ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #18 : Part 15 คู่หมั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.46K
      3
      4 พ.ค. 55

    href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_filelist.xml" /> href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_themedata.thmx" /> href="file:///C:\DOCUME~1\Administrator\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_colorschememapping.xml" />


    Part 15 คู่หมั้น

     

                ตอนนี้น้ำช็อกโกแลตเย็นที่ซองมินใช้เป็นเครื่องฆ่าเวลาทำลายความอึดอัดที่อยู่ๆ ก็ก่อตัวเมื่อชายหนุ่มหน้าหวานซึ่งซองมินเพิ่งมาทราบทีหลังว่าชื่อทงเฮนั้นมาถึงหมดแล้ว และซองมินก็กำลังใช้หลอดเขี่ยน้ำแข็งเข้าปากเคี้ยวเล่นแก้ขัดแทน

     

                “สั่งน้ำเพิ่มอีกแก้วมั้ยครับ” คยูฮยอนอดจะถามขึ้นมาไม่ได้

     

                “ไม่เป็นไรครับ” ซองมินรีบปฏิเสธทันที ไม่ลืมหลบสายตามาดร้ายจากชายหนุ่มอีกคนที่ลากเก้าอี้โต๊ะข้างๆ มานั่งร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่ต้องรอให้พนักงานมาช่วย

     

                “เพิ่งจะรู้นะครับเนี่ยว่าเดี๋ยวนี้หมอเขาพาคนไข้ออกมาข้างนอกได้ด้วย” ทงเฮพูดเปรยๆ ขณะที่ตาก็ยังจับจ้องไปที่คนไข้ที่ว่า แม้ซองมินจะสวมเสื้อกาวน์ทับไว้ แต่ก็ยังมองเห็นชุดของคนไข้โผล่ออกมา ตอนแรกเขาเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นหมอเหมือนคยูฮยอนแต่พอรู้ว่าเป็นคนไข้ก็ยิ่งไม่ชอบใจใหญ่ เพราะมันไม่มีเหตุผลใดเลยที่คยูฮยอนจะพามาทานอาหารด้วย เว้นแต่จะเป็นเหตุผลที่เขากลัวเท่านั้น

     

                ไม่มีวันหรอก คยูฮยอนจะไปชอบผู้ชายหน้าจืดคนนี้ได้ยังไง แต่ต่อให้ชอบจริงเขาก็ไม่ยอมแพ้แน่

     

                “จริงสินะ ยังไม่ได้ได้แนะนำให้รู้จักกันเลย ทงเฮ นี่คุณอีซองมินเป็นคนไข้ของพี่ แล้วก็เป็นเพื่อนพี่ด้วย ส่วนคุณซองมินครับ นี่ทงเฮเป็น...”

     

                “คู่หมั้นของพี่คยูฮยอน” ทงเฮแทรกขึ้นมาไม่พอ ยังขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้คยูฮยอนพร้อมทั้งกอดแขนคุณหมอหนุ่มแน่น แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชัดเจน

     

                “เป็นน้องชายของผม” คยูฮยอนต่อประโยคของตนเองจนจบ ไม่สนใจทงเฮที่ทำหน้ามุ่ยแสดงความไม่พอใจ ตอนนี้เขาเป็นห่วงแต่ความรู้สึกของซองมินเท่านั้น กลัวเหลือเกินว่าจะเข้าใจผิด

     

                ซองมินมองใบหน้าที่พร้อมจะฆ่าคนได้ของทงเฮสลับกับใบหน้าปูเลี่ยนๆ ของคยูฮยอนแล้วพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงพูดออกไปตามมารยาท

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” แม้อีกฝ่ายจะทำท่าไม่อยากรู้จักเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่โกรธ  เข้าใจหัวอกทงเฮดีเชียวล่ะ ก็เห็นคู่หมั้นตัวเองมานั่งอยู่ 2 ต่อ 2 กับคนอื่น ไม่หึง ไม่โมโหให้มันรู้ไปสิ

     

    ถ้าจะถามว่าใครผิดน่าจะเป็นผู้ชายมักมากบางคนเสียมากกว่า ตอนนี้ไปไม่เป็นแล้วสิท่าเพราะรถไฟดันชนกันโครมเบ้อเริ่ม ไม่สิ! เขาไม่ใช่หนึ่งในรถไฟให้คยูฮยอนสับรางเล่นเสียหน่อย

     

    “พี่คยูฮยอนนี่เป็นหมอที่ดีจังเลยนะครับ พาคนไข้ออกมานั่งกินกาแฟด้วย” ทงเฮเอ่ยเสียงหวานที่ฟังยังไงก็เป็นการประชดประชันชัดๆ

     

    “ก็คุณซองมินเป็นคนไข้ที่พี่สนิทนี่ แล้วอีกอย่างก็ไม่ได้ออกไปไหนไกลเสียหน่อย ก็ร้านในโรงพยาบาลเนี่ยแหละ” คยูฮยอนตอบ ตายังคอยชำเลืองมองซองมินอยู่ เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมที่รู้สึกว่าคนไข้หนุ่มหน้าหวานดูเย็นชาห่างเหินขึ้นกว่าเดิม

     

    “เหรอครับ คนไข้ของพี่คยูฮยอนงั้นก็เป็นคนบ้าน่ะสิ ออกมาข้างนอกแบบนี้ถ้าเกิดอาละวาดขึ้นมาจะทำยังไง”

     

    มือที่กำลังเขี่ยน้ำแข็งในแก้วหยุดชะงักขณะที่ฟังคำพูดบาดหูของ คู่หมั้นของคยูฮยอน ซองมินเม้มปากแน่น พยายามข่มอารมณ์พร้อมกับบอกตัวเองให้เย็นเข้าไว้ กินน้ำแข็งเข้าไปอีกจะได้ดับความร้อนที่กำลังพลุ่งพล่านในตัว

     

    แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ซองมินที่โดนว่าเต็มๆ จะไม่พอใจคนเดียว

     

    “ทงเฮ อย่าเสียมารยาทกับเพื่อนพี่ ขอโทษคุณซองมินเดี๋ยวนี้” คยูฮยอนพูดเสียงเข้ม นัยน์ตาคมดุจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังกอดแขนเขาอยู่แต่ตอนนี้ถูกเขาแกะออกแล้ว

     

    “ก็เฮพูดความจริงนี่นา ที่พูดก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ” ทงเฮเถียงกลับ เริ่มไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเห็นคนที่ตัวเองรักปกป้องคนอื่น

     

    “อีทงเฮ!

     

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ” ซองมินรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนจะเป็นต้นเหตุทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน อันที่จริงก็ไม่ค่อยชอบใจกับคำพูดของทงเฮเท่าไหร่นัก แต่เขาไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราววุ่นวาย

     

    คยูฮยอนอ้าปากทำท่าว่าจะเถียง แต่ระฆังหมดยกก็ดังขึ้นมาเสียก่อนเมื่อจียอนนำเค้กที่ซองมินสั่งไว้มาเสิร์ฟได้ถูกเวลาพอดี แถมสาวเจ้ายังเอาเมนูมาให้ทงเฮที่เป็นแขกใหม่ด้วย

     

    หลังจากสั่งกาแฟเย็นกับพนักงานเสิร์ฟสาวเสร็จ ทงเฮก็เปลี่ยนเรื่องคุยกับคยูฮยอนทันทีเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกือบจะผิดใจกันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

               

                “ทำไมพี่คยูไม่ไปรับเฮที่สนามบิน รู้มั้ยว่าเฮรอพี่ตั้งนานนะ”

     

                “พี่ไม่รู้นี่นาว่าเราจะกลับมาวันนี้ เห็นตอนแรกบอกว่าจะกลับตอนปลายเดือนไม่ใช่เหรอ” คยูฮยอนตอบกลับ

     

                “ก็เฮอยากกลับเกาหลีไวๆ นี่นา คิดถึงคนทางนี้จะแย่เลยเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้น ไม่ดีหรือไง” ทงเฮพูดพลางยิ้มแฉ่ง ยกมือขึ้นบีบแก้มคยูฮยอนไปมา ท่าทางจะทำบ่อยจนชินเพราะคยูฮยอนไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธอะไร

     

                ซองมินตักเค้กเข้าปากอย่างตั้งอกตั้งใจเกินเหตุ ทำเป็นไม่สนใจว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกินของโต๊ะไปเสียแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าเสียดายเค้กอร่อยๆ ก้อนนี้ล่ะก็ เขาคงขอตัวกลับไปนานแล้ว ไม่นั่งเป็นก้างขัดความสุขใครบางคนหรอก

     

                “ก็เราเล่นกลับมากะทันหันแบบนี้พี่จะรู้ได้ยังไงล่ะ แล้วยังจะให้พี่ไปรับอีก” คยูฮยอนแกล้งแหย่พูดโบ้ยความผิดให้อีกฝ่าย ทงเฮเลยกอดอกทำแก้มป่องแบบงอนๆ

     

                “เฮพยายามโทรหาพี่คยูแล้วแต่โทรยังไงก็ไม่ติด ก็เลยโทรบอกคุณลุง ท่านบอกจะบอกพี่ให้ แต่ท่านก็โทรกลับมาบอกเฮว่าพี่ติดงาน เฮเลยตามมาที่โรงพยาบาลเพราะทนคิดถึงพี่ไม่ไหว เพิ่งลงเครื่องมา เหนื่อยก็เหนื่อยยังไม่ได้พักเลย เพราะใครล่ะ” ทงเฮทำเสียงกระเง้ากระงอดหวังให้คยูฮยอนง้ออย่างเคย

     

                “งั้นเหรอ ขอโทษด้วยนะ พี่เปลี่ยนเบอร์น่ะ” คยูฮยอนพูดพลางนึกไปถึงตอนที่ผู้เป็นพ่อโทรมาเมื่อก่อนหน้านี้ คงจะโทรมาบอกว่าทงเฮกลับมาแล้วแต่เขาไม่ได้รับสายเพราะติดงานจริงๆ นั่นแหละ งานชื่อว่าซองมินที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทานเค้กอย่างไม่สนใจใครนี่ยังไง

     

                “เปลี่ยนเบอร์หนีใครหรือเปล่าเนี่ย ได้ข่าวว่าพี่เด็กเยอะไม่ใช่เหรอ” ทงเฮพูดขึ้นมาลอยๆ ชี้หน้าทำท่าทางจับผิดคยูฮยอน

     

                “บ้าเหรอ ไปเอามาจากไหน มั่วแล้วล่ะทงเฮ” คยูฮยอนพูด หัวเราะในคอเบาๆ

     

                ไม่มั่วหรอก สงสัยจะจริง ก็หนึ่งในเด็กที่คยูฮยอนหลบก็กำลังตามรังควาญคยูฮยอนจนเขาซวยไปด้วยนี่ไงล่ะ

     

                ซองมินเผลอเคี้ยวเค้กนุ่มๆ แรงจนกัดใส่ลิ้นตัวเองเข้า เจ็บจนน้ำตาคลอเลยต้องคว้ากระดาษมาเช็ด ดีที่ยั้งปากไม่ร้องออกไป และก็โชคดีที่คยูฮยอนมัวแต่คุยกับทงเฮจนไม่ได้สังเกตเห็น ปล่อยให้เขาเหมือนไม่มีตัวตนอย่างนี้ต่อไปนั่นแหละดีแล้ว ไม่อยากเสียวสันหลังวาบๆ กับรังสีอำมหิตจากคุณคู่หมั้นของคยูฮยอน แต่ซองมินก็กลายเป็นคนที่ถูกลืมได้ไม่นานอย่างที่คิด เมื่อบทสนทนาของสองหนุ่มวกเข้ามาถึงเขาจนได้

     

                “ท่าทางงานพาคนไข้มาดินเนอร์นี่จะสำคัญกับพี่คยูมากเลยนะ สำคัญมากกว่าเฮด้วยใช่มั้ยล่ะ”

     

                “ไม่ใช่แบบนั้นนะทงเฮ ก่อนหน้านี้พี่ติดงานจริงๆ” เขาไม่ได้โกหกนะ เขาติดงานจริงๆ เพียงแต่งานนั้นมันจบไปก่อนที่ทงเฮจะมาถึงแล้ว

     

                “ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับมื้อนี้นะครับ แล้วผมจะให้น้องชายเอาเงินค่าอาหารมาคืนให้” ซองมินพูดเสียงเรียบ ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับหลังจากที่จัดการเค้กเสร็จ ไม่สนใจว่าตัวเองจะตัดบทสนทนาของทั้งสองคน ตอนนี้เขาอยากกลับไปนอนที่ห้องเต็มแก่แล้ว

     

                “เดี๋ยวคุณซองมิน คุณเจ็บขา เดี๋ยวผมพาไปส่งที่ห้อง” คยูฮยอนผุดลุกขึ้นตาม

     

                “ไม่เป็นไรครับ แค่ถลอกนิดเดียว ผมเดินเองได้ คุณดูแลแขกของคุณไปเถอะ” พูดจบก็หันมาส่งยิ้มให้ทงเฮเล็กน้อย แน่นอนว่าอีกฝ่ายสะบัดหน้าหนีพรืด ไม่รับมิตรไมตรีที่หยิบยื่นมาให้แม้จะตามมารยาทก็ตาม

     

                “ผมบอกว่าจะไปส่งไง อย่าดื้อสิซองมิน”

     

                “เอ๊ะคุณ!

     

                “พอได้แล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ!” ทงเฮที่ทนมองสองคนนี้เถียงข้ามหัวตัวเองไม่ไหวลุกขึ้นมาอีกคนก่อนจะยึดแขนคยูฮยอนเอาไว้ “เขาบอกว่าเขากลับเองได้ก็ปล่อยเขากลับไปสิ นี่มันนอกเวลางานแล้วนะพี่คยู แถมพี่ยังพาเขามาเลี้ยงเค้กอีก มันไม่เกินหน้าที่ไปหน่อยรึไง”

     

                “ผมทำคุณเจ็บ ผมก็ต้องดูแลคุณให้ถึงที่สุด” คยูฮยอนพูดกับซองมิน สีหน้าและเววตาจริงจังก่อนจะหันมาหาทงเฮ “รอพี่อยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่กลับมา จะพาไปส่งที่บ้าน พี่จะได้แวะไปเยี่ยมคุณอาทีเดียวเลย”

     

                “แต่...”

     

                “ทงเฮ ขาเขาเจ็บอยู่นะ พี่ต้องไปทำแผลให้เขา” คยูฮยอนพูดเสียงดุ แต่ทงเฮก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่ยึดแขนไว้

     

                “พยาบาลก็มีตั้งเยอะแยะ ก็ให้เขาทำแผลไปสิ”

     

                “คุณซองมินเป็นโรคเบาหวาน ถ้าเป็นแผลจะหายช้า ดีไม่ดีต้องตัดขาทิ้ง พี่ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นอะไรจริงๆ” คยูฮยอนพูดเสียงเข้ม

     

                ไม่ใช่แต่ทงเฮที่ทำตาโตด้วยความตกใจ แต่ยังรวมถึงซองมินที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเบาหวานด้วย

     

                “นี่ผม...ผมเป็น...”

     

                “คุณอยากกลับห้องแล้วไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ” คยูฮยอนไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบเดินอ้อมโต๊ะมาคว้าแขนซองมินแล้วดึงออกไปจากร้านทันที ทิ้งให้ทงเฮมองตามงงๆ แล้วต้องรับผิดชอบค่าขนมและเครื่องดื่มมื้อนั้นไปโดยปริยาย

     

     

     

     

                “นี่คุณ! ผมเจ็บนะ” ซองมินร้องอุทธรณ์ เจ็บทั้งขาที่เป็นแผล และแขนที่คยูฮยอนกำลังดึงให้เดินตาม ผู้ชายคนนี้ลืมไปแล้วหรือยังไงนะว่าเขาขาเจ็บอยู่ถึงได้ลากเอาๆ แบบนี้

     

                “ขอโทษที” คยูฮยอนพูดแล้วผ่อนฝีเท้าลง เปลี่ยนจากจับแขนเป็นคล้องแขนซองมินเอาไว้หลวมๆ แทน

     

                “แล้วผมเป็นเบาหวานตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ซองมินถาม น้ำเสียงยังตกใจไม่หาย

     

                “ก็เป็นเมื่อกี้ไง ตอนนี้หายแล้ว” คยูฮยอนตอบหน้าตาเฉย

     

                “คุณนี่มัน....” ซองมินกัดฟันกรอด ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาสรรเสริญผู้ชายกะล่อนอย่างคุณหมอหนุ่มผู้นี้ดี

     

                “เอาน่าคุณ คุณก็เห็นแล้วว่าทงเฮเป็นยังไง ถ้าไม่โกหกก็ปลีกตัวออกมาไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างถึงโกหกแบบนั้นไปทงเฮก็ไม่เอะใจหรอก ทุกอย่างมันเหมาะเจาะพอดีซะขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า คยูฮยอนยังเหลือบสายตามองซองมินตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกเป็นนัยว่ารูปร่างอย่างซองมินเนี่ยแหละเหมาะแก่การเป็นเบาหวานที่สุดแล้ว

     

                “นี่คุณด่าผมอ้วนหลายรอบแล้วนะ” ซองมินตวาดแว้ด

     

                “ผมไม่ได้พูดออกมาเลยสักคำนะ คุณน่ะคิดมาก” พูดแล้วหัวเราะหึหึในลำคออย่างชอบใจที่เห็นซองมินทำท่าทีฮึดฮัดขัดใจที่เถียงไม่ได้ น่ารักดีจริงๆ

     

                “คุณกลับไปได้แล้ว ผมเดินเองได้ รีบไปหาคู่หมั้นคุณเลย เขารอคุณอยู่” ซองมินพูดเมื่อเดินเข้ามาใกล้บริเวณลิฟต์ เพียงแค่เลี้ยวไปไม่กี่เมตรก็จะถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของชั้น 7 แล้ว

     

    “ทงเฮไม่ใช่คู่หมั้นผมหรอกนะ” คยูฮยอนพูด แต่คราวนี้ซองมินไม่เชื่อง่ายๆ เพราะเห็นแล้วว่าคยูฮยอนเจ้าเล่ห์แสนกลแค่ไหน

     

    “คุณไม่ควรพูดแบบนั้นนะ ถ้าเขามาได้ยินเข้าจะเสียใจได้”

     

    คยูฮยอนหยุดเดินแล้วจับไหล่ซองมินให้หันมามองหน้า “ฟังผมให้ดีๆ นะคุณซองมิน ทงเฮไม่ใช่คู่หมั้นของผม เขาเป็นแค่น้องชายของผมจริงๆ ผมสนิทกับเขาเพราะเราโตมาด้วยกัน ทงเฮไม่มีพ่อแม่ มีแค่น้ากับผมให้เป็นที่พึ่ง เขาเลยอาจจะแสดงกิริยาไม่น่ารักไปบ้าง ผมก็ขอโทษแทนเขาด้วย คุณอย่าถือโทษโกรธเขาเลยนะ”

     

    ซองมินตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าทงเฮไม่มีทั้งพ่อและแม่ดูแล ตอนแรกเขาคิดว่าคยูฮยอนอาจจะแต่งเรื่องโกหกแบบที่ทำกับทงเฮ แต่เมื่อมองไปในดวงตาคมของคุณหมอหนุ่มก็เห็นแต่แววตาจริงจังเท่านั้น และด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่เป็นทุนเดิม ซองมินจึงคิดว่าคยูฮยอนไม่น่าจะเอาเรื่องความเป็นความตายของบุพการีคนอื่นมาล้อเล่นแบบนี้ แต่ยังไม่ทันที่ซองมินจะโต้ตอบอะไร เสียงดังตึงเหมือนมีของแข็งมากระทบกันก็เรียกความสนใจของซองมินให้หันเหออกไป

     

    ใบหน้าหวานเหลือบหันไปมองทางต้นเสียงซึ่งก็คือลิฟต์ที่อยู่ข้างๆ จุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่ ซองมินเหลือบมองตัวเลขของลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนขึ้นไปยังชั้น 8 แล้วลอบถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่ไม่มีใครกดลิฟต์ ประตูจึงไม่เปิดออกมา

     

    สีหน้าและแววตาของซองมินอยู่ในสายตาของคยูฮยอนตลอดเวลา เขาแปลกใจที่อยู่ๆ ซองมินก็ทำหน้าตาเหมือนกับตกใจกลัวอะไรสักอย่าง แล้วยังหันไปมองลิฟต์ด้วยท่าทางขวัญเสีย “คุณเป็นอะไร” คยูฮยอนถามน้ำเสียงเป็นห่วง

     

    “เปล่า...เปล่า ไม่เป็นอะไร” ซองมินรีบตอบ หลบสายตาที่มีทั้งความเป็นห่วงระคนสงสัยของคยูฮยอน “ผม...เจ็บขาน่ะ” พูดเสริมออกไป เมื่อเห็นว่าคยูฮยอนยังคงไม่ละสายตาเสียที

     

    แม้คยูฮยอนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ติดใจถามอะไรต่อ พยุงซองมินเดินต่อไปจนเกือบจะถึงเคาน์เตอร์พยาบาลแล้ว จนกระทั่ง...

     

    “คุณซองมิน คุณเป็นอะไร” คยูฮยอนถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจกว่าเดิม ในเวลานี้ซองมินหน้าซีดเผือด เหงื่อผุดออกมาเต็มขมับ ดวงตาเบิกโพลงเอาแต่ก้มมองพื้น ซ้ำยังยึดแขนเขาเอาไว้แน่นราวกับกลัวหลงทาง

     

    คยูฮยอนไม่เห็นเหมือนที่ซองมินเห็น ไม่รู้สึกเหมือนที่ซองมินรู้สึก วิญญาณหลายตนเดินสวนไปสวนมา สภาพแต่ละตนไม่น่ามองซ้ำยังให้ความรู้สึกหดหู่เย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก เอาอีกแล้ว ความสามารถของเขาเริ่มแสดงฤทธิ์เดชออกมาอีกแล้ว

     

    “คุณซองมิน ได้ยินผมมั้ย” คยูฮยอนละล่ำละลักถาม ย่อตัวลงต่ำ มองหน้าซองมินที่ยังเหม่อมองไปที่พื้นอย่างนั้น

     

    ซองมินพยักหน้าเร็วๆ “รีบไป...รีบไปเถอะ” เขาไม่อยากอยู่แถวนี้ รีบไปเสียที

     

    คยูฮยอนคิดอยู่ชั่วครู่เดียวแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ทำเอาซองมินถึงกับลืมกลัวผีหันมามองงงๆ

     

    “ขึ้นหลังผม คุณเดินกลับไปไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะแย่”

     

    ซองมินอยากจะเถียงไปว่ามากกว่านี้เขาก็เคยเจอมาแล้ว อย่างคืนวันที่ไปช่วยคยูฮยอนนั่นล่ะยังไง ทั้งดึกทั้งวังเวงกว่านี้เยอะ แต่พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ซองมินยอมปีนขึ้นหลังคยูฮยอนโดยดีเพราะอยากไปจากบริเวณนี้และกลับห้องเร็วๆ

     

    “หนักเหมือนกันนะเนี่ย” คยูฮยอนพูดหลังจากที่ลุกขึ้นยืนโดยมีซองมินอยู่บนหลังได้สำเร็จ แต่ซองมินไม่มีอารมณ์จะมาต่อปากต่อคำคุณหมอจอมกวนแล้ว และคยูฮยอนก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แค่แปลกใจกับปฏิกิริยาอาการของซองมินเท่านั้น

     

    ตลอดทางที่เดินไปจนถึงห้องพัก ซองมินซบหน้ากับไหล่ของเขา ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองทางเลย ซ้ำยังกอดเขาไว้ซะแน่นจนเกือบหายใจไม่ออก มีแค่ตอนที่เขาเดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วพยาบาลต่างตื่นตกใจกันเป็นแถวที่เห็นซองมินกับคยูฮยอนอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่คยูฮยอนก็แค่อธิบายสั้นๆ ว่าซองมินหกล้ม เจ็บขา เดินไม่ไหวเขาเลยแบกกลับมา และขอให้พยาบาลนำอุปกรณ์ทำแผลตามไปให้ที่ห้องด้วยเพราะเขาจะทำแผลให้ซองมิน ฝ่ายซองมินไม่ได้ใส่ใจจะพูดอะไรแต่ก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคที่คยูฮยอนหันไปพูดกับพยาบาลที่เขาสนิทด้วยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

     

    “คุณอิม อีกสักครู่ผมขอคุยด้วยนะครับ”

     

    พอถึงห้อง คยูฮยอนก็วางซองมินลงบนเตียงแล้วเลิกขากางเกงข้างที่เป็นแผลขึ้นเพื่อดูแผลคร่าวๆ เลือดไหลออกมามากขึ้นกว่าคราวแรกตอนที่ล้มใหม่ๆ คยูฮยอนไม่ได้มีทีท่าหนักใจอะไร เพราะเป็นแค่แผลถลอกเลือดออกนิดหน่อย แต่ที่เขาเป็นห่วงคืออาการผิดปกติของซองมินต่างหาก

     

    “รู้สึกยังไงครับ เวียนหัวหรือเปล่า คลื่นไส้มั้ย”

     

    “ไม่เป็นไรแล้วครับ สงสัยจะเป็นกระเพาะเพราะไม่ได้กินข้าวอย่างที่คุณพูด” ซองมินตอบ

     

    “ปวดท้องเหรอครับ” คยูฮยอนถาม แตะเข้าที่ท้องของซองมิน

     

    คนไข้หนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่...ไม่แล้วครับ ดีขึ้นมากแล้ว ไม่เป็นอะไรจริงๆ” ซองมินเบี่ยงตัวหลบแล้วหันสายตาไปมองทางระเบียงห้องแทน

     

    “เดี๋ยวผมสั่งยาเพิ่มให้นะครับ คุณจะได้สบายขึ้น” คยูฮยอนพูด

     

    ซองมินไม่ได้ตอบ แค่พยักหน้ารับรู้แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบไป จนพยาบาลเคาะประตูห้องแล้วเดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลในตะกร้าใบเล็ก

     

    “คุณออกไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้คุณซองมินเอง”

     

    เมื่อได้รับคำสั่งแบบนั้น พยาบาลจึงออกไป ทิ้งให้คยูฮยอนอยู่ตามลำพังกับซองมินอีกรอบ

     

    “แสบนิดนึงนะครับ” คยูฮยอนเอ่ยเบาๆ แล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ค่อยๆ ทารอบปากแผล

     

    “อู้ย! เบาๆ หน่อยสิคุณ” ซองมินร้องออกมา เอาขาหลบเพราะความเย็นปนแสบของแอลกอฮอล์

     

    “อดทนหน่อยสิครับ เด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ร้องดังเท่าคุณเลย” คยูฮยอนพูด

     

    “ก็คุณมือหนักอ่ะ ให้คุณพยาบาลทำให้ตั้งแต่แรกก็ดีอยู่แล้ว” ซองมินประท้วง

     

    “ผมมือเบาที่สุดแล้วนะ คุณนั่นแหละไม่มีความอดทนเอาซะเลย” คยูฮยอนเถียงกลับ ปกติเขาไม่พูดกับคนไข้แบบนี้หรอก และก็เชื่อว่าซองมินก็ไม่พูดกับหมอคนอื่นแบบนี้เหมือนกัน ถือว่าเป็นกรณีพิเศษของกันและกันก็แล้วกันนะ

     

    หลังจากล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์เสร็จ คยูฮยอนก็ทาเบตาดีนและปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

     

    “เอาล่ะ เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมจะบอกพยาบาลให้เอายามาให้ ทานยาแล้วก็นอนหลับซะนะครับ” คยูฮยอนพูดแล้วหันหลังกำลังจะเดินออกไป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องนึงต้องพูด จึงหันหน้ากลับมาใหม่ “แล้วก็อีก 2-3 วัน คุณหมอชินจะกลับมาแล้ว คุณอาจจะไม่ได้เจอผมบ่อยๆ แล้ว แต่ผมจะมาเยี่ยมคุณก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องทนคิดถึง”

     

    “ใครจะไปคิดถึงคุณ รีบไปไหนก็ไปซักทีเถอะ” ซองมินออกปากไล่ “แล้วก็คุณอย่าดุคุณยุนอาเลยนะครับ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอพยายามห้ามไม่ให้ผมขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วแต่ผมดื้อจะไปเอง” ประโยคหลังซองมินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

     

    คยูฮยอนยิ้มจางๆ พยักหน้าให้แล้วจึงออกจากห้องไป

     

    เมื่อได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ซองมินก็อดไม่ได้เลยที่จะคิดถึงวิญญาณเด็กน้อยอีก น้ำตาพาลจะไหลออกมาเสียให้ได้ ถ้าบารอมยังอยู่ ตอนนี้ตนก็คงจะระบายเรื่องของคยูฮยอนกับทงเฮให้ฟังแล้วช่วยกันรุมด่าคยูฮยอนที่ลื่นเป็นพ่อปลาไหล แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่นั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านทางหน้าต่างเท่านั้น

     

    “พี่คิดถึงนายจัง ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน อยู่ข้างบนนั้นหรือเปล่า”

     

    น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงกระทบมือที่วางบนหน้าตัก ก่อนที่หยดที่สอง สามและสี่จะไหลออกมาตาม

     

     

    ตอนที่พยาบาลเข้ามาในห้องอีกครั้งซองมินก็หยุดร้องไห้แล้ว เขากำลังนอนดูเกมโชว์ทางโทรทัศน์ที่เคยดูกับบารอมเป็นประจำ แต่ในหัวกลับคิดถึงเด็กอีกคนหนึ่งที่บารอมฝากฝังไว้ก่อนจะไป เขาต้องหาทางช่วยอึนจูให้ได้แม้จะยังไม่รู้ว่าเด็กหญิงทุกข์ใจเรื่องอะไร เอาไว้พรุ่งนี้เขาคงต้องคุยกับเธออย่างจริงๆ จังๆ เสียที

     

    พยาบาลวางแก้วใส่ยาใบเล็กไว้ที่โต๊ะข้างเตียงพร้อมกับบอกให้ซองมินทานก่อนนอนและกำชับไม่ให้นอนดึกมากนัก

     

    คนไข้หนุ่มลุกขึ้นหยิบแก้วขึ้นมาดู ในแก้วมียาอยู่ 2 เม็ด เม็ดหนึ่งเขาคุ้นตาดีเพราะโดนบังคับให้กินทุกเช้าเย็นอยู่แล้วแต่ยาเม็ดสีขาวอีกเม็ด ซองมินไม่เคยเห็นมาก่อนและหน้าตาดูไม่เหมือนยาแก้กระเพาะที่เคยเห็นและมีติดตู้ยาสามัญประจำบ้านด้วย

     

    “ขอโทษนะครับ ยาอีกเม็ดนี่อะไรเหรอครับ” ซองมินถามนางพยาบาลที่กำลังจะเดินออกจากห้องพอดีหลังจากวางยาและเทน้ำใส่แก้วให้ซองมินแล้ว

     

    “ยานอนหลับน่ะค่ะ คุณหมอโจวสั่งเพิ่มไว้ให้” พยาบาลสาวตอบโดยไม่คิดอะไรและเดินออกจากห้องไปหลังจากที่ซองมินเอ่ยคำขอบคุณแผ่วเบา

     

    ซองมินหยิบยาที่คุ้นเคยดีขึ้นมาก่อนแล้วยกยิ้มขื่นๆ เขาคงจะลืมไปว่าคยูฮยอนเป็นจิตแพทย์ แค่คำโกหกปวกเปียกหรือจะหลอกสายตาคนที่เรียนทางด้านนี้มาโดยเฉพาะ คยูฮยอนไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเขาปวดท้องเพราะไม่เห็นจะมียาแก้ปวดท้องหรือยากระเพาะเลยสักตัว มีแต่ยาระงับประสาทแถมพ่วงยานอนหลับมาด้วย

     

    ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องน้อยใจว่าคยูฮยอนคงคิดว่าเขาโง่มากถึงกับจะหลอกให้กินยารักษาอาการทางจิต ชั่วเวลาหนึ่งสั้นๆ ซองมินหลงนึกดีใจที่เขาทำดีด้วย ซ้ำยังดูเป็นห่วงเป็นใย แม้จะมีวิญญาณร้ายตามติดตัวแต่คงจะไม่เป็นไรถ้ามองเขาเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง

     

    แต่สุดท้ายคยูฮยอนก็เหมือนกับใครหลายๆ คน เหมือนกับทงเฮ ที่คิดว่าเขาเป็นแค่คนบ้าคนหนึ่งที่จะอาละวาดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้

     

    ซองมินดึงกระดาษทิชชู่มาห่อยาระงับประสาทแล้วขยำทิ้งถังขยะเหมือนเม็ดก่อนๆ ที่เคยทำทุกวันแต่กลับหยิบยานอนหลับเข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม

     

    วันนี้เขามีเรื่องต้องคิดเยอะเกินไป ได้นอนหลับสนิทแบบไม่มีเรื่องอะไรในใจบ้างก็คงจะดีไม่น้อย

     

    ------------------------------------60%------------------------------------

    /> /> />

    เช้าวันใหม่ที่แสนจะสดใสสำหรับคิมจงอุนถูกทำลายย่อยยับหลับจากมีสายโทรศัพท์เข้าตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกจากบ้าน

     

    คุณหมอหนุ่มที่กำลังจะเปิดประตูรถเพื่อไปทำงานขมวดคิ้วอย่างแปลกใจแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่าใครโทรมาแต่เช้า พร้อมกับคิดเองในใจว่าไม่แคล้วคงเป็นพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินโทรมาเพราะมีคนไข้ด่วน แต่ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่เบอร์ที่คุ้นเคยจากโรงพยาบาลแต่อย่างใด แต่เป็นบุคคลที่ไม่บ่อยครั้งนักจะติดต่อกับเขาเป็นการส่วนตัวแบบนี้ จึงทำให้จงอุนอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายแรงอะไรหรือเปล่าขณะที่กดรับสาย

     

    “สวัสดีครับผู้อำนวยการ”

     

     

     

    ทงเฮนั่งกอดอกทำหน้าตูมหน้าห้องตรวจที่ตอนนี้มีคนไข้อยู่ประปราย ข้างๆ กันนั้นมีพยาบาลคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมกับทำหน้าอึดอัดลำบากใจอย่างปิดไม่มิด ทงเฮนั่งอยู่ตรงนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเขาไม่เคยรอใครเกิน 20 นาที และหากเข็มนาฬิกาบนข้อมือชี้ไปที่เลข 9 ซึ่งบ่งบอกว่าเขารอมา 30 นาทีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นถ้าโรงพยาบาลได้แตกก็อย่าว่ากันก็แล้วกัน

     

    “เมื่อไหร่พี่คยูฮยอนจะมาซักที ฉันรอเขามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ! ปกติเวลานี้เขาน่าจะมาเข้าห้องตรวจแล้วสิ” ทงเฮส่งเสียงดังไม่พอใจ ทำเอาคนไข้ที่นั่งรอคิวเรียกเข้าห้องตรวจแถวนั้นสะดุ้งกันเป็นแถวๆ รวมไปถึงพยาบาลสาวที่ทำหน้าที่บริการคุณหนูอีผู้แสนจะอารมณ์ร้ายด้วย

     

    “ไม่ทราบค่ะ”

     

    “แล้วเธอเคยรู้อะไรบ้างมั้ย! ไม่ได้เรื่อง ฉันจะฟ้องคุณลุงให้ไล่เธอออก โรงพยาบาลนี้นี่ยังไง หมอไม่อยู่ พยาบาลไม่รู้อะไรเลยรึไง” ทงเฮยิ่งอารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้นเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ

     

    “คุณหมอโจวไม่ได้แจ้งเอาไว้ค่ะว่าทำไมวันนี้ถึงเข้าสาย” พยาบาลผู้น่าสงสารตอบเสียงอ่อย

     

    ทงเฮส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูของตนขึ้นมากดเบอร์โทรใหม่ของคยูฮยอนที่เพิ่งจะได้มาเมื่อคืนหลังจากที่พาไปส่งที่บ้าน กดโทรออกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงเย็นๆ ของผู้หญิงคนเดิมที่ตอบกลับมาว่า หมายเลขนี้ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ทำให้ทงเฮแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือทิ้ง

     

    อีก 5 นาที แค่ 5 นาทีเท่านั้น ถ้าครบครึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนก็มาห้ามเขาไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ถึงหูคุณลุงยองฮวาแน่

     

    สักพักพยาบาลสาวอีกคนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแล้วกระซิบกระซาบกับพยาบาลที่ยืนเฝ้าทงเฮอยู่ พยาบาลคนนั้นเมื่อทราบเรื่องที่เพื่อนนำมาบอกก็หน้าเสียไป

     

    “เธอบอกเขาสิ”

     

    “เรื่องอะไร เธอสิบอก ฉันแค่เอาเรื่องมาแจ้งไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลเขาเสียหน่อย” พยาบาลที่วิ่งเข้ามาทีหลังรีบปฏิเสธทันที เรื่องอะไรเธอจะเป็นคนพูดล่ะ ดูหน้าคุณหนูอีตั้งท่าว่าจะงับหัวคนที่ทำให้ไม่พอใจอยู่แล้ว

     

    “ไม่เอา ฉันไม่กล้าบอก เธอนั่นแหละบอก”

     

    “เธอนั่นแหละ...”

     

    “ทั้งคู่นั่นแหละ! มีเรื่องอะไรก็พูดมาสิ เกี่ยงกันอยู่นั่น น่ารำคาญ!” ทงเฮตวาดขัดขึ้นมา

     

    ทั้งสองคนหน้าตาตื่นแล้วใช้ศอกสะกิดกันให้อีกฝ่ายเป็นคนแจ้งเรื่อง จนทงเฮที่อารมณ์ขุ่นมัวอยู่แล้วถลึงตามอง พยาบาลที่เข้ามาทีหลังที่ดูจะกล้ากว่าเพื่อนหน่อยจึงยอมเปิดปากพูด

     

    “คือ..วันนี้คุณคยูฮยอนลางาน 1 วันค่ะ”

     

    “ว่าไงนะ!! เขาไปไหน” ทงเฮกระโจนพรวดลุกขึ้นมา แทบจะเข้าไปเค้นคอหญิงสาวแล้ว

     

    “ม...ไม่ทราบค่ะ เขาไม่ได้บอกไว้ แค่โทรมาลางานแล้วให้คุณหมอท่านอื่นเข้าแทน” หญิงสาวตอบเสียงสั่นด้วยความกลัว

     

    “ก็เมื่อคืนเขานัดกับฉันไว้แล้วนี่ว่าจะพาชมโรงพยาบาล” ทงเฮพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว คยูฮยอนจะผิดนัดเขาอย่างนั้นเหรอ

     

    “คุณหมอโจวบอกว่าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะให้คุณหมอท่านอื่นดูแลคุณอีแทนค่ะ”

     

    “ไม่! ฉันไม่ยอมหรอก ถ้าพี่คยูฮยอนไม่เป็นคนพาฉันไปเอง ฉันจะฟ้องคุณลุงยองฮวาว่าพวกเธอดูแลหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลนี่ไม่ดี ให้ไล่ออกไปให้หมดเลย”

     

    “นายต้องไปเพราะนี่เป็นคำสั่งของคุณอาของนาย แล้วไม่ต้องวิ่งไปฟ้องผู้อำนวยการหรอก เพราะเขาเป็นคนโทรบอกให้พี่มาดูแลนายเอง” เสียงทุ้มติดจะแหบดังมาจากข้างหลัง ทงเฮหันไปมองแล้วก็ยิ่งทำหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูด

     

    “พี่จงอุน”

     

    “ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะอีทงเฮ นายยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ นั่นแหละ นิสัยนะไม่ใช่รูปร่างหน้าตา

     

    “พี่คยูฮยอนอยู่ไหน ทำไมเขาไม่มาหาผมด้วยตัวเอง ถ้าเขาไม่มา....”

     

    “คยูฮยอนไม่สบาย กำลังตรวจร่างกายอยู่ ผู้อำนวยการเลยให้พี่มาแทน เพราะฉะนั้นรีบๆ เดินตามมา พี่ไม่ได้ว่างทั้งวันหรอกนะ” จงอุนพูดเสียงเรียบแล้วเดินออกไป

     

    พยาบาล 2 คนที่รับชะตากรรมเมื่อครู่รวมถึงเจ้าหน้าที่และคนไข้ทั้งแผนกต่างลุ้นกันตัวโก่งว่าคุณหมอคิมผู้ปกติแสนจะใจดีแต่วันนี้ตีหน้าโหดจะปราบพยศคุณหนูอารมณ์ร้ายได้หรือไม่ แล้วก็ต้องถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นทงเฮกระฟัดกระเฟียดตามออกไปอย่างขัดไม่ได้

     

    ไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่าทำไมคุณมหมอโจวถึงได้พยายามจะหลบเลี่ยงนัก....

     

     

    “พี่คยูฮยอนเป็นอะไร ทำไมต้องไปตรวจร่างกายด้วย” ทงเฮถาม แม้จะยังโกรธคยูฮยอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ทิ้งเขาไปส่งคนไข้โรคจิตแล้ววันนี้ยังเบี้ยวนัดเขาอีก

     

    “ไม่รู้ มันบอกอาการไม่ค่อยจะดีมาตั้งนานแล้วเลยให้หมอตรวจร่างกาย” จงอุนตอบ ไม่จำเป็นต้องแสดงความเกรงใจด้วยการเรียกคยูฮยอนด้วยถ้อยคำสุภาพ เพราะทงเฮเองก็รู้ว่าเขาสนิทกับคยูฮยอนเพียงใด ไม่เรียก ไอ้ ก็บุญโขแล้ว

     

    มีอย่างที่ไหน อยู่ดีไม่ว่าดีให้เขามารับบาปดูแลทงเฮทั้งที่ตัวเองไปตกปากรับคำเอง แล้วยังแผนสูงใช้ไม้ตายที่เขาปฏิเสธไม่ได้อีกต่างหาก

     

    “คยูฮยอนไม่ค่อยสบายเลยขอหยุดงานไปเช็คร่างกายทั้งวัน แต่เห็นว่ามีธุระต้องพาทงเฮไปดูงานที่โรงพยาบาล อ้อ! จริงสิ คุณคงยังไม่ทราบว่าทงเฮกลับมาแล้ว เพิ่งลงเครื่องมาเมื่อคืนนี่เอง พอมาถึงก็กระตือรือร้นอยากจะทำงานเลย เด็กรุ่นใหม่ก็ไฟแรงแบบนี้แหละนะ ได้คนที่เรียนจบบริหารจากเมืองนอกเมืองนามาช่วยก็คงจะดีขึ้น....”

     

    ตอนนั้นจงอุนไม่ได้ฟังว่าโจวยองฮวา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและบิดาแท้ๆ ของคยูฮยอนจะเอ่ยชื่นชมอะไรทงเฮไปอีกบ้าง ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาหวั่นใจ ทงเฮกลับมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา ทำไมผู้บริหารระดับสูงถึงลงทุนโทรมาหาด้วยตัวเองแต่เช้าแบบนี้

     

    แล้วลางสังหรณ์ของเขาก็ไม่ผิดเลยเมื่อในที่สุดจุดประสงคที่แท้จริงก็ถูกเอ่ยออกมาจากปลายสาย

     

    “ก็อย่างที่ผมบอกคุณไปนั่นแหละ คยูฮยอนน่ะไม่ว่างมาดูแลทงเฮ เขาเลยอยากให้คุณช่วยทำหน้าที่นี้แทน เขาบอกว่าต้องเป็นคุณเท่านั้นที่เขาไว้ใจว่าดูแลทงเฮได้เป็นอย่างดี”

     

    นั่นไง! ว่าแล้วเชียว.....จงอุนตัวชา สมองมึนงง นิ่งเงียบไปจนผู้อาวุโสต้องถามซ้ำว่าเขาจะยอมช่วยหรือไม่ จงอุนจึงได้สติแล้วรีบคว้าทางรอดสุดท้ายไว้ด้วยการอ้างว่าเขามีเคสต้องผ่าตัดคนไข้ตอนเช้า แต่ทางนั้นกลับกลายเป็นทางตันทันที

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก เห็นเจ้าคยูฮยอนบอกว่าหมอท่านอื่นรับผิดชอบงานของคุณตลอดทั้งเช้าให้แล้ว”

     

    และประโยคนั้นทำให้จงอุนได้แต่คอตกยอมรับความพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคยูฮยอนปิดทางหนีเขาเอาไว้หมดแล้วทุกทางตั้งแต่จัดการใช้อำนาจของตัวเองทำให้ไม่ว่างด้วยการขอตรวจร่างกายวันนี้ (ทั้งที่จะทำวันไหนก็ได้) เข้าไปยุ่มย่ามกับงานของเขาด้วยการให้หมอคนอื่นมาดูแลแทน โชคร้ายเหลือเกินที่คนไข้ที่เขาต้องเข้าผ่าตัดเป็นคนไข้ที่ไม่ได้เจาะจงเลือกเขาเป็นหมอเฉพาะตัว จึงให้แพทย์ท่านอื่นเข้าไปดูแลเคสแทนได้อย่างไม่มีปัญหา ซ้ำยังใช้ไพ่ตายใบสุดท้ายด้วยการให้บิดาซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลและเป็นคนที่เขาเคารพโทรมาขอร้องด้วยตัวเอง ใครล่ะมันจะกล้าปฏิเสธ

     

    แต่พอไปถึงโรงพยาบาล จงอุนก็ไม่ได้ตรงไปที่แผนกผู้ป่วยนอกของจิตเวชทันทีตามที่ได้รับรู้มาว่าทงเฮจะรออยู่ที่นั่น แต่เขากลับไปที่แผนกของตัวเองก่อนเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าตลอดทั้งเช้าเขา ว่าง จริงอย่างที่ยองฮวาบอกหรือไม่ และเมื่อเห็นว่าเคสของเขามีคุณหมอท่านอื่นรับหน้าที่แทนไปแล้ว จงอุนก็จำต้องเดินไปที่แผนกจิตเวชอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเขาก็คิดไม่ผิดเลยว่าทงเฮยังไม่น่ารักเหมือนเดิมเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังอาละวาดกับพยาบาลในแผนก

     

    แต่ก็อย่างที่คยูฮยอนพูดนั่นล่ะ เขาเป็นคนเดียวที่คยูฮยอนไว้ใจให้ดูแลทงเฮ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทนฤทธิ์เดชคุณหนูผู้นี่ได้ ด้วยความที่เป็นคนใจเย็นและนิ่งขรึม เมื่อทงเฮแรงมาหรือโหวกเหวกโวยวายก็เงียบเสีย ถ้าเจ้าตัวเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดไปเอง

     

    “แล้วนี่จะพาไปไหนเนี่ย” ทงเฮถามเสียงห้วนแต่ก็เย็นลงไปมากแล้วนับตั้งแต่เดินเคียงคู่มาด้วยกัน เพราะตลอดทางทงเฮทั้งบ่นทั้งแสดงความไม่พอใจ แต่จงอุนก็นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรจนสุดท้ายเขาก็ต้องหยุดไปเองแล้วหันมาสังเกตรอบตัวแทน

     

    “พี่จะพาเดินดูแผนกของพี่แทน เพราะพี่ทำงานที่นี่ ส่วนแผนกอื่นๆ ก็ปล่อยให้มันจัดการไปก็แล้วกัน” จงอุนตอบ

     

                ทงเฮหน้าชื่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ายังมีโอกาสได้ใกล้ชิดคยูฮยอนอีกครั้ง และคราวหน้าเขาจะไม่ยอมให้คยูฮยอนดิ้นหลุดไปได้อีกเป็นอันขาด

     

                จงอุนพาทงเฮเยี่ยมชมแผนกศัลยกรรมและเลยไปถึงแผนกอายุรกรรมที่อยู่ติดกัน เพราะบางครั้งเขาก็ต้องทำงานร่วมกับแผนกอายุรกรรมเมื่อทางนั้นโอนคนไข้มากรณีที่ต้องผ่าตัด เขาเลยพอจะรู้รายละเอียดรวมถึงการทำงานของทั้ง 2 แผนก

     

                ตลอดทางทงเฮไม่ได้ปริปากบ่นหรือแสดงท่าทีรุนแรงอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าโวยวายไปก็เปล่าประโยชน์ จงอุนเป็นคนของยองฮวาโดยตรง ดีไม่ดีถ้าเขาเอาไปร้องเรียนยองฮวาว่าทงเฮทำตัวไม่น่ารักจะได้เสียเครดิตที่อุตส่าห์สร้างสมมากันพอดี

     

                จนเมื่อจงอุนพาเขาขึ้นมาที่ห้องพักผู้ป่วยในของแผนกอายุรกรรม โทรศัพท์ของจงอุนที่เปิดระบบสั่นไว้ก็ส่งเสียงครืดคราดจนจงอุนต้องหยุดการอธิบายงานไว้ชั่วคราวแล้วเดินเลี่ยงไปรับสายอีกทาง ระหว่างรอทงเฮก็หันซ้ายหันขวามองไปตามระเบียงทางเดินที่มีประตูห้องพักคนไข้อยู่เรียงรายกันไปโดยพยาบาลที่ตามมาด้วยไม่ได้มีท่าทีขัดขวาง

     

                ทงเฮแอบมองผ่านช่องกระจกใสเล็กๆ ที่ติดหน้าประตู เห็นคนไข้แต่ละคนในสภาพที่แตกต่างกัน บางคนก็ดูหน้าตาแจ่มใสแช่มชื่นดี แต่บางคนนั้นดูอิดโรยและอาการไม่ค่อยดีนัก

     

    จนมาถึงหน้าห้องหนึ่ง ห้องนั้นไม่มีคนอยู่ในห้องเลยสักคน คงจะเป็นห้องว่างเพราะไม่มีป้ายชื่อติดเอาไว้ ทงเฮไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรและกำลังจะผละออกไปห้องอื่นอยู่แล้วถ้าพยาบาลที่ตามมาด้วยกันไม่รีบดึงแขนเขาออกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

     

    “ห้องนี้ไม่ได้นะคะ อย่าดูเลยค่ะคุณอี” พยาบาลสาวพูดห้ามเสียงหวาดๆ

     

    ทงเฮส่งสายตาไม่พอใจมองหน้าเธอสลับกับมือที่ยังจับแขนไว้ หญิงสาวรู้ตัวว่าเผลอล้ำเส้นจึงยอมปล่อยมือออกพร้อมกับรีบขอโทษขอโพย

     

    “ทำไม ในห้องมีอะไรรึไง ฉันก็เห็นเป็นห้องเปล่า ไม่มีใครอยู่ซักคน” ทงเฮถาม แต่พยาบาลสาวเอาแต่อึกอักไม่ยอมตอบ พร้อมทั้งยังหันซ้ายหันขวาราวกับกลัวใครจะมาแอบฟัง

     

    แต่ยังไม่ทันจะได้คาดคั้นอะไรต่อ จงอุนก็ก็กลับมา สีหน้าเคร่งเครียด “ขอโทษนะทงเฮ พี่ต้องรีบไปแล้ว มีคนไข้ฉุกเฉิน เป็นคนไข้ของพี่ ดูเหมือนจะมีปัญหา ที่เหลือให้คุณพยาบาลเขาดูแลแทนก็แล้วกัน” จงอุนพูดรัวเร็วและไม่ต้องรอให้ทงเฮอนุญาตเขาก็รีบก้าวยาวๆ จากไปแล้ว แต่ทงเฮก็ไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว มีสิ่งอื่นที่เขาสนใจมากกว่า

     

    พยาบาลคนนั้นร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาของทงเฮที่มองอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ สุดท้ายเลยเอ่ยปากพูด “ก็ได้ค่ะ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เราเดินไปด้วยดีกว่านะคะ ฉันไม่ค่อยอยากอยู่แถวนี้” หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้งแล้วรีบเดินออกไป โดยมีทงเฮตามไปด้วย

     

     

     

     

    ทงเฮกลับมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักห้องเดิมที่พยาบาลสาวเคยห้ามเอาไว้ว่าไม่ให้มองเข้าไปหลังจากที่เดินดูทุกที่ของทั้งแผนกศัลยกรรมและอายุรกรรมจนไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว และเมื่อพยาบาลผู้ทำหน้าที่ไกด์แทนจงอุนขอตัวไปทำงานต่อ เขาก็เลยแอบกลับมา

     

    ทงเฮสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วทำใจกล้ามองเข้าไปในห้องผ่านกระจกใสที่ประตูอีกครั้งเหมือนที่เคยทำ แต่คราวนี้ความรู้สึกมันต่างไปจากเดิม ทงเฮบอกตัวเองว่าเขาไม่เชื่อเรื่องงมงายไร้สาระที่พยาบาลคนนั้นเล่าเลยสักนิด และจะพิสูจน์ให้เธอและคนอื่นๆ เห็นว่าห้องนี้มันก็ห้องพักคนไข้ธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่ทุกคนเข้าใจ

     

    “ห้องนั้นน่ะถูกปล่อยให้เป็นห้องว่างมา 2-3 ปีแล้วล่ะค่ะ ตั้งแต่ฉันเข้ามาทำงานใหม่ๆ แล้ว พวกพยาบาลรุ่นพี่ก็เตือนว่าอย่าเข้าไปในห้องนั้นโดยเด็ดขาด เขาบอกว่าในห้องน่ะมี...” พยาบาลเหลียวซ้ายแลขวา ดูเหมือนจะกลัวกับสิ่งที่ตัวเองต้องพูด

     

    “มีอะไรก็รีบๆ พูดมาสิ อมเอาไว้อยู่ได้” ทงเฮที่กำลังลุ้นตามขัดใจที่อยู่ๆ คู่สนทนาก็เงียบไปเสียอย่างนั้น

     

    “มี ผี น่ะสิคะ” พยาบาลสาวหลุดปากบอกออกมาจนได้แล้วก็รีบเอามือตะครุบปิดปากตัวเองราวกับสิ่งที่พูดออกไปเป็นคำต้องห้าม

     

    “ไร้สาระน่า” ทงเฮพูด ด้วยความที่เป็นคนสมัยใหม่ซ้ำยังหัวนอก ไม่แปลกที่จะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้

     

    “จริงๆ นะคะคุณอี ไม่อย่างนั้นเขาจะปล่อยให้ว่างอยู่แบบนั้นเป็นปีๆ เหรอคะ เห็นเขาลือกันว่าคนไข้ที่เคยเป็นเจ้าของห้องนั้นเสียชีวิต วิญญาณไม่ยอมไปไหนเพราะยังมีห่วง เลยวนเวียนอยู่ในห้องนั้น วันดีคืนดีก็จะมีคนได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากในห้อง บางครั้งก็มีเสียงทีวีเปิด ห้องนั้นเป็นห้องว่างนะคะ จะมีคนเดิน มีคนเปิดทีวีได้ยังไง” พยาบาลเล่าเสียงเบาลงเพื่อเพิ่มความน่ากลัว

     

    ทงเฮยังแกล้งตีหน้าขรึม ทั้งที่ใจเริ่มสั่นคลอน “อาจจะมีคนอื่นแอบเข้าไปนั่งเล่นในห้องก็ได้”

     

    “ใครจะเข้าไปในห้องคนอื่นล่ะคะ แต่จริงๆ แล้วพวกคนไข้เขาไม่รู้หรอกค่ะว่าในห้องนั้นมีอะไร พวกหมอพยาบาลเหยียบกันให้มิด กลัวคนไข้จะขวัญเสีย ย้ายหนีกันหมด ห้องพักแถวๆ นั้นเลยยังมีคนพักอยู่ แต่ถึงจะมีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวแอบเข้าไปจริง แต่ก็มีเจ้าหน้าที่บางคนที่ลองของแอบส่องเข้าไป รู้มั้ยคะว่าเห็นอะไร” พยาบาลทำตาโต แกล้งหยุดถามเพื่อให้ทงเฮสนใจ ทั้งที่ตอนแรกทำท่าอิดเอื้อนไม่อยากเล่า แต่พอได้พูดแล้วกลับไม่อยากหยุด

     

    “อะไร เห็นอะไรล่ะ รีบๆ พูดมาสิ” ทงเฮก็ลุ้นเช่นกัน รีบเขย่าแขนนางพยาบาลผู้นั้นให้รีบๆ เล่าต่อ

     

    “เห็นข้าวของเครื่องใช้ในห้องลอยได้น่ะสิคะ คนที่ไหนก็ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ บางคนก็เห็นที่นอนยุบลงไปกับตาเหมือนมีคนขึ้นไปนอนบนเตียง คนที่คิดจะเข้าไปดูให้แน่ชัดก็ถอยกรูดกันเป็นแถว ไม่มีใครกล้าหรอกค่ะ”

     

    “ต...ตาฝาดน่ะสิ มโนกันเอง พอรู้ว่ามีผีก็เลยคิดเอาเองว่าผีทำ ฉ..ฉันไม่เชื่อหรอก คิดกันไปเองทั้งนั้น” ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่เสียงทงเฮก็สั่นเสียแล้ว

     

    “ไม่ได้คิดไปเองนะคะ ฉันเห็นมากับตา ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อยากลองพิสูจน์นั่นแหละค่ะ ขนาดกลางวันแสกๆ นะคะคุณเอ๊ย! รีโมตทีวีลอยขึ้นมาเปิดทีวีเอง ถ้าตาฝาดจริงเสียงทีวีคงไม่ดังออกมาหรอกใช่มั้ยล่ะคะ ฉันนี่เป็นลมหงายหลังเลยล่ะค่ะ ตื่นมาอีกทีก็เห็นพวกพี่พยาบาลเอายาดมมาให้ดมกันใหญ่ บอกว่าฉันไม่ใช่คนแรกที่ลอง บางคนกลัวจัดถึงกับลาออกไปก็มี เมื่อก่อนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเลยล่ะค่ะ เม้าท์กันให้แซดทั่วโรงบาล แต่ตอนนี้ซาๆ ไปแล้ว เพราะถือคติว่าต่างคนต่างอยู่ ถ้าไม่ไปยุ่งกับเขาเขาก็ไม่ทำอะไร แต่คุณอีอย่าบอกใครนะคะว่าฉันมาเล่าให้ฟัง ถ้าคุณหมอรู้ต้องโดนด่าตายแน่เลย...”

     

    และนั่นเป็นสาเหตุให้ทงเฮต้องมาหยุดอยู่หน้าห้องนี้อีกครั้ง ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะเปิดเข้าไปดูให้รู้แล้วรู้รอดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าพอ ต้องขอแอบดูก่อนเหมือนที่ใครหลายๆ คนทำ

     

    มือของทงเฮที่จับลูกบิดรออยู่แล้วทำท่าว่าจะหมุนเปิดเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร ทั้งห้องยังเงียบกริบ ไม่เห็นมีอะไรลอยได้ หรือมีเสียงแปลกๆ อย่างที่พยาบาลคนนั้นเล่าเลยสักนิด

     

    “ที่แท้ก็เรื่องหลอกเด็กนี่เอง” ทงเฮพูดเบาๆ กำลังจะหมุนลูกบิดประตู แต่ก็ต้องหยุดชะงัก ตาเบิกกว้าง

     

    ที่นอนสีขาวที่เรียบตึงมีรอยยุบลงไปเหมือนมีใครทิ้งตัวนั่งทั้งๆ ที่ในห้องไม่มีใครอยู่เลยซักคน ทงเฮบอกตัวเองในใจว่าเขาตาฝาด เขาคิดไปเอง มันไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่คำพูดที่ท่องซ้ำๆ ในใจนั้นเลือนหายไปทันทีเมื่อเห็นเต็มตาว่าหมอนใบเดียวที่วางที่หัวที่นอนขยับไปด้านข้างเหมือนมีคนมาจัดให้เข้าที่ เท่านั้นก็เพียงพอให้ทงเฮอุดปากกลั้นเสียงกรีดร้องแล้ววิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้นทันที

     

    เมื่อพ้นเขตบริเวณห้องพักคนไข้ แล้วมาหยุดที่สุดระเบียงซึ่งกำลังจะตัดออกไปสู่บริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ทงเฮก็หยุดวิ่ง เอามือที่อุดปากไว้ออกแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยความกลัว เขาตั้งใจว่าจะแกล้งเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขืนทำท่าวิ่งหนีผีออกไปให้พวกพยาบาลเห็นก็เสียมาดหมด แม้จะวิ่งหนีผีมาจริงๆ ก็ตามทีเถอะ

     

    แต่ยังไม่ทันได้ตั้งท่าวางฟอร์มเป็นคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบเหมือนมีใครมาจับจ้องอยู่ข้างหลังจนทำให้ขนอ่อนที่คอลุกชันก็ทำให้ทงเฮค่อยๆ หันกลับไปมองช้าๆ

     

    ระเบียงทางเดินนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเลยสักคน ทงเฮถอนใจเบาๆ และคิดว่าความกลัวคงทำให้เขาระแวงไปเอง แต่ก็ยังอดใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่ได้ขณะที่วางหน้าเฉยเดินผ่านเคาน์เตอร์ที่มีพยาบาลนั่งอยู่เต็ม คิดในใจว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง ขอนั่งบริหารงานอยู่แต่ในห้องอย่างเดียวก็แล้วกัน

     

    เพราะความตื่นตกใจจนไม่คิดหน้าคิดหลัง ขอแค่ออกไปให้พ้นจากที่นี่ ทำให้ทงเฮไม่รู้ตัวว่ามีสายตาสองคู่กำลังจ้องมองอยู่

     

    คู่หนึ่งนั้นเป็นของพยาบาลสาวที่เป็นคนเล่าเรื่องราวสยองขวัญให้ทงเฮฟังซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์และกำลังมองตามหลังทงเฮที่เดินผ่านไปด้วยท่าทางปกติ แต่ใบหน้าเผือดซีดที่มีแววตื่นกลัวนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้แล้วว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ในอนาคตจะเข้ามาทำงานที่นี่โดน รับน้อง ไปแล้วเรียบร้อย

     

    ส่วนสายตาอีกคู่นั้นเป็นของใครอีกคนที่กำลังตามทงเฮไปอย่างเงียบเชียบ และถึงแม้ว่าเขาจะเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่รวมถึงคนเดินสัญจรอยู่ขวักไขว่แต่ก็ไม่มีใครเห็นบุคคลผู้นั้นที่กำลังเคลื่อนตัวตามหลังคุณหนูผู้ขวัญเสียไปทุกฝีก้าวเลย...


    ---------------------------------------------------


    Writer Talks: ครบ 100 แล้วนะคะ ตอนหน้าจะได้กลับมาเจอซองมินอีกแล้ว และใครที่คิดถึงทนายอุค อีกไม่นานก็จะได้เจอแน่นอนค่ะ ตอนนี้แอบมีเรื่องลึกลับนิดหน่อยๆ ไม่ต้องห่วงค่ะว่าคุณหนูเฮแกได้อยู่อย่างสงบสุขแน่ๆ (เหมือนกับหมอคยูตอนเมื่อก่อนเลย หึหึ) ขอบคุณนะคะที่ยังติดตาม ขอตัวไปทำซับต่อละเน้อ....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×