ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]The Sixth Senseสัมผัสรัก สื่อวิญญาณKyuMin,KiHae,YeRyeo

    ลำดับตอนที่ #17 : Part 14 บารอม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.34K
      2
      21 เม.ย. 55

    />


    Part 14 บารอม

     

    ซองมินก้มหน้าก้มตา ก่อนจะพูดเสียงอุบอิบในลำคอ

     

    ขอโทษนะคิบอม...คือว่า

     

    เข้ามาข้างในก่อนสิ คิบอมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่ซองมินคุ้นเคยดี นั่นเรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นมาบนใบหน้า เขาโล่งใจที่ดูเหมือนว่าคิบอมจะไม่ได้ท่าทีโกรธเคืองหรือเย็นชาอย่างที่นึกกลัว

     

    ซองมินเดินเข้าไปในห้อง ตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงตัวเดิมที่นั่งทุกครั้งยามที่มาเยี่ยมคิบอม

     

    สบายดีเหรอคิบอม วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกเหรอ... ซองมินถามแต่พอนึกขึ้นได้ก็รีบเม้มปากแน่น ก้มหน้าแต่ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อพบว่าตนเองเผลอทำพลาดอีกแล้ว

     

    เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคิบอมหากไม่อยู่ในห้องนี้ ชายหนุ่มจะไปที่ไหนอีก คิบอมไม่มีที่ให้ไปมากนัก นอกจากในห้องก็คงมีแค่หน้าห้องพักของผู้เป็นมารดาในแผนกจิตเวชเท่านั้นที่จะแวะเวียนไป และซองมินก็พบคิบอมที่นั่นบ่อยๆ จนน่าจะรู้ดีว่าถ้าหากไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องแม่ที่คิบอมดูจะปฏิเสธที่จะพูดถึง ก็ไม่ควรกล่าวทักทายแบบนี้เลย แต่มันกลายเป็นสิ่งชินปากซองมินไปเสียแล้ว

     

    ไม่หรอกๆ อยากอยู่ในห้องมากกว่าน่ะ คิบอมตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ตามปกติ และเมื่อซองมินเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก็เห็นว่ามันยังแฝงความอบอุ่นไว้เหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยความขุ่นข้องหมองใจเจือปนเลยสักนิด

     

    คิบอม...หัวเราะอะไร หลังจากโล่งใจได้ไม่นาน ซองมินก็ตกใจหน้าตาตื่นที่อยู่ๆ คิบอมก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาคล้ายขบขันอะไรนักหนาทั้งที่ซองมินก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรให้ชวนหัวเราะแถวนี้เลย

     

    ถอนหายใจซะดังเชียวนะซองมิน คิบอมเอ่ยแซวพลางยิ้มล้อเลียนจนซองมินกลับไปก้มหน้างุดอีกรอบแต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะกลัวในความผิด แต่เป็นเพราะความเขินอายที่ตัวเองเก็บอาการโล่งอกเอาไว้ไม่อยู่จนแสดงออกมาให้คิบอมเห็นเป็นเรื่องขบขัน

     

    ซองมินเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบอย่างรวดเร็วจนกระดูกคอแทบเคล็ดเมื่อคิบอมเอ่ยประโยคต่อมา ผมไม่ได้โกรธซองมินหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้โทษซองมินด้วย ไม่ต้องกลัวผมหรอก

     

    ไม่ได้โกรธจริงๆ น่ะเหรอ ซองมินถามพร้อมรอยยิ้มกว้างขวางสดใสเหมือนเด็กๆ และเมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ จากคนที่กลัว ซองมินก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ฮะๆๆ ซองมินนี่โง่จังเลยนะ! แย่จังที่คิดเป็นตุเป็นตะว่าคนใจดีอย่างคิบอมจะโกรธได้

     

    แล้วที่หายหน้าไปตั้งนานก็เพราะเหตุผลนี้ใช่มั้ยเมื่อโดนจับได้ คนไข้หนุ่มหน้าหวานก็พยักหน้าพลางส่งยิ้มแห้งๆ ให้ แล้วที่มาวันนี้คงจะไม่ได้เพราะจะมาแสดงความรู้สึกผิดอย่างเดียวหรอกใช่มั้ย คิบอมถามต่อ

     

    เป็นอีกครั้งที่ซองมินพยักหน้ารับ รู้สึกละอายใจหน่อยๆ ที่มาหาคิบอมนั้นก็เพราะตนเองมีปัญหา แต่ก่อนหน้านั้นกลับไม่ได้มาเยี่ยมเลย เป็นเพราะเขายังกลัวคิบอมจะโกรธ

     

    เอาล่ะ มีเรื่องอะไรล่ะซองมิน คิบอมถาม ตามองใบหน้าหวานที่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาเขาเหมือนเด็กทำอะไรผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้ ซองมินคงไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งเอาเสียเลย ไม่ต้องมองตาก็รู้ใจแล้วว่าคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของซองมินที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวอีกนั่นล่ะ

     

    ซองมินเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้คิบอมฟังด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้น เขาเพียงแต่เล่าคร่าวๆ ว่าตนเองมีปัญหากับเพื่อนที่สนิทมากแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร รวมถึงไม่ได้เล่าสาเหตุที่แท้จริงที่เกี่ยวโยงไปถึงบุคคลที่ 3 อย่างคยูฮยอนและวิญญาณสาวปริศนาคนนั้น แค่บอกว่าเพื่อนคนนั้นพยายามจะช่วยเขาด้วยวิธีการร้ายกาจที่เสี่ยงต่อชีวิตตนเองซึ่งตามความเห็นของซองมินนั้นเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย สุดท้ายก็เลยทะเลาะกัน

     

    แล้วเขาก็หลบหน้าซองมิน ไม่ยอมมาเจออีกเลย... ซองมินเล่าเรื่องจนจบ

     

    ตลอดเวลาที่ซองมินพูด คิบอมไม่ได้แทรกขึ้นมาหรือทำเสียงอื่นใดนอกจากเสียงตอบรับอือออในลำคอ และเขาก็ไม่ถามอะไรนอกเหนือจากที่ซองมินต้องการจะบอก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซองมินสบายใจที่จะปรึกษาคิบอม

     

    คิบอมคิดว่าซองมินควรจะทำยังไง ซองมินเป็นฝ่ายถามเสียเองเมื่อพูดจบแล้วคิบอมไม่เอ่ยปากอะไรออกมา

     

    คิบอมมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นมา ที่ซองมินไม่พอใจก็เพราะเป็นห่วงเขาใช่มั้ย

     

    จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ซองมินตอบรับเสียงอ่อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

    ที่เพื่อนของซองมินทำก็เพราะเป็นห่วงซองมินเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ

     

    มันก็ใช่ แต่ก็ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้น!” ซองมินพูดอย่างมีอารมณ์

     

    คิดดูดีๆ สิซองมิน ถ้าเป็นซองมินเองล่ะ ถ้าเรื่องราวมันกลับกัน ถ้าเพื่อนคนนั้นคือซองมินและซองมินกลายเป็นเพื่อนคนนั้น ซองมินจะเป็นห่วงเขาแบบที่เขาเป็นห่วงซองมินหรือเปล่า คิบอมถามเสียงเรียบนิ่งเหมือนเดิม ไม่สนใจซองมินที่อยู่ๆ ก็โมโหขึ้นมา

     

    ก็ต้องเป็นห่วงแน่อยู่แล้วล่ะ! แต่ซองมินก็ไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอก

     

    ผมไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่เพื่อนของซองมินทำคืออะไร และอะไรทำให้เขาถึงกับทำเรื่องที่ซองมินบอกว่าอันตราย แต่มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คิบอมพูดยิ้มๆ แต่ดูเหมือนซองมินยังไม่เข้าใจ

     

    เห็นได้ชัดเหรอ

     

    ไม่ว่าเขาจะทำอะไรแต่เหตุผลก็มีแค่อย่างเดียว...ก็เพราะเขาเป็นห่วงซองมินไงล่ะ เขาถึงกับทำเรื่องเสี่ยงต่อชีวิตแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงซองมินไม่ใช่เหรอ แล้วที่ซองมินโกรธเขาขนาดนั้นก็เพราะเป็นห่วงเขาใช่มั้ย ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากเลยสักนิด

     

    ซองมินเงยหน้าขึ้นมาสบตาคิบอม ดวงตาคมที่ให้ความรู้สึกจริงจังแต่แฝงด้วยความจริงใจและอบอุ่นนั้นทำให้เขาสงบขึ้นมาอย่างประหลาด

     

    ทั้งที่ต่างคนต่างเป็นห่วงกันมากขนาดนั้นแท้ๆ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำลายมิตรภาพเลยนะ คิดถึงเวลาที่ผ่านมาสิ ถ้าปล่อยให้เรื่องมันจบแบบนี้ แน่ใจเหรอว่าจะไม่เสียใจภายหลัง

     

    คนเราถ้าไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน เขาไม่เป็นห่วงกันหรอกนะซองมิน เข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย

     

    ซองมินพยักหน้าช้าๆ แค่คำพูดไม่กี่ประโยคที่คิบอมพูดออกมาราวกับมีใครมาจุดไฟให้แสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด อารมณ์ขุ่นข้องหมองใจที่เคยเจือปนกับความรู้สึกผิดกลับจางหายไป เหลือไว้แต่เพียงความเสียใจที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงกว่าเดิม

     

    นั่นสินะ ทั้งที่บารอมเป็นห่วงเขาเสียขนาดนั้น....จะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ

     

    ขอบคุณมากนะคิบอม ซองมินรู้แล้วว่าต้องทำยังไง ซองมินพูดพลางยิ้มกว้าง กระพริบตาไล่หยดน้ำร้อนๆ ที่รื้นที่นัยน์ตา

     

    ปรับความเข้าใจกันซะ แล้วไม่ต้องโทษตัวเองด้วยนะ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอก ราวกับอ่านใจซองมินออก ทั้งที่เขาเพิ่งคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่แท้ๆ แต่ถึงแม้คิบอมจะพูดแบบนั้น ซองมินก็ยังคิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาอยู่ดี

     

                ซองมินเอ่ยคำขอบคุณคิบอมอีกครั้งแล้วบอกลาชายหนุ่ม แต่ก่อนที่จะออกจากห้องไป คิบอมก็ทิ้งคำพูดให้ซองมินได้คิด

     

                คิดดูดีๆ นะซองมิน สมมติว่าถ้าเกิดซองมินกับคนๆ นั้นสลับร่างกันจริง แน่ใจเหรอว่าซองมินจะไม่แก้ปัญหาแบบเดียวกับเขา ความรักความเป็นห่วงอาจทำให้คนเราทำเรื่องโง่ๆ ขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

     

                ซองมินที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูห้องจับลูกบิดประตูค้างเอาไว้ หันหน้ากลับมามองคิบอมที่ตอนนี้ทอดสายตาไปที่หน้าต่างและไม่ได้มองตอบกลับมา แต่ซองมินกลับเห็นว่าสายตาของคิบอมนั้นดูเศร้าหมองเหมือนยามที่เขามองแม่ตัวเองในห้องพักคนไข้จิตเวช

     

                จริงอยู่ที่คิบอมพูด บางทีถ้าเขาเป็นบารอมอาจทำแบบเดียวกับบารอมก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะทำอะไรเลวร้ายกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ แม้ซองมินก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการทำลายชีวิตมนุษย์คนหนึ่งด้วยหรือ แต่บารอมคงไม่มีทางเลือกมากนักและถ้าหากเป็นเขา หากต้องเลือกปกป้องคนที่ตัวเองรักกับรักษาชีวิตตัวเอง เขาก็ต้องเลือกอย่างแรกเหมือนกัน

     

    แต่คำพูดของคิบอมนั้นน่าคิด ไม่ใช่แค่เรื่องของเขา แต่รวมถึงเรื่องทัศนคติของคิบอมที่มีต่อความรู้สึกที่เรียกว่ารักด้วย แม้มันจะช่วยเตือนสติซองมินแต่มันกลับทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลย ปัญหาคือตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องของคิบอม บารอมนั้นสำคัญและเร่งด่วนกว่า แต่เขาก็สัญญากับตัวเองว่าถ้าเคลียร์กับบารอมได้แล้วเขาต้องหาทางช่วยคิบอมให้ได้ แม้จะเคยล้มเหลวมาแล้วก็ตาม

     

     

     

    ซองมินกลับมาที่ห้องพักคนไข้ของตนเอง ใจนึกให้ในห้องมีบารอมนั่งคอยอยู่เหมือนทุกครั้ง หรือไม่อย่างน้อยได้เห็นอึนจูก็ยังดี แต่ซองมินก็ต้องผิดหวัง เพราะในห้องว่างเปล่า ไม่มีวิญญาณเด็กน้อยทั้งสองตนเลย เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปอยู่เสียที่ไหน และไม่รู้ว่าควรจะไปตามตัวจากที่ไหนด้วย เพราะเมื่อใดที่ทั้งสองคนหายไป ซองมินก็ไม่เคยถามสักครั้งว่าไปไหนกันมา สิ่งเดียวที่ซองมินทำได้จึงมีแค่เพียงตะโกนเรียกหาเท่านั้น

     

    “บารอม! มาหาพี่ที พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”

     

    ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ในห้องยังมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ทั้งที่คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ซองมินก็ยังคงตะโกนเรียกต่อไปด้วยเสียงที่สั่นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด...

     

    ออกมาสักทีสิ พี่บอกให้ออกมาไง!” คำร้องเรียกสุดท้ายก่อนที่ซองมินจะยอมแพ้ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกอดเข่าสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

     

    ทำไมถึงไม่มา ทุกครั้งที่ซองมินต้องการตัวบารอม วิญญาณเด็กน้อยต้องออกมาให้เห็นเสมอ แต่ทำไมคราวนี้ถึงไม่มา

     

    ออกมาสิบารอม แค่ครั้งเดียวก็ได้...ขอร้องล่ะ ซองมินพึมพำแผ่วเบา

     

     

     

    เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สัมผัสเย็นวูบแผ่วเบาที่ปัดที่แก้มซึ่งยังมีคราบน้ำตาแห้งๆ หลงเหลืออยู่นั้นเป็นตัวปลุกซองมินให้ตื่นขึ้นมา

     

    ซองมินหันหน้าไปมองสิ่งที่ทำให้เขาตื่น ยังคงมึนงง ปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้ จนเห็นชัดเต็มๆ ตาว่าเป็นมือของใครที่พยายามเช็ดน้ำตาให้เขาอยู่

     

    อึนจู!” ซองมินผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนวิงเวียน แต่เขาก็รีบปรับสายตาให้เป็นปกติพลางมองใบหน้าของเด็กหญิงที่ตอนนี้อาบด้วยน้ำตา ก่อนที่ซองมินจะทันได้ถามว่าเด็กหญิงหายไปไหนมาทั้งวัน เธอก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

     

    พี่ซองมิน...พี่บารอมกำลังจะไปแล้ว

     

    ไป...ไปไหนอึนจู บารอมจะไปไหน บอกพี่มาซิ!” ซองมินถามหน้าตาตื่น ถ้าเขาทำได้คงคว้าไหล่เล็กๆ นั่นมาเขย่าด้วยความร้อนใจแล้ว

     

    อึนจูไม่รู้ แต่พี่บารอมกำลังจะไปแล้ว อุนจูพูดพลางสะอื้นฮัก ขณะที่ซองมินคิดประมวลผลคำพูดของเด็กหญิง

     

    กำลังจะไปเหรอ แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ไป แล้วบารอมอยู่ที่ไหน บอกพี่ซิอึนจู

     

    พี่บารอมอยู่บนดาดฟ้าค่ะ

     

    แล้วบารอมจะไปเมื่อไหร่ ซองมินพยายามทำใจให้นิ่งถามเด็กหญิงที่ยังคงหยุดร้องไห้ไม่ได้

     

    อึนจูไม่รู้ พี่บารอมก็ไม่รู้ พี่บารอมกำลังรอ

     

    งั้นอึนจูขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะตามไป ซองมินพูด พยายามจะรุนหลังเด็กหญิงเป็นสัญญาณบอกให้รีบขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนบารอม แม้มือของเขาจะผ่านทะลุหลังของเธอไป แต่อึนจูกลับเอาแต่ส่ายหน้า ทำให้ซองมินไม่เข้าใจ

     

    ทำไมล่ะอึนจู ขึ้นไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอพี่หรอก ซองมินยังต้องรอให้หมอเข้ามาตรวจร่างกายตอนเย็นอยู่ เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาหายตัวไปจากเตียง จึงต้องรอให้ตรวจร่างกายเสร็จก่อนเขาจึงจะออกไปได้

     

    อึนจูไปไม่ได้ค่ะ อึนจูต้องไปแล้ว

     

    ไปไหน ใจซองมินร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อถามคำถามนี้กับวิญญาณเด็กน้อย เขากำลังจะเสียบารอมไปคนหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ว่าอึนจูอีกคนหรอกนะ

     

    กลับบ้าน อึนจูต้องกลับบ้านแล้วค่ะ

     

    คำตอบของอึนจูทำให้ซองมินโล่งอกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาร้อนใจอีกครั้ง ต้องกลับตอนนี้เหรอ ยังไม่กลับไม่ได้เหรอ

     

    อึนจูยังไม่ทันได้ตอบับหรือปฏิเสธ ยังไม่ทันได้เอ่ยคำลาใดๆ เสียด้วยซ้ำ ร่างก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาซองมินที่ยื่นมือออกไปไขว่คว้าทั้งที่รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์

     

    เขาไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ขบคิดเรื่องของอึนจูนักเพราะเรื่องของบารอมตามรบกวนจิตใจจนเขาไม่เป็นอันทำอะไรอยู่แล้ว ตาคู่โตมองจ้องแต่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังตรงข้ามกับเตียง ปกติหมอจะเข้ามาตรวจเขาประมาณ 6 โมงเย็น ไม่ว่าจะเป็นหมอประจำตัวจริงๆ อย่างชินบยองชอลหรือหมอชั่วคราวอย่างโจวคยูฮยอนก็ตาม  แต่ตอนนี้เขายังไม่เห็นใครโผล่มาสักคนทั้งที่ถึงเวลาแล้ว

     

    ซองมินละสายตาหันไปมองถาดอาหาร 2 ถาด ที่วางไว้บนโต๊ะ ถาดหนึ่งคงจะเป็นอาหารกลางวันที่พยาบาลนำมาให้ตั้งแต่ตอนเที่ยง และอีกถาดคงจะเป็นอาหารเย็นที่เพิ่งนำเข้ามาตอน 5 โมง นี่เขาหลับยาวจนถึงเย็นเลยหรือนี่ น่าแปลกที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า (เพราะไม่มีอารมณ์จะทานเนื่องจากตอนนั้นกำลังทะเลาะกับบารอม) จนถึงเย็น แต่เขากลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด ความกระวนกระวายเข้ามาแทนที่ความอยากอาหารเสียแล้ว แม้แต่การปวดแสบท้องก็ไม่ช่วยหันเหความสนใจของซองมินไปจากเรื่องของบารอมได้เลย

     

    6 โมงจะครึ่งแล้ว นี่มันสายไปมากแล้วนะ!

     

    ความกระวนกระวายผสมกับอคติในใจทำให้ซองมินนึกก่นด่าสาปแช่ง คุณหมอ ที่ต้องมาดูแลตนเอง จนป่านนี้แล้วมัวแต่ไปเถลไถลที่ไหน นี่ถ้ามีผู้ป่วยในอาการร่อแร่อยู่ไม่สิ้นลมไปแล้วเรอะ!

     

    และสุดท้ายซองมินก็กดออดต่อสายไปถึงพยาบาลที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

     

    คุณหมอโจวยังไม่มาอีกเหรอครับ ซองมินถาม มีความไม่พอใจเจืออยู่ชัดเจนในน้ำเสียง

     

    ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีข้างล่างเกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะค่ะ คุณหมอเลยอาจจะมาช้านิดนึง เสียงของพยาบาลสาวที่ดังตอบกลับมาฟังดูเกรงอกเกรงใจจนซองมินคงจะใจอ่อนถ้าเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเหมือนกัน

     

    แล้วเขาจะมาเมื่อไหร่ครับ ซองมินกัดฟันถาม พยายามสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ด้วย เขาไม่ควรระบายอารมณ์ใส่พยาบาลผู้น่าสงสารคนนี้ เธอไม่ได้ผิดอะไร แค่โชคร้ายกดตอบรับเสียงออดของเขาเท่านั้น

     

    ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่คงอีกจะไม่นานแล้วล่ะค...

     

    ไม่ต้องรอให้พยาบาลพูดจบ ซองมินก็กดตัดสาย แทบจะขว้างออดในมือทิ้ง แล้วรีบกระโดดลงจากเตียง เขาจะไม่รอแล้ว! พอกันที เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นทำให้เขาพลาดโอกาสได้เจอบารอมเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากทำให้เขากับบารอมผิดใจกัน ชีวิตเขาวุ่นวายเพราะโจวคยูฮยอนมามากเกินพอแล้ว

     

    ซองมินกระชากประตูเปิดแล้ววิ่งตรงไปที่ลิฟต์ พร้อมๆ กับที่ร่างเพรียวในชุดเครื่องแบบของพยาบาลวิ่งตรงมาที่เขาพอดีจนแทบจะชนกันถ้าต่างฝ่ายต่างไม่รีบเบรกจนตัวโก่งเสียก่อน

     

    คุณซองมิน จะไปไหนคะ ยุนอาถามไปหอบไป เธอว่าอยู่แล้วเชียวว่ามันแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ที่จริงตอนนี้เธอควรจะออกเวรได้แล้ว แต่เพราะก่อนจะออกไปเธอเห็นมีคนกดออดมาซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่จะมีคนไข้แผนกนี้กดออดตามพยาบาล แล้วพอได้คำตอบจากเพื่อนว่าเป็นซองมิน แถมเธอยังทำหน้าเจื่อนๆ บอกว่าโดนซองมินเหวี่ยงใส่ ซ้ำยังกดตัดสายทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบ ยุนอาก็รู้เลยว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว แล้วเธอก็คิดผิดเสียที่ไหนล่ะ แม้ซองมินจะชอบออกมาเดินนอกห้องเป็นนิสัยแต่ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใครจนเหล่าพยาบาลไว้ใจไม่ตามจับกลับไปไว้ในห้อง แต่ซองมินก็ไม่เคยออกนอกห้องยามวิกาลเลยสักครั้ง (เท่าที่ยุนอารู้มา) เพราะเธอเองก็เคยทำงานกะกลางคืนก่อนจะย้ายเวรมากลางวันแทน แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างถึงทำให้ซองมินออกนอกห้องเวลานี้

     

    ขอโทษครับ แต่ผมไม่มีเวลา ผมมีธุระด่วน

     

    ธุระเหรอคะ ยุนอาหน้าเหวอ คนไข้อย่างซองมินมีธุระด้วยหรือ แต่คุณหมอยังไม่ได้เข้ามาตรวจคุณซองมินเลยนะคะ

     

    ผมรอไม่ได้แล้วครับ ถ้าเขามาแล้วไม่เจอผม บอกด้วยแล้วกันว่าผมสบายดี ไม่ต้องตรวจอะไรทั้งนั้น ซองมินพูดเร็วปรื๋อ กำลังจะเดินต่อเพื่อไปยังลิฟต์ที่อยู่อีกด้าน แต่ยุนอาก็ยืนขวางพร้อมกับกางแขนกั้น

     

    ไม่ได้ค่ะ คุณไปไม่ได้ จะออกไปเดินข้างนอกคนเดียวได้ยังไงคะ มันอันตราย ยุนอาพูดเสียงจริงจัง

     

    ถ้าเป็นเวลาอื่นซองมินคงจะซึ้งในความเป็นห่วงของเธอแล้ว เพราะเขาดูออกว่าทั้งสีหน้าแววตาและการกระทำล้วนมาจากใจของยุนอาทั้งนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาดีใจว่ามีใครที่เห็นความสำคัญของเขา ยังมีเรื่องให้ซองมินต้องจัดการอีก

     

    ผมขอร้องนะครับคุณยุนอา คุณก็น่าจะรู้ว่าผมดูแลตัวเองได้ ซองมินพูด สีหน้าอ้อนวอนจนยุนอาใจอ่อน ซึ่งซองมินก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะได้ในสิ่งที่ต้องการในอีกไม่ช้านี้แล้ว

     

    แต่...คุณต้องรีบไปรีบกลับนะคะ แล้วต้องบอกฉันก่อนด้วยว่าจะไปไหน ยุนอากลับมาตีหน้าขึงขังพูดเสียงเข้ม

     

    แต่...

     

    ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่ให้ไปค่ะ แล้วฉันก็จะเรียกบุรุษพยาบาลให้พาคุณกลับห้องด้วย ยุนอาขู่พลางยกแขนขึ้นกั้นทางซองมินอีกครั้ง

     

    สุดท้ายซองมินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกจุดหมายที่แท้จริงให้ยุนอารู้ เขารู้ว่ายุนอาพูดจริงทำจริงแน่ ถ้าเขายังปิดปากเงียบและดึงดันจะฝ่าออกไปไม่ได้ก็มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น

     

    พอรู้ว่าที่ที่ซองมินจะไปคือดาดฟ้า ยุนอาก็เผลอลดแขนลง ยกมือขึ้มมาแตะคาง ท่าทางครุ่นคิด แต่คุณซองมินจะไปทำอะไรที่ดาดฟ้าล่ะคะ อ...อ้าวคุณซองมิน!”

     

    ไม่ต้องรอให้ยุนอาถามอีก ซองมินก็ใช้โอกาสที่เธอเผลอนั้นแจวอ้าวจากไปทันที

     

     

     

    ซองมินวิ่งเลยผ่านลิฟต์ไปที่ประตูบันไดหนีไฟที่อยู่ข้างๆ กันเพื่อใช้บันไดแทน เขามีเหตุผลบางอย่างที่นอกเหนือจากถ้าใช้ลิฟต์จะช้ากว่าเพราะเสียเวลารอ เขายอมเหนื่อยวิ่งขึ้นบันไดอีกเกือบ 10 ชั้นแทน โชคดีที่แม้บันไดหนีไฟจะทั้งเปลี่ยว ทั้งมืด ทั้งเงียบ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย แตกต่างจากบริเวณทางเดินที่มีทั้งไฟ มีทั้งคนบ้าง แต่ก็มีวิญญาณเดินผ่านไปมา แม้จะไม่มากเท่าตอนกลางดึกก็ตาม

     

    พอมาถึงประตูเหล็กเปิดสู่ดาดฟ้า ซองมินก็รีบเปิดออกแล้วพุ่งเข้าไปทันที มองซ้ายมองขวาไม่กี่รอบก็เห็นร่างเล็กๆ ที่คุ้นตากำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนขอบกำแพงของตึก แม้จะหอบจนตัวโยนเพราะต้องวิ่งจากชั้น 7 ขึ้นมาถึงชั้น 15 แต่เพียงแค่เห็นว่าเด็กชายคนสนิทยังไม่ได้จากไปไหนอย่างที่นึกกลัวก็ทำให้ซองมินยิ้มออก

     

    บารอม!” ซองมินตะโกนเรียกก่อนจะวิ่งเข้าไปหาวิญญาณเด็กน้อย บารอมหันมามอง แววตาตกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าซองมินอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน

     

    รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ บารอมถาม ตายังคงเหม่อมองวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า ภาพของโซลจากมุมสูงในยามพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้านั้นดูสวยงามเหลือเกิน

     

    อึนจูบอกน่ะ...แต่เขาไม่ได้มาด้วยหรอกนะ ซองมินตอบแล้วพูดเสริมด้วยประโยคหลัง บารอมเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย ดูไม่ได้แปลกใจอะไรมากนักราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าอึนจูจะไม่มา

     

    แปลกๆ นะว่าไหม.. บารอมพูดขึ้นมาลอยๆ ขณะที่ซองมินยังคงกุมท้องหอบฮักอยู่

     

    นั่นสินะ พี่ก็ว่าแปลกๆ อึนจูน่ะ..

     

    หมายถึงผมกับพี่นะ ทั้งที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่ตอนนี้กลับคุยกันสบายๆ ซะงั้นน่ะ พูดจบก็หันมามองหน้าซองมินด้วยสีหน้าขอความเห็น

     

    ขอโทษนะ ทั้งที่นายเป็นห่วงพี่ แต่พี่ก็ยัง... ตอนนี้เสียงซองมินเริ่มสั่นแล้ว ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วแอบปาดน้ำตาที่เผลอร่วงลงมาหยดหนึ่ง ปกติเขาไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา หลังจากพ้นวัยเด็กก็แทบจะไม่ค่อยร้องไห้เท่าไหร่ ยกเว้นแต่ตอนที่แม่เสียกับตอนที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ยามวิญญาณบางตน (ที่รู้ดีว่าหมายถึงใคร) ตามรังควาญ แม้แต่ตอนไปร่วมงานศพพ่อ ซองมินยังไม่เสียน้ำตาเลยสักหยด แต่ตอนนี้กลับร้องไห้ง่ายๆ เพราะเด็กผู้ชายคนเดียวเท่านั้น

     

    ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษพี่ คิดๆ ดูแล้ว...ผมเองก็ทำเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ที่พี่โกรธขนาดนั้นก็เพราะเป็นห่วงผมใช่มั้ยล่ะ ท้ายประโยคบารอมพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนอย่างที่ตนเคยใช้เป็นประจำ และนั่นทำให้ซองมินไม่อดกลั้นอีกต่อไป

     

    ก็ใช่น่ะสิ! เจ้าเด็กบ้านี่! ถ้านายเป็นอะไรไปเพราะฉัน ฉันจะไม่ยอมยกโทษให้ตัวเองเลย ฮึก!” ซองมินร้องไห้ไป พูดไป มือก็พยายามเช็ดน้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุดไป จนบารอมอดจะยิ้มขำไม่ได้ นี่ถ้าไม่ใช่เวลาแบบนี้เขาคงจะหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กงอแงของซองมินไปแล้ว

     

    ขอโทษนะ บารอมพูดเสียงแผ่ว เอื้อมมือไปลูบไหล่ซองมิน ที่แม้จะสัมผัสไม่ได้แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพี่ชายที่เขารักมาตลอด

     

    เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่บอกพี่ก่อน จะไปทำไมไม่พูด ทำไมไม่บอกซักคำ ซองมินยังคงร้องไห้ไม่หยุดขณะมองรอยยิ้มเศร้าๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กชาย

     

    ก็รู้ว่าบอกแล้วจะเป็นแบบนี้ไง ผมไม่อยากเห็นพี่ร้องไห้แบบนี้นี่นา...น่าสมเพชชะมัด

     

    ไอ้เด็กนี่!!” กำลังเศร้าแท้ๆ แต่ดันมาเบรกอารมณ์เขาจนได้ สมกับเป็นบารอมจริงๆ

     

    ก็เห็นแล้วมันอยากจะร้องไห้ตามนี่ บารอมก้มหน้าลงต่ำ แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็ยังทันเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามแก้มของเด็กชายก่อนที่เจ้าตัวจะซ่อนใบหน้าไว้

     

    ซองมินตั้งใจไว้ว่าจะนั่งข้างๆ บารอม เลยพยายามจะยกตัวขึ้นนั่งบนขอบกำแพงของตึกที่บารอมนั่งห้อยขาออกไปอยู่ แต่พอก้มตัวลงมองลงไปจากชั้น 15 เห็นพื้นไกลลิบๆ ก็เกิดอาการวิงเวียนขึ้นมาจนต้องเปลี่ยนใจล้มตัวลงนั่งข้างล่าง กอดเข่าหันหลังพิงกำแพงแทน

     

    ค่ำแล้ว รีบกลับเข้าห้องเหอะน่า ไม่กลัวรึไง บารอมเตือน เขารู้ดีว่ายิ่งดึก ความสามารถในการรับรู้สิ่งลี้ลับของซองมินยิ่งมีเพิ่มขึ้น พอๆ กับที่สิ่งเหล่านั้นมีอำนาจในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ เหมือนวิทยุที่หมุนตรงคลื่น เสียงที่ได้ยินก็ยิ่งชัดเจน

     

    วันนี้ไม่กลัว ต่อให้ผีมาเป็น 100 ก็ไม่ลุกไปไหนหรอก

     

    ขอให้มาจริงๆ เหอะ จะคอยดูว่าจะไม่วิ่งหนีหางจุกตูดจริงหรือเปล่า

     

    ไม่วิ่งหรอก ก็นายไม่ปล่อยให้พี่ต้องกลัวอยู่แล้ว ซองมินพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจจนบารอมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง

     

    แต่เดี๋ยวก็ต้องวิ่งอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีผมแล้วน่ะ

     

    ไม่เอา อย่าพูดเรื่องนี้สิ เสียงของซองมินกลับมาสั่นอีกแล้ว เมื่อกี้หยุดร้องไห้ได้อยู่แล้วเชียว แต่พอคิดว่าจะไม่มีบารอมเมื่อไหร่ก็ใจหายทุกที

     

    ผมไม่รู้ว่าจะต้องไปเมื่อไหร่...

     

    ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้พูด!” ซองมินตะโกนขัดขึ้นมา บารอมจึงต้องปิดปากเงียบเพราะเสียงของซองมินยิ่งสั่นจนน่ากลัว แต่ถึงจะไม่ได้ก้มลงมอง บารอมก็รู้ว่าซองมินกลับมาร้องไห้อีกแล้วจากเสียงสะอื้นเบาๆ ที่เจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้แต่ไม่สำเร็จ

     

    มีเรื่องนึงที่ผมไม่เคยเล่าให้พี่ฟัง อยากฟังรึเปล่า บารอมพูดขึ้นมา หลังจากทิ้งช่วงเวลาให้ผ่านไปซักพักจนซองมินเริ่มจะควบคุมตัวเองได้แล้ว

     

    เอาสิ

     

    เมื่อได้ยินคำตอบของซองมิน บารอมก็ขยับถอยหลังจนบั้นท้ายหลุดจากขอบกำแพงแล้วพลิกกายลงมานั่งที่พื้นข้างๆ ซองมินอย่างนุ่มนวลแบบที่คนปกติไม่มีทางทำได้เพื่อที่จะสามารถคุยกับซองมินได้ถนัดขึ้น

     

    ไม่เคยสงสัยเหรอว่าก่อนจะตาย ผมเป็นใครมาจากไหน เด็กชายถาม

     

    ก็นายไม่เคยเล่า พี่เลยไม่ถาม ซองมินตอบอุบอิบในลำคอ นึกถึงช่วงเวลาที่เคยใช้ร่วมกันมากับบารอม ตลอดเวลาที่ผ่านมาบารอมไม่เคยเปิดเผยอดีตของตัวเองให้เขาฟังเลยสักครั้ง มีแต่ซองมินเองนั่นล่ะที่เล่าเรื่องของตัวเองให้เด็กน้อยฟังตลอด เพราะการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวย่อมจะทำให้เขาเหงาแน่นอน ถึงแม้ว่ายังมีคิบอมเป็นเพื่อนแต่เขาก็ไม่สามารถไปหาคิบอมได้ตลอดเวลา จะมีก็แต่เพื่อนใหม่อย่างบารอมเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ

     

    นึกถึงความจริงข้อนี้ขึ้นมา ซองมินก็ใจหายอีกแล้ว

     

    ผมโตมาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า แม่เอาผมไปทิ้งไว้ที่นั่นตั้งแต่ผมเพิ่งจะเกิด พ่อแม่เป็นใคร ผมเลยไม่รู้หรอก...บารอมเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ในขณะที่ซองมินกลับตกใจ หันมองหน้าเด็กน้อยขวับด้วยดวงตาเบิกกว้าง

     

    ผมไม่มีพ่อแม่! คนที่ทิ้งลูกตัวเองได้ลงคอเขาไม่เรียกว่าพ่อแม่หรอกนะ

     

    ช่วยไม่ได้เลยที่คำพูดนี้ของบารอมที่ได้ยินมาเมื่อเช้านี้จะผุดขึ้นมาในหัวของซองมินโดยอัตโนมัติ

     

    นายคงจะโกรธท่านมากสินะ ซองมินถามด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

     

    ไม่โกรธหรอก บารอมตอบ จริงๆ นะ เด็กหนุ่มยืนยันอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงที่ซองมินมองมา และเหมือนบารอมจะอ่านใจซองมินออก เด็กหนุ่มจึงเอ่ย เมื่อเช้าผมพูดไปเพราะอารมณ์มากกว่า ก็จริงอยู่ที่บางครั้งผมก็น้อยใจว่าพ่อแม่คงไม่รักผม ถึงได้ทิ้งผมไป แต่ผมก็อยากจะเห็นหน้าพ่อกับแม่สักครั้ง ถึงท่านจะไม่ได้รักผมจริงๆ ก็เถอะ บารอมพูดเสียงเศร้า

     

    พี่พอจะช่วยอะไรนายได้ไหม

     

    บารอมส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองทิวทัศน์เมืองโซลจากบนดาดฟ้าอีกครั้ง

     

    ถ้าดูโซลจากข้างบนนี้จะเห็นหมดทั้งเมืองหรือเปล่า บารอมถามขึ้นมา

     

    ซองมินลุกขึ้นยืนอีกคนแล้วมองตาม ไม่หรอก โซลกว้างกว่านี้ ที่เห็นจากบนนี้แค่ส่วนนึงของโซลแค่นั้นล่ะ เขาตอบ

     

    งั้นเหรอ ผมนี่โง่จัง คิดอะไรแบบเด็ก บารอมพูดแล้วยิ้มแกนๆ

     

    ก็นายยังเด็กอยู่นี่นา ถึงจะชอบทำตัวแก่แดดยังไงก็ยังเด็กอยู่วันยังค่ำ แล้วนี่ถามทำไมล่ะ

     

    ก็แค่คิดว่าบางทีพ่อกับแม่อาจจะอยู่แถวๆ นี้ก็ได้ ผมอาจจะมองเห็นพ่อกับแม่ตัวเท่ามดจากบนนี้ น่าเสียดายจัง อุตส่าห์ได้มาอยู่ตั้งชั้น 15 ก็ยังมองไม่เห็นเหรอเนี่ย แม้บารอมจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้แฝงความรู้สึกโศกเศร้าเลย แต่ซองมินกลับมองเด็กน้อยด้วยสายตาเวทนา

     

    ตลอดเวลาที่นายไม่อยู่ที่ห้องพี่ ก็มาอยู่บนนี้สินะ

     

    ก็ส่วนใหญ่น่ะนะ แต่พอมีอึนจูเป็นเพื่อนเล่น ผมก็มาที่นี่น้อยลง เมื่อก่อนตอนอยู่ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า มีแค่ 2 ชั้นเอง พอเปิดหน้าต่างออกไปมองข้างนอกก็เห็นแต่หลังคาบ้านเต็มไปหมด ไม่เห็นอะไรเลย ผมเลยแอบขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกที่อยู่แถวนั้น แล้วก็นั่งมองอยู่แบบนั้น จินตนาการว่าพ่อกับแม่คงจะอยู่ในบ้านหรือในตึกซักที่ที่ผมกำลังมองอยู่เนี่ยแหละ มันช่วยให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ แต่ก็นั่นแหละ...มันก็แค่ความคิดของเด็กๆ พ่อกับแม่จะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง แถมบางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในโซลเสียด้วยซ้ำ

     

    บารอม... ซองมินครางชื่อเด็กชายเสียงแผ่ว เรื่องเล่าของบารอมทำให้ซองมินลืมไปว่ากำลังจะสูญเสียเด็กชายคนนี้ไป ลืมความเศร้าเสียใจที่จะต้องพลัดพราก มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารแทน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็ทำให้เขารู้สึกแย่ทั้งนั้น

     

    นั่นแหละ...ผมก็เป็นเด็กไม่มีพ่อมีแม่ โตมาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า 11 ปี จนวันนึง...บารอมเล่าเรื่องต่อไปด้วยเสียงเรียบเฉยเหมือนเดิม ตอนนี้ซองมินมองใบหน้าด้านข้างของบารอม ไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย ผมก็โดนรถชน วันนั้นจำได้ว่ากำลังจะเดินไปที่ตึกใกล้ๆ โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า กะจะไปอยู่บนดาดฟ้าเหมือนทุกวัน อยู่ๆ รถคันนั้นก็พุ่งมาชนผมทั้งที่ผมก็เดินบนทางเท้า รถคันนั้นน่าจะเบรกแตก เลยหักเลี้ยวเข้าข้างทาง ผมเลยโดนไปเต็มๆ

     

    แน่ล่ะว่าฝ่ายคนขับรถน่ะผิด พยานรู้เห็นเต็มถนน ผมคงถูกพาส่งโรงพยาบาล ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างรอบตัวผมมันมืดไปหมดเลย จำได้ว่าอยู่ในความมืดอยู่นานมาก แล้วอยู่ๆ ก็เห็นแสงสว่าง ผมรีบเดินตามแสงนั้นไป ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกอุ่นใจที่เห็นแสงนั่น จากนั้นมันก็ดับไป ทุกอย่างกลับมามืดอีกครั้ง เผลอๆ มืดกว่าเดิมอีก ผมไม่เห็นแม้แต่มือตัวเองด้วยซ้ำ อันที่จริงไม่รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนเลย พอลืมตาขึ้นมาอีกที ก็เห็นพยาบาลเอาผ้าคลุมร่างตัวเองแล้ว

     

    ซองมินนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไร เขารู้อยู่แล้วว่าบารอมน่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจำพวกนี้ เพราะยังจำภาพของบารอมครั้งแรกเมื่อเจอกันได้ติดตา ตอนนั้นเด็กชายปรากฏตัวในสภาพก่อนตาย เนื้อตัวมีแต่บาดแผล เลือดท่วมตัวไปหมด เขาเห็นแล้วยังกลัว แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง บารอมตอนนั้นก่อเรื่องยุ่งเที่ยวหลอกหลอนคนในโรงพยาบาลจนโรงพยาบาลวุ่นวายไปพักหนึ่ง แต่หลังจากที่ได้พบกับซองมิน เด็กชายก็เกาะติดแจจนเกิดเป็นความสนิทสนมและผูกพันกันจนถึงทุกวันนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่บารอมเล่าเหตุการณ์ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่างให้ซองมินฟัง

     

    พอเห็นศพของตัวเอง ผมก็รู้แล้วล่ะว่าตัวเองคงจะตายแล้ว ผมออกมาข้างนอก ได้ยินหมอคุยกับเจ้าหน้าที่จากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า กับผู้ชายอีกคนที่ผมไม่รู้จัก แต่ฟังดูแล้วเขาคงจะเป็นคนขับรถชนผม หมอบอกว่าถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว แล้วผมก็ได้ยินผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นคุยกับคนจากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าว่าจะจัดการเรื่องงานศพและจะจ่ายค่าชดเชยให้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเงินเท่าไหร่ แต่ผมก็ได้ชดใช้ให้กับสถานที่ที่ผมโตมาแล้ว ด้วยชีวิตของผมนี่แหละ

    ผมเดินมาเรื่อยๆ จนได้ยินพยาบาลคุยกัน พวกนั้นบอกว่าที่จริงผมน่ะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เป็นเจ้าชายนิทรา หมอบอกว่าให้อยู่รอดูอาการไปก่อน บางทีผมอาจจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ผ่านไปแค่ 2 วัน คนที่ขับรถชนผมก็ให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก คนจากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่ได้ห้ามอะไร ตอนนั้นผมโกรธมากเลยล่ะ คิดว่าอีกนิดเดียวตัวเองก็จะฟื้นแล้ว ตอนที่เห็นแสงสว่าง ผมมั้นใจว่าตัวเองกำลังจะได้กลับเข้าร่าง มั่นใจว่าตัวเองกำลังจะตื่นขึ้นมา แต่กลายเป็นว่าวิญญาณของตัวเองต้องออกจากร่างแทน ผมกลับต้องตายทั้งที่กำลังจะฟื้น เขาคงไม่รู้กันว่าผมกำลังจะหายแล้วเลยไม่อยากยื้อชีวิตผมไว้ต่อ ตอนนั้นผมโกรธทุกคน อาละวาดหลอกคนอื่นเขาไปทั่ว อย่างที่พี่ก็รู้นั่นแหละ บารอมจบประโยคด้วยการยิ้มขำตัวเอง แต่พอหันไปมองด้านข้างกลับเห็นซองมินน้ำตาไหลอีกครั้ง

     

    ทำไมถึงทำแบบนี้...เลวที่สุดเลย ซองมินก่นด่าต้นเหตุที่ทำให้บารอมต้องตาย เพราะความเห็นแก่ตัวทำให้คนทำอะไรได้แม้แต่ยอมทำลายชีวิตของเด็กคนหนึ่งเชียวหรือ บารอมคงไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ตัวเองต้องตายนั้นเป็นเพราะอะไร แต่ซองมินเข้าใจดี

     

                อุบัติเหตุครั้งนี้ คนที่ขับรถชนบารอมนั้นผิดเต็มประตู อีกทั้งยังมีพยานรู้เห็นมาก หลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างสภาพรถ ร่องรอยการชนล้วนแต่บ่งชี้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนผิดอย่างที่ไม่อาจดิ้นหลุดได้ ตามกฎหมายแน่นอนว่าทางโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าและบารอมสามารถแจ้งความเอาผิดผู้ชายคนนั้นได้ เขาเลยต้องรับผิดชอบดูแลบารอม แม้อาจจะเหมือนมองโลกในแง่ร้ายทั้งที่ผู้ชายคนนั้นอาจต้องการรับผิดชอบเพราะรู้สึกผิดจริงๆ แต่จากสภาพการณ์ซองมินกลับไม่คิดแบบนั้น ถ้าไม่มีหลักฐาน หรือถ้าหนีได้ คนๆ นั้นคงจะหนีไปแล้วแน่นอน ถ้าเขาอยากแสดงความรับผิดชอบจริงคงไม่ขอให้แพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจออกทั้งที่ผ่านไปเพียงแค่ 2 วัน เพราะถ้าปล่อยให้เด็กตายไปเสียย่อมช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปมาก ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าหมอ ค่ายา แล้วถ้าเด็กเกิดพิกลพิการขึ้นมาอีก เขายังต้องเสียเงินดูแลให้อีกตั้งมากมายเท่าไหร่ สู้ตัดไฟแต่ต้นลม ปล่อยให้ตายไปเสียก็เสียเงินแค่ครั้งเดียว เงินค่าชดเชยที่บารอมบอกว่าทางนั้นจ่ายให้โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กชายคงไม่รู้ว่าแท้จริงมันคือเงินค่าปิดปากไม่ให้เอาความเสียมากกว่า มันอาจจะมากพอให้ยอมความกันได้ แต่ก็ไม่คุ้มกับชีวิตๆ หนึ่งที่สูญเสียไปเลย บางทีบารอมอาจยังไม่ถึงที่ตายเสียด้วยซ้ำ ที่เด็กชายยังคงติดอยู่ในโลกมนุษย์อยู่นานนับเดือนก็อาจจะเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาไปก็เป็นได้

     

                ถึงจะรู้อย่างนั้น ซองมินก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก นอกจากหลุดคำผรุสวาทออกมาตอนแรกเพราะห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ ปล่อยให้บารอมคิดว่าที่เขาถอดเครื่องช่วยหายใจออกเพราะเข้าใจว่าบารอมจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วต่อไป เขาไม่อยากให้เด็กชายต้องคิดมากก่อนที่จะไป ปล่อยให้เข้าใจแบบนั้นนั่นแหละดีแล้ว

     

                แต่ผมก็ไม่โกรธเขาแล้วนะ ดีซะอีก เพราะผมตายถึงได้มาเจอพี่ซองมินไง

     

                พูดอะไรแบบนั้น ถ้านายยังไม่ตายนายอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้ ซองมินพูดพลางปาดน้ำตาทิ้ง

     

                ไม่หรอก ชีวิตผมไม่มีทางดีไปกว่านี้แล้วล่ะ บอกแล้วไงว่าเป็นเพราะพี่ ผมถึงอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยมองว่าตัวเองมีค่าเลยสักครั้ง เพราะพี่ซองมินนั่นแหละถึงทำให้รู้ว่ายังมีคนรักและเป็นห่วงผมอยู่ บารอมพูด รอยยิ้มกว้างสดใสปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า

     

                ขอบคุณมากนะ พี่ไม่อยากให้นายไปเลย!” พูดจบ ซองมินก็โผเข้ากอดร่างเล็กของเด็กน้อยพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อดกลั้นอีกต่อไป น่าแปลกที่ร่างกายของวิญญาณที่เคยโปร่งใสแตะต้องไม่ได้ ในคราวนี้กลับเหมือนมีเลือดเนื้อ รับรู้ถึงผิวกายที่สัมผัสแนบชิดกันได้ ขอโทษนะที่พี่ช่วยอะไรนายไม่ได้เลย พี่อยากให้นายเจอพ่อแม่...

     

                แค่พี่อยู่ข้างๆ ผมมาตลอดก็ช่วยผมมากแล้วล่ะ แต่ผมขออะไรพี่อย่างนึงได้มั้ย บารอมพูดแล้วผละออกจากอกของซองมิน

     

                ได้สิ อะไรก็ได้ ได้ทั้งนั้น ซองมินละล่ำละลักพูด

     

                ช่วยอึนจูด้วย อึนจูกำลังทรมาน

     

                อึนจูเหรอ ได้สิ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยอึนจูเลย ซองมินรีบตอบ ถึงเขาจะไม่รู้ก็เถอะว่าอึนจูทรมานเพราะอะไร แต่ต่อให้บารอมไม่ขอ เขาก็ต้องช่วยอึนจูอยู่แล้ว

     

                ผมว่าเวลาของผมคงหมดลงแล้วล่ะ บารอมพูดพลางยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ ลอยขึ้นไป ไม่ว่าซองมินจะพยายามไขว่คว้าไว้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ร่างของบารอมโปร่งใสเหมือนเดิม มือที่จับที่ข้อเท้าจึงคว้าได้เพียงอากาศ

     

                บารอม!!” ซองมินตะโกนเรียกทั้งน้ำตาขณะที่ลุกขึ้นยืน มองดูร่างของเด็กน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงเดือนแต่กลับผูกพันเหลือเกิน ร่างของบารอมยิ่งโปร่งใสมากยิ่งขึ้นแต่กลับทอแสงสีขาวสว่างตัดกับท้องฟ้าสีคล้ำยามค่ำคืน

     

                ลาก่อนครับพี่ซองมิน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ดูแลตัวเองด้วยนะ ผมรักพี่นะ นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ร่างของบารอมจะจางลงจนหายลับไป แสงสว่างล้อมรอบกายที่ห่อหุ้มร่างของบารอมไว้เมื่อครู่ก็หายไปด้วย ท้องฟ้าจึงกลับมามืดสนิทอีกครั้ง ซองมินเพิ่งจะสังเกตว่าฟ้าที่มองจากจุดนี้ ในเวลานี้ คืนนี้ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาวเลยสักดวง เห็นแต่แสงของตึกรามบ้านช่องยามค่ำคืนที่เวลานี้กลับไม่สวยสำหรับซองมินสักนิด

               

                ร่างอวบพาดอยู่ที่ขอบกำแพงที่บารอมเคยนั่งห้อยขาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ร่างนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยแรงสะอื้น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นไปยังพื้นเบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วง ซองมินลืมไปแล้วว่าตัวเองกลัวความสูง ภาพพื้นที่เห็นไกลๆ จากบนตึกบัดนี้ปรากฏให้เห็นผ่านม่านน้ำตาแต่กลับไม่ทำให้เขาเวียนศีรษะเหมือนที่เคยเป็น

     

                ไม่เลยสักนิด...ความโศกเศร้าได้เข้ามาแทนที่ทุกอย่างหมดแล้ว

     

                ขณะที่กำลังสะอื้นไห้จนตัวสั่นอยู่นั้น ซองมินรู้สึกราวกับโลกพลิกคว่ำหงาย ร่างกายของเขาเหมือนถูกใครฉุดกระชากไปด้านหลัง ชายหนุ่มหลับตาปี๋ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีจึงได้รู้ว่าเขากำลังนอนทับอยู่บนร่างของใครอีกคน

     

                คนที่เขาอยากเจอน้อยที่สุดในเวลานี้...

     

                คุณมาทำอะไรที่นี่น่ะคุณหมอ!”

     

                ผมน่าจะถามคุณมากกว่าว่าจะทำบ้าอะไร!” คยูฮยอนถามเสียงดัง สีหน้าแววตาของคุณหมอหนุ่มในเวลานี้น่ากลัวสำหรับซองมิน แววตาคมดุ คิ้วเข้มขมวด บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่พอใจ แต่ซองมินก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองทำอะไรผิด

     

                ปล่อยผมนะ!” ซองมินร้องออกมาดังลั่น พยายามดิ้นให้หลุดจากลำแขนแข็งแรงที่โอบเขาเอาไว้แน่น

     

                อยู่นิ่งๆ สิ ตัวก็ไม่ใช่เบาๆ คยูฮยอนร้องอุทธรณ์ ตอนนี้ซองมินนั้นนอนทับบนร่างของเขาแถมยังดิ้นอย่างแรงจนสะเทือนไปถึงเครื่องในเขาหมดแล้ว

     

                ก็ปล่อยเซ่!”

     

                คยูฮยอนยอมปล่อยมือออกเพื่อให้ซองมินลุกนั่ง แต่ยังไม่ทันได้ยืนขึ้น เพียงแค่พ้นออกไปจากร่างของคุณหมอหนุ่มก็โดนจับล็อกอยู่ในวงแขนแข็งแรงอีกรอบ แต่คราวนี้อยู่ในท่านั่ง แผ่นหลังเล็กแนบสนิทไปกับแผงอกแกร่งจนแทบจะเป็นเนื้อเดียว

     

                ปล่อยผมนะ!” ซองมินโวยวาย กลับมาดิ้นขลุกขลักอีกรอบ แต่คราวนี้คยูฮยอนไม่เดือดร้อนจึงไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

     

                จะทำอะไร คยูฮยอนถามเสียงเข้ม

     

                กลับห้อง! ปล่อยนะ....

     

                เมื่อกี้คุณจะทำอะไร

     

                ทำอะไรเล่า! ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นล่ะ ปล่อยได้แล้ว!” ยิ่งซองมินดิ้น คยูฮยอนก็ยิ่งกอดเขาแน่นเท่านั้น จะทำอย่างไรให้หลุดออกดีนะ

     

                ทำไมคุณถึงมาที่นี่ เสียงของคยูฮยอนดังอยู่ข้างใบหู ซองมินไม่กล้าขยับมากแล้วเพราะรู้ว่าใบหน้าของคุณหมอหนุ่มอยู่ใกล้แค่นี้เอง

     

                ผมขึ้นมาสูดอากาศ...ไม่ได้รึไง ซองมินตอบ หันหน้าหนีไปด้านตรงข้ามกับด้านที่คยูฮยอนอยู่

     

                แล้วร้องไห้ทำไม

     

                ไม่ได้ร้อง!”

     

                หลักฐานทนโท่ยังมาปฏิเสธอีก ไม่พูดเปล่า คยูฮยอนยังใช้ปลายจมูกโด่งเกลี่ยที่แก้มนุ่มที่ยังมีรอยน้ำตาเปียกๆ อยู่ แอบสูดดมกลิ่นหอมเหมือนแป้งเด็กที่ตนเองติดใจ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา มือเขาไม่ว่างเช็ดน้ำตาให้ก็เพราะจับคนไข้จอมดื้อที่เอาแต่ดิ้นนี่แหละ

     

                ไอ้หมอบ้า! ไอ้หมอโรคจิต! ปล่อยนะ!!” ซองมินยิ่งแหกปากดังลั่นจนคยูฮยอนเริ่มรำคาญ

     

                เงียบซักทีสิคุณ!”

     

                ก็ปล่อยผมสิ!”

     

                จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของคยูฮยอนก็ดังขึ้น ซองมินจึงยิ่งดิ้นหนักเพราะหวังจะใช้โอกาสนั้นช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นเป็นอิสระ แต่คยูฮยอนก็เร็วกว่าและแข็งแรงกว่า ชายหนุ่มจับมือซองมินไว้ด้วยมือเดียว หยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่าใครโทรมา แม้จะเห็นชื่อที่ปรากฏขึ้นหน้าจอหราว่า พ่อ คยูฮยอนก็ตัดสายทิ้งแล้วยัดเครื่องมือสื่อสารเครื่องหรูใส่กระเป๋ากางเกงอย่างไม่ไยดีแล้วกลับมายึดตัวซองมินต่อ รู้ดีว่าพ่อจะไม่โทรมากวนแล้วเพราะคงคิดว่าเขาติดงาน

     

                ไม่รับโทรศัพท์ล่ะคุณ ถ้าแฟนโทรมาเดี๋ยวเธอจะเสียใจเอานะ ซองมินพูดขึ้นมา

     

                ผมยังไม่มีแฟน แล้วเรื่องระหว่างคุณกับผมยังไม่จบ คุณบอกมาสิ ว่าขึ้นมาร้องไห้ข้างบนนี่ทำไม คยูฮยอนถามเสียงเข้มเป็นการเป็นงานขึ้น ถ้าไม่ตอบผมจะจับคุณไว้แบบนี้จนกว่าจะยอมเปิดปากพูด คุณหมอหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์เสริมเมื่อเห็นซองมินเอาแต่ปิดปากเงียบ ซ้ำยังเม้มปากแน่นทำท่าทีต่อต้านเสียอีกแน่ะ

     

                ผม...ผมคิดถึงบ้าน ก็เลยร้องไห้ พอใจยัง!” อ้างออกไปส่งๆ เท่าที่สมองน้อยๆ จะคิดออก แต่ดูเหมือนคยูฮยอนจะเชื่อเพราะมือที่จับที่ข้อมือเขาไว้นั้นเริ่มคลายออก แต่พอซองมินจะสะบัดออกเท่านั้นแหละ มันกลับมารัดแน่นเหมือนเดิมทันที

     

                แล้วต้องกะทันหันจนต้องออกมาก่อนที่ผมจะเข้าไปตรวจด้วยเหรอ

     

                ความคิดถึงมันห้ามได้ด้วยรึไง ผมอยู่โรงบาลนี่มาตั้งปี พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว จะคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านไม่ได้รึไง ซองมินตะโกนตอบ นึกขอโทษดวงวิญญาณพ่อแม่ในใจที่เอาท่านมาใช้อ้าง

     

                พ่อแม่คุณเสียแล้วเหรอ

     

                อืม ซองมินตอบในลำคอ เขาคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของคยูฮยอนอ่อนลง

     

                เอาเถอะ ก็พอจะเข้าใจได้อยู่ ผมก็คิดว่าคุณจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปซะอีก

     

                อะไรที่คุณว่าบ้าๆ น่ะ ซองมินถาม ลืมดิ้นไปเสียสนิท

     

                ก็ผมเห็นคุณทำท่าอย่างกับจะโดดตึก แถมยังร้องห่มร้องไห้ด้วย ผมก็ตกใจน่ะสิ คยูฮยอนตอบ คนเขาเป็นห่วงยังไม่รู้อีก ประโยคนี้คยูฮยอนพูดเบาๆ เหมือนกับจะเอ่ยกับตัวเอง แต่ระยะประชิดขนาดนี้ซองมินจึงได้ยินทุกคำ

     

                คนที่จะโดดน่ะมันคุณต่างหากล่ะ ซองมินตอบโต้กลับ ยกเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนตอนคยูฮยอนโดนบารอมควบคุมร่างกาย แต่เพราะเจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรด้วย จึงถามงงๆ

     

                คุณว่าอะไรนะ   

     

                ซองมินใช้จังหวะที่คยูฮยอนเผลอนั้นสะบัดตัวจนหลุดจนได้แล้วรีบลุกขึ้นยืน ก้าวฉับๆ ตรงไปที่ประตูออกจากดาดฟ้าโดยไม่หันมาลาคยูฮยอน แต่คุณหมอก็ไม่ได้รั้งหรือห้ามเอาไว้

     

                เอาล่ะสิ เผลอคิดถึงบารอมอีกแล้ว ซองมินยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลออกมา แต่น้ำตาอีก 3-4 หยดร่วงพรูตามลงมาไม่ขาดสาย เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีน้ำตาเยอะมากมายขนาดนี้ ทั้งที่วันนี้ร้องไห้มาทั้งวันจนตาบวมหมดแล้วยังหลงเหลือน้ำตาให้ไหลได้อีก มหัศจรรย์จริงๆ

     

                เพราะความไม่ระวังและไม่ทันได้มอง เท้าของซองมินจึงสะดุดเข้ากับขอบปูนที่กั้นแบ่งพื้นที่บริเวณดาดฟ้า ร่างอวบเซถลาแล้วล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น คยูฮยอนที่ยืนมองอยู่ข้างหลังรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความตกใจ

               

                คุณซองมิน คุณเป็นอะไรรึเปล่า คยูฮยอนถาม ยืนมองซองมินด้วยความไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปประคองดีหรือไม่เพราะกลัวชายหนุ่มจะเหวี่ยงกลับมาอีก

     

                ซองมินนิ่งไปสักพักจนคยูฮยอนใจไม่ดีก่อนที่แผ่นหลังบางจะเริ่มสั่นไหวน้อยๆ แล้ว....

     

                ฮือ.....ฮึก....ฮือๆๆๆ ซองมินลุกขึ้นมาในท่านั่งแล้วปล่อยโฮเสียงดังลั่นเล่นเอาคยูฮยอนถึงกับเหวอไปชั่วขณะเพราะตกใจ

     

                คุณ...คุณซองมิน คยูฮยอนเรียกอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ซองมินก็ยังคงแหกปากร้องไห้อยู่อย่างนั้น

     

                คุณหมอหนุ่มย่อตัวลงนั่งคุกเข่า ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับซองมิน ตอนนี้คนไข้หน้าหวานของเขาหน้าแดง หูแดง น้ำหูน้ำตา น้ำมูกเปื้อนเต็มหน้า แต่ก็ยังร้องไห้จ้าอยู่อย่างนั้น ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวคยูฮยอน

     

                เหมือนเด็กอนุบาลวิ่งซนจนหกล้มแล้วร้องไห้เลย...

     

                เจ็บตรงไหนครับ บอกหมอสิคนดี มือใหญ่ลูบหัวคนไข้ที่ยังแต่หลับหูหลับตาร้องไห้ คำพูดคำจาเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็ก ก็ตอนนี้ซองมินดูเหมือนเด็กจริงๆ นี่นา

     

                ไม่ต้องมาจับ!” ซองมินหันหน้าหนีมือคยูฮยอน

     

                ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ เขาถึงร้องไห้เป็นเด็กๆ แบบนี้ รู้อยู่หรอกว่าสภาพตัวเองตอนนี้น่าสมเพชแค่ไหน แค่หกล้มแค่นี้เอง ไม่เจ็บถึงขนาดนั้นเสียหน่อย แต่เพราะสภาพจิตใจที่อ่อนแอ พอเจออะไรมากระทบนิดหน่อยแม้จะเป็นทางกาย แค่การเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ซองมินฟิวส์ขาด ปล่อยโฮออกมาอย่างลืมอาย ทั้งที่ตรงนี้มีคยูฮยอนอยู่อีกคน

     

                ถ้าบารอมอยู่ด้วยล่ะก็คงต้องล้อแน่ๆ ว่าเขาอ่อนแอ ขี้แย ร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนเด็กๆ แต่การนึกถึงบารอมไม่ช่วยอะไรขึ้นมาเลย กลับทำให้เขาน้ำตาไหลมากกว่าเดิมเสียอีก แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงดังแบบเมื่อครู่เพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าทำเรื่องน่าอายลงไป

     

                โอ๋ๆๆ ไม่เอาไม่ร้องนะครับ แต่ช้าแต่... คยูฮยอนพูดปลอบอย่างจนปัญญา ดึงตัวซองมินเข้ามากอด ใบหน้าของซองมินแนบอยู่ที่อก น้ำตาเปรอะเปื้อนซึมผ่านเนื้อเสื้อจนรู้สึกได้

     

                น่าแปลกที่คราวนี้ซองมินไม่ดิ้นหนี อ้อมกอดของคยูฮยอนจริงๆ แล้วก็อุ่นดี ขอยืมใช้แค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง ที่จริงซองมินก็อยากมีคนช่วยปลอบตอนเวลาเศร้าเสียใจแบบนี้เหมือนกัน แม้จะเข้าใจผิดก็เถอะ

     

                เจ็บตรงไหน บอกหมอสิครับ คยูฮยอนถาม ลูบหลังซองมินไปด้วย ความรู้สึกดิ้นน้อยๆ จากคนในอ้อมกอดทำให้เขาต้องก้มหน้าลงมอง จึงเห็นว่าซองมินกำลังส่ายหัว

    หืม...ไม่เจ็บเหรอ ไหนดูหน่อยซิ คยูฮยอนดึงตัวซองมินออกแล้วขยับตัวลงไปดูที่เท้าของซองมินเพราะคิดว่าซองมินอาจจะข้อเท้าพลิกหรือแพลง

     

                เจ็บมั้ย ถามเบาๆ มองหน้าหวานที่บัดนี้ชุ่มโชกด้วยน้ำตาแล้วบีบเท้าเบาๆ ทีละข้าง ซองมินส่ายหน้า

               

                คยูฮยอนเลื่อนสายตาเลยขึ้นไปถึงบริเวณหัวเข่า ที่เข่าขวาเนื้อผ้าสีชมพูที่เห็นผ่านความมืดมีรอยคล้ำเล็กน้อย คยูฮยอนจึงเลิกขากางเกงข้างขวาขึ้น รอยแผลถลอกปรากฏให้เห็นสู่สายตา เลือดไหลซึมๆ ออกมา แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

     

                มีแผลตรงนี้นี่เอง คุณหมอพูดเสียงนุ่มแล้วช้อนสายตามองหน้าซองมินที่กำลังจ้องเป๋งตาไม่กระพริบ เพี้ยง! หายเจ็บ คยูฮยอนพูดแล้วเป่าลงไปที่แผลที่เข่า หันมายิ้มอ่อนโยนให้ซองมินที่ตอนนี้ทำหน้าตาตื่น

     

                อยู่ๆ ใจก็เต้นแรง ทำไมเป็นแบบนี้...

     

                ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองทำให้ซองมินได้สติ รีบขยับขาหนี หลบสายตาแล้วพูดกลบเกลื่อน ปัญญาอ่อน...ทำแบบนั้นจะไปหายได้ไงล่ะ คิดว่าเขาเป็นเด็กอายุกี่ขวบกันล่ะฮึ...โจวคยูฮยอน

     

                แต่ก็หยุดร้องไห้แล้วไม่ใช่เหรอ คยูฮยอนพูดเสียงนุ่ม เอื้อมมือไปแตะแก้มของซองมินที่ตอนนี้เหลือแต่รอยน้ำตาเก่าๆ

     

                อ๊ะ! สกปรก อย่ามาแตะนะ เมื่อกี้เพิ่งจับเท้ามานี่ ซองมินประท้วง สะบัดหน้าหนี

     

                เหมือนเด็กจริงๆ นั่นแหละซองมิน ไม่รู้ตัวเลยรึไง...

     

                คยูฮยอนหัวเราะในลำคอเบาๆ จนซองมินนึกอยากจะถามว่าขำอะไรนักหนา แต่สายตาอ่อนหวานที่ทอทอดมาทำให้ชายหนุ่มปากหนักพูดอะไรไม่ออก เปลี่ยนใจค่อยๆ ลุกขึ้นโดยมีมือแข็งแรงคอยจับประคองแทน

     

                ผมเดินเองได้ จ...จะกลับห้องแล้ว ซองมินพูด ก้มหน้าหลบสายตา แต่คยูฮยอนกลับคว้าแขนเอาไว้แล้วเอามาพาดไหล่ตัวเอง

     

                ยังเดินกะเผลกอยู่เลย เดี๋ยวก็ได้แผลเพิ่มหรอก ให้ผมช่วยดีกว่า น้ำเสียงของคยูฮยอนไม่ได้บังคับหรือออกคำสั่งเลย แต่ซองมินกลับปฏิเสธไม่ออก ยอมให้คยูฮยอนจับจูงจนออกมาจากดาดฟ้า

     

    คยูฮยอนจะพาซองมินเข้าไปบริเวณภายในตึกเพื่อไปที่ลิฟต์ แต่ซองมินกลับยึดราวบันไดเอาไว้แน่น

     

    ไหนคุณบอกว่าจะกลับห้องไง

     

    ก็กลับห้อง แต่ผมจะลงบันได ซองมินตอบ ตอนนี้แทบจะกอดราวบันไดเอาไว้แล้วเพื่อไม่ให้คยูฮยอนที่กำลังกึ่งลากกึ่งดึงแกะตัวออกได้

     

    นี่มันชั้น 15 นะคุณ คุณอยู่ตั้งชั้น 7 ใช้ลิฟต์ดีกว่าน่า

     

    ตอนขึ้นผมก็ขึ้นมาได้ ลงก็ต้องลงไปได้

     

    อย่าดื้อสิครับ ขาคุณเจ็บอยู่นะ จะลงไปได้ยังไง ตอนนี้น้ำเสียงของคยูฮยอนติดจะดุแล้ว แต่ซองมินไม่กลัว หัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ใช้ลิฟต์หรอก

     

    ไม่! ผมจะลงบันได ถ้าคุณอยากจะใช้ลิฟต์ก็ใช้ไปคนเดียว ยังไงผมก็จะใช้บันได ซองมินยืนยันหนักแน่น จนคยูฮยอนทั้งอ่อนใจและใจอ่อน

     

    โอเค! ก็ได้ บันไดก็บันได แต่ผมจะช่วยพยุงคุณลง โอเคมั้ย เห็นว่าวันนี้ร้องไห้หรอกนะถึงยอมให้

     

    ไม่รอให้ซองมินตอบรับหรือปฏิเสธ คยูฮยอนก็คว้าแขนซองมินมาพาดไว้ที่ไหล่อย่างเดิมแล้วค่อยๆ พยุงซองมินเดินลงบันได โดยที่มืออีกข้างของซองมินก็ยึดราวบันไดไว้เป็นที่พึ่ง

     

    อันที่จริงคยูฮยอนทำถูกแล้วล่ะที่ยอมลงบันไดมาด้วย เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาได้ใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับซองมินได้นานทีเดียว จนเมื่อลงมาถึงชั้น 10 คยูฮยอนก็ได้ยินเสียงโครกครากที่ดังมาจากซองมินอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    หิวข้าวเหรอครับคยูฮยอนถาม

     

    เปล่าซะหน่อย ซองมินตอบ เมินหน้าหนีไปอีกทาง ท้องเจ้ากรรมก็ดันมาร้องตอนนี้เสียได้ วันนี้เขาทำเรื่องน่าอายต่อหน้าคยูฮยอนไม่พอหรืออย่างไร

     

    ทำไมหิวแล้วล่ะ คุณไม่ได้ทานข้าวเย็นเหรอ

     

    ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้หิว ซองมินยังเถียง

     

    คุณเป็นคนที่ดื้อที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย คยูฮยอนพูดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ซองมินจึงยู่ปากด้วยความขัดใจไม่แพ้กัน

     

    เรื่องของผม

     

    ตอนนี้ร้านอาหารของโรงพยาบาลคงปิดหมดแล้ว แต่ที่ชั้น 7 มีร้านกาแฟเปิดอยู่ ตอนนี้คงยังไม่ปิด คยูฮยอนพูด ทำเป็นไม่สนใจท่าทีรั้นๆ ของชายหนุ่มในอ้อมแขน

     

    แล้วจะมาบอกผมทำไม

     

    จะพาคุณไปกินเค้กน่ะสิ คยูฮยอนตอบหน้าตาเฉย

     

    ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้หิว แต่ยังพูดไม่ทันขาดคำดี ท้องก็ร้องขึ้นมาอีกแล้ว

     

    คุณปฏิเสธความต้องการของร่างกายคุณไม่ได้หรอกนะครับ เอาล่ะ ถึงชั้น 7 แล้ว คยูฮยอนพูด พาซองมินไปยังทางออกบันไดหนีไฟเข้ามาในบริเวณอาคาร

     

    ซองมินตั้งท่าจะเดินไปทางห้องพักคนไข้ แต่คยูฮยอนขืนตัวไว้แล้วพาเดินมาอีกทางแทน

     

    อยากเป็นโรคกระเพาะเพิ่มอีกโรคหรือไงคุณ หาอะไรกินรองท้องก่อนเถอะ

     

    ถึงจะส่งเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างขัดอกขัดใจแต่ซองมินก็ยอมเดินตามมาโดยดี เพราะที่จริงแล้วเขาก็หิวจริงๆ นั่นแหละ

     

    คยูฮยอนประคองซองมินจนมาถึงร้านกาแฟที่ตนเคยมาดื่มกับจงอุนเมื่อไม่กี่วันก่อน และเป็นร้านประจำตั้งแต่เข้ามาทำงานจนพนักงานจำได้และส่งยิ้มทักทายมาให้ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อวันนี้คุณหมอลูกค้าประจำไม่ได้มาคนเดียว แต่กลับพาใครอีกคนมาด้วย

     

    สวัสดีค่ะคุณหมอ พาใครมาด้วยล่ะคะนั่น จียอน พนักงานของร้านถามไถ่อย่างเป็นกันเอง

     

    คนไข้น่ะครับ คยูฮยอนตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วดึงตัวซองมินไปนั่งที่โต๊ะตัวเล็กที่มี 2 ที่นั่ง

     

    แม้จียอนจะแปลกใจว่าหมอจะพาคนไข้แถมเป็นคนไข้แผนกจิตเวชมาทานกาแฟได้ด้วยหรือ แต่เธอก็ไม่ติดใจถามอะไร ยังคงทำหน้าที่ตามปกติ

     

    คุณหมอเอาเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ แล้วคุณล่ะคะ เธอถามด้วยรอยยิ้ม

     

    เอ่อ....ผมขอช็อกโกแลตเย็นครับ ซองมินตอบ ท่าทางขัดเขินเพราะไม่คุ้นเคยกับสถานที่และเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสายตาของลูกค้าที่นั่งในร้านด้วยเพราะชุดคนไข้ของเขามันสะดุดตาเกินไป

     

    ขอเมนูเค้กด้วยนะครับคุณจียอน คยูฮยอนพูด พนักงานสาวพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินหายไปที่เคาน์เตอร์เพื่อหยิบเมนู

     

    คยูฮยอนถอดเสื้อกาวน์สีขาวที่ตนสวมอยู่ แต่แรกซองมินเข้าใจว่าเขาคงจะถอดออกเพราะร้อน แต่ก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไม เมื่อคยูฮยอนกลับยื่นให้เขาแทน

     

    สวมซะสิ ดูคุณอีดอัด

     

    ผมเลื่อนขั้นจากคนไข้โรคจิตเป็นหมอแล้วเหรอเนี่ย ถึงปากจะพูดประชดประชันแต่ซองมินก็รับมาสวมโดยดี ขอบคุณนะครับ ซ้ำยังขอบคุณด้วยสิ

     

    จียอนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเมนู เธอยื่นให้ทั้งคยูฮยอนและซองมิน แต่คยูฮยอนเพียงแค่วางไว้บนโต๊ะในขณะที่ซองมินเปิดดูอย่างสนใจ

     

    ตากลมโตลุกวาว มีแต่เค้กน่าทานๆ ทั้งนั้นเลย ปกติซองมินชอบทานเค้กอยู่แล้ว ความหิวบวกกับการไม่ได้ทานของโปรดมานานทำให้ซองมินตัดสินใจไม่ถูกว่าจะสั่งอะไรดีเพราะอยากทานไปเสียหมดทุกก้อน

     

    สั่งมาหลายๆ ก้อนก็ได้นะคุณ ผมรู้ว่าคุณทานหมด คยูฮยอนพูดพร้อมกับจงใจมองร่างอวบน้อยๆ ของซองมิน ทำให้ได้รับค้อนวงโตกลับมา

     

    ผมเอาเค้กฟักทองละกันครับ ซองมินพูดแล้วคืนเมนูให้พนักงานสาว แล้วคุณไม่สั่งเหรอ หันไปถามคยูฮยอนที่หยิบเมนูคืนเหมือนกัน

     

    ผมไม่ค่อยทานเค้กหรอกครับ คยูฮยอนตอบ

     

    หลังจากจียอนหายเข้าไปหลังร้าน บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ ซองมินหันมองรอบๆ ร้านเล็กๆ นี้จนทั่วแล้ว แต่ก็ยังหันซ้ายหันขวาเหมือนเดิมเพราะไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหน

     

                คุณบอกว่าพ่อแม่คุณเสียหมดแล้วใช่มั้ย คยูฮยอนพูดทำลายความเงียบ ซองมินตกใจน้อยๆ แต่ก็พยักหน้า แม่ผมก็เสียไปแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ

     

                เอ่อ...เสียใจด้วยนะครับ ซองมินเอ่ย ตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิมเสียอีก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่ดูสมบูรณ์พร้อมดีอย่างคยูฮยอนจะสูญเสียแม่ ลึกๆ ในใจซองมินรู้สึกสงสารเขาเพราะตัวเองก็รู้รสชาติความเจ็บปวดของคนที่เสียคนที่ตนเองรักไปดี

     

                หลังจากนั่งเงียบกันต่ออีกสักพัก จียอนก็นำเครื่องดื่มและเค้กมาเสิร์ฟ เหมือนเดิมของคยูฮยอนคือกาแฟเอสเปรซโซร้อนนั่นเอง ชายหนุ่มรับมาจิบโดยไม่เติมอะไรเลยทั้งน้ำตาลและครีมเทียม ซองมินก็ใช้ช้อนตักเค้กขึ้นทานทันที เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวขนาดนี้

     

                อร่อยมั้ยคุณ คยูฮยอนถามพลางยิ้มเอ็นดู

     

                ซองมินที่เค้กเต็มปากและกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ พยักหน้าตอบอย่างกระตือรือร้น

     

                ถ้าชอบคราวหน้าผมจะได้ซื้อไปฝาก

     

                ซองมินรีบกลืนเค้กลงคอ ดื่มน้ำตามแล้วตอบ ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว

     

                วันนี้ผมขอโทษนะที่มาตรวจช้า เห็นพยาบาลบอกว่าคุณไม่ค่อยพอใจ คยูฮยอนเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ

     

                เปล่านะครับ ไม่ใช่ๆ ไม่ได้ไม่พอใจ ซองมินแทบสำลักเมื่อได้ยินคำพูดของคยูฮยอน ตายล่ะ! นี่เขาเผลอทำอะไรไปบ้างนะเนี่ย

     

                พอดีที่ชั้น 1 เกิดเรื่องยุ่งๆ มีคนไข้ติดยาเสพติดถูกส่งตัวเข้ามาแล้วเกิดอาละวาดในโรงพยาบาล หมอพยาบาลวิ่งวุ่นกันไปหมด กว่าจะสงบลงได้เล่นเอาคนไข้แตกตื่นไปทั่ว กว่าเหตุการณ์จะเป็นปกติจนผมปลีกตัวขึ้นมาได้ก็เป็นชั่วโมง

     

                ซองมินพยักหน้าเหมือนรับรู้แต่ดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะตอนนี้คนไข้หนุ่มเอาแต่ทานเค้กฟักทองของโปรดจนแทบจะลืมคยูฮยอนไปแล้ว

     

                ถ้ายังไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้นะครับ คยูฮยอนพูด เห็นท่าทางละห้อยเสียดายตอนมองเค้กชิ้นสุดท้ายก่อนตักเข้าปากแล้วสงสาร

     

                ไม่เป็นไรครับ ผมอิ่มแล้ว ถึงจะปฏิเสธแต่คยูฮยอนกลับโบกมือเรียกพนักงานสาว

     

                ขอเมนูอีกรอบนะครับ ขอบคุณครับ

     

                คุณหมอ ผมบอกว่าอิ่มแล้วไง

     

                นึกว่าผมดูคุณไม่ออกรึไง หุ่นอย่างคุณกินไปก้อนเดียวไม่อิ่มหรอกน่า นั่นไง วิญญาณคุณหมอจอมกวนประสาทกลับเข้าสิงคยูฮยอนอีกแล้ว เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยแท้

     

                คยูฮยอนยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นซองมินทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้แล้วยู่ปาก แต่พอเมนูมาถึงเจ้าตัวก็สั่งช็อกโกแลตฟัดจ์มาอีกก้อน เนี่ยน่ะหรืออิ่มของอีซองมิน

     

                ผมสั่งตามมารยาทเท่านั้นแหละน่า พูดเบาๆ แล้วยกแก้วช็อกโกแลตเย็นขึ้นมาดูด คยูฮยอนยักไหล่ไม่ใส่ใจแล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบ

     

                ปัง!!

     

                คยูฮยอนพ่นกาแฟออกจากปากด้วยความตกใจ ก่อนจะสำลักอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่าอะไรเป็นต้นเหตุของเสียงดังสนั่นและโต๊ะที่สั่นสะเทือน

     

                พี่คยูฮยอน!! ทำไมมาอยู่ตรงนี้ หายไปไหนมา!”

     

                ท...ทงเฮ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”

     

                ซองมินหันมองคยูฮยอนที่มีสีหน้าตกใจสลับกับหนุ่มน้อยหน้าหวานที่ยืนทำหน้าถมึงทึงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผู้ชายคนนี้เป็นใครและเป็นอะไรกับคยูฮยอน

     

    สงสัยได้ไม่เท่าไหร่ซองมินก็รีบหลบสายตาวูบ หันไปดูดน้ำช็อกโกแลตที่เหลือก้นแก้วอีกทางเมื่อสายตาคู่นั้นตวัดมองซองมินด้วยความไม่พอใจ

     

                รังสีอำมหิตมาเต็มเลย....อีซองมินเอ๊ย!

    ---------------------------------------------------


    Writer Talks: ขอโทษที่หายไปนานอีกแล้วค่ะ ติดพันกับการทำซับรายการอีกรายการนึงซึ่งค่อนข้างใช้เวลามาก เลยเอารายการมาฝาก (เป็นการไถ่โทษ) ลิงค์ค่า

    http://www.youtube.com/watch?v=q2oK_E5O1vM

    เพราะเคยทำ WGM ของตากี้แกไปละ ก็เลยขอทำรายการของหนุ่มมินไปด้วย เดี๋ยวน้อยใจ (ไม่เกี่ยวเลย) แต่รายการนี้ทุ่มเทมากค่ะ ขอให้ดูอย่างสนุกนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงก็มาบอกกันด้วยเน้อ

    กลับมาที่เรื่องฟิค ตอนนี้ยาวมากกกก ยาวเป็นประวัติการณ์เพราะเห็นว่าตัวเองหายไปนานเลยอัพยาวๆ ให้อ่านกันอย่างสะใจ เพิ่มฉากกุ๊กกิ๊กเล็กน้อย (พล็อตดั้งเดิมไม่มีฉากนี้ค่ะ) ต้องปรับอารมณ์กันนิดนึง จากเศร้าๆ มาหวานๆ ซะงั้น เล่นเอามึนอยู่เหมือนกันค่ะ มีคนถามหาทงเฮ มาแล้วนะคะ
    แต่ไม่รู้จะไปเมื่อไหร่ (เอ๊ะ! ยังไง) เอาเป็นว่าหวังว่าจะถูกใจกันนะคะ ^ ^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×