ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #58 : จุดจบ กลรัก .. เปื้อนสี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.64K
      15
      31 ม.ค. 55

    ตอนจบ

     

     

    “อะไรนะ ไอ้เดชรู้สึกตัวแล้ว”  เสียงนายปีโป้ตะโกนขึ้นเสียงดีงขณะกำลังรับโทรศัพท์ ได้ยินประโยคนั้นทำให้ผมรู้สึกดีใจ จนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

    “เออๆ เดี๋ยวกูไปเลย” อีกคนพูดพร้อมกับวางสาย ก่อนจะหันหน้ามามองผม แววตาของนายปีโป้ตอนนี้ดูมีความสุขจนยากจะอธิบาย

    “มึง .. ไอ้เดชรู้สึกตัวแล้ว” นายปีโป้พูดพร้อมกับเดินมาหาผม ก่อนจะจับมือผมแล้วย้ำประโยคเดิมซ้ำๆสองถึงสามครั้ง ก่อนที่อีกคนจะโอบกอดผมไว้ ผมไม่รู้จะพูดคำใดๆออกไป ได้แค่สวมกอดอีกคนแทนคำตอบจากหัวใจ

     

     

    นาทีนี้ไม่มีใครไม่ดีใจแล้วละครับ พี่เดชหลับไปร่วมเดือน ปล่อยให้คนที่ตื่นโลดเล่นอยู่บนโลกใบนี้เป็นกังวล คอยนับวันเวลาวันที่ลืมตาเข้ามาพบความเป็นจริงบนโลกมนุษย์นี่อีกครั้ง ผมเคยเฝ้าภาวนาให้พี่เดฝันร้าย พี่เดชจะได้ตื่นสักที แต่คิดไป ถ้าไม่ตื่นขึ้นมา คงจะทรมานน่าดูกับฝันร้ายนั้น เลยเฝ้าภาวนาให้พี่เดชตื่นมาพบกับฝันที่เป็นจริงคงจะดีกว่า

     

     

     

    บรรยากาศในห้องผู้ป่วยที่เคยเป็นเหมือนสถานที่ที่ดูเงียบเหงาและเคว้งคว้างแห่งการรอคอย วันนี้กลับดูอบอุ่นผิดตา เพื่อนๆทุกคนที่เป็นที่รู้จักของพี่เดช ตลอดจนครอบครัว ต่างก็พากันมาดูอาการของพี่เดชที่ชวนให้ใจชื้น ขึ้นมา

    พั้เดชรู้สึกตัวแล้วครับ ลืมตามามองทุกคน ส่งยิ้มให้กับทุกคนได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ หมอบอกว่าพี่เดชหลับไปนาน คงต้องรอให้สมองกลับมาทำงานตามปกติก่อน ถึงจะกลับมาพูดได้ หมอบอกว่าคล้ายๆกับการพัฒนาของเด็กแรกเกิด แต่กรณ๊ของพี่เดชจะแบบก้าวกระโดด คืออีกสักพักก็พูดได้ จำได้ และกลับมาใช้ชีวิตปกติ ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อน และร่างกานมีกำลังใจพอ

    พี่เดชนอนยิ้มให้กับทุกคนในห้อง ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาไม่ขาด ไม่แตกต่างจากคนที่มาเยี่ยมพี่เดชในวันนี้ ทุกคนต่างก็มีรอยยิ้มแห่งความสุข ที่เปื้อนน้ำตาแห่งความปิติกันทุกคน

    หลังจากที่ครอบครัวของพี่เดชกลับออกไป ก็ถึงคราวของเพื่อนๆทั้งหลายมานั่งคุยกับพี่เดชแบบไม่เกรงใจกันบ้างแล้ว แลดูพี่เดชเหนื่อยๆ แต่ใจแกก็ยังไม่อยากจะหลับ ยังอยากจะตื่นมาคุยกับเพื่อนๆและแฟนของแก

     

    ก็แน่แหละ .. หลับมานานแล้วนี่

     

    “ไอ้เดช กูมีแฟนแล้วนะ” พี่บ่าวพูดพร้อมกับยืนโอบช้างน้อยโชว์

    “บ้า พี่บ่าวละก็ ช้างน้อยเขินนะ” ช้างน้อยตีพี่บ่าวเบาๆที่แขนไปหนึ่งที ก่อนจะบิดม้วนอายๆ เรียกเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนๆที่มา

    “มันบอกว่าอยากให้มึงรีบตื่น มาสอนมันเป็นเกย์หน่อย มันอยากเอาช้างน้อยแล้ว” พี่เอกบอกไป

    “ไอ้พี่บ่าว คิดแบบนี้จริงๆเหรอ” ช้างน้อยถามหน้าดุ

    “จริงสิ อยากลองดู” พี่บ่าวก็ ตรงไปมั้งงง

    “แล้วทำไมไม่บอก ช้างน้อยก็สอนได้ ไปรอถามพี่เดชทำไม ตัวเองละก็” ไม่ไหวแล้วครับ สองคนนี้ เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด ห้องสีเหลี่ยมสีฟ้าอมเขียว กลับมีสีสันขึ้นเยอะ

     

    ผมมองดูพี่โอ๊ตที่นั่งยิ้มอยู่ริมเตียง มือก็จับอยู่กับพี่เดชไม่ห่าง สังเกตเห็นทั้งสองคนหมั่นคอยบีบมือกันแล้วน้ำตาจะไหลครับ ใครจะไปรู้ว่าแค่การจับมือกับใครสักคน แล้วอีกคนจับพร้อมกับบีบมือเบาๆ จะให้เรารู้สึกว่ามีอีกคนที่อยู่ข้างๆเรานะ ยังมีอีกคนที่จะไม่ทิ้งเราไป  นายปีโป้เดินมายืนใกล้ผม และจับมือผมไว้เช่นกัน ผมบีบให้กับสัมผัสนั้น

    จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละครับ เมื่อยังมีชีวิต ยังมีความรู้สึกอยู่ รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไรพูดออกมาเถอะ ในเมื่อรักเค้าก็บอกเค้า ชอบที่เค้าจับมืออยู่แบบนี้ ก็แค่บีบมือกันเบาๆ ก็แปลความหมายได้หลายอย่างแล้วครับ โลกนี้มีวิธีแสดงความรักได้ล้านแปด แต่จะแสดงยังไงให้เขารู้ว่าเรารัก และเราเข้าใจกันนั่นแหละครับ ประเด็นสำคัญ

    บางคนคิดว่า ถ้ารักกัน ก็ต้องบอกกัน แต่ถ้าคำที่พูดออกมาเป็นแค่ลมปากละ หาได้มีความรักความเชื่อในในนั้น คำพูดเหล่านั้นหรือจะสู้แค่ยืนจับมือ และยิ้มให้กันแบบนี้ ..

     

     

    ทะเลที่หาดขนอมในตอนพระอาทิตย์ตกดิน ตอนนี้ ทำเอาน้ำทะเลที่สีฟ้าสด กลายเป็นสีทองอมเหลือง อย่างกับทุ่งนา มือที่จับกันไว้ในท่าที่นั่งบนรถคลาสสิก รับกับภาพริมเลในวันนี้ สายตาที่ปลดปล่อยอารมณ์ ทอดมองไปข้างหน้าอย่างใจเย็น เราไม่เคยเร่งให้พระอาทิตย์ตกเลย ในวันที่เรามาดูพระอาทิตย์ตก และเราไม่เคยเร่งพระอาทิตย์ให้รีบขึ้นเลย ในยามที่เรากำลังหลับไหล เวลาไหนที่เป็นช่วงเวลาของความสุข .. ไม่เคยมีใครเร่งรีบมัน

     

    “จบที่นี่ กูต้องไปเรียนที่กรุงเทพ มึงจะเหงามั๊ย ถ้ากูไม่อยู่” นายปีโป้ถามผมมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราคุยกันมานานแล้วครับ และผมก็รู้ดีว่าป๊าของนายปีโป้ อยากให้นายปีโป้ไปเรียนบริหาร เพื่อกลับมาบริหารงานต่อ และนายปีโป้ก็เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ป๊าขอ นายปีโป้บอกผมสั้นๆว่า แลกกับการมีผม ..

    “เหงาสิ ทำไมจะไม่เหงาละ แต่เราอยู่ได้ สบายมาก” คำพูดที่ดูบีบคั้นหัวใจ มือที่ออกแรงบีบมากขึ้นที่มือนั้น รู้ดีว่าคำพูดที่พูดไปช่างตรงกันข้ามกับความรู้สึกตอนนี้ แต่การตอกย้ำและคาดคั้นความจริงก็คงไม่ใช่ทางออกทีดีนัก ในเมื่ออนาคต ก็ยังคงต้องเป็นไปตามทางของมัน

    “นายคือคนแรกที่ทำให้เรารู้สึกถึงคำว่ารัก และนายจะเป็นคนสุดท้ายทีได้คำนั้นไป” ผมบอกอีกคนพร้อมกับหันหน้าไปมองด้วยแววตาที่จริงจัง

     

     

    ผมไม่แน่ใจหรอกครับ ว่ารักครั้งแรกนี้ จะดีหรือแตกต่าง ผมอาจจะมีประสบการณ์ทางด้านความรักน้อย แต่ที่ผ่านมาก็พอจะสอนผมได้แล้วว่า ความรักมันเป็นยังไง เจ็บเป็นยังไง และสุขเป็นยังไง ..

    ไม่มีคำพูดใดของสองเราคน มีเพียงแค่ลมหายใจที่เบาๆ และไม่อาจสู้แรงของลมทะเลได้ มีเพียงแค่สัมผัสที่มือที่ทำให้รู้สึกว่าเราสองคนยังนั่งอยู่ใกล้กัน มีเพียงสายตาทั้งสองคู่ที่มองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน .. อย่างงดงาม

     

    ว่ากันว่าเมื่อเราข้ามผ่านคำว่าอุปสรรค เรามักจะพบว่าความสุขจะเดินทางไวกว่าความไวแสง และว่ากันว่าปมที่ผูกมัดปมสุดท้ายของใจคนเรา คือใจคนเรานี่แหละ .. เมื่อแก้ปมต่างๆหมดสิ้น เหลือเพียงแค่ใจตัวเราเองเท่านั้นที่รอการแก้ปมให้หลุดพ้น .. ฟังดูเหมือนนิพพานเลยเนอะ ..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
















     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “จะเสียงดังอะไรกันนักหนา อยากคุยกันกลับไปคุยกันที่บ้านไป”  เสียงช้างน้อยดังขึ้นข่มรุ่นน้องที่นั่งทำตาแป๋วอยู่ข้างหน้าอย่างจริงจัง  ช้างน้อยเดินไปเดินมารอบๆรุ่นน้อง มีหญิงเดินมาคอยส่งสัญญาณเป็นระยะ ผมนั่งมองกลุ่มเด็กๆที่เพิ่งเข้ามา สายตาของรุ่นน้องพวกผู้ชายยังคงคอยแทะโลมผมอยู่เป็นระยะ

     

    ภาพบรรยากาศรับน้องใหม่ของวิทยาลัยในปีนี้พวกผมเป็นทีมจัด โดยที่มีช้างน้อยเป็นประธานรับน้อง แน่นอน เธอดุที่สุดแล้วในสาขา โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่ามาดโหดของเธอช่างน่ากลัวมาก วันก่อนเธอเคยดุน้องผู้หญิงคนหนึ่งจนน้ำตาแตกมาแล้ว และเคยทำให้รุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งพาผู้ปกครองมาพบอาจารย์ด้วย โหดแค่ไหนไม่ต้องบอกสินะ เธอบอกผมว่า แฟนเธอสอนมาดี

     

    ผมเป็นรองประธานในการรับน้อง ถึงแม้ว่าไม่ค่อยอยากเข้ามายุ่งกับกิจกรรมที่ต้องเจอกับผู้คนเยอะๆก็เหอะ แต่ก็คงห้ามไม่ได้ ในเมื่อเพื่อนๆในสาขาเลือกเข้ามา ผมเลยทำหน้าที่คอยวางแผนอยู่ด้านหลังมากกว่า และให้ช้างน้อยเป็นคนออกหน้าแทน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกมาเจอกลุ่มเด็กแสบในแต่ละครั้ง น้ำมนต์คนนี้ก็พร้อมจะดึงบุคลิกรุ่นพี่สุดขรึมออกมาเหมือนกัน

     

    “จะเสียงดังกันทำไม” ผมถามออกไปด้วยเสียงเย็นชา น้องกลุ่มผู้ชายที่แอบมองหน้าผม ถึงกับก้มหน้า แต่ก็ยังยิ้มๆอยู่

    “แล้วกลุ่มนั้นยิ้มทำไมกัน” เหมือนช้างน้อยจะเห็น เลยถามขึ้นมาเสียงแข็งกว่าผมสามเท่า ด้วยความคิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะการถามของช้างน้อยก็คล้ายๆการขู่กลายๆให้เงียบและหยุดยิ้ม แต่นั่นไม่ใช่ หนึ่งในกลุ่มนั้นยืนขึ้น แล้วส่งยิ้มมาทางผม พร้อมท่าทางเขินอายนั้น ก่อนจะพูดออกมา

    “พี่น้ำมนต์น่ารักจังเลยครับ”

    “โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงของรุ่นน้องและพวกพ้องนั้นดังขึ้นมาทันทีเลยครับ

    “โห่อะไรกัน” ผมถามขึ้นเสียงดัง ทำเอาทุกเสียงเงียบขึ้นมาทันที รุ่นน้องทุกคนแอบยิ้มออกมาให้ผมเห็น แม้กระทั่งรุ่นพี่คนอื่นๆก็ยังแอบหลุด

    “ชื่ออะไรอ่ะเรา” ผมถามน้องใจกล้าที่ยืนขึ้น

     

     

    เด็กหนุ่มรุ่นน้อง รูปร่างสูงโปร่ง จมูกโด่งรับกับรูปหน้า ปากชมพูที่รับกับหน้าขาวๆ กับหุ่นทะมัดทะแมง ทรงผมที่ใกล้จะยาวเต็มที่ รุ่นน้องคนนี้นี่เองที่เพื่อนๆในสาขาชอบเอาไปพูดถึง ถึงความหล่อและน่ารัก และไม่น่าเชื่อว่าจะใจกล้าขนาดแซวรุ่นพี่ในกิจกรรมรับน้องแบบนี้

    “พี่เค้าถามเราอ่ะชื่ออะไร” ช้างน้อยถามไปอีกที ถึงแม้พวกเราจะรู้จักชื่อแล้วก็ตาม

     

     

    เด็กหนุ่มยิ้มเขินๆ แต่ก็มีแววตาของความรั้นอยู่ในนั้น

    “ผมชื่อ เป็ปซี่ครับ พี่น้ำมนต์อยากกินมั๊ย”

    “ส่วนผมชื่อโค้ก พี่ช้างน้อยละสนใจไหม”

     

     

     

     

     

    หึหึ .. ไอ้เด็กเวร มาคนเดียวไม่พอ ยังชวนกันมาเป็นทีมน้ำอัดลมเลยนะ  น้องคนที่โดนเรียกให้ยืนบอกชื่อไม่ทันจบ เพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ยืนบอกชื่อตัวเองด้วยเช่นกัน สังสัยว่าจะเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน และก็มาด้วนกัน ที่แน่ๆต้องป่วนกันใช่ย่อยแน่ๆ ซ่าสมชื่อจริงๆ

     

     

     

     

     

     

    กิจกรรมรับน้องยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การควบคุมของช้างน้อย มีผมคอยช่อยประสานงาน และมีหญิงคอยติดต่อเรื่องต่างๆ ตลอดจนเพื่อนในสาขาที่เข้ามาช่วยทำกิจกรรมนี้กัน น่าแปลกใจที่เวลาผ่านไปไวอย่างไม่น่าเชื่อ อยู่ๆผมกับเพื่อนๆก็จบปี 1 กันแล้ว ทุกสิ่งอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เหมือนยังไม่เคยจางหายไปไหน จุดเปลี่ยนของชีวิตของแต่ละคนเริ่มต้นอย่างไม่มีคำว่าจุดจบ ทุกคนในที่นี่วิ่งลงลู่แข่งอย่างกับมองไม่เห็นเส้นชัย จากรีบวิ่งกระโจนไปข้างหน้า พักหลังๆกลับเดินช้าๆ อย่างกับไมได้หวังชัยชนะ เพียงแค่อยากจับมือนักวิ่งอีกหลายๆคนในอีกหลายๆลู่วิ่ง เดินทางไปบนลู่ที่ไม่มีจุดจบนี้

     

    “แก เดี๋ยวนังเดียวมันจะเอาข้าวกล่องมาส่งนะ” ช้างน้อยบอกผม ก่อนจะเดินเข้าไปเอาอุปกรณ์รับน้องจากหญิง ได้ยินชื่อไม่ผิดหรอกครับ และไม่ต้องคิดว่าเดียวไหน เดียวคนเดียวกับที่คุณรู้จักนั่นแหละครับ และถ้าอยากรู้ว่าทำไมน้องเดียวถึงได้มาเป็นวรพรรคกับพวกผมได้ ก็คงต้องเล่าย้อนไปอีกสักหน่อย

     

    ไม่หน่อยมั้งครับ ..

     

    .

    .

    .

    .

     

    “นังน้ำมนต์” เสียงเรียกดังมาจากข้างหลังผม ขณะที่ผม และช้างน้อยกำลังเดินเลือกซื้อของกันอยู่

    “ใครอ่ะน้ำมนต์” ช้างน้อยหันไปมองก่อนผม แล้วถามผมขึ้นอย่างสงสัย

    “น้องเดียว แฟนเก่านายปีโป้” ผมตอบไปเบาๆ ก่อนจะหันไปจ้องหน้าคนที่กล้าเรียกผมว่านัง มันชักจะมากขึ้นทุกวันนะเด็กนี้

    “มีไร” ผมกระชากเสียงถามไป

    “ไม่มีไรหรอก แค่อยากมาหาเรื่อง”  ถือว่าเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว และตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอแล้ว ไม่อ้อมค้อม แต่ชอบตอแยไม่จบไม่สิ้น

    “ว่างมากหรือไง เที่ยวหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว” ผมถามไป

    “คนอื่นอะไรที่ไหนกัน อย่างน้อยเราก็เคยใช้แฟนคนเดียวกัน” อีกอย่างที่มากกว่าชอบตอแย คือความหนาของพื้นผิวหน้าเธอ ที่นับวันยิ่งเยอะขึ้นจนผมชักจะอายแทน

    “หนอยแน นังตุ๊ดเด็ก ปากเสียจริงๆนะแก” ช้างน้อยคงรับไม่ได้กับที่นังน้องเดียวพูดมาเมื่อกี้

    “แค่นี้ยังน้อยไปนะ สำหรับคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนพี่ปีโป้”

    “แล้วแบบไหนถึงจะมายะ นังแฟนเก่า” เอากับช้างน้อยสิครับ

    “อย่ามายุ่งนะ ไม่ได้คุยกับแก”

    “ปล่อยเค้าเถอะช้างน้อย รายนี้แค่ก่อกวนเฉยๆ มันก็พวกแมลงวันคอยสร้างความรำคาญ แต่ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก” ผมบอกไป

    “นังน้ำมนต์ แกด่าชั้น” เหมือนน้องเดียวจะรู้ตัว

    “พี่ว่าน้องเลิกมายุ่งกับพี่เหอะ ข้อความที่ส่งไปขู่พี่แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย ให้คนโทรไปจีบอีก พี่เฉยๆมาก ถ้าน้องว่างมากก็เอาเวลาไปหาแฟนเถอะ น้องก็ไม่ได้ขี้เหร่ ลดความแรดลง ก็หาสามีใช้เองได้แล้ว” ไม่รู้ว่าพูดแรงไปไหม แต่ก็อดสงสารพฤติกรรมระรานเพื่อเรียกร้องความสนใจของน้องเค้าไม่ได้

    “กล้าดียังไงมาสอนชั้น” เอาสิ ที่พูดไปไม่เข้าสมองเลยสินะ

    “ให้ชั้นจัดการดีกว่าน้ำมนต์” ช้างน้อยพูดพร้อมกับเดินออกมาข้างหน้า เอามือมาแตะหน้าอกผม เหมือนต้องการให้ผมถอยไปยืนข้างหลัง ช้างน้อยค่อยๆปลดกระดุมเสื้อที่ข้อมมือทั้งสองข้าง ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้น เอามือทั้งสองข้ามมาดัดเสียงดัง แก็ก แก็ก สะบัดคอไปมาอย่างกับพร้อมขึ้นชก

    “แกมันกแค่ตุ๊ดเด็ก เจอตุ๊ดระดับตำนานแบบชั้นแล้วแกจะหนาว” ช้างน้อยพูดพร้อมกับเดินหน้าเข้าไปหานังน้องเดียว

    “แกจะตบชั้นในตลาดนี่นะ” เสียงอีกคนตะกุกตะกักอย่างกับกลัวเต็มที่

    “เปล่าหรอก”

     

    “แต่ชั้นจะลากไปตบหลังตลาด” ช้างน้อยพูดพร้อมกับจับข้อมือของน้องเดียวไว้ ด้วยความที่สุดส่วนได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ช้างน้อยจึงมีแรงลากที่เยอะกว่า

    “ปล่อยนะ พวกแกช่วยชั้นด้วย” น้องเดียวหันไปร้องให้เพพื่อนช่วย

    “เข้ามาสิ ถ้าไม่อยากตายด้วยอีกคน” ผมเดินไปชี้หน้าพูดบ้าง ผมยังจำได้ว่าน้องนัทเคยบอกผมว่า พวหนี้โดนน้องนัทจัดการมาแทบปากตางแล้ว น้องนัทตัวแค่นั้นยังเอาอยู่ แล้วผมตัวใหญ่กว่ามากมาย มีหรือจะเหลือซาก

    “พี่ปล่อยเพื่อนเราเถอะ มันปากดีไปงั้นแหละ” เพื่อนน้องเดียวคนหนึ่งทักขึ้นด้วยสีหน้าหวากลัว เริ่มเข้าทางผมแล้วละ

    “ช้างน้อย ลากไปเลย อย่าไปฟัง สั่งสอนให้จำๆบ้าง มายุ่งกับเด็กช่างอย่างเรา มันเรียกว่าหยามกัน” เอากับน้ำมนต์สิ ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กช่างอะไร มาวันนี้ยืดอกรับอย่างภาคภูมิ

    “ได้เจ้าค่ะนายท่าน เม้ยจะจัดการให้เด็ดขาด มายุ่งกับนายข้าเหรอ นังผีไม่มีญาติ” เอากับเราสองคนสิ บทจะโหดก็โหดกัน บทจะฮาก็ไม่ทันตั้งตัว

    “พวกมึงอย่ามาขู่กูนะ พวกหมาหมู่” เอาแล้วครับ นังน้องเดียวเริ่มดิ้นแล้ว

    “หมาหมูอะไรยะ พวกเพื่อนหล่อนไม่เข้ามาเองนะ” ช้างน้อยเหน็บไป เพราะเพื่อนมันทีเหลือ ถอยออกไปห่างเลยครับ

    “พวกมึงไม่ช่วยกูหน่อยละ” นังน้องเดียวตะโกนช่วย

    “ไม่เอาอ่ะ คราวก่อนแผลยังไม่หายเลยนะมึง มึงยอมๆพี่เค้าไปเถอะ” เพื่อนคนนึงของน้องเดียวตะโกนบอกมา

    “ตกลงมึงจะเอาไง จะเล่น หรือจะเลิก” ช้างน้อยถามหน้าดุ จับมึงซะแน่น ผมมองแล้วอดสงสารไม่ได้

    “ตอบมา !!” เสียงช้างน้อยขู่ได้น่ากลัวมาก และหน้าตาที่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อนั่นอีก

    “ปล่อยกูนะ” น้องเดียวพูดพร้อมกับสะบัดมือ วิ่งไปหลบหลังเพื่อนมัน

    “คราวหน้าก็อย่ามาเล่นกับกูและเพื่อนกูอีก พวกตุ๊ดกระจอก” ช้างน้อยด่าไป ก่อนจะทำหน้าจิกและหยามใส่

     

    .

    .

    .

    .

     

    นั่นแหละครับ เหตุการณ์ที่ทำให้ช้างน้อยได้เป็นประธานเชียร์ เพราะมาดเธอจะดุ ก็ดุดันจนคนอื่นกลัว มาดเธอจะฮาก็ทำคนอื่นฮาน้ำตาเล็ด และนั่นทำให้นังน้องเดียวกลัวผมกับช้างน้อยไปเลย หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกมันก็ยกกลุ่มกันมาขอสวามิพรรคกับพวกผม ขอเป็นรุ่นน้องในสังกัด น้องเดียวบอกว่าพี่ช้างน้อยแรงและเก่ง เลยจะขอเป็นลูกน้องในกลุ่ม ตอนแรกๆพวกเราก็ไม่อยากได้หรอกครับ รู้สึกว่ามีเข้ามาจะเรื่องเยอะ แต่พวกนั้นก็ตามคอยง้อ คอยบริการ จนช้างน้อยยอม เลยให้พวกมันมันเป็นสมาชิกในการดูแลของช้างน้อย ช้างน้อยเลยได้ใจ ใช้พวกนั้นสารพัด แต่ก็ใช้ว่าจะหลอกใช้อะไร ช้างน้อยก็เลี้ยงดูอย่างดี อบรมบ่มนิสัย ผมยังจำประโยคหนึ่งที่ช้างน้อยเคยบอกน้องๆพวกนี้ได้เลยครับ ช้างน้อยบอกว่า

    “เป็นตุ๊ดแล้วแรดไม่มีใครว่า แต่อย่าให้ใครด่าว่าอีแรดก็พอ” ถึงแม้จะงงๆ แต่ก็คงเป็นอะไรที่เข้าใจ ถึงแรดยังไงก็อย่าให้ใครด่า แรดแบบพอเหมาะ แรดแบบเฮฮา อย่าให้ใครมาชี้หน้าด่า

     

     

     

    “อ่ะ แกน้ำ”  ช้างน้อยส่งขวดน้ำมาให้ผม

    “เหนื่อยมั๊ย ?” ผมถามไป

    “ไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าไม่เจอรุ่นน้องกวนตีนพวกนั้น” ช้างน้อยพูด พร้อมกับโบ้ยหน้าไปทางพวกแก๊งส์น้ำอัดลม ที่นั่งทานข้าวเที่ยง ส่งสายตามาทางพวกเรา

    “เด็กมันแซวเล่นน่ะ” ผมบอกไป

    “ชั้นไม่อะไรหรอก จะแซวชั้น ชั้นชอบอยู่แล้ว หล่อๆแซ่บๆแบบนั้น แต่ที่ไม่พอใจคือ มาแซวอะไรตอนชั้นมีแฟนแล้ว” ช้างน้อยทำหน้าพอใจปนไม่พอใจอยู่

    “ก็เลิกกันคนนั้น มาเอาคนใหม่สิ” ผมแซวไป

    “อุ๊ยตาย ตบปากเลยนะนังน้ำมนต์ พูดอะไรแบบนั้น พี่บ่าวของชั้นถึงไม่หล่อแซ่บ แต่ก็กินหมดแทบไม่เหลือกากเลยนะ” ดูเธอเปรียบเทียบแฟนเธอครับ ตั้งแต่เปิดตัวคบกันนี้ สองคนนี้ก็หวานแข่งกับคู่อื่นๆเชียวครับ พี่บ่าวก็อายน้อยลงที่มีแฟนแบบช้างน้อย และช้างน้อยก็ร่าเริงมากขึ้น เมื่อมีแฟนแบบพี่บ่าว ครั้งหนึ่งพี่บ่าวเคยพาช้างน้อยไปบ้าน เล่นเอาเพื่อนผมตั้งตัวไม่ทันกันเลยทีเดียว  แต่ก็นั่นแหละ เจ้าตัวกลับมาบอกว่า จัดการเรียบร้อย เบ็ดเสร็จ และแค่นี้สบายมาก

    “แล้วนี่เดี๋ยวพี่บ่าวมารับไหม” ผมถามไป

    “มาดิ เดี๋ยวเรียนเสร็จคงมาละ” พี่บ่าวเรียนต่อปวส.ที่นี่ครับ เขาบอกว่าไม่อยากไปไหน ชินกับการอยู่บ้านเกิด และทำตัวเป็นหนุ่มใต้บ้านๆแบบนี้

    “แล้วพี่ปีโป้ละ จะกลับมาวันไหน” ช้างน้อยถามผมบ้าง

    “เห็นว่าช่วงนี้กำลังวุ่นๆกับหาหอพักอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเสร็จธุระเมื่อไหร่” ผมตอบไป ใจก็คิดถึง เพราะนายปีโป้ถูกป๊าส่งไปเรียนมหาลัยเอกชนชื่อดังที่เด่นดังด้านบริหารที่กรุงเทพโน่น ผมก็พอจะทำใจกับระยะห่างที่พอจะเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนได้แล้ว แน่นอนว่ากว่าจะทำใจได้ก็นานโขอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ยาย แม่และป๊าบอกว่าให้ผมไปเรียนต่อวิทยาศิลป์ที่กรุงเทพเพื่ออยู่กับนายปีโป้ แต่ผมก็เลือกเรียนที่นี่ให้จบดีกว่า

    การไปเริ่มต้นอะไรที่ไม่ใช่จุดเริ่มต้น คงเป็นอะไรที่วุ่นวาย และสับสนยุ่งยากน่าดู

     

    “คิดถึงอ่ะดิ ดูทำหน้าเข้า” ช้างน้อยแอบแซวผม  ผมยิ้มเป็นคำตอบเล็กน้อย

    “พวกแก จะให้เรียกน้องเลยไหม เดี๋ยวเลท” หญิงเดินเข้ามาถาม

    “เอาเลยสิ” ช้างน้อยตอบ ก่อนจะเดินตามหญิงไป กิจกรรมช่วงบ่ายกำลังจะเริ่มต้น

     

    “พี่น้ำมนต์ครับ” ก่อนที่ผมจะลุกตามเพื่อนไป ก็มีรุ่นน้องเดินเข้ามาหาผม น้องเป๊ปซี่นั่นเอง

    “ว่าไงครับ” ผมเงยหน้าถาม

    “พี่มีแฟนยังครับ” น้องเป๊ปซี่ถาม เด็กสมัยนี้ไวจริงๆ เพิ่งเห็นหน้าผมไม่ถึงอาทิตย์ ก็กล้าถามประโยคแบบนี้ ผมยิ้มให้ก่อนตอบไปว่า

    “มีแล้วครับ” ผมตอบก่อนเดินหลีกตัวมา

     

     

    รู้สึกคิดถึงนายปีโป้ขึ้นมาตะหงิดๆ ถ้ามีอีกคนคอยเฝ้าเช้าเฝ้าเย็น คงไม่มีชายหญิงคนไหนเข้ามาเกาะแกะแบบนี้ ผมเบื่อที่จะต้องตอบใครต่อใครว่าผมสถานภาพอย่างไง ผมเป็นคนยังไง ผมกำลังคบอยู่กับผู้หญิงหรือผู้ชาย ให้ผมควงนายปีโป้มาเปิดตัวเพื่อเฉลยคำตอบที่ใครต่อใครสงสัยไปทีเดียว ยังจะง่ายกว่า

     

    มองไปอีกมุมหนึ่งเห็นหญิงนั่งเล่นกับพี่เอ็มอย่างอารมณ์ดี พี่เอ็มสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้านศิลปะในจังหวัด เหตุเพราไม่อยากห่างบ้าน และคงไม่อย่างห่างหญิงด้วย สองคนนี้ดูจะคบกันยืด เพราะไม่ค่อยมีข่าวเรื่องทะเลาะอะไรให้ได้ยินเลย หญิงเคยเล่าให้ฟังว่า เวลามีปัญหากันพี่เอ็มมักจะยอม เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าหญิงผิดจริงๆ พี่เอ็มก็จะสอนด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่า ผมว่าพี่เอ็มในมุมที่เป็นผู้ใหญ่นี่ อบอุ่นน่าดูเลย

     

    “ไงน้องน้ำมนต์ ไอ้โป้ติดต่อมาบ้างมั๊ย” ผมเดินไปหาพวกเขา พี่เอ็มทักมาประโยคเดิมๆที่เจอกัน

    “ก็คุยกันทุกวันครับ” ผมตอบไป

    “ระวังมันหลงกรุง จนลืมเราซะละ” พี่เอ็มพูดหยอกผม

    “รอดูเหมือนกันครับ ว่าใครจะลืมใครก่อน” ผมก็อดแซวไปไม่ได้

    “แล้วพี่โอ๊ตละครับ วันนี้ไม่มาด้วยเหรอ” ผมถามไป ปกติพี่โอ๊ตจะแวะเวียนมาที่นี่ด้วย

    “เดี๋ยวคงมามั้ง” พี่เอ็มตอบมาแค่นั้น ก่อนที่จะหันไปกระหนุงกระหนิงกับหญิงต่อ ไม่อายรุ่นน้องก็เกรงใจผมหน่อยก็ไม่ได้คู่นี้

     

     

    ถึงเวลาที่ผมต้องเข้าไปชี้แจงกิจกรรมของวันพรุ่งนี้ให้รุ่นน้องทราบแล้ว ต้องสมมาดโหดๆไว้ก่อน รุ่นน้องพวกนี้เล่นมากไม่ได้ มันจะหาว่าผมไม่น่าเกรงขาม แต่จะให้ผมทำตัวโหดยังไง พวกมันก็ยังดูออกว่าตัวจริงผมไม่ดุมาก หน้าเฉยชาของผมที่เคยมีก็ลืมไปหมดแล้ว ตั้งแต่คบกับนายปีโป้

     

    “พรุ่งนี้เวลาเดิมนะครับน้องๆทุกคน เจอกันที่ลานกิจกรรม พรุ่งนี้เป็นฐานวิบาคด้วย ให้น้องๆแต่งชุดลำลองที่คิดว่าสามารถลุยได้เต็มที่ เอาแบบสบายตัว”

    “แล้วถ้าผมถอดเสื้อเข้าฐานละครับ” เด็กเป๊ปซี่พูดแทรกขึ้นมาอีกแล้ว ก่อนที่จะยืนขึ้น แล้วถอดเสื้อยืดตัวเองออก เสียงโห่ของหญิงสาว ชายแท้ชายเทียมดังมาทันทีที่เห็นหุ่นของเด็กคนนั้น

    “คิดว่าหุ่นดีแล้วหรือไง ที่อยากจะอวด อยากจะโชว์เขาไปทั่ว” ผมถามกลับไป

    “ไม่ได้อยากโชว์คนอื่น ผมอยากโชว์พี่คนเดียว” สิ้นประโยคเสียงโห่ก็ยังดังมาอีก

    “แล้วคิดว่าพี่จะชอบเหรอ” ผมถามกลับไปหน้าตาจริงจัง

    “ไม่รู้สิ แต่ผมชอบพี่” ยังไม่จบครับ

    “น้องครับ เพลาๆหน่อย อย่าปีนเกลียวให้มาก” เพื่อนผู้ชายในสาขาผมดุขึ้น ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดเด็กคนนี้

    “ส่วนน้องผู้หญิงพรุ่งนี้ห้ามใส่เสื้อสีขาวมานะครับ เพราะเวลาเปียกน้ำจะไม่สุภาพ” ผมพูดต่อ

    “ส่วนน้องใส่เสื้อ แล้วก็นั่งลงได้แล้ว” ผมบอกไป นี่ผมคงดุไม่พอ ผมว่าผมพูดแค่นี้ดีกว่า ที่เหลือให้คนอื่นจัดการไป ผมมองไปทางพี่เอ็มที่มองทางนี้มาเป็นระยะ แต่คงไม่อยากเข้ามายุ่ง เพราะตัวเองถือเป็นคนนอกไปแล้ว ถ้ามีเรื่องทั้งพี่เอ็ม และทั้งพวกเราจะเดือดร้อน

     

    “น้องๆครับ พี่ขอร้อง ให้ความเคารพรุ่นพี่กันหน่อย อย่าลามปาม ไม่ว่าจะชายหรือหญิง พี่ๆเค้าไม่ใช่เพื่อนเล่นกับเรา เราอยู่กันด้วยความเคารพ และอีกอย่างพี่ก็มีแฟนแล้ว” ผมบอกไปด้วยเสียงจริงจัง  รุ่นน้องนั่งเงียบ มีบ้างที่ซุบซิบถามกัน

     

    “ไหนละครับแฟนพี่” ไอ้น้องโค้ก เด็กกลุ่มน้ำอัดลมยังไม่วายตะโกนมาถามอีก ผมอดกลั้นไว้ก่อนที่อะไรๆมันจะระเบิดออกมา เพราะยังไงเด็กพวกนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวผมแน่ ถึงจะจบกิจกรรมไปก็ตาม ผมต้องทำเฉยตั้งแต่เริ่ม พวกมันจะได้ถอยๆไป .. ผมสะกดจิตตัวเองเพื่อทำใจพูดต่อให้จบ ..

     

     

     

     

     

    “กูนี่แหละ แฟนน้ำมนต์” 

     

     

     

     

     

     

    ยังไม่ทันที่ผมจะพูดประโยคต่อไป เสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังผม ก่อนจะปรากฏหน้าตา และรูปร่างที่คุ้นเคย

    “นายปีโป้” ผมพูดออกไป เสียงรุ่นน้องคุยกันดังขึ้นกว่าเดิม แต่ผมก็ไมได้สนใจอะไร มัวแต่ตกใจและดีใจกับคนตรงหน้าทีเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ เหมือนภาพของคนตรงหน้าค่อยๆสโลโมชั่น ใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม แต่มีแววตาที่ดุดันนั้นมองมาที่ผมตลอดเวลา หน้าตาที่ใสขึ้นรับกับทรงผมที่ไม่ยาวและไม่สั้นเพื่อเตรียมตัวเป็นนักศึกษามหาลัย รูปร่างที่ดูแลเป็นอย่างดี กับการแต่งตัวที่แตกต่างจากภาพลักษณ์เด็กช่าง ทำให้ภาพลักษณ์ในวันนี้กลบทุกคนที่อยู่ในที่นี่จนมิด หญิงสาวไม่ว่ารุ่นน้องรุ่นเดียวกันกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่

    “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอก” ผมถาม พร้อมกับมือที่จับแสดงอาการดีใจ

    “ถ้ากูบอกมึง มันจะเซอร์ไฟรส์ได้ไง” นายปีโป้ตอบมาใบหน้ากวนๆ ก่อนจะหันไปคุยกันน้องๆของผม

    “ไหน ใครอยากเจอกู” เสียงของนายปีโป้ถามขึ้นเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองหน้ารุ่นน้องแก๊งส์น้ำอัดลมนั่น

    “คนนี้เหรอ ขี้อวด ขี้โม้ โชว์พาว โชว์เหนือ คงได้อยู่หรอกนะ” นายปีโป้พูดอะไรที่ผมฟังแล้วไม่ต่างจากตัวเค้ามากนักในครั้งที่มาจีบผม หน้าตาของเด้กกลุ่มน้ำอัดลมซีดและหงอยตามๆกันไป

    “คิดถึงจังเลย ขอกอดหน่อยสิ” นายปีโป้หันมาคุยกับผมบ้าง นายคนนี้ชักจะโหดก็โหด พอจะหวานก็หวาน

    “ไม่เอา กอดอะไร รุ่นน้องเยอะแยะ จะบ้าหรือไง” ผมดุไป อายรุ่นน้องก็คราวนี้แหละ

    “พี่น้ำมนต์คะ นี่แฟนพี่จริงๆเหรอคะ” น้องผู้หญิงใจกล้าคนหนึ่งยืนขึ้นถาม

    “ใช่ครับ ถามทำไมเหรอ” นายปีโป้เป็นคนตอบไป

    “เปล่าคะ หนูแค่อิจฉาพี่น้ำมนต์ คือพี่หล่อมากอ่ะ ถ้าไม่ใช่แฟนพี่น้ำมนต์จริง หนูจะได้จีบ” ใครบอกว่ามีแค่ผู้ชายใจกล้าละครับ ปีนี้ผมเจอน้องผู้หญิงใจกล้าอีกด้วย

    “มึงบอกน้องเค้าไปดิ ว่าจีบกูได้มั๊ย” นายปีโป้หันมาบอกผมพร้อมยิ้มๆ

    “ก็บอกเองดิ มีปากนี่” ทีของผมแล้วตอบได้ พอเค้าถามตัวเองกลับไม่อยากตอบ

    “ไม่เอา มึงเป็นเจ้าของกู มึงต้องแสดงความเป็นเจ้าของบ้าง” ดูเหตุผลของคนโตกว่าครับ เข้ามาป่วนวิทยาลัยคนอื่นยังไม่พอ ยังเข้ามาป่วนใจผมเล่นอีกนะ

    “โอ๊ยยย อะไรกันเนี่ย อะไรกันหนอ มันใช่เวลาพอดรักไหมเนี่ยพี่น้ำมนต์ พากันมาหวานชื่นให้น้องๆอิจฉากันหรือไงจ๊ะ” ช้างน้อยที่หายไปคุยงานกับทีมงาน กลับมาแซวผมเสียงดัง แต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้รู้ว่ากำลังจะเล่นผมแล้ว

    “นั่นพี่ปีโป้ชิมิ ไปบางกอกมาหล่อเหลากว่าเดิมเชียวนะ ไม่ควงสาวเทพมาเย้ยคนแถวนี้บ้างเหรอเนี่ย” ช้างน้อยแซวนายปีโป้เล่นครับ ลืมภาพประธานรับน้องไปแล้วเหรอเนี่ย

    “ไม่เอามาหรอกช้างน้อย ไว้ที่โน่นแหละดีแล้ว เอามาที่นี่คนบางคนร้องไห้ตายเลย” นายปีโป้หันไปคุยกับช้างน้อย

    “ถึงพามาก็ไม่ร้องหรอก” ผมบอกไป

    “ปากดีจริงๆ แฟนกูเนี่ย” นายปีโป้พูดพร้อมกับดึงมือผมเอาตัวผมเข้าไปกอดไว้

    “โฮฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงโห่จากเพื่อนผม รุ่นน้องผมดังกันระงม ตายๆ หลังจากวันนี้คงไม่มีหน้ามาสู้หน้าน้องๆแน่ผม

     

     

    “น้องๆครับ พี่น้ำมนต์น่ารักมั๊ย” นายปีดป้กอดผมไว้ จับตัวผมหมุนให้หน้าของอีกคนหันไปมองน้องๆที่นั่งมองพวกผมกอดกันอยู่

    “น่ารักกกกกกกก”  เสียงน้องๆทั้งชายทั้งหญิงตอบกลับมาเสียงดัง

    “น่ารักสิครับ ผมยังชอบเลย” เสียงของไอ้เด็กเป๊ปซี่ตะโกนมาให้หลัง

    “ชอบแฟนพี่ได้ แต่อย่ารักนะ พี่ไม่อยากให้น้องๆเสียใจ”  ดูที่พูดเข้าข้างตัวเองสิครับ

    “น้องๆทั้งหมดช่วยแนหูเป็นตาให้พี่ด้วยนะ พี่ต้องไปทำหน้าที่ลูกที่ดี พี่จะไปเรียนให้จบแล้วกลับมาทำงานไปสู่ขอพี่น้ำมนต์ พี่มีหลานให้ป๊ากับแม่พี่ไม่ได้ แต่พี่จะมีลูกชายให้ป๊ากับแม่อีกคน ที่เป็นคนที่พี่รักยิ่งกว่าคำว่าน้องชาย”  ตอนนี้เสียงโห่หายไปแล้วครับ ผมได้ยินแค่เสียงหายใจของคนที่กอด และเสียงหัวใจที่เต้นของเราสองคนเท่านั้น

     

    “ความรักของพี่กับน้ำมนต์ไม่ใช่รักที่สวยงาม ไม่ใช่ความรักในอุดมการณ์ ไม่ใช่เรื่องราวโรแมนติก เป็นความรักธรรมดาๆที่เด็กช่างกลหลงรักเด็กศิลป์ ความหยาบกระด้างที่ถูกวาดและเปื้อนไปด้วยสีสันโดยอีกคน ทำให้ช่องว่างระหว่างความรู้สึกต่างๆถูกเติมเต็ม พี่ฝากคนรักของพี่ให้น้องๆช่วยดูแลหน่อยนะครับ”

     

     

    สิ้นเสียงพูดนั้น นายปีโป้ดึงผมมามองหน้า  แววตาที่จริงจังที่ผมเคยเห็นในหลายๆครั้งถูกฉายขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มที่มีความเจ้าเล่ห์และอ่อนโยนถูกถ่ายทอดโดยเจ้าของปากอย่างแยบยล

     

    “พูดบ้าอะไรเยอะแยะ” ผมพูดไปแก้เขิน

    “แล้วยิ้มทำไม”

    “เขิน  ยิ้มไม่ได้หรือไง” ผมบอกไปตามตรง

    “ยอมรับด้วยว่าเขิน ทีเมื่อก่อนละปากแข็ง”

    “เมื่อก่อนแค่รัก ..” ผมพูดแล้วหยุดพูดไป

    “แล้วตอนนี้ละ” นายปีโป้ถามหาในประโยคที่ขาด

     

     

     

     

    “ตอนนี้ ... รักที่สุด” ผมตอบแล้วโอบกอดนายปีโป้อีกครั้ง เสียงโห่เสียงแซวดังมาพร้อมกับอ้อมกอดนั้น แต่จะให้ทำไงได้ละครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว จะไปกลัวอะไร การที่มีแฟนที่รักเรามาก ไม่อายที่จะบอกคนอื่นว่าคบกับเรา ไม่อายที่จะบอกพ่อกับแม่ของเค้าว่านี้แหละคู่ชีวิตของเค้า .. แล้วชีวิตนี้ยังจะปกปิดอะไรอีก  ก่อนที่จะคลายอ้อมแขนมามองพยานรักของพวกผมในครั้งนี้ รุ่นน้องหลายๆต่อหลายคนนั่งเขินอายไปกับพวกเราสองคน มีบางส่วนที่ปิดตาไม่กล้ามอง กลุ่มเด็กน้ำอัดลมทำหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังยิ้มให้ผมอยู่  หญิงกับพี่เอ็มที่นั่งจับมืออยู่กันในมุมหนึ่งยิ้มมาให้ผมไกลๆ อีกด้านก็เห็นพี่โอ๊ตที่มาพร้อมกับพี่เดชในสภาพถือไม้เท้าฝึกเดิน พี่แกหลับไปนาน ร่างกายอ่อนแอต้องกลับมาฝึกเดินอีกครั้ง  ข้างๆยังมีพี่เอกที่ส่งรอยยิ้มมาทางผมกับนายปีโป้เหมือนกัน ช้างน้อยที่ยืนฮาแซวผมอยู่เมื่อครู่ก็เดินไปดึงพี่บ่าวมาคุยเล่นกับน้องๆเสียแล้ว

    โลกของผมกว้างขึ้นอีกแล้ว ผมมีครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ผมเติบโตขึ้น และผมกำลังพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก  อย่าท้อซะก่อนละ เรายังต้องเดินไปด้วยกันอีกไกล .. ผมไม่ได้บอกแค่นายปีโป้นะ ผมบอกทุกคนนั่นแหละ อย่าหยุดที่จะตามหาสิ่งที่รัก เมื่อเจอแล้วก็อย่าหยุดดูแลและรักษา  อย่าคิดว่าของบางอย่างอยู่กับเราแล้วไม่หายไป แก้ปมที่มัดอยู่ที่ใจบ่อยๆ เพราะยิ่งปล่อยมันยิ่งแน่น .. แล้วเรานั่นแหละที่จะแกะมันยากเอง

     

     

    “นี่ๆ” ผมสะกิดนายปีโป้ที่ยืนโอบบ่าผมยิ้มให้กับน้องๆที่ขอถ่ายรูปบ้าง ยิ้มให้บ้าง หันไปยักคิ้วกับเพื่อนๆของเค้าบ้าง

    “ว่าไงครับ” ตอบเพราะเชียว

    “เอาหูมา” ผมบอกพร้อมกับทำมือป้องไว้

    “จะบอกรักเหรอ” อีกคนพูดก่อนที่จะอาหูมาใกล้มือผม

     

     

    ใครบอกละครับว่าผมจะบอกรัก  ผมมีประโยคที่ตั้งใจอยากจะบอกตั้งแต่ก่อนไปกรุงเทพฯ คราวแรกแล้ว แต่ยังไม่กล้า และคิดว่าวันนี้ต้องบอกให้ได้ ผมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะพูดประโยคที่เก็บมาเนิ่นนาน ฝากไว้กับเด็กช่างรักจริงคนนี้ให้จำไว้

     

     

     

     

     

     

     

    “ทิ้งกู ... มึงตาย !!!  ลมแผ่วเบาที่พูดจากปาก ถูกถอดมากับรอยยิ้มของผม อีกคนงงเล็กน้อยกับประโยคทีได้ยิน ผมยิ่งยิ้มชอบใจใหญ่   ก่อนที่รอยยิ้มอีกคนจะปรากฏตามมา  ตามด้วยการเหวี่ยงแขนโอบบ่าผมอย่างหมั่นเขี้ยวในอารมณ์ให้เข้าไปซบตรงอก ก่อนที่จะก้มหน้ามามองผม และพูดประโยคที่ไพเราะที่สุด เท่าที่เคยฟังมา ..

     

     

     

     

     

    “เราไม่ทิ้งนายหรอก .. ไม่มีวัน”

     

     

     

     

     





     















     

    แต่ก่อนเคยมีคำถาม รักนั้นดีอย่างไร
    เชื่อได้ไหม ถ้าใครมาบอกรัก
    ก็ยังกลัวเสมอ ฉันไม่คิดจะพัก
    หรือวางใจไว้ลงตรงที่ใคร

    * คำถามที่มีวันนั้น ยังค้างคาจนวันนี้
    แต่แล้วเพราะเธอที่แสนดี เข้ามาย้ำ มาบอกฉัน ให้เข้าใจ

    ** ไม่คิดไม่ฝัน ว่าจะได้พบและได้เจอคนที่แคร์ใจกัน
    เธอมาเปลี่ยนวัน เก่าให้มันสวย มันดีกว่าเดิม
    เธอลบความเหงาให้หาย เธอเพิ่มเธอเติมหัวใจ ไม่นึกเลยว่าจะเจอ

    ฉันไม่มีอะไร ถามต่อไปเพราะใจเธอบอกแล้ว
    ว่าจริงๆความรัก เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แค่เปิดใจให้คนที่รักจริง

    * คำถามที่มีวันนั้น ไม่ค้างคาในวันนี้
    เป็นพราะใจเธอที่แสนดี เข้ามาย้ำ มาบอกฉัน ให้เข้าใจ

     

     

     

    จบบริบูรณ์


    ....................................................................................................................................................

     

     






     

     

     

    การเดินทางของเด็กช่างและเด็กศิลป์ในกลรัก..เปื้อนสีได้จบลงในตอนนี้แล้วนะครับ ถือเป็นตอนจบที่เขียนยากมาก (เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะจบตั้งแต่ตอนที่แล้ว) อาจจะไม่หวาน ไม่ซึ้ง ไม่กินใจ ไม่เขินอายตามคู่พระ นายเท่าไหร่ หลังเขาก็ขอโทษด้วยนะครับ พยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด

    ที่จบนิยายเรื่องนี้ลงในตอนนี้เป็นเพราะว่าปมต่างๆของเรื่องได้คลี่ออกหมดแล้ว ที่เหลือก็คือส่วนย่อยๆของนิยาย ที่จะตามมาเป็นตอนพิเศษในอนาคต .. เห็นจากตอนจบที่ค่อนข้างจะปูเรื่องไว้ เผื่อตอนพิเศษในอนาคตจะได้ตามมาอีกเยอะแยะมากมาย ถ้านักอ่านทุกท่านไม่ทิ้ง ไม่ห่าง และไม่หายกันไป

    จากที่เขียนสนุกๆแยกมาจากอีกเรื่อง ตอนนี้เรื่องนี้กลับจบก่อนเรื่อง CHOOSE ME จนได้ นักอ่านที่ตามมาจากเรื่องก่อนก็ตามกลับไปอ่านกันอีกทีนะครับ (เรื่องราวจะเกิดขึ้นก่อนตอนสุดท้ายของเรื่องนี้ พยายามเรียบเรียงความคิดกันใหม่)

    สุดท้ายขอขอบคุณนักอ่านทุกคนนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงบทสรุปของนิยาย แม้หลายต่อหลายคนยังไม่อยากให้จบ แต่หลังเขาว่าถึงเวลาที่สมควรจริงๆเอามากๆ จึงจบในตอนนี้

     

    สัญญาครับ ว่าจะขยันแต่งตอนพิเศษเข้ามาเรื่อย

     

    รักนักอ่านกลรักเปื้อนสีทุกคนครับอย่าลืมโหวตและวิจารณ์กันหน่อยนะครับ คนหลังๆเข้ามาจะได้รู้ว่ามีนิยายเรื่องนี้ก็สนุก ช่วยกันบอกต่อๆนะครับ

     

     

    สุขสวัสดี .. หลังเขา






    ฝากกดไลท์แฟนเพจนักเขียนหลังเขาด้วยนะครับที่ https://www.facebook.com/pages/Lungkhao/262017157203925
    (เพิ่งจะทำ ครบร้อยคนเมื่อไหร่ ตอนพิเศษจะตามมาทันที)

    หรือตามทวิตเตอร์ได้ที่ @lungkhao นะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×