ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #59 : ตอนพิเศษ .. กลรัก สวีตตี้ !!!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.15K
      10
      14 ก.พ. 55

    ตอนพิเศษ .. กลรัก สวีตตี้ !!!

     

     

    ตอนพิเศษนี้เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่เดชฟื้น และก่อนที่ปีโป้จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ (ก่อนตอนจบ)

     

    .

    .

    .

     

     

    “เอ๊ย หญิง แกซื้ออะไรให้พี่เอ็มอ่ะ” เสียงช้างน้อยพูดถามหญิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามโต๊ะดังขึ้น ทำให้ผมละสายตาจากนิตยสารศิลปะที่ซื้อมาอ่านขึ้นมาสนใจ

    “เราเหรอ เราชื้อตุ๊กตากับทำให้” หญิงตอบมาหน้ายิ้ม ซ่อนไปด้วยความเขินอาย

    “ว้ายย โรแมนติกจังเลย สอนชั้นทำบ้างสิ อยากทำให้พี่บ่าวบ้าง” ช้างน้อยพูดพร้อมเลื่อนมือไปเขย่ามือหญิงเชิงออดอ้อน

    “ได้สิ งั้นวันนี้เราไปซื้ออุปกรณ์กันนะ” หญิงตอบมา ก่อนที่สายตาของทั้งสองคนจะหันมามองผมเป็นตาเดียว

    “แล้วแกละ น้ำมนต์ ทำอะไรให้พี่ปีโป้” ช้างน้อยถามผมมาด้วยสายตาจิกๆ ผมก้มลงอ่านนิตยสารอย่างเดิม เพื่อหลบสายตาที่คาดคั้นเอาความจริงนั้น

    “เปล่า ของเราไม่มีอะไร” ผมตอบไป

    “จริงรึ” ช้างน้อยถามขึ้นมาเสียงสูง

    “จริงสิ” ผมตอบ

    “แน่รึ” ถามอีก

    “แน่สิ” ผมตอบเสียงหนักแน่นกว่าเดิม เหลือบไปมองหน้าสองคนนั้น เห็นยิ้มมาอย่างมีเลสนัย

     

     

    จะว่าไป ผมก็โกหกใครไม่เก่งจริงๆครับ ถ้าผมโกหกสองคนนี้ได้ ถือว่าผมเก่งมากๆ เพราะคนอย่างช้างน้อยใครโกหกแล้วเธอจับไม่ติดนี่ ต้องเป็นคนที่โกหกได้เนียนมากๆ ส่วนหญิงนี่ก็ไม่แพ้กัน สนใจทุกรายละเอียด อย่าให้พลาดแม้แต่นิดเดียว

    อันที่จริงผมก็เตรียมอะไรบางอย่างให้นายปีโป้ไว้เหมือนกันครับ ปีนี้เป็นวาเลนไทน์ปีแรกตั้งแต่เราคบกันมา และตั้งแต่ผมมีแฟน และคงเป็นปีแรกที่ผมสนใจวันนี้ตามกระแสคนอื่นๆ .. ทั้งที่ปีก่อนๆผมก็ไปโรงเรียนมือเปล่า แต่ก็กลับมาพร้อมกับช่อดอกไม้และกล่องของขวัญบ้าง

    แต่ปีนี้คงไม่มีคนอื่นมาให้แล้ว .. แต่ก็หวังจากเด็กช่างคนหนึ่งละ ..

     

    .

    .

    .

     

    “เค้าบอกว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันเสียตัวแห่งชาติ มึงเชื่อป่ะวะ” ไอ้บ่าวถามผมมาหน้างงๆ ดูเอาจริงเอาจัง ขณะที่ผมกับเพื่อนๆกำลังนั่งเล่นกันอยู่ที่โต๊ะประจำกลุ่ม รอเวลาเข้าเรียนช่วงบ่าย

    “ไม่รู้ดิ คนก่อนๆกูได้ก่อนวาเลนไทน์ทั้งนั้น” ผมตอบไป ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

    “แล้วคนปัจจุบันละ ?” ไอ้พี่เอกถามขึ้นอีก

    “ถามแบบนี้อยากรู้อะไรพี่เอก” ผมถามสวนกลับด้วยรอยยิ้ม

    “เปล่า กูก็แค่อยากรู้ ว่าคนนี้ถึงขั้นไหนแล้ว” พี่เอกก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนกัน

    “ถึงขั้นไหนไม่รู้ แต่เอาอยู่ละกัน” ผมตอบไปด้วยรอยยิ้มภูมิใจในตัวเอง

    “พวกมึงจะซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์อะไรให้แฟนพวกมึงวะ” ไอ้โอ๊ตที่นั่งนิ่ง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ถามขึ้นมา

    “กูเหรอ กูว่ากูจะซื้อถุงยางซักโหล กะจัดหนักเลย ฮ่าๆๆ” ไอ้บ่าวตอบก่อนเพื่อน ทีเล่นทีจริง หน้าตาทะเล้นตลอด

    “จริงเหรอไอ้บ่าว แม่งโหดว่ะ” ไอ้พี่เอกก็เชื่อตามซะงั้น

    “มึงจะซื้ออะไรให้ไอ้เดชเหรอ ไอ้โอ๊ต” ผมเลิกสนใจไอ้สองตัวหื่นนั้น หันมาถามไอ้โอ๊ตอย่างจริงจัง

    “ไม่รู้สิ ตอนนี้มันรู้สึกตัว ลืมตา รู้เห็นทุกๆอย่าง แต่ก็ยังพูดอะไรไม่ได้มาก มันคงไม่รู้ด้วยซ้ำมั้ง ว่าพรุ่งนี้วันวาเลนไทน์” ไอ้โอ๊ตตอบมาหน้าเศร้า เล่นเอาเพื่อนทุกคนหันมองและเศร้าไปด้วย

    ถึงแม้ว่าตอนนี้ไอ้เดชจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงบำบัด ทั้งการทำกายภาพ และการกระตุ้นสมอง ถึงแม้มันจะตื่นมาให้ทุกคนได้ยิ้มบ้าง แต่ก็ยังต้องคอยลุ้นกันไปเรื่อยๆ

    “มึงอยากทำอะไรให้มันก็ทำไปเถอะ ถึงมันยังพูดไม่ได้ แต่มันก็รับรู้ได้นี่” ผมพูดพร้อมกับเอามือตบที่บ่ามันเล็กน้อย เพื่อนคนอื่นๆก็ยิ้มพร้อมกับตบบ่าให้กำลังใจมันเช่นกัน

    “เออ ขอบใจพวกมึงมาก แล้วตกลงมึงจะให้อะไรน้องน้ำมนต์วะ” ไอ้โอ๊ตยิ้มรับคำปลอบของเพื่อน ก่อนจะถามผมอีกครั้ง

     

    ผมยิ้มให้มันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีคำพูดอะไรออกไป .. มันไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอกครับสำหรับวาเลนไทน์ปีนี้ของผมกับน้ำมนต์ ..

     

     

     

     

    แค่ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกก็เท่านั้น  -*-

    .

    .

    .

     

    “มันจะขมหรือเปล่าอ่ะหญิง”  ชั้นถามหญิงไปขณะที่มือกำลังคนช็อกโกแลตอยู่บนเตา

    “ช้างน้อยก็ดูอย่าให้มันไหม้นะ พอมันละลายหมดแล้วก็มาเทใส่พิมพ์ทางนี้” หญิงพูดพร้อมกับเดินมาดูช็อกโกแลตบนเตาของชั้น ก่อนจะชี้ไปที่พิมพ์ที่เธอวางไว้

    “แกว่าพี่บ่าวจะประทับใจหรือเปล่านะ ชั้นลงมือทำให้ซะขนาดนี้” ชั้นถามไปหน้าตาคิดไกล

    “แหม เราว่าพี่แกคงซึ้งน้ำตาเล็ดอ่ะ”

    “นังหญิง จริงใจเว่อร์”  ชั้นหันไปกัดหนึ่งดอก ก่อนจะยกหม้อที่ช็อกโกแลตเดือดปุดๆออกมาจากเตา

    “เทดีๆละ หกหมดเสียดาย” หญิงยืนกำชับและให้กำลังใจ หรือว่ากดดันชั้นกันแน่เนี่ย

    “พิมพ์เก๋ดีนะ รูปหัวใจน่ารักจัง พี่บ่าวแกจะชอบเหมือนชั้นมั้ยนะ” ชั้นเทไปคิดไป

    “ชั้นว่าแบ๊วไปนะ น่าจะเอาเป็นรูปดาบ รูปปืน กระสุนอะไรพวกนี้” นังหญิงเสนอไอเดีย

    “นี่ นังหญิง แกจะบ้าเหรอ วันวาเลนไทน์นะ  ไม่ใช่วันทหารผ่านศึก ชั้นว่าหล่อนกลับบ้านไปทำให้พี่เอ็มของหล่อนเลยไป ที่เหลือชั้นจัดการเอง” พูดแล้วหงุดหงิด มาเปรียบเทียบกับพี่บ่าวแบบนี้ได้ไง

    “เออ เราไปละ เจอกันพรุ่งนี้” นางพูดก่อนจะยกมือลาชั้น เก็บข้าวของแล้วเดินกลับไป

     

     

    จะว่าไปวาเลนไทน์ปีนี้ก็ช่างเป็นอะไรที่ตื่นเต้นเสียจริงยิ่งกระไร ครั้งก่อนมีแต่ทำให้คนที่แอบชอบ แล้วแต่ละปีชั้นก็ดันแอบชอบคนเยอะแยะมากมาย ซื้อของให้กันจนกระเป๋าฉีก แต่มาปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ ชั้นมีแฟนแล้ว .. มีคนเดียวด้วย และของที่จะให้ ก็ต้องทำจากมือของชั้นเท่านั้น

    แม้รสชาติมันจะไม่อร่อยเท่าช็อกโกแลตที่ขายตามท้องตลาด แต่ชั้นก็เชื่อว่าถ้าพี่บ่าวเห็นก็ฟาดมันเรียบแน่ๆ เผลอๆจะไม่อิ่มพาลมากินตัวชั้นอีก แอร๊ยยยยยย แค่คิดก็เขินแล้ว

     

    “ว๊ายย ตาเถนตกกระได หัวใจเกย์ร่วง” ตายแล้วชั้น เผลอคิดอะไรใจลอย เทช็อกโกแลตพลาดพิมพ์จนได้ หกซะงั้น หันซ้าย หันขวา เอ .. มีใครเห็นไหมนะ

     

    ไม่มี กวาดๆๆ ใส่กลับไปในพิมพ์ใหม่ ..

     

     

    เยส .. สวยสดงดงาม มันช่างน่าภูมิใจเสียจริงๆ พรุ่งนี้พี่บ่าวคงปลื้มน้ำตาไหลพรากแน่ๆ .. อยากให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆจังเลย ..

     

    .

    .

    .

     

    “มึง น้องหญิงไม่ยอมกูเลยวะ” ผมพูดขึ้นขณะที่มานั่งเล่นในห้องนายหัวโป้ เดี๋ยวนี้ผมแวะมาห้องมันบ่อยเวลาเรียนเสร็จ เพราะไม่รู้จะไปไหน น้องหญิงก็บอกว่าวันนี้มีรายงานต้องทำ ไม่ว่างเจอ

    “ยอมอะไรวะ” ไอ้โป้หันมาถามยิ้มๆ แต่หน้าก็ยังดูทีวีอยู่ สนใจกูมั่งเปล่าเนี่ย

    “ก็อย่างว่าอ่ะ” ผมตอบไป ทำหน้าสื่อความหมาย

    “อย่างว่าอะไร เอาให้ชัดๆดิมึง กับเพื่อนกับฝูง มาพูดงงๆอยู่ได้” ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ รู้อยู่หรอกว่ามันเข้าใจ แต่อยากให้ผมพูดจังเลยนะ

    “เบื่อมึงวะ ไม่คุยกับมึงละ กลับหอกูดีกว่า” ไม่เข้าใจ ก็ไม่คุยต่อละ เพื่อนมาปรึกษา ยังมาเล่นลิ้นอีก

    “เออๆ เข้าใจแล้วๆ แล้วจะให้ช่วยไง มอมยาแล้วข่มขืนดีมั้ย” มันเลิกสนใจทีวี และหันมาทำหน้าจริงจังกับผมครับ

    “มึงจะบ้าเหรอ กูโดนจับแน่ แถมยังต้องโดนเลิกอีก กูไม่เอาหรอก ความคิดมึงนี่ชั่วชิบหาย” ด่ามันหน่อยเหอะ คิดมาได้ไง

    “ฮ่าๆๆ งั้นก็รอต่อไป รอจนกว่าน้องเค้าจะมั่นใจในตัวมึง และเชื่อว่ามึงไม่ฟันน้องเค้าแล้วทิ้งแน่ๆ มึงรอได้ป่ะละ”  มันถามมาหน้าตาจริงจัง

    “กูรักน้องเค้าจริง ..” ผมตอบไป ก่อนจะหยุดคิด

    “ถ้ารักจริง ก็เอาความใคร่ออกไป น้องเค้าเป็นผู้หญิงถึงแม้อะไรบางอย่างในโลกจะบอกว่าทุกคนเท่าเทียม โตแล้วจะเอากับใคร ท่าไหน นานเท่าไหร่ก็ได้ .. แต่สำหรับน้องหญิง มันคงไม่ใช่” ไอ้โป้เลยได้ทีสวนมาอีก

    “อืม กูเข้าใจที่มึงพูด แต่กู ..”

    “ถ้าเงี่ยน ก็ว่าว ง่ายออก หรือมึงจะหาแฟนเป็นผู้ชายดี ?” ข้อเสนอมันดีมากครับ จะเป็นเกย์กันทั้งกลุ่มเลยเหรอ หือ ?

    “ให้กูมีหลานให้มึงอุ้มบ้างเถอะ .. นายหัวโป้” ผมบอกมันไปแล้วยิ้มๆ

    “ถ้าอย่างนั้นก็รอไปก่อนละกันนะมึง ยังไงซะกูก็ยังไม่อยากอุ้มหลานตอนนี้ กูยังรอได้” มันบอกพร้อมกับยิ้มๆ และหันไปสนใจทีวีของมันต่อ ผมก็หันไปสนใจรายการในทีวีตามมันด้วย

     

    เวลามาคุยกับไอ้นายหัวโป้ของทุกคน ถึงแม้มันจะไม่ได้ชี้ทางสว่างให้ แต่มันก็ช่วยพังทางตันของเราได้ และถ้าพ้นทางตันนั้นไปได้ ต่อไปก็ต้องเดินตามทางกันต่อ .. ผมชอบเพื่อนคนนี้ที่ตรงนี้แหละ

     

    “พรุ่งนี้วาเลนไทน์แล้วนะมึง” ผมทักท้วงขึ้น

    “อืม กูรู้แล้ว” มันตอบมา ตายังจ้องในทีวี

    “มึงไม่ทำอะไรให้น้องน้ำมนต์หน่อยเหรอ ?” ผมถามไป มันนิ่งเงียบเหมือนกำลังคิดอะไร ผมมองมันอย่างสงสัย ปกติคนก่อนๆของมัน มันก็ไม่ได้อะไรมากมาย พอถึงวันวาเลนไทน์ มันก็หาซื้อดอกไม้ ตุ๊กตาที่วางขายหน้าโรงเรียนของแฟนมันนั่นแหละ เลือกเอาแค่ช่อใหญ่ๆ ตัวโตๆ ราคาแพงที่สุดแถวนั้น ถือไปให้เด็กของมัน อย่างกับเป็นหน้าที่ แค่นั้นเด็กมันก็ยิ้มปากจะฉีกถึงหูแล้ว .. แล้วคนนี้ของมัน จะยังคงเป็นแบบเดิมหรือเปล่านะ ..  ผมละสงสัย

    มันยกรีโมตขึ้นปิดทีวี แล้วหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะพูดอะไรกินใจ เท่ๆแบบบทพระเอกออกมา

     

     

    “กูรักของกูอยู่ทุกวัน แล้วพรุ่งนี้มันจะสำคัญอะไร”

     

    .

    .

    .

     

    บรรยากาศวันแห่งความรักกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างครึกครื้น หน้าโรงเรียน วิทยาลัยต่างๆเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายที่วางดอกไม้ ตุ๊กตา ช็อกโกแลต ของเล็กของน้อยกันเต็มท้องถนน ภาพเด็กน้อยเด็กใหญ่ ทั้งหญิงทั้งชายที่ถือช่อดอกไม้ กล่องของขวัญ บ้างก็ตุ๊กตาน้อยใหญ่ เดินขวักไขว่เต็มไปหมด

     

    ภาพความเขินอายของผู้ให้ และภาพรอยยิ้มของผู้รับทำเอาผมเบือนหน้าหนี เพื่อให้พบกับคู่อื่นอีกที่มีการกระทำไม่แตกต่างกัน ท่ามกลางคนมีความรัก ย่อมมีคนโสด คนเหงาอยู่ในนั้น ท่ามกลางเพื่อนในกลุ่มที่มีแฟนกันหมดทั้งชายหญิง ก็ย่อมมีผมอยู่คนนึงที่ยังโสด ..

     

    ใช่แล้วครับ .. ผมเอกเอง

     

    ตัวละครตัวหนึ่งที่ไม่ค่อยมีบทบาทอะไร บางทีผมก็แอบคิดว่าคนเขียนจะยัดผมเข้ามาเพิ่มทำไม ในเมื่อในความเป็นจริงไม่มีผมเรื่องมันก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์ แต่บางทีผมก็คิด ว่าคงใส่มาเพื่อเพิ่มบารมีตัวเอกให้มีมากขึ้น ความที่ผมเป็นคนที่มีอายุสุดในกลุ่ม ทำให้พวกน้องๆมันค่อนข้างจะเกรงใจ แต่เราก็คบหากันแบบมิตรสหาย ไม่ได้ถืออาวุโสอะไรมากมายแต่อย่างใด

     

    ด้วยความที่เป็นคนง่ายๆ ไม่มีปมในการใช้ชีวิต ไม่ได้มีเสน่ห์มากมายเหมือนใครๆ ผมเลยค่อนข้างใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปตามประสา แอบรักคนนั้น แอบชอบคนโน้น แต่ก็แค่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ผมคิดเสมอว่า มีเพื่อนดีๆ แฟนก็ไม่จำเป็น .. การที่ผมมีเพื่อนดีๆอย่างไอ้โป้ ไอ้บ่าว ไอ้โอ๊ต ไอ้เอ็ม และไอ้เดช มันทำให้ผมใช้ชีวิตได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ความรักแบบมิตรภาพทำให้เวลาในวิทยาลัยของผมมีอะไรน่าจดจำเยอะขึ้น ..

     

     

    ทุกวันผมมีความสุข .. ยกเว้นวันนี้

     

     

    ใจจริงอยากอยู่แต่กับห้องไม่ออกไปไหน เก็บตัวหลีกหนีภาพข้างต้นที่ดูแล้วหดหู่ใจ แต่อีกใจนึงก็อยากจะออกมาทดสอบความต้องการของหัวใจ ว่าที่ตัวเองเป็นอยู่นี่ พอใจแล้วใช่ไหม ? แน่ใจหรือว่าเรามีชีวิตที่สมบูรณ์แล้ว แน่ใจเพียงใดว่าเรามีมิตรภาพ แล้วเรามีความสุขดี ..

     

    เป็นโสดมันดีนะครับ .. จะทำอะไรก็ได้ จะไปไหนก็ไป จะกินอะไรก็กิน จะไปดื่ม ไปเมากับเพื่อนก็ไม่ต้องชวนใคร จะนอนไหนก็นอนได้ เงี่ยนเมื่อไหร่ก็ช่วยตัวเองเอา ไม่ต้องเดือดร้อนถุง ประหยัดลดโลกร้อน ..

     

    ทุกอย่างดีหมดครับ .. เสียอย่างเดียว “เหงา”

     

    ความเหงาจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของคนที่ชอบอิสระที่สุด .. แต่ผมคงไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะผมรู้สึกไม่ชอบมันซะเลยไอ้ความเหงาเนี่ย ..

     

     

    วันนี้ผมคงมาวิทยาลัยเร็วกว่าปกติ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะบรรดาเพื่อนผมคงมาช้ากว่าปกติ ตอนนี้คงเอาช่อดอกไม้ ไม่ก็ตุ๊กตาไปให้บรรดาแฟนๆของพวกมัน .. ผมลืมสนิทที่จะบอกตัวเองให้มาสายๆ จนต้องมาดูอะไรที่ทำร้ายจิตใจตัวเองอยู่ในตอนนี้ ..

     

     

    “ไงเอก ทำไมนั่งอยู่คนเดียววะ”  เสียงหนึ่งทักมาทำให้ผมหันมาสนใจ เป็นไอ้ชาติ เพื่อนผมตอนอยู่ปีหนึ่ง แต่คนละเอกกัน เราเคยเรียนด้วยกันบางวิชา และตอนนี้มันก็ยังไม่จบเหมือนกัน เป็นปู่ของเด็กๆในสาขามันเหมือนกัน

    “เพื่อนยังไม่มา มึงละไอ้ชาติ เพื่อนไปไหนหมดวะ” ผมถามมัน พร้อมกับยิ้มทักทาย

    “ไม่รู้หายหัวไปไหน สงสัยเอาดอกไม้ไปให้บรรดาแฟนๆมัน” มันตอบมาแบบเรียบๆ ไอ้ชาติค่อนข้างเป็นคนเรียบร้อย ขัดกับสาขาที่มันเรียนอยู่มาก และค่อนข้างเรียนเก่ง แต่ที่ยังไม่จบเพราะป่วย จึงต้องออกไปพักรักษาตัวอยู่พักใหญ่

    “แล้วมึงละ เมื่อไหร่จะมีแฟน” ผมถามไป เพราะหน้าตามันก็ไม่ใช่จะขี้เหร่อะไร ดูดีกว่าผมอีก ติดที่ผอมไปหน่อย แต่ก็สูงยาว ขาว ใส ตามสไตล์สเป็คทั่วไป

    “ยังก่อน ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ไม่รู้จะดูแลใครได้” มันตอบมายิ้มๆ อายๆ

    “หาคนมาช่วยดูแลเราไง อย่างมึงต้องหาผู้หญิงดีๆที่ดูแลมึงได้มาดูแล” ผมแนะนำมัน

    “ว่าแต่คนอื่น มึงละ ทำไมไม่หากับเค้าบ้าง” มันย้อนผมครับ

    “เรื่องแบบนี้ ถ้ามันจะมี มันก็มาเอง กูไม่รีบหรอก” ผมตอบมัน

    “ปลอบใจตัวเองเก่งเหมือนเดิมนะมึงเนี่ย”

    “ฮ่าๆๆ ดักทางถูกอีกแล้ว กูแพ้ทางมึงตลอดจริงๆเลยนะ” จับผิดผมได้อีกแล้วไอ้ชาติ ผมยิ้มหัวเราะกับมัน ไอ้ชาติยังคงเป็นคนที่ยิ้มง่ายๆ หัวเราะง่ายๆ ร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอด แม้มันจะผ่านเรื่องราวร้ายๆเกี่ยวกับสุขภาพมันมาเยอะ แต่มันก็ยังยิ้มสู้กับโลกนี้ได้อย่างน่ามหัศจรรย์

     

    “กูว่าน้องคนนั้นเค้ามองมึงอยู่วะ” ไอ้ชาติบอกผม พร้อมกับส่งสายตาไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากที่ผมนั่งนัก ผมหันไปมองตามเห็นเด็กผู้หญิงเอกบัญชีคนหนึ่งกำลังนั่งมองมาทางผม พอผมมองไปก็หลบสายตา มีท่าทีเขินอาย

    “ไม่ได้มองกูหรอก มองมึงหรือเปล่า” ผมหันมาถามไอ้ชาติ

    “ไม่หรอก กูเห็นว่าน้องเค้ามองมึงก่อนกูจะเดินมาทักมึงละ สงสัยน้องเค้าจะชอบมึง” ผมหันไปมองน้องผู้หญิงคนนั้นอีกที เด็กสาวในชุดนักศึกษาเอกบัญชี ไว้ผมยาวรวบตึงอยู่บนหัว แต่งหน้าอ่อนๆพอให้ดูน่ารัก ผิวขาวรับกับชุดที่สวมใส่ ในมือถือกล่องพลาสติกที่มีริบบิ้นผูกโบว์ไว้ และกำลังเดินเข้ามาทางพวกผม

    “น้องเค้าก็น่ารักดีนะ” ผมหันมาบอกกับไอ้ชาติ

    “อืม” มันตอบผมมา แว๊บนึงที่ผมสบตาไอ้ชาติตอนนี้ ผมกลับเห็นความเศร้าในแววตามันที่มองมาทางผม ก่อนที่ผมจะคิดอะไรไปไกลกว่านี้ ผมละสายตาจากมันมามองน้องที่เดินเข้ามา

     

    “แฮปปี้วาเลนไทน์นะคะ พี่เอก” เธอยื่นกล่องพลาสติกสีใสที่มองข้างในเห็นช็อกโกแลตเป็นชิ้นรูปหลากหลาย ผูกโบว์สีหวานได้น่ารักมาให้ผม

    “ขอบคุณมากครับน้อง ..”

    “น้ำฝนค่ะ”

    “ครับ ขอบคุณมากครับน้องน้ำฝน แฮปปี้วาเลนไทน์เหมือนกันนะครับ” ผมตอบเธอไป สังเกตได้ถึงใบหน้าเธอที่ค่อนข้างแดงขึ้นเป็นระยะ ผมยิ้มให้กับความเขินอายของเธอ และเมื่อเธอสบตามาเห็นผมยิ้ม ก็ยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูกมากกว่าเดิม

    “น้ำฝนไปก่อนนะคะ ไว้ค่อยเจอกัน” เธอตอบมาเสียงสั่น ก่อนที่จะเดินออกไป

    “เดี่ยวก่อนครับ น้องน้ำฝน” ผมเรียกเธอไว้ ก่อนที่เธอจะเดินห่างไป เธอเอี้ยวตัวมามองผมทำหน้าตาสงสัย

    “คะ” เธอขานรับ

    “เที่ยงนี้ ทานข้าวด้วยกันนะครับ” ผมบอกเธอไป  เธอยิ้มให้ก่อนจะก้มหน้า หันหลังกลับแล้วรีบเดินต่อไป ผมว่าเธอคงเดินไปไกลๆผม แล้วกรี๊ดเสียงดังๆแน่ๆ ..

     

    “มึงชอบน้องเค้าเหรอ” ไอ้ชาติถามขึ้น

    “ก็น่ารักดี ดูๆกันไป กูก็ยังไม่มีใคร ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ว่าป่ะ” ผมหันมาพูดกับมัน

    “อืม ก็ดี” มันตอบมาแบบไม่เต็มเสียงนัก

    “เป็นไรไปวะ ทำไมเฉาๆซะแล้ว ไม่ร่าเริงเหมือนตอนเพิ่งเดินเข้ามาเลย” ผมทักไป

    “ก็มึงจะมีแฟนแล้ว ทีนี้ก็เหลือกู ที่ยังไม่มีใคร” มันพูดมาก้มหน้ามองเท้า มองดิน

    “ฟงแฟนที่ไหน แค่เพื่อนกินข้าวมื้อเที่ยง ก็แค่นั้น ..” ผมพูดพร้อมกับเอามือตบไหล่มัน มันเงยหน้ามามองผมยิ้มๆ

    “เออ ยังไงก็ขอให้มึงโชคดี กูไปหาเพื่อนกูก่อนละ” ไอ้ชาติพูดพร้อมกับฝืนยิ้มและยืนขึ้น

    “เออๆ ไว้เจอกัน” ผมบอกมัน มันหันหลังแล้วเดินไปยังโต๊ะเพื่อนของมัน

     

     

    บางทีการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ คงต้องเริ่มจากการเปิดใจเป็นอย่างแรก ในเมื่อเราต้องการในสิ่งไหน นอกจากตามหา และรอคอยแล้ว เราก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เปิดใจรับฟังเสียงหัวใจตัวเอง .. คนทุกคนมีโอกาสในการพิสูจน์ แต่ต้องเลือกบทพิสูจน์ที่คิดว่าเมื่อลองทำแล้วจะได้ผลที่พอใจที่สุด  ข้อสอบที่ผมเลือกในวันนี้มีแค่ ใช่ กับไม่ใช่ ไม่ว่าข้อใดก็ข้อหนึ่งละ .. ที่มันจะใช่สำหรับผม

     

     

    “ไอ้ชาติ !!” ผมเรียกมันอีกครั้ง เหมือนอยากจะพูดอะไรกับมัน มันหันหน้ามามองผมทำหน้าอย่างงงๆว่าผมจะเรียกมันทำไม

    “มีไร”

     

     

     

     

    “เย็นนี้ไปกินข้าวกับกูนะ”

     

     

    .

    .

    .

     

    “รอนานมั๊ย”  พี่เอ็มถามขึ้นเมื่อจอดรถที่หน้าบ้าน เป็นเรื่องปกติทุกๆเช้าที่พี่เอ็มจะมารับหญิงที่หน้าบ้านเพื่อไปวิทยาลัยด้วยกัน ไม่ว่าเช้าวันนั้นพี่เอ็มมีเรียนหรือเปล่า แต่ถ้าหญิงมีเรียน พี่เอ็มต้องตื่นมารับส่งหญิงตลอด

    “ไม่นานเท่าไหร่ ทำไมวันนี้มาช้า” หญิงตอบไป แต่ก็อยากรู้เหตุผล

    “รถติด คนเยอะ” พี่เอ็มตอบมาแบบขอไปที พร้อมกับยิ้มแก้ขัดมาให้ แบบนี้ตลอดสินะ

    “ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย” หญิงบอกไป พร้อมกับสะพายกระเป๋าข้างขึ้นมอไซค์ของพี่เอ็ม

     

    หญิงพยายามมองหาช่อดอกไม้ตั้งแต่ที่รถพี่เอ็มเทียบจอดที่หน้าบ้าน พยายายามมองหากล่องของขวัญที่คิดว่าคงแอบวางไว้ที่ไหนสักแห่ง พยายามมองไปทั่วตลอดทางที่นั่งมา แต่ก็ไม่ยักเห็น อะไรกันนี่ พี่เอ็มไมได้เตรียมของขวัญอะไรมาให้หญิงเลยเหรอ  น่าน้อยใจจริงๆ

     

    พอมาถึงหน้าโรงเรียน บรรยากาศแสนครึกครื้นก็เริ่มต้น พี่เอ็มเอามอเตอร์ไซค์ไปจอดในโรงจอดรถ ก่อนจะเดินมาที่หญิง และเราสองคนก็เดินมานั่งที่นั่งประจำของเราสองคน

     

    “วันนี้วันอะไร ?” หญิงถามขึ้น

    “วันอังคาร”

    “พี่เอ็ม !!

    “จ๋าจ๊ะ” ดูที่ยังกวนไม่เลิก

    “ไม่คุยด้วยแล้ว งอน !!” ขอเชิดใส่หน่อยเหอะ ถึงแม้รู้ว่ามันไม่ได้น่ารักอะไร และรู้ว่าตัวเองทำไปก็ไม่ได้ดูดีขึ้น แต่เขาบอกว่าเราจะงอนและน้อยใจกับคนที่เราให้ความสำคัญมากๆเสมอ .. และนี่คงเป็นเหตุผลที่หญิงแอบน้อยใจพี่เอ็มในครั้งนี้ ..

     

    “น้องหญิงครับ” พี่เอ็มเรียกหญิงเสียงใส แต่หญิงไม่หันไปมองหรอก ..

    “น้องหญิง” พี่เอ็มเรียกอีกครั้ง พร้อมกับการสัมผัสของมือพี่เอ็มที่มือของหญิง หญิงหันไปมองด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมีของเล็กๆสีเงินเกลี้ยงเกลากำลังสอดเข้าไปที่นิ้วนางของหญิง ..

     

     

    “อะไรกันพี่เอ็ม” หญิงถามไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

    “แหวนไง ดูไม่ออกเหรอ” พี่เอ็มมาหน้ายิ้ม

    “ดูออก แต่มันหมายความว่าอะไร” หญิงพูดไป น้ำตาก็เริ่มจะเอ่อล้นที่เบ้าตา ยากจะอธิบายกับภาพและความรู้สึกในตอนนี้

    “พี่จองแล้วนะ ห้ามให้ใจคนอื่นอีก” พี่เอ็มบอกมายิ้มๆ ก่อนที่หญิงจะน้ำตาไหลอาบแก้ม ของขวัญที่หญิงเตรียมมาวันนี้ให้พี่แก ยังไม่รู้สึกดีเท่าของเล็กๆ และคำพูดที่พี่แกบอกตอนนี้เลย  แอบโกรธตัวเองที่พาลน้อยใจไม่ได้เรื่อง เกือบทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ..

     

     

    ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางความรักหลากสีที่เกิดขึ้นในวงจรชีวิตของเราสองคน จะมีความรักของหญิงกับพี่เอ็มที่ไมได้หวือหวา ไม่ได้ท้าทายและไม่ได้แปลกใหม่อะไร เราสองคนเริ่มต้นจากคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง จากคำว่าเพื่อนของเพื่อน จนกลายมาเป็นคนรู้จัก และตกท้ายด้วยคนรู้ใจ ..

     

    แม้ว่าโลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ วัฒนธรรม สิ่งต่างๆอาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่เราก็ยังคงยึดมั่นและถือมั่น เชื่อว่าถ้ารักกันต้องรอได้ และถ้ารักกัน ต้องไม่เอาอะไรมายึดติด

     

    วันนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งหนึ่งของชีวิตรักครั้งนี้ แหวนวงน้อยที่นิ้วนางข้างซ้ายจะเป็นเครื่องหมายย้ำเตือนว่าเราเป็นของกันและกัน โดยไม่ได้เกิดจากการเอาสัมพันธ์อื่นมาผูกมัด สิ่งของแม้ว่าจะไม่ได้มีค่าราคาสูง และแม้ว่าไม่ได้เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความมั่นคง .. แต่มันก็ช่วยเตือนเราว่ายังไงซะ เราก็จะมีกันอยู่แบบนี้ ..

     

    “สุขสันต์วันแห่งความรักนะน้องหญิง พี่รักน้องหญิงนะครับ สัญญาว่าจะดูแลน้องหญิงตราบเท่าที่เรายังอยากดูแลซึ่งกันและกัน”

     

    “อย่ามาทำซึ้งนะ เดี๋ยวร้องหน้าเละ อุตส่าห์กรีดตามา ฮือๆ ” ไอ้พี่เอ็มบ้า มาทำซึ้งอะไรเอาวันนี้ หญิงอยากจะสวยทั้งวัน ดูสิหน้าเละหมดแล้ว

     

    “โห เละอย่างนี้จะหอมแก้มได้ไงเนี่ย”

    “แล้วใครบอกว่าจะให้หอมละ อย่ามาเนียนนะ”

    “ไม่ให้ได้ไง สวมแหวนแล้วต้องจูบสิ”

    “พอเลย ไม่ได้ขอแต่งงานซะหน่อย”

    “หรือจะแต่งงานเลยละ พี่อยากเข้าหอจะแย่ละ กิจกรรมตอนเข้าหอเค้าทำอะไรกันน้า ...”

    “ไอ้พี่เอ็ม ไอ้ทะลึ่ง ไอ้หื่นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ..”

     

     

    .

    .

    .

    เสียงประตูเปิดตรงเวลาแบบเดิมทุกๆเช้า พร้อมกับนางพยาบาลที่ถือแฟ้มอะไรในมือพร้อมกับอุปกรณ์วัดอะไรหลายอย่างที่จะมาตรวจผม .. ผมนอนอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้  แต่ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับที่นี่อย่างบอกไม่ถูก วันนี้นางพยาบาลคนเดิมก็เข้ามาอีกแล้ว แต่ที่แปลกไปนั้น เธอกลับถือดอกกุหลาบสีแดงหนึ่งดอกมาด้วย ..

    ผมยิ้มทักทายเธอไป อยากจะพูดทักทายใจแทบขาด แต่ระบบประสาทสั่งการไป ปากกลับไม่พูดตามที่สั่งนั่น .. นางพยาบาลเดินเข้ามาเอาดอกกุหลาบไปปักแทนที่ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาเต็มทีที่ข้างเตียงผม ก่อนหันมายิ้มให้

     

    “วันนี้วันวาเลนไทน์ค่ะ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะคะคุณเดช” เธอบอกผมแบบนี้ .. นี่วันแห่งความรักแล้วเหรอเนี่ย นอนอยู่ที่นี่จนลืมวันไปเลยเหรอเรา .. ผมยิ้มให้กับนางพยาบาลอีกครั้งแทนคำขอบคุณของดอกไม้ที่นำมาให้ เธอวัดไข้ผมแล้วจดรายละเอียดต่างๆลงแฟ้มอย่างเคยชิน เช่นเดียวกับผมก็อ้าปาก ยกมือยกไม้ตามสเต็ปที่ทำมาทุกๆวันอย่างคล่องแคล่ว

    “เดี๋ยวตอนบ่ายคุณหมอเข้ามาตรวจนะคะ วันนี้ทำตัวดีๆหน่อยละ หมอจะได้ให้กลับบ้านไวๆ” นางพยาบาลบอกผมแบบนี้มาตลอดทุกครั้งที่เธอจะออกจากห้องไป และเธอก็ได้รับรอยยิ้มเล็กๆจากผมไปเช่นกัน

     

    การเป็นเจ้าชายนิทราว่าทรมานแล้ว แต่การตื่นมาแล้วสื่อสารทางวาจากับคนทั่วไปไม่ได้นี่ช่างทรมานกว่า หมอบอกว่าผมต้องใช้เวลาในการเชื่อมต่อเส้นประสาทต่างๆของร่างกาย เนื่องจากผมหลับไปนาน เส้นประสาทบางเส้นได้ตายไป เพราะไม่ได้ใช้งาน ต้องรอมันสร้างเซลล์ใหม่ เพื่อให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

    ทุกวี่วันผมจะพยายามพูดให้ออกเสียง ขยับปากเพื่อลองดูว่าตัวเองกลับมาปกติหรือยังไปพร้อมๆกับการทำกายภาพบำบัด ให้ตัวเองกลับมาเดินเหินได้อย่างคนทั่วไป

     

    เสียงประตูถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนใบหน้าของเพื่อนผมที่มาในเวลาเดิมทุกวันจะเดินเข้ามา

    “ตื่นไวนะมึง” ไอ้โป้ทักผมมา มันจะมาหลังนางพยาบาลเข้าตรวจผม พร้อมกับโจ๊กหมูถ้วยหนึ่งทุกเช้าเสมอ มันเคยบอกผมว่า ถ้าไม่มีผม คนที่นอนอยู่ตรงนี้คงเป็นมัน ดังนั้นมันจึงไม่อยากรู้สึกผิด อยากมาดูแลผมเท่าที่จะดูแลได้

    “กินโจ๊กก่อน ร้อนๆเลยมึง” มันพูดพร้อมกับเทโจ๊กลงในถ้วยใบเดิมที่มันใช้ป้อนโจ๊กให้ผมทุกวี่วัน ผมอยากจะตักโจ๊กกินเองเหมือนกัน แต่แขนยังอ่อนแรงเกินไปที่จะจับช้อนป้อนเองได้

    “วันนี้วันแห่งความรักมึงรู้หรือยัง ทั้งเมืองเต็มไปด้วยดอกกุหลาบเลยวะ อ้าว นี่มึงก็ได้แล้วนี่ เร็วกว่ากูอีกนะ” มันพูดบอกผม ก่อนที่จะหันไปเห็นดอกกุหลาบที่นางพยาบาลเอามาเสียบไว้ให้ ผมยิ้มชอบใจในคำพูดของมัน

    “นางพยาบาลคงติดตรึมสินะมึงเนี่ย เดี๋ยวเมียมึงมาเห็นเข้าแล้วจะน้อยใจ กูไม่รับผิดชอบนะเว๊ย” นั่นไง ไอ้โป้พูดให้ผมเครียดอีกแล้ว หน้าเริ่มถอดสีเลยผม จะเอาไปทิ้งก็เสียน้ำใจ จะเอาไว้ก็กลัวไอ้โอ๊ตจะเคือง

    “ฮ่าๆๆ กูล้อเล่นเว๊ย ไอ้โอ๊ตไม่ขี้หึงขนาดนั้นหรอก” มันพูดพร้อมกับป้อนข้าวให้ผมไปด้วย

    “ป่านนี้คงวิ่งซื้อของให้มึงวุ่นวายละ ไม่รู้ว่ามันจะซื้ออะไรให้มึง ไมได้ถามซะด้วย” ไอ้โป้เล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง ทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้

    “แต่กูนี่สิ ยังไม่รู้จะซื้ออะไรให้น้ำมนต์เลย คิดไม่ออกจริงๆวะ จะซื้อดอกไม้ให้ กูก็เคยให้มันแล้วตอนวันงานวิทยาลัยมัน ถ้าให้แบบเดิมก็ไม่เท่อีก ตุ๊กตามันก็ไม่ชอบ งานฝีมือกูทำไม่เป็น นี่ถ้ามันรู้ว่ากูไม่มีอะไรให้มันนะ .. มันคงงอนกูตายแน่ๆ” ไอ้โป้เล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟังไปเรื่อยๆ เรื่องมันบ้าง เรื่องคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง .. ผมยังรู้สึกว่าผมได้รู้เรื่องราวของคนอื่นก็เพราะมันนี่แหละ มีบางวันมันก็มาบ่นเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองให้ผมฟัง ผมก็พลอยเครียด อยากออกจากโรงพยาบาลไปปิดถนนประท้วงกับเขาเหมือนกัน

     

    “ฮัลโหล ว่าไงมึง” ไอ้โป้รับโทรศัพท์ครับ

    “อ๋อเหรอ เออๆ ได้ๆ เดี๋ยวกูบอกมันให้ เสร็จธุระแล้วรีบมาละ” มันพูดอีกประโยคก่อนจะกดวางสายไป

     

    “ไอ้โอ๊ต บอกว่าวันนี้จะเข้าช้าหน่อย มีธุระ” ไอ้โป้บอกผมมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ

    “มึงอยู่คนเดียวได้ใช่มั๊ย เพราะกูต้องไปรับน้ำมนต์แล้ว” และก็พูดขอตัวผม ผมพยักหน้าให้มันเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเดินจากห้องไป

    “ยังไงก็สุขสันต์วันแห่งความรักนะ ไอ้เพื่อนรัก” ก่อนที่มันจะเดินออกจาห้องมันยังหันมาบอกผมพร้อมกับโบกมือให้หนึ่งที ผมยิ้มให้กับกิริยาของมัน

     

     

    เหลือผมอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆแค่ห้องนี้อีกแล้ว ปกติเวลานี้ไอ้โอ๊ตจะมาหาผมหลังจากไอ้โป้ออกไปแค่ไม่นาน แต่พอรู้ว่ามันมีธุระ ผมก็เลยไม่อยากตั้งหน้าตั้งตารอมากนัก ..

    สำหรับผมวันวาเลนไทน์ปีนี้มันมาแบบไม่ทันตั้งตัวนัก ผมยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรให้มันเลย และก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากมันด้วย แค่ในทุกๆวันมีมันอยู่ข้างๆก็ค่อนข้างจะพอใจแล้ว .. แต่ตอนนี้หัวใจกลับดูเหงาๆชอบกล แค่มันมาผิดเวลาแค่นี้ ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดในใจ หรือจริงแล้วผมให้ความสำคัญกับวันนี้ .. ผมอยากเจอมันในวันนี้ ผมอยากอยู่กับมันในวันนี้

     

    วันที่ใครหลายคนต่างให้ความสำคัญกับความรักกันแน่นะ .. แท้จริงแล้วนั้นผมก็ยากจะคิดว่าผมรู้สึกยังไงกันแน่ เพียงแค่บางทีอยากต้องการไออุ่นจากกายมันแค่นั้นกระมัง ..

     

     

    เวลาล่วงเลยจากเวลาเดิมที่มันเคยมามากพอสมควร ดีที่มีนางพยาบาลมาช่วยยกตัวผมให้มานั่งบนรถเข็น และให้มามองวิวข้างล่างจากตึกสูงตึกนี้ .. ภายในห้องพักของผมที่มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เพียงแค่เปิดม่าน โลกนอกกรอบสี่เหลี่ยมก็กว้างขึ้น

    วันนี้เหมือนวันที่โลกเต็มไปด้วยภาพแห่งความรักจริงๆ ดอกกุหลาบสีแดง ชมพู เต็มท้องถนนไปหมด ผู้คนถือช่อดอกไม้กันขวักไขว่ .. ความรักนี่มันทำให้โลกสวยงามจริงๆ .. ผมเชื่อแล้ว

     

    ยิ่งผมมองเห็นคนรักกันมากๆ ผมก็ยิ่งคิดถึงมัน อารมณ์ขี้อิจฉาคนอื่นนี่เกิดจากการเห็นคนอื่นได้ คนอื่นมีนั่นคงจริง ทำไมนะไอ้สมองบ้านี่ ทีเรื่องอย่างอื่นแล้วคิดแล้วจำและทำไม่ได้ แต่พอเรื่องของมันแค่เล็กน้อย มึงกลับรู้สึกทุรนทุราย ..

     

    หรือแท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะสมอง .. แต่เป็นส่วนของหัวใจ

     

     

    เสียงประตูเปิดขึ้น พร้อมกับใบหน้าของคนที่กำลังคิดถึง ผมใช้แรงที่พอมีเล็กน้อยหมุนรถเข็นไปมองหน้ามัน มันยิ้มมาเล็กน้อย พร้อมกับข้าวของในมือที่ถือมาอย่างพะรุงพะรัง .. หน้าตาผมตอนนี้คงไม่มีรอยยิ้มอะไรมาก มีเพียงแค่ความสงสัย สมองสั่งให้ปากทำงาน เพื่อพูดถามคำถามที่อยากถามขึ้นทันที ..

     

     

    “ไปไหนมา คิดถึงรู้มั้ย”

     

    .

    .

    .

     

     

    ภาพของช้างน้อยที่ชะเง้อคอรอคอยผม ดูเป็นอะไรที่ผมมองอยู่เกือบห้านาทีกว่าๆแล้วเห็นจะได้ ก็วันนี้ผมนัดเจอเธอที่จุดนัดพบแห่งหนึ่ง เธอมาก่อนนัดเกือบสิบนาที เช่นเดียวกับผมที่มาก่อนนัดเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ไม่ได้ไปรอตรงจุดนัดพบแต่อย่างใด ผมเลือกที่จะแอบอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อแอบมองเธอ

    เมื่อถึงเวลานัดเธอก็เริ่มมองว่าผมจะไปถึงเมื่อไหร่ โทรมาสองสามครั้งผมก็บอกว่าจะถึงแล้วๆ น้ำเสียงของเธอจากใสๆ กลับดูขุ่นเคืองในตอนท้ายๆ แล้วนี่ผมจะมายืนแอบอยู่ตรงนี้ทำไมกันนะ ..

     

    ก็จะให้ผมทำไงกับไอ้ดอกกุหลาบช่อโต ที่ผมอุตส่าห์ตื่นไปตลาดโต้รุ่งเพื่อไปเหมามาทั้งกำร้อยกว่าดอกนี่ละครับ ใจอยากถือไปให้เธอยิ้มแป้นดีใจ แต่ตอนนี้ดันไม่กล้าเอาซะงั้น .. การแสดงความรักนี่มันไม่ได้ง่ายเลยนะครับ ใครไม่เคยเขิน แสดงว่าคุณขาดรสชาติของการทำความรู้จักกัน ..

    เขาบอกกันว่า ถ้าเรารู้จักกันมากๆ ความเขินเราจะลดน้อยลง .. มันคงจริงนะครับ ความกล้าทำให้เราได้เรียนรู้กัน .. แต่ตอนนี้ทำไมผมป๊อดชิบหาย .. แค่เดินไปไม่กี่ร้อยเมตร แค่ยื่นช่อดอกไม้ช่อโตนี้ให้ ทำไมผมทำไม่ได้นะ ..

     

     

    “ฮัลโหลพี่บ่าว” เธอโทรมาอีกครั้งครับ และแน่นอนผมก็รับมันทันทีเหมือนกัน

    “ครับ น้องช้างน้อย” ผมแสร้งทำเสียงปกติไป

    “อยู่ไหน ทำไมยังไม่มา ช้างน้อยรอนานแล้วนะ” ผมเหลือบมองเธอ เห็นเธอชะเง้อมอง โถๆ น่าสงสารจริงๆแฟนผม

    “พี่ใกล้ถึงแล้ว รถมันติด” ผมบอกไป

    “รถติดอะไร ถนนออกจะโล่ง ตอนนี้โรงเรียนเข้าหมดแล้วนะ พี่แอบอยู่แถวนี้ใช่มั๊ย” ช้างน้อยเริ่มแผดเสียงมาอย่างสงสัยแล้วครับ

    “บ้า .. พี่จะอยู่แถวนี้ทำไม ช้างน้อยมั่วแล้ว” ผมเริ่มใจสั่นรัวหมดแล้วครับ เหมือนคนกำลังทำความผิด แล้วกำลังจะถูกจับได้ ทันใดนั้นช้างน้อยก็หันมาทางผม ผมหลบเข้ามุมควับ อย่างทันที หวังว่าเธอคงยังไม่เห็นนะ ..

    “แล้วทำไมพี่มาช้าจัง ช้างน้อยรอนานแล้วนะ” เสียงเธอเริ่มแผ่วเบาลง อารมณ์คงดีขึ้นบ้างแล้ว

    “ก็ ก็ .. เอ่อ ..” ตอบอะไรไปดีนะเนี่ย

    “พี่บ่าวเขินอ่ะดิ”

    “บ้า .. เขินอะไร ช้างน้อยมั่วอีกแล้วนะ อย่างพี่เหรอจะเขินกับเค้า” ผมพูดพร้อมกับเอาหลังพิงกำแพง ที่ๆผมยืนอยู่เป็นเหมือนกับมุมถนน เราสองคนยืนเป็นมุมฉาก ผมพยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้ตื่นเต้นน้อยลง เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนอะดีนาลีนในตัวกำลังพุ่งปรี๊ด เริ่มจะคิดอะไรไม่ทันแล้ว

    “ช้างน้อยรู้นะว่าพี่เขิน” ช้างน้อยยังไม่หยุดพูดเรื่องขงเขินครับ

    “เขินอะไรกัน” ผมก็ยังไม่เลิกปากแข็ง

    “ยอมรับมาเถอะว่าเขิน” นั่น ยังยัดเยียดอีก

    “เออ เขินก็เขิน ก็ให้ทำไงละ คนมันไม่เคยนี่ ดอกไม้ซักดอกก็ไม่เคยให้ใคร แล้วนี่เป็นร้อยดอก ไม่เขินก็บ้าแล้วละ เอ๊ยย”

    “ฮ่าๆๆ หลุดปากมาแล้ว แถมยังบอกด้วยว่าจะให้อะไรช้างน้อย” นั่น ดูสิ ช้างน้อยหัวเราะชอบใจใหญ่ เสียเชิงแล้วเรา

    “เฮ้ออ พี่ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ แต่พี่เขินจริงๆ พี่ไม่ได้กลัวใครมองไม่ดี ไม่ได้แคร์สายตาคนอื่น แต่พี่แค่ไม่กล้าจริงๆ” ทำไมผมป๊อดแบบนี้นะ ทำไมตอนแรกถึงกล้าขอช้างน้อยเป็นแฟน แต่ตอนนี้กลับป๊อดไม่เป็นเรื่อง อยากเอาหัวตัวเองโขกกับกำแพงที่พิงอยู่จริงๆ

    “ไม่เป็นไรครับ แค่มีพี่บ่าวอยู่ตรงนี้ ช้างน้อยก็โอเคแล้ว”  ช้างน้อยบอกเสียงมาทางโทรศัพท์ แต่เสียงนั้นกลับได้ยินชัดกว่าทางช่องรับเสียงของมือถือเครื่องนี้

    ไม่เพียงแค่เสียงที่ชัดเจนขึ้น แต่กลับมีมืออุ่นๆที่สัมผัสเข้ากับมือผมตอนนี้ กำแพงมุมฉากตรงที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ มีอีกคนหนึ่งยืนอยู่อีกด้านประกอบฉากอีกด้านอยู่ ..

    มืออุ่นๆที่คุ้นเคย ที่เคยจับในหลายๆครั้งที่ดูหนัง หลายๆครั้งที่เดินเที่ยว หลายๆครั้งที่นั่งเล่นก็อยากจับมือไว้ด้วยกัน ไอจากมืออุ่นๆที่สัมผัสรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของคนที่จับ .. ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่เขิน อีกคนก็ไม่น้อยเลย

     

    “สุขสันต์วันแห่งความรักครับน้องช้างน้อย พี่รักช้างน้อยนะ” ผมพูดผ่านโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้วางในตอนนี้ ช่อดอกกุหลาบที่พิงกำแพงไว้ ก็ยังคงพิงอยู่แบบนั้น

    “สุขสันต์วันแห่งความรักครับพี่บ่าว ช้างน้อยก็รักพี่บ่าวนะ”

     

     

     

    จริงอย่างที่เขาบอกครับ ตอนที่บอกรัก ไม่ได้รู้สึกดีเท่ากับตอนที่อีกคนบอกรักตอบ คำว่ารักคำเดียวธรรมดามีผลต่อการเต้นของหัวใจคนเราได้มากมาย  คนที่หมดแรงมีแรงลุกยืนต่อด้วยคำๆนี้ คนที่แพ้พ่ายทุกสิ่งอย่าง จะรู้สึกว่าตัวเองยังชนะบ้าง ถ้ามีใครสักคนเคียงข้างและพูดคำนี้ .. คนอย่างผมคงไม่ต่าง อาจนิยามไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร .. แต่ทุกอย่างมันอบอวลอยู่ข้างใน ..

     

    ภาพของมุมถนนยังคงมีรถสัญจรไปมา มุมหนึ่งเป็นเด็กช่างเสื้อช็อบยืนพิงกำแพงพร้อมช่อดอกไม้ข้างกาย มุนหนึ่งก็คงเป็นเด็กศิลป์ตี๋น้อยน่ารักกับกล่องของขวัญในมือ ..

     

    แต่ทั้งสองด้านนั้น กลับเชื่อมต่อกันด้วยมือที่จับไว้ ..

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    “ชิบหายละ” มือผมหยิบมือถือขึ้นมาดูแบบเพลียๆ แต่กลับต้องมาสะดุ้งโหยงเอากับเลขนาฬิกาข้างหน้า นี่ผมไปกดนาฬิกาปลุกตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ สายแล้วๆ ผมต้องไปโรงพยาบาลสายแน่ๆ

    โอ๊ยยย แล้วเนี่ยเราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ยังทำของที่จะให้ไอ้เดชไม่เสร็จเลย ตายแน่ๆกู ไอ้โป้ยังอยู่โรงพยาบาลไหมวะ โทรไปบอกมันให้บอกไอ้เดชดีกว่าว่าจะไปสาย ..

     

     

    เฮ้อ .. วุ่นวายไปหมด

     

     

    ก็จะไม่ให้วุ่นวายได้ไงละครับ กว่าจะคิดได้ว่าจะให้อะไรไอ้เดชในวันวาเลนไทน์ปีนี้ ก็เหลือเวลาไม่ถึงวัน แล้วที่ต้องทำเป็นงานฝีมืออีก เล่นเอาผมปั่นงานแทบไม่ทันเลย แล้วนี่ก็ยังไม่เสร็จอีกนะ เมื่อคืนเพลียจัดหลับคางานเลย ผมรีบเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว และออกมาเก็บงานเล็กน้อย นี่ขนาดเล็กน้อยก็ปาไปเกือบชั่วโมง .. ป่านนี้ไอ้เดชจะยังไงบ้างละเนี่ย .. จะอยู่คนเดียวได้ไหมวะ ไอ้โป้คงอยู่ด้วยได้ไม่นาน ยังไงวันนี้มันก็ต้องไปหาน้องน้ำมนต์ .. โอ๊ยยย ไหนต้องไปเอาดอกไม้ที่ร้านอีก คนละทางกับไปโรงพยาบาลเลย .. ฮ่วยยยย

     

     

     

    แต่แล้วผมก็ถึงโรงพยาบาด้วยสภาพที่ยุ่งเหยิง ของที่ทำให้ไอ้เดชถือมือซ้าย ดอกไม้ที่ไปรับมาถือมือขาว อาหารเที่ยงของไอ้เดชก็ถือทั้งสองมือสลับไปมา ผลไม้ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนค่ำก็หอบมาที่โรงพยาบาลหมด ไม่เข้าใจว่าจะรีบหอบมาทำไม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นางพยาบาลต้อนรับที่เคยแอบมองและยิ้มให้ผมทุกครั้งยังตกใจกับสภาพที่เห็นวันนี้ ..

    ไม่สนใจแล้วครับ รีบกดลิฟต์ขึ้นไปห้องไอ้เดชอย่างไว ป่านนี้น้อยใจไม่ร้องไห้โฮแย่แล้วเหรอเนี่ย คิดไปนั่นผม เปิดประตูห้องคนป่วยเข้าไป ก็เจอว่ากำลังนั่งรถเข็นมองวิวห้องอยู่  พอได้ยินเสียงประตู ผมก็ไอ้เดชใช้มือตัวเองออกแรงให้รถหมุนมาทางผม คงใช้แขนได้บ้างแล้วสิ .. ผมยิ้มให้มันทันทีที่มันหันหน้ามา .. แต่ใบหน้าของมันกลับไมได้ยิ้มอย่างที่ผมหวัง มันคงโมโหที่ผมมาสาย สายตาดูออกว่าไม่พอใจ .. ผมเลยทำท่าจะเดินเข้าไปหามันเพื่อนขอโทษมันที่มาช้าวันนี้

    “ไปไหนมา คิดถึงรู้มั๊ย”

     

     

    ขายังไม่ทันจะก้าวออกไป ก็ก้าวไม่ออกเสียอย่างงั้น  น้ำเสียงของคนที่ไม่ได้ยินมานาน พูดมาด้วยหน้าตาจริงจัง เล่นเอาผมตั้งตัวไม่ทันจริงๆ มือไม้อ่อนข้าวของที่ถือมาหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม

     

    “มึง มึงพูดได้แล้ว ..” ผมพูดไปมือป้องปาก เหมือนไอ้เดชจะรู้สึกตัวได้ ว่าเมื่อกี้ตัวเองพูดออกมาเป็นเสียง หน้าตามันเหมือนงงกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “พพพพพพพพพ พุ พูด” เสียงของมันเปร่งออกมาอย่างช้าๆ พร้อมใบหน้าที่ยืนยันได้ว่ามันพูดได้แล้ว ผมรีบวิ่งเข้าไปนั่งกอดมันไว้ทั้งน้ำตา มันเองก็ค่อยๆเอามือมาโอบกอดผมไว้อย่างหลวมๆเช่นกัน ..

     

     

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ของขวัญมากมายที่ทำมาไม่สำคัญอะไรเท่ากับคนๆนี้อีกแล้ว ไม่มีอะไรที่ผมอยากได้เพิ่มเติมจากคนนี้ๆ ขอแค่คนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่รักผมแบบเดิม และบอกว่ารักผมได้แบบเดิมก็พอ

     

     

    “เดช กูรักมึงนะ ”  ไม่รู้ว่าบอกมันไปกี่ครั้งแล้ว แต่ก็ยังอยากจะบอกมันซ้ำๆอีก หวังแค่ให้มันรับรู้ และบอกผมได้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง ..

     

     

    “กู .. กู .. กูก็ .. รักมึง .. โอ๊ต”

     

    .

    .

    .

     

    บรรยากาศตอนเย็นของวันนี้ ดูแตกต่างจากตอนเช้าซะเหลือเกิน ร่องรอยของดอกไม้เหี่ยวเฉามีร่วงโรยตามพื้นดิน เศษกระดาษห่อของขวัญ เปลือกของช็อกโกแลตเต็มถังขยะล้นออกมาตกลงข้างๆ ผมได้รับดอกไม้ ขนม ของอื่นๆอีกเล็กๆน้อยจากเพื่อนในสาขา จากแพร จากหญิง จากช้างน้อย และมีรุ่นพี่คนอื่นๆที่แอบปลื้มผมมาเล็กน้อย ..

     

    “ได้ของเยอะเชียว” นายปีโป้ทักผม เมื่อเจอกันตอนเย็นที่ร้านป้าตามสั่ง

    “ก็คนมันมีคนรักเยอะ” ผมพูดอวดไป นายปีโป้เอื้อมมือมาช่วยถือของให้ วันนี้ป๊ากับแม่นายปีโป้ชวนผมไปทานข้าวด้วย นายปีโป้เลยมารับผม ตลอดทั้งวันผมเพิ่งจะได้เห็นหน้านายปีโป้ก็ตอนนี้แหละ ไม่รู้ไปหลบหัวอยู่ไหน ไม่เห่อวันแห่งความรักกับเค้าบ้างเลยหรือไงเนี่ย ...

     

     

    ใช่สิ , ได้เป็นแฟนแล้วนี่ .. ให้กับไม่ให้ก็ค่าเท่ากัน

     

     

    นายปีโป้พาผมมาเดินขึ้นรถ วันนี้เจ้าตัวพารถยนต์ของพ่อมาครับ

    “ทำไมเอารถยนต์มาละวันนี้” ผมถามอย่างสงสัยก่อนที่เจ้าตัวจะปลดล็อครถและเดินเวียนไปขึ้นรถอีกด้าน ผมเลยเปิดประตูเข้าไปในรถ พอมองไปข้างหลังถึงได้พบคำตอบว่าทำไมวันนี้ต้องเอารถยนต์มา

     

    “ก็คนมันมีคนรักเยอะ !!!” ประโยคเดียวกับที่ผมพูดไปเมื่อกี้ ตอนนี้แทบกลืนน้ำลายไม่ลง ก็จะอะไรละครับ พอมองไปข้างหลังรถ เจอกับกองกล่องของขวัญ ช่อดอกไม้ ช็อกโกแลตเยอะแยะมากมาย กองโตกว่าของผมที่นายปีโป้หอบมาสามสี่เท่า ..

    “หึหึ นี่ขนาดมีแฟนแล้วนะ” ผมพูดออดไปลอยๆ

    “นั่นนะสิเนอะ .. ถ้าไม่มีกูคงต้องเอารถบรรทุกมา” ดูครับดู ยกหางแล้วขี้ทันที

    “วันนี้ทำไมไม่มาหาเลย” เริ่มหงุดหงิดครับ เลยยิงคำถามใส่ไปเลย นายปีโป้ก็เหมือนรู้ครับ ว่าผมไม่พอใจ ขับรถไปอย่างยิ้มๆ

    “ยังไงตอนเย็นก็ได้เจออยู่แล้ว จะมาหาอีกทำไม” ดูที่ตอบมาครับ

    “ใช่สิ อยู่วิทยาลัย สาวๆจะได้เอาของขวัญมาให้ละสิ  ชิ!!” พูดแล้วก็หมั่นไส้

    “อยู่แล้ว นี่กูยังเวียนไปรอรับของยังไม่ครบทุกโรงเรียนในเมืองเลยนะเนี่ย  เชอะ !!

     

     

    พอ , ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยแล้ว น้อยใจจริงๆ มีแฟนก็มีไม่เหมือนชาวบ้านเค้า เจ้าเล่ห์ เพลย์บอย ขี้เก็ก ขี้อวด โอ๊ยย เยอะแยะไปหมด .. แต่ทำไมเรายังรักยังชอบได้นะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ

     

    “โกรธเหรอ?” นายปีโป้เหมือนรู้ว่าผมไม่พอใจ ถามพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งมาจับมือผมไว้เบาๆ

    “ขับรถไปเลย ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”

    “ฮ่าๆๆ งอนใหญ่ละ ไหนละของขวัญของพี่ปีโป้ จะไม่ให้พี่หน่อยเหรอ” ดูที่ดีอกดีใจที่ผมงอน แถมยังจะกล้ามาทวงของขวัญอีก

    “ไม่มี ไม่ให้”

    “ตกลงมี หรือไม่มี”

    “มี .. แต่ไม่ให้” อยากเปิดกระจกรถขว้างทิ้งลงเสียจริงๆเลย เสียแรงที่อุตส่าห์นั่งทำหลังขดหลังแข็ง

    “เป็นไรเนี่ย ทำไมวันนี้เหวี่ยงจังเลยแฟนเรา” โอ๊ยย นายปีโป้มันกวนประสาทผมจริงๆนะครับ ดูทำหน้าทำตาเข้า จะแกล้งกันไปถึงไหนเนี่ย .. เดี๋ยวก็งอนจริงซะหรอก ..

     

     

    ตลอดทางกลับบ้านนายปีโป้ก็ยังยียวนกวนประสาทผมได้เรื่อยๆ หยอกผมไปขำไป ใกล้จะเสียสติเข้าเต็มทีแล้ว แต่ก็ยังดีที่มาถึงบ้านได้อย่างสวัสดิภาพ

    “มากันแล้วป๊า” ผมได้ยินเสียงแม่ของนายปีโป้ตะโกนบอกป๊า

    “สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับป๊า” ผมยกมือไว้แม่กับป๊า

    “สวัสดีจ๊ะลูก เป็นไงบ้างไม่เจอกันนานเลย ผอมลงไหมเนี่ย” แม่นายปีโป้ทักทายผม เอามือมาจับไม้จับมือ โอบตัวผมเข้าไปกอด

    “นิดหน่อยครับแม่ ช่วงนี้งานเยอะ เลยนอนดึกไปหน่อย” ผมตอบไปพร้อมกับยิ้มให้

    “งั้นมาอยู่กับแม่สักสองสามวัน เดี๋ยวแม่ขุนให้อ้วนเหมือนเดิม ดีมั้ยป๊า” แม่พูดกับผมก่อนจะหันไปคุยกับป๊า

    “ดีเลยๆ ดีมั้ยตาหนู” ส่วนป๊าก็พูดกับแม่ ก่อนจะหันไปคุยกับนายปีโป้ที่ยืนยิ้มมาตั้งแต่ในรถ

    “ดีครับพ่อ ให้เด็กขี้งอนหายงอนซะที”

    “ใครงอนใครลูก” แม่ถามขึ้นทันที

    “แม่ก็ถามลูกแม่ที่กอดดูสิครับ ว่างอนอะไรหนูอยู่” นายปีโป้ซัดมาทางผมละ แม่กับป๊าหันมามองผมตาเดียว

    “โห คุณหนูโป้คะ ทำไมได้ของเยอะแบบนี้ละคะ นี่ในห้องไม่มีที่เก็บแล้วนะคะเนี่ย” แต่ไม่ทันได้ตอบ เสียงของป้าแดงที่เดินหอบข้าวของของนายปีโป้ดังเข้ามาแทรกเสียก่อน

    “ป้าเอาพวกตุ๊กตาไปไว้ในห้องนะครับ เอาดอกไม้ไปปัก ส่วนพวกขนมเอาไปแบ่งกันทานนะครับ” นายปีโป้หันไปบอก ก่อนที่ป้าแกจะยิ้มและเอาไปจัดการอย่างที่นายปีโป้ว่า

    “นี่ขนาดมีแฟน ของขวัญยังไม่ลดเลยนะ ลูกชายป๊า” ป๊าพูดขึ้นมา

    “จะให้ทำยังไงละป๊า ก็คนมันฮอตนี่” แต่นายปีโป้ตอบพร้อมกับทำหน้ากวนมาทางผม

    “อ๋อ เพราะแบบนี้นี่เอง หนูน้ำมนต์ถึงงอน ผู้ชายก็แบบนี้แหละลูก เจ้าชู้ เชื่อไม่ได้”

    “แต่น้ำมนต์ก็ผู้ชายนะแม่” ผมย้อน

    “อุ๊ย แม่ลืมไป เอาเป็นว่าป๊ากับตาหนูโป้แล้วกัน แม่ว่าเราไปนั่งคุยกันเถอะ แม่อยากคุยกับหนู ไปๆ อย่าไปสุงสิงกับสองคนนี้เลย” แม่พูดพร้อมกับเดินลากผมตามแม่ไป มีรอยยิ้มจากนายปีโป้และป๊าส่งมาให้ปลายทาง

     

     

    เป็นแบบนี้ทุกทีสินะแม่ ..

    .

    .

    .

     

    “อิ่มมั๊ยวันนี้” ผมถามพร้อมกับโอบกอดเจ้าดวงใจผมไว้เบาๆ ขณะที่เราสองคนกำลังยืนเล่นชมจันทร์อยู่ที่ระเบียงกระท่อม

    “ไม่ต้องมากอดเลยนะ” รายนี้ยังไม่หยุดงอนครับ ทำเป็นสะดีดสะดิ้งเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่น้ำมนต์ทำไม่น่ารักนะเนี่ย

    “ยังไม่หายงอนกูอีกเหรอเนี่ย” ผมกอดไว้แน่นๆ เพื่อไม่ให้มันหลุดจากพันธะใดๆของผม แต่อันที่จริงผมแสนจะคิดถึงมันมากกว่า

    “แล้วง้อเราหรือยังละ จะได้หายงอน” ดูครับ ยังไม่หายจริงๆ

    “ง้อก็ได้ครับ อย่างอนพี่ปีโป้เลยนะ พี่ปีโป้ขอโทษที่ไม่ได้ไปหาวันนี้” ผมพูดพร้อมกับหอมแก้มนั้นเบาๆ

    “ทำไมไม่มา” เสียงที่ถามมาดูห้วนน้อยลง แต่ก็ยังคงไม่เพราะเหมือนน้ำมนต์คนก่อนๆนัก

    “อยากให้มึงชิน” ผมตอบไป

    “ชิน ? ชินอะไร ?”

    “วาเลนไทน์ปีนี้เราอาจจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ปีหน้า ปีหน้าโน่น ปีหน้าหน้าโน่น ปีหน้าหน้าหน้าโน่น กูอาจจะไม่ได้อยู่กับมึง กูไปดูปฎิทินมาแล้วนะ สี่ปีข้างหน้าวาเลนไทน์ก็ยังตรงกับวันทั่วไป แล้วถ้าเกิดวันนี้กูไปหามึง เอาของขวัญไปให้มึง แล้วอีกสี่ปี มึงไม่คิดถึงปีก่อนๆแย่เหรอ กูไม่อยากให้มึงชะเง้อคอรอคอยกู กูกลัวว่าเวลาที่กูต้องไปเรียนกรุงเทพ กูอาจไม่มีเวลาบินมาให้ของขวัญมึงทุกปี กูอยากให้มึงชินกับวาเลนไทน์ที่ไม่ได้เจอกู ..” ผมพูดไปพร้อมกับโอบกอดแน่นเพื่อซึมซับความรู้สึกนั้นไว้ ..

     

    “ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่แรก” เสียงที่ถามมาอย่างอ่อนโยนแสดงถึงความเข้าใจที่ผมพูดไป

    “ก็ใครกันละที่งอน ไม่ฟังอะไรเลย”

    “ก็ทำไมไม่ง้อเร็วๆ คิดว่าเราเข้าใจอะไรยากหรือไง”

    “ก็รู้อยู่ว่าเก่ง ก็คิดว่าจะคิดได้เอง”

    “แล้วใครจะไปรู้ละ ว่าคนอย่างนายคิดอะไรลึกซึ้งขนาดนี้กับเค้าเป็นด้วย”

    “มึงพูดแบบนี้ ด่ากูว่าโง่เลยดีกว่า”

    “โง่” นั่นไง มันเองจริง

    “แต่ก็รักนะ .. เด็กโง่” แต่ก็ยังดีที่ยังพูดต่อมา เล่นเอาไม่ทันได้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว

    “ใครเด็กกันแน่หา ไอ้เปี๊ยกกก” ผมพูดพร้อมกับเอาจมูกตัวเองไปชนกับจมูกมัน

    “พูดแบบนี้ต่อยกันเลยมั๊ย”

    “โหย ที่ดุนะครับคุณน้ำมนต์”

     

     

    “ไม่ดุแบบนี้ จะเอาแฟนคนนี้อยู่เหรอ  จุ๊บ”

     

     

     

     

    เขินเลยสิครับ .. ไปไม่ถูกเลย .. อยู่ก็คว้าคอโน้มตัวผมเข้าไปจูมแก้มซะงั้น จะให้ต้องผมบอกพวกคุณอีกสักกี่ทีกันดีละเนี่ย ว่าคนๆนี้ไม่ว่าอยู่ด้วยกี่ครั้งก็ไม่เคยหายตื่นเต้น มักจะมีเรื่องอะไรมาให้ผมใจสั่นเสมอ ยิ่งเรียนรู้ เหมือนยิ่งค้นพบว่าต้องเรียนรู้ ..

     

     

     

    “น้องน้ำมนต์รักพี่ปีโป้นะครับ”  ใครก็ได้มาหุบยิ้มผมหน่อย แค่จูบยังไม่พอใช่มั๊ยไอ้ตัวแสบ ยังต้องให้ผมละลายเป็นของเหลวไหลลงทะเลตอนนี้เลยใช่มั๊ย ..

     

     

    “น่ารักแบบนี้ กูจะเลิกรักได้ไงวะเนี่ย”

     

     

    หนักใจเหมือนผมไหมครับ , ใครอยากรับน้ำมนต์คนนี้ไปไว้ในอ้อมกอดในช่วงวันแห่งความรักนี้บ้าง .. รับรองว่ารอยยิ้มเล็กๆจะผุดขึ้นบนใบหน้าของคุณแบบไม่รู้ตัว ..  ว่าแล้วก็ไปเอากีตาร์มาร้องเพลงให้มันฟังดีกว่า ..

     

    สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับ ..

     

     

    คือว่าคือ เอ่อ คือว่าวันนี้มัน มีไอเดียมานำเสนอให้กัน
    คือว่าเรา อ่า แบบว่ามาอยู่ด้วยกัน อยู่กันไป ไปถึงไหนถึงกัน

    ปีสองปี สามปี สี่ปี ห้าปี เราจะมีกันอย่างนี้ได้ไหม
    เป็นสิบปี ยี่สิบปีเรื่อยไป ขอให้เธอรับไว้พิจารณา

    รู้ฉันมีข้อเสียเต็มไปหมด ไม่มีอนาคตแบบสุด ๆ
    ปากก็หมาระรานไม่หยุด แต่ฉัน ฉัน ฉัน ฉัน...

    ฉันอยากเห็นเธอทุกวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ
    อยากเห็นเธอตอนแก่จัง มันดีที่เราอยู่ด้วยกัน
    มันดีอย่างกับฝัน จะอยู่ด้วยกันไปจนแก่มั้ย

    ปีสองปี สามปี สี่ปี หรือห้าปี เราจะมีกันอย่างนี้ได้ไหม
    เป็นสิบปี ยี่สิบปี เรื่อยไป ขอให้เธอรับไว้พิจารณา

    รู้เธอมีข้อเสียเต็มไปหมด ปี๊ด วีนแตก ขี้งอน แบบฝุดฝุด
    สิวก็ขึ้นที่คางไม่หยุด แต่ฉัน ฉัน ฉัน ฉัน...

    ฉันอยากเห็นเธอทุกวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ
    อยากเห็นเธอตอนแก่จัง มันดีที่เราอยู่ด้วยกัน
    มันดีอย่างกับฝัน จะอยู่ด้วยกันไปจนแก่มั้ย
    ถึงไหนถึงกันไปจนแก่นะ มันดีจริง ๆ นะ.

     






    .................................................................................................................................................................................................................


    สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ เป็นตอนพิเศษที่ยาวมากเท่าที่เคยแต่งมา เพื่อแทนคำขอบคุณ 100 Like fanpage Lungkhao และฉลองให้กับวันวาเลนไทน์ในวันนี้ .. หวังว่าคงจะเต็มอิ่มกันนะครับ .. คิดถึงตัวละคร และก็คนอ่านทุกคนเลย ..


    เจอกันใหม่ Like ที่ 200 นะครับ


    ...............................................................................................................................................................................................................

    ฝากโหวต ฝากวิจารณ์หน่อยนะครับ คนหลังๆได้เข้ามาอ่านกัน




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×