องสั่งยาระงับประสาทกับยานอนหลับให้

     

    มือหนาจับเข้าที่ผ้าห่มที่คลุมขาซองมินไว้ ทำท่าว่าจะเปิดมันออก รยออุคที่จับตามองอยู่แล้วจึงรีบยึดผ้าเอาไว้ทันที

     

    “จะทำอะไรน่ะ”

     

    “ผมก็จะดูแผลให้คุณซองมินน่ะสิครับ” คยูฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนความรำคาญเอาไว้ไม่มิด

     

    ก็รู้อยู่หรอกนะว่าหวงพี่ชาย แต่ทำไมกับไอ้พี่เยซองถึงปล่อยให้เข้ามาเยี่ยมแถมยังดูเป็นมิตรด้วยเหลือเกิน

     

    “พี่ซองมินมีแผลด้วยเหรอ” รยออุคถามหน้าตาตื่น เป็นเพราะซองมินใช้ผ้าห่มคลุมขาเอาไว้ตลอดจึงทำให้เขาไม่เห็นว่าที่ขาของซองมินมีผ้าก๊อซแปะอยู่

     

    “นิดหน่อยน่า พี่ซุ่มซ่ามหกล้มน่ะก็เลยได้แผลมา” ซองมินตอบ รยออุคถึงยอมปล่อยให้คยูฮยอนดึงผ้าห่มออกจากขาซองมิน

     

    “แผลไม่ลึกมาก แค่ถลอกอีกไม่นานก็หายแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลมาเปลี่ยนผ้าก๊อซให้” คยูฮยอนพูดหลังจากจัดการดึงผ้าก๊อซออกพร้อมกับดูแผลเสร็จแล้ว ใจจริงอยากจะอาสาอยู่ทำแผลให้ต่อเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีมารผจญสองตนนามว่ารยออุคและทงเฮอยู่

     

    “คุณไม่ได้ใส่สร้อย” ซองมินทักขึ้นเมื่อไม่เห็นสายสร้อยสีเงินโผล่พ้นคอเสื้อคยูฮยอนออกมาดังเช่นทุกครั้ง

     

    “อ๋อ! พอดีวันนี้ผมไปตรวจร่างกายต้องเอ็กซ์เรย์ก็เลยถอดเก็บไว้ที่ห้อง” คยูฮยอนอธิบาย “ไม่ต้องห่วงน่า รับรองว่าผมไม่ทิ้งสร้อยเส้นนั้นหรอก เดี๋ยวจะรีบใส่เลย โอเคไหมครับ” คยูฮยอนเสริมเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของซองมิน

     

    “คุณต้องใส่ตลอดเวลานะ” ถึงจะขุ่นเคืองคุณหมอหนุ่มผู้นี้ แต่ซองมินก็ยังคงเตือนเขาด้วยความเป็นห่วง

     

    “ครับๆ รู้แล้วครับ” คยูฮยอนตอบ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ร่างเล็กที่นั่งเฝ้าประกบพี่ชายอยู่ข้างเตียงขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “หมดเวลาตรวจแล้วครับ เชิญ!” มือบางผายไปที่ประตู ขับไล่กลายๆ ให้ทั้งคุณหมอและแฟนของคุณหมอออกจากห้อง

     

    คยูฮยอนถอนใจเบาๆ กับอุปสรรคชิ้นใหญ่เบ้อเริ่มที่ดูเหมือนจะทั้งหวงและห่วงพี่ชายตัวเองเหลือเกิน เกิดมาเคยได้ยินแต่หมดเวลาเยี่ยม เพิ่งจะได้เจอหมดเวลาตรวจก็คราวนี้แหละ

     

    “พรุ่งนี้คุณหมอชินจะกลับมาแล้วนะครับ...”

     

    “ดีจัง...” เปล่าหรอก ไม่ใช่คนไข้ที่เป็นผู้พูด แต่เป็นญาติคนไข้อย่างรยออุคต่างหากที่เปรยออกมาเบาๆ แต่คนเป็นหมอได้ยินเต็มสองหู

     

    “รยออุค!” เป็นอีกครั้งที่ซองมินต้องปรามน้องชายเสียงดุ

     

    “อะไรล่ะพี่ซองมิน ผมแค่ดีใจที่พระเอกกับนางเอกลงเอยกันได้ซะที” รยออุคโต้กลับพลางชี้ไปที่โทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายละครที่กำลังโด่งดัง เป็นฉากจบตอนพระเอกกับนางเอกปรับความเข้าใจกันพอดี แต่สายตาขุ่นเขียวของพี่ชายก็บ่งบอกได้ว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนักว่าผู้เป็นน้องหมายถึงในละคร

     

    “ถึงยังไงผมก็ขอบคุณนะครับที่ดูแลผมมาตลอด” ซองมินเอ่ย อดใจหายไม่ได้เมื่อพบว่าคงจะไม่ได้เจอคยูฮยอนบ่อยๆ แล้ว ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการก็ตาม

     

    “ครับ ไว้ผมจะมาเยี่ยมนะ”

     

    “พอได้แล้ว จะล่ำลากันอีกนานไหม” คราวนี้เป็นทงเฮที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ไม่ไกลที่ขัดจังหวะขึ้นมาแล้วเดินมาเกาะแขนคยูฮยอนแน่นเหมือนเดิม

     

    ซองมินนึกถึงเรื่องสำคัญที่ลืมไปเพราะมีเรื่องแผนการหนีออกจากโรงพยาบาลเข้ามาแทรกออกหลังจากได้เห็นหน้าทงเฮใกล้ๆ ดวงตากลมโตหันมองผ่านเลยไปข้างหลังร่างบางของทงเฮ อดโล่งใจไม่ได้เมื่อเห็นว่ามีเพียงนางพยาบาลซึ่งคอยท่าอยู่เท่านั้น ไม่มีวี่แววของดวงวิญญาณหญิงสาวตามคำบอกเล่าของคิบอมเลย แต่คิบอมไม่น่าจะโกหก และไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้น แล้ววิญญาณดวงที่ว่าหายไปไหน

     

    คนไข้หนุ่มก้มลงมองแหวนที่ตอนนี้อยู่บนนิ้วมือเขาตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนอาบน้ำ อาจจะเพราะแหวนวงนี้ที่ทำให้วิญญาณตนนั้นไม่กล้าติดตามเข้ามาในห้อง แต่พอพ้นจากห้องนี้ออกไป ซองมินก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

     

    “คุณทงเฮครับ” เสียงหวานที่เอ่ยเรียกทำให้ทั้งทงเฮ คยูฮยอนและพยาบาลที่กำลังเดินไปเกือบถึงประตูห้องหันกลับมา

     

    ซองมินเกิดปากหนักขึ้นมา แม้อยากจะเอ่ยคำเตือนแต่เพราะมีพยานร่วมรับรู้คำพูดของเขาถึงสามคนทำให้ไม่กล้าพูดอะไร โดยเฉพาะคยูฮยอนนั้นที่จ้องมองเขาด้วยความสงสัย

     

    “ช่วงนี้คุณระวังตัวด้วยนะครับ” ได้เพียงแต่เตือนกลายๆ ด้วยความหวังดีเท่านั้น แต่ทงเฮก็เชิดหน้าทำเหมือนว่าคำเตือนของเขาเป็นเพียงคำพูดไร้ความหมายแล้วกึ่งลากกึ่งดึงคยูฮยอนที่ยังคลางแคลงใจกับคำพูดสุดท้ายของคนไข้หนุ่ม

     

    พอประตูห้องปิดลง รยออุคที่นั่งกัดฟันทนอยู่นานก็ใส่ไม่ยั้ง “แฟนของตาหมอนั่นไม่ไหวเลย หน้าตาดีซะเปล่าแต่นิสัยแย่ ทำอย่างกับแฟนตัวเองหล่อเลือกได้ใครๆ ก็ต้องการตัวงั้นล่ะ เกาะติดหนึบยังกับปลิง น่าหมั่นไส้”

     

    “แต่เขาก็หล่อจริงไม่ใช่เหรอ เห็นครั้งแรกตอนนายเจอเขายังมองตาค้างเลย” ซองมินแย้งขึ้นมา

     

    “หล่อแต่นิสัยแย่ก็ไม่ไหวหรอกนะพี่ซองมิน” รยออุคเบ้ปากด้วยความไม่ชอบใจ แอบหงุดหงิดตัวเองที่เคยแอบชมคยูฮยอนในใจ ถอนคำพูดตอนนี้ยังทันไหมนะ

     

    “รู้ได้ยังไงว่าเขานิสัยแย่ เคยเจอกันไม่กี่ครั้งเองนะ”

     

    “เจอกันครั้งแรกเขาก็จับพี่ซองมินมัดไปทั้งตัวอยู่ตั้งนาน คนดีๆ ที่ไหนเขาทำแบบนั้นกันล่ะ” รยออุคสวนกลับทันควัน ซองมินเกือบจะบอกไปแล้วว่าคยูฮยอนเพียงแต่ทำไปตามหน้าที่ แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงคิดอยากจะปกป้องนายแพทย์หนุ่มคนนั้นขึ้นมาได้

     

    “นิสัยดีๆ แบบที่นายชอบนี่ต้องอย่างคุณหมอจงอุนใช่ไหม” ซองมินถาม แอบอมยิ้มบางๆ แต่รยออุคกลับตีความความหมายที่ซองมินต้องการสื่อไปอีกทาง

     

    “ก็ใช่น่ะสิ” อย่างคุณหมอจงอุนน่ะผ่านฉลุยเลย เหมาะกับการเป็นพี่เขยเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    “นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ไปพูดกับเขาแบบนั้นได้ยังไง”

     

    “ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็เขามาว่าพี่ซองมินนี่นา แถมยังมองด้วยสายตาแบบนั้นอีก เห็นหน้าละหงุดหงิด นี่ถ้าพี่ซองมินไม่ห้ามไว้ล่ะก็...” รยออุคกัดฟันกรอดพลางถูมือไปมา คันไม้คันมืออยากจะตบสั่งสอนคุณหนูไฮโซดูสักทีเหมือนกัน

     

    “พอเลยๆ ว่าแต่นายจดที่อยู่คุณปาร์คมินจองแล้วใช่ไหม” ซองมินเปลี่ยนเรื่อง

     

    “เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” รยออุคพูดพลางยิ้มร่า โชว์สมุดเล่มเล็กที่ไว้ใช้จดโน้ตเกี่ยวกับคดีที่ตนเองดูแลแต่คราวนี้ได้ใช้ประโยชน์จดธุระของผู้เป็นพี่ชายแทน

     

    “แล้วก็อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้พี่ใส่ออกโรงพยาบาลด้วยล่ะ ถ้าจะให้ดีเอาหมวกมาด้วยนะ จะได้ใช้บังหน้าด้วย” ซองมินกำชับเตือนอีกรอบแล้วนั่งนึกทวนแผนการในใจต่อโดยไม่ได้สังเกตเห็นสายตาวิบวับเกินเหตุของผู้เป็นน้องเลย

     

     

     

     

     

    คยูฮยอนกำลังจะไปตรวจคนไข้ห้องสุดท้ายโดยมีทงเฮที่เดินเกาะแขนแน่นไม่ยอมปล่อยคิดสอยห้อยตามมาด้วย ในหัวของคุณหมอหนุ่มยังคงนึกถึงคำพูดทิ้งท้ายในเชิงเตือนที่ซองมินเอ่ยกับทงเฮ ครั้งหนึ่งซองมินก็เคยเตือนเขาให้ระวังตัวเหมือนกัน แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงได้พูดอะไรแบบนี้กับทงเฮด้วย หรือมันจะเป็นปกติของซองมินที่จะพูดแบบนี้กับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก

     

    “พี่คยู” ทงเฮเรียกคยูฮยอนเบาๆ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหยุดเดินตามแรงรั้งของทงเฮตั้งแต่เมื่อไหร่

     

    “มีอะไรเหรอทงเฮ”

     

    “เฮนึกขึ้นได้ว่าลืมมือถือวางไว้ที่ร้านกาแฟ ขอกลับไปเอาก่อนนะ แล้วเจอกันที่นั่นเลย” ทงเฮพูดแล้วจึงผละออกไปโดยที่คยูฮยอนไม่ได้ทัดทาน เพียงแต่เสียดายที่ทงเฮน่าจะขอแยกตัวไปให้เร็วกว่านี้หน่อย อย่างน้อยก็น่าจะก่อนที่เขาได้เข้าไปตรวจคนไข้ที่ชื่ออีซองมิน

     

     

     

     

    เป้าหมายปลายทางของทงเฮไม่ใช่ที่ร้านกาแฟตามที่บอกกับคยูฮยอน แต่ชายหนุ่มกลับกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นหนึ่งทั้งที่ร้านกาแฟนั้นอยู่ในชั้นเดียวกัน

     

    ใบหน้าหวานยับย่น คิ้วขมวดอย่างใช้ความคิด นึกถึงบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างคนที่ตนเองรักกับศัตรูหัวใจ

     

    ซองมินเอ่ยถึงสร้อยเส้นหนึ่งซึ่งดูสำคัญมากถึงกับขอร้องแกมบังคับให้คยูฮยอนสวมใส่ตลอดเวลา หนำซ้ำคยูฮยอนก็ยังทำตามโดยไม่อิดเอื้อน สร้อยเส้นนั้นต้องเป็นสื่อแทนใจของคนไข้หน้าหวานผู้นั้นเป็นแน่ และทงเฮก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด

     

    เสียงลิฟต์ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงชั้นที่ผู้โดยสารต้องการมาแล้ว ทงเฮก้าวออกจากลิฟต์โดยไม่เห็นเงาวูบหนึ่งที่สะท้อนผ่านผนังโลหะแวววาวของลิฟต์ และเงาดำนั้นไม่ใช่เงาของตนเอง

     

    ร่างบางรีบเร่งรุดไปที่ห้องทำงานของคยูฮยอน เขาไม่รู้ว่าคยูฮยอนจะใช้เวลาตรวจคนไข้นานเท่าไหร่ แต่คิดว่าคงจะเหลืออีกแค่ไม่กี่ห้อง หลังจากวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายจะทำได้ ทงเฮก็มาถึงห้องทำงานของนายแพทย์หนุ่ม ไม่รอช้าเขารีบตรงเข้าไปโดยทันที

     

    ที่แรกที่ทงเฮลงมือค้นหาคือลิ้นชักโต๊ะแล้วก็โชคดีเหลือเกิน เพียงแค่เปิดลิ้นชักก็เห็นสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขนเงินวางอยู่โดยไม่ต้องเสียเวลาคุ้ยค้นเลย

     

    ทงเฮไม่มีเวลามาขบคิดว่าสร้อยเส้นนี้จะเป็นเส้นเดียวกับที่ตามหาหรือไม่ ชายหนุ่มรีบคว้ามันยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้ววิ่งกลับไปที่สถานที่ที่นัดกับคยูฮยอนเอาไว้

     

    แววตาที่มองตามหลังบอบบางที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการวิ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มที่เกลียดชังได้ การติดตามราวกับเงาตามตัวต้องยุติเพียงเท่านี้เมื่อสร้อยเส้นนั้นตกอยู่ในมือของเหยื่อของเธอ

     

    แต่ไม่เป็นไร...โอกาสมันไม่ได้มีอยู่แค่หนเดียว เธอจะจัดการกับทุกคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับผู้ชายของเธอ อีทงเฮ..แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!



    ---------------------------------------------------------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×