ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #40 : พรุ่งนี้ .. ที่เฝ้ารอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.5K
      20
      31 ม.ค. 55

    ตอนที่ 36

     

    การเดินทางของความรัก มันต้องมีอุปสรรคบ้างสินะ .. และวันนี้มันคงเป็นอุปสรรคที่ร้ายแรง เท้าที่ผมเคยเจอมา การได้มาพบกับครอบครัวของนายปีโป้ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนมาก ครั้งที่แล้วผมจากมาด้วยรอยยิ้ม

     

    แต่ครั้งนี้ผมจากมาด้วยน้ำตา ..

     

     

     

    บนโลกแห่งความจริง ความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ถึงแม้มันจะเกิดกับคนสองคนก็ตาม แต่ในห้วงของความรัก ย่อมมีอะไรหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ผมเลือกจะหลีกหนีครอบครัวของนายปีโป้ไม่ได้ เพราะยังไงซะ นั่นก็คือที่มาที่ไปของเขา แล้วเรื่องของผมกับเขาก็เพิ่งจะเริ่มต้น

     

    ระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน จะไปประสาอะไรกับตลอดชีวิตที่นายปีโป้มีมา ถึงแม้การพิสูจน์ความรักจากเขาทำให้ผมรู้แล้วว่าเขาจริงจัง และเรื่องของเราคงไม่จบลงง่ายๆ แต่มาถึงตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว ไม่รู้จะเดินไปต่อ หรือจะถอยหลัง แค่แรงยืนอยู่กับที่ยังไม่มีเลย

     

     

    “ช้างน้อยยย” เสียงผมเรียกคนที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่รู้จะไปไหน เลยมาหาช้างน้อยที่บ้าน

    “น้ำมนต์” อีกคนคงตกใจไม่ใช่น้อยที่เห็นผมมาในสภาพคราบน้ำตาเต็มแก้มแบบนี้ ผมโผเข้าไปกอด้างน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ต้องการแค่ใครสักคนก็ได้ในตอนนี้ อยู่ใกล้ๆ นั่งเป็นเพื่อน และคอยให้กำลังใจผมหน่อย

    “ตายแล้วน้ำมนต์เพื่อนชั้น ไปพบไปเจออะไรมาอีกละเนี่ย ถึงร้องไห้ปานน้ำท่วมกรุงแบบนี้”

    “ช้างน้อย พ่อ พ่อ พ่อกับแม่ ของปีโป้ เค้า เค้า ฮือๆๆ”  ผมไม่รู้ว่าพูดไปช้างน้อยจะเข้าใจหรือเปล่า เพราะน้ำมูก น้ำตา มันทำให้ปากผมพูดไม่รู้เรื่องเลย

    “อ่าๆ โอเคๆ ชั้นพอจะเดาได้ ใจเย็นๆ  หยุดร้องได้แล้ว ดูสิ ตาบวม น้ำมูกน้ำตาเต็มหน้ามดแล้ว” ช้างน้อยพูดพร้อมกับพาผมมาที่สวนหลังบ้าบของช้างน้อย ก่อนจะยื่นกล่องทิชชู่ให้ผม

    “เช็ดหน้าเช็ดตาซะ  แล้วมาค่อยๆคิดกันว่าจะเอาไง” ช้างน้อยบอกผม

    “ชั้นก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าแกกับพี่ปีโป้จะจริงจังอะไรกันแค่ไหน แต่ที่ชั้นรู้ เมื่อมันเกิดความรัก คนสองคนก็มักจะมองไปข้างหน้า พอมีอะไรไม่เป็นดั่งใจ ก็ต้องมีเสียใจ ปวดใจกันบ้าง แต่ครั้งนี้คงเจอกับปัญหาใหญ่เลยสินะ ..” ช้างน้อยกำลังพูดให้ผมฟัง

    “เราตั้งตัวไม่ทัน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้พ่อกับแม่ของนายปีโป้จะมา แล้วนายปีโป้จะแนะนำว่าเราเป็นแฟน เราไม่คิดว่ามันจะเร็วแบบนี้ ..” ผมพยายามบอกไปบ้าง

    “คงจะช็อคซีนีม่าสินะ ถ้าเป็นชั้นอาจหัวใจวาย ดิ้นพล่านอยู่แถวนั้น” ช้างน้อยหยอดมุกมาเพื่อให้ผมขำ ผมยิ้มให้เธอเล็กน้อย

    “ชั้นคงช่วยอะไรแกมากไม่ได้ นอกจากนั่งเป็นเพื่อนแก ให้กำลังใจแกตอนนี้หรอก เรื่องความรัก ปัญหาที่เกิด มันไม่ได้เกิดจากคนสองคนก็จริง แต่เวลาแก้ คนสองคนนะที่ต้องช่วยกันแก้” ผมเข้าใจที่ช้างน้อยพูดดี

    “อืม เรารู้ดี ตอนนี้เราแค่ต้องการใครสักคนคุยกับเรา” ผมบอกพร้อมยิ้มให้กับช้างน้อยอีกครั้ง

    “ชั้นยินดีเสมอ” และช้างน้อยก็ยิ้มกลับมาให้ผมเช่นเดียวกัน

     

     

     

     

    เรารักกันแค่สองคน แต่คนสองคนก็อยู่บนโลกแค่สองคนไม่ได้ เมื่อมีคนอื่นเข้ามา ก็จะไม่ใช่โลกของคนสองคนอีกต่อไป เมื่อมีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาต่างๆก็จะตามมา .. พวกเขาเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเราสองคน แต่ไม่เคยช่วยแก้ และคนที่แก้คือคนที่รักกันทั้งสองคน ..

     

     

    ตอนนี้ผมอยากให้นายปีโป้อยู่ข้างๆผมเหลือเกิน .. และนายปีโป้ก็คงคิดไม่ต่างจากผม

     

    ผมกลับบ้านไปด้วยใจที่ห่อเหี่ยว มือที่กำมือถือไว้ตลอดเวลา เพื่อรอการโทรมาจากใครบางคน กำจนแน่น เหงื่อที่มือไหลจนมือถือเปียก ก็ไร้วี่แววของคนที่คิดถึง ครั้นจะโทรไปก็กลัวจะรบกวน และทำให้อะไรยุ่งยากมากไปกว่าเดิม

     

    กลับมาบ้าน ยิ้มให้ยาย แล้วขึ้นบ้านไปทำงาน หาอะไรทำเพื่อให้สมองลืมๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ แต่ไม่ว่าทำอะไร ก็ไม่ดีสักอย่าง จนต้องเลิกทำ และมานั่งมองยายทำขนม

     

    “ยาย ..” อยู่ๆผมก็เรียกชื่อนี้มา ทั้งที่สายตาก็ยังเหม่อมองออกไปที่ท้องทุ่งที่ไม่มีจุดจบของสิ่งมีชีวิต

    “ว่าไงลูก เป็นอะไรอีกวันนี้ เห็นเหม่อตั้งแต่กลับมา” ยายหยุดมือที่กำลังทำกระทงใบตองอยู่ แล้วเดินมานั่งใกล้ๆผม

    “ทำไมความรักมันถึงลึกลับซับซ้อนแบบนี้ละ” ผมถาม พร้อมกับพิงหัวไปซบที่หน้าอกยาย

    “โถ หลานยาย กำลังมีความรักสิท่า .. ไปหลงรักสาวที่ไหนเข้าให้อีกละ”  ยายพูดพร้อมกับลูบผมของผมไปเบาๆ

    “ความรักนี่ต้องระหว่างชายกับหญิงเหรอยาย นั่นคือนิยามของความรักเหรอยาย” ผมถามย้อนไป สายตาสงสัย ยายก็มองมาด้วยตางุนงงในคำถามนั้นเช่นกัน

    “มันไม่ใช่นิยามหรอก มันเป็นแค่เรื่องปกติ กว่าจะมาเป็นเรื่องปกติได้ มันก็ต้องเคยไม่ปกติมาก่อน จนคนเริ่มรับได้ ก็กลายเป็นสิ่งปกติขึ้นมา”

    “แล้วยายละครับ จะรับได้ไหม ถ้าน้ำมนต์รักกับใครแบบไม่ปกติ” ผมถามไป ใจเต้นตึกตักไม่แพ้เมื่อตอนกลางวัน ผมอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็กๆ รู้ดีว่ายายเป็นคนอย่างไร ยายไม่ใช่คนแก่หัวหงอก ที่คล่ำอยู่กับเรื่องโบราณ ยายเป็นคนมองโลกให้เป็นปัจจุบัน ยายบอกกับผมเสมอว่าอะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด ห้ามไม่ได้ก็ปล่อยมันไป ถ้าไม่มีใครเดือดร้อน ยายก็ไม่เคยห้ามทำ

     

    แต่ครั้งนี้ยายกลับไม่สบตาผม สายตามองไปข้างหน้าจุดหมายคงไม่ต่างจากที่ผมมองตอนแรกนัก ยายยิ้มใหกับภาพที่เห็น

    “เมื่อก่อนทุ่งนาแห่งนี้ เคยเป็นที่ๆของชาวนามาปลูกข้าวกัน ปลุกกันทุกปี ภาพที่เห็นคือภาพทุ่งนาสีเขียว แล้วก็ค่อยๆเหลือง กลายเป็นรวงทองในที่สุด แล้วก็กลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ รอคอยฤดูทำนามันอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกปีๆ จนมันกลายเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไป ยายเฝ้ารอคอยวันที่ฤดูทำนามาถึง จนทุกวันนี้นาข้าวกลายเป็นนาร้าง ที่ไม่มีใครสนใจมันแล้ว ทำนาก็ไม่ได้ข้าว ขาดน้ำ คนที่ทำเป็นค่อยๆหายไป หายไป จนภาพที่เป็นปกติของทุกวันนี้ คือทุ่งนาร้างๆ มีหญ้าต่างๆมากมาย ที่ไม่ใช่ต้นกล้าของข้าว  น้ำมนต์เข้าใจที่ยายพูดมั๊ย” ยายพูดยาว ก่อนที่จะก้มลงมาถามผม ที่เงยหน้ามองยายพูดอยู่

     

     

    เมื่อก่อนการทำนาคือสิ่งปกติ ที่ยายเคยชิน เคยเห็น มันก็คงเหมือนกับการที่ผู้ชายกับผู้หญิงรักกัน แต่ทุกวันนี้นาที่ร้าง ไร้ซึ่งฤดูปลูกข้าว กลับมาแทนที่ภาพเก่าๆนั้น .. ยายก็กำลังพยายามทำความเคยชินมัน ให้กลายเป็นเรื่องปกติ .. เช่นเดียวกับเรื่องราวของความรักที่แปลเปลี่ยนไป ..

     

    “เข้าใจครับยาย” ผมตอบแล้วก็กอดยายแน่นๆอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นไปหอมแก้มยายทั้งสองข้าง

    “เมื่อไหร่จะเลิกอ้อนยายแบบนี้เนี่ย โตแล้วนะ มีแฟนแล้วด้วย” ยายแซวผม

    “ไม่เอาอ่ะ ถึงโตก็จะอ้อน น้ำมนต์รักยายนะครับ ยายผมน่ารักที่สุดในโลก”

    “พอเลยๆ ไม่ต้องมาทำปากหวาน คราวหน้าก็ชวนพี่ปีโป้มาเที่ยวบ่อยๆนะ บอกว่ายายยินดีต้อนรับ” ยายพูดชื่อนั้นออกมา อย่างกับรู้เรื่องราวก่อนหน้านั้นมาอย่างดี ว่านายปีโป้เข้ามาจีบผม และตอนนี้ก็เป็นแฟนของผม

    “ถ้าอะไรมันเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น ยายคงจะได้เจอเขาอีก” ผมไม่รู้จะบอกยายอย่างไรดี

    “มันต้องเป็นในทางที่เราอยากจะให้เป็นสิ อย่าให้อะไรมากำหนดชีวิตของเรา เข้าใจมั๊ย” ยายพูดให้กำลังใผม กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้ .. ผมยิ้มให้กับยาย คลายกอดยายก่อนที่ยายจะเดินกลับไปทำขนมต่อ

     

     

     

    เวลาที่เราท้อ เรามีปัญหา ใครหลายคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่คืออะไร และทำไปทำไม ขอแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่เข้าใจ ปลอบใจ และให้กำลังใจผม ขอแค่อยู่ข้างๆผม ขอแค่คอยลูบผมปลอบผมเบาๆ ในวันที่ปัญหาต่างๆถาโถม เข้าไม่ได้ช่วยให้ปัญหาต่างๆหมดไปหรอกครับ เขาแค่ช่วยให้ผมมีแรงพอที่จะสู้กับปัญหาเหล่านั้น ทำให้ผมฮึดขึ้นมาอีกครั้ง

     

    ในวันที่ปัญหาถาโถม ขอแค่มี “ยาย” เข้าใจผม .. ผมก็ดีใจแล้วครับ

     

     

    “ติ๊ด ตี๋ ดี ดิ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ตี ดิ๊ด”  เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาทำลายความคิดของผม ที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ยากจะอธิบาย ผมคว้ามือถือที่อยู่ห่างจากมือไม่ไกลนัก ดูเบอร์ที่โชว์อยู่

    “นายปีโป้” ผมอุทานขึ้นเล็กน้อย ดีใจที่เป็นเบอร์นี้ หันไปมองยายเล็กน้อย ซึ่งแกก็กำลังมองมาที่ผมพอดี พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจมาให้ผม ผมกดรับด้วยใจสั่น .. ไม่รู้เลยว่าปลายสายจะโทรมาบอกเรื่องอะไร โทรมาทำไม และเรื่องดีหรือร้าย ..

     

     

     

    “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงไป พยายามทำให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด

    “มึงอยู่ไหน” ปลายเสียงถามมาอย่างไม่รู้อารมณ์

    “อยู่บ้านแล้ว” ผมตอบ

    “เออ แค่นี้แหละ”  และนายปีโป้ก็วางสายไป ทิ้งให้ผมงงกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีข่าวดี หรือว่าข่าวร้ายใดๆ ให้ผมต้องดีใจหรือเสียใจเลย .. มีเพียงข้อสงสัยว่าจะโทรมาทำไม โทรมาแค่นี้ ..

     

     

     

     

    ผมนั่งรอโทรศัพท์อีกครั้ง โดยหวังว่าเค้าจะโทรมา นั่งจ้องอยู่อย่างนั้น  จนตัดสินใจโทรหาเองบ้าง

     

     

     

    หมดสัญญาณเรียกพร้อมกับไร้เสียงตอบรัก สถานะถูกเปลี่ยนเป็นฝากข้อความ ผมกดซ้ำอีกครั้งก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกของสัญญาณที่เรียกในตอนนี้ ดังแต่ละครั้ง เล่นเอาใจผมสั่นไหวไปหมด

     

    ผมคงยึดติดกับมันจนเกินไป ..

     

    “ยายว่า มาช่วยยายทำขนมดีกว่านะ” เสียงยายเรียกผมให้กลับสู่โลกแห่งความจริง ผมคงหมกมุ่นกับมือถือและคาดหวังอะไรเยอะไป ผมหันไปยิ้มให้ยาย ก่อนจะวางมือถือไว้ และเดินไปหายาย ช่วยยายทำขนม

     

     

     

     

       ไม่นานนัก ก็มีรถยนต์คันคุ้นตามาจอดที่หน้าบ้านผม ผมจำได้ดีว่าเป็นรถใคร ทั้งที่เคยนั่งเพียงครั้งเดียวก็ตาม รอยยิ้มค่อยๆเกิดขึ้นบนในหน้าผม ผมมองเข้าไปในรถได้สักครู่ คนในรถก็ทยอยลงมา

     

    “สวัสดีครับคุณยาย” นายปีโป้ยกมือไหว้คุณยายผม ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม แล้วก็ลากออกมาจากตรงนั้น

    “ไปไหน” ผมถามเบาๆ หันหน้าไปมองพ่อแม่ของนายปีโป้ เห็นแม่ของนายปีโป้ยิ้มให้ แต่ป๊า หรือพ่อก็ยังหน้าบึ้งเหมือนเดิม

    “ไปคุยอะไรกับกูหน่อย” นายปีโป้บอกผม พร้อมออกแรงดึงผมอีกครั้ง

    “แล้วทำไมไม่ ..”

    “ไปคุยกับพี่เค้าเถอะน้ำมนต์ รออยู่นานแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงยายของผมขัดจังหวะขึ้นมา พร้อมกับท่าทียิ้มเยาะเย้ยขอแก นายปีโป้ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะจูงมือผมเดินไป

     

     

    ผมหันไปมองภาพข้างหลัง เป็นภาพของพ่อแม่ของนายปีโป้ กำลังทักทายยายผมอยู่ และดูท่าแม่จะรู้จักยายดี

     

     

    “จะลากไปอีกไกลมั๊ย” ผมบอกนายปีโป้ เมื่อเห็นคนโตกว่าลากผมเข้ามาในทุ่งนาร้างแถวบ้านของผม ซึ่งห่างจากบ้านคนแถวนี้พอสมควร มองออกไปเจอแต่ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยหญ้าหลากหลาย เขียวบ้าง เหลืองบ้าง ร่วงโรยตามฤดูกาล

     

    นายปีโป้หยุดเดิน และหันกลับมามองผม ก่อนจะเข้ามากอดผมไว้อย่างแน่น เล่นเอาแมหายใจแทบไม่ออก ผมโดนกอดอยู่แบบนั้น โดยไม่มีเสียงใดๆหลุดออกจากอีกคนเลย เข้าลูบที่ผมของผมอย่างช้าๆ เสียงหัวใจของเราสองคนเต้นดังจนฟังไม่ทัน ว่าเป็นของใคร และของใคร

     

     

     

     

     

    “ลากมาตั้งไกล เพื่อมากอดนี่นะ” ผมทักท้วงอย่างขำๆ เมื่ออีกคนไม่มีทีท่าจะปล่อยผมออกจากอ้อมกอด

    “ก็กูคิดถึง ตั้งแต่ปิดเทอมกูยังไม่ได้กอดมึงเลย แถมเมื่อเช้าก็เจอเรื่องแย่ๆเข้าไปอีก กูเลยอยากกอดมึงไว้นานๆ กูกลัว กลัวว่าจะไม่ได้กอดมึงอีก” นายปีโป้พูดพร้อมกับปล่อยผมจากอ้อมกอด มาเป็นกุมบ่าทั้งสองข้างของผมไว้ ในตาแฝงไปด้วยความเศร้า คำพูดเหล่านั้นทำเอาน้ำตาผมแทบไหล

    “ทำไมพูดแบบนั้นละ หรือว่าป๊ากับแม่นานเค้าอยากให้เรา ..”

    “กูขอโทษ” ผมยังไม่ทันจะพูดจบ นายปีโป้ก็ขัดด้วยประโยคนี้ เล่นเอาผมไปต่อไม่ถูก ยืนก้มมองพื้นดินที่พบแต่หญ้าที่ตายไปด้วยการขาดน้ำ นัยน์ตาผมก็คล้ายๆกับกำลังหลั่งบางอย่างให้ความชุ่มชื่นกับสิ่งนั้น .. แต่มันคงจะไม่เพียงพอ

     

     

    “เป็นไรไปอ่ะ” นายปีโป้ถาม พร้อมกับมือที่ยกหน้าผมเชิดขึ้น

    “ร้องไห้ทำไม” เขาถามมาอีกครั้ง

    “ต้องเลิกกันจริงๆเหรอ ไม่เลิกกันไม่ได้เหรอ เรายังไม่พร้อมเลยนะ” ผมพูดไปพร้อมกับน้ำตา  ที่ไหลออกมาด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวความรักครั้งแรกของตัวเอง จะจบลงง่ายๆแบบนี้

    “เป็นอะไร ฟังกูพูดให้จบก่อนสิ กูบอกว่ากูขอโทษ ที่ทำให้มึงเสียใจ ร้องไห้ที่ห้าง ขอโทษที่ทำให้มึงต้องกลับบ้านมาด้วยความเสียใจ ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลมึง  นี่แหละทีกู่จะขอโทษ แล้วมึงจะร้องทำไมเนี่ย” ผมอึ้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่นายปีโป้พูด นี่ผมตีโพยตีพายไปเองเหรอเนี่ย

    “นายอ่ะ .. ทำไมไม่รีบพูดให้มันจบๆ ทำไมปล่อยให้เราคิดไปไกล ทำไมทำกับเราแบบนี้” ผมพูดด่านายปีโป้ พร้อมกับตีที่หน้าอกเขาไปด้วย

    “ตีแบบนี้ไม่รักกูแล้วเหรอ พี่เจ็บนะ” ดูครับ ที่พูดอ้อน แล้วยังอมยิ้มที่มุมปากอีก

    “ไม่ต้องมาพูดเลย จะไปหายายแล้ว” ผมพูดพร้อมกับจะปลีกตัวกลับไปที่บ้าน

    “เดี่ยวก่อนสิ กูยังพูดกับมึงไม่จบนะ” อีกคนก็ดึงไว้

    “มีอะไรอีก เรียกมาแค่กอดอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ” ผมย้อนถาม

    “ถ้าทำอย่างอื่นได้ ก็จะดีมาก” นายปีโป้ตอบมาพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ไม่ต้องมาทะลึ่ง แล้วป๊ากับแม่นาย .. เอ่อ” ผมจะถามยังไงดีละครับ

    “กูคุยกับแกแล้ว” นายปีโป้พูดบอกมา อย่างกับจะรู้ว่าผมต้องการถามอะไร

    “คุยแล้ว แล้วพวกท่านว่ายังไงเหรอ ?”

    “แม่เหมือนจะเข้าใจ แต่ป๊ายังไม่อยากรับรู้อะไร แกบอกว่ารอเราจบมหาลัยก่อน แกคงขอเวลาทำใจ ดีหน่อยที่แม่ช่วยพูดให้ แม่บอกว่าลูกรักใครแม่ก็รักด้วย และแม่ก็ชอบมึงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย แต่ป๊ากูก็ชอบมึงนะ แต่แกคงไม่ได้ชอบถึงขั้นอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ กูลูกชายคนเดียวด้วย แกคงอยากอุ้มหลาน” พูดมาถึงตอนนี้ นายปีโป้ก็หยุดพูดไป ผมก็พลันรู้สึกแย่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “ทำไมเค้าสองคนเข้าใจง่ายจังเลย ทั้งที่ท่าท่าก่อนเราออกมา ดูโกรธซะขนาดนั้น” ผมถาม

    “ก็กูรั้นไง กูบอกว่ากูรักมึง กูไม่เคยรักใครเท่ามึงมาก่อน กูบอกเขา กูเล่าให้เขาฟังว่ากูทำยังไง ถึงกูจะได้มึงมาเป็นแฟน กูบอกว่ากูไม่เคยใช้ความพยายามเท่านี้มาก่อน  กูบอกว่าแค่นี้พอแสดงให้ป๊ารู้มั๊ย ว่าหนูรักน้ำมนต์แค่ไหน” นายปีโป้พูดพร้อมกับจับมือผมเอามาลูบเล่นเบาๆ

    “พูดแบบนี้จริงเหรอ” ผมจะเชื่อดีไหมเนี่ย

    “จริงสิ ตอนพูดนะ น้ำเสียงหนักแน่น วาจาเกรี้ยวกราดดุจชายชาติทหารเลยล่ะ” ยิ่งน่าเชื่อถือน้อยลงเข้าไปอีก

    “เดี่ยวไว้ค่อยไปถามแม่นายอีกที ว่าพูดแบบนั้นจริงไหม”

    “เอ๊ย ไม่ต้อง กูบอกมึงก็ได้” นั่นไงครับ มันต้องมีอะไรแน่ๆ

    “อ่า . ว่ามา” ผมยืนกอดแก รอฟังความจริงจากนายปีโป้ นายปีโป้เอามือเกาหัวเหมือนกำลังคิดว่าจะเล่าอย่างไรดี

    “คือ .. เอ่อ .. คือกูร้องไห้นานมาก มึงดูที่ตากูสิ ตากูบวมเปล่าล่ะ นี่กูเอาผ้าเย็นประคบแล้วนะ ยังบวมๆอยู่เลย ป๊ากับแม่คงไม่เคยเห็นกูร้องไห้แบบจะเป็นจะตายแบบนี้  แต่ที่จริงกูก็เสแสร้งด้วยแหละ เสียใจก็ตอนที่มึงจะไป ตอนนั้นเสียใจจนน้ำตาไหล แต่ในเมื่อมันไหลแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายต้องมีค่ากว่านั้น กูเลยร้องไห้หนักเรียกร้องความสงสารเข้าไปอีก แม่เห็นกูร้อง แกก็จะร้องด้วย เลยบอกว่า แกชอบมึง แกรับได้ บอกป๊าว่าถ้าป๊าไม่ยอมรับ ก็ไม่ต้องมาสนใจกูกับมึง ไม่ต้องสนใจแม่ด้วย ออกแนวบังคับป๊าไปในตัว ป๊าอับจนหนทาง จนต้องเปิดโอกาสให้กูกับมึงคบกัน”

    “อย่างนี้นี่เอง” ผมพยักหน้าสองสามครั้งเมื่อฟังเรื่องจบ

    “แต่เอาเข้าจริง กว่าจะคุยกับป๊าเข้าใจก็นานอยู่ และป๊าก็บอกว่าขอเวลาทำใจ ให้กูเรียนจบมหาลัยก่อน แล้วแกจะยอมรับในตัวมึงอีกครั้ง มึงรอได้ไหมล่ะ”

    “เรื่องอะไรเราจะรอ” ผมอยากแกล้งนายคนนี้ดูบ้าง

    “มึงพูดว่าไงนะ” นายปีโป้ตะโกนกลับมาเสียงดังลั่น

    “ถ้าคนบางคนไม่ทิ้งเรา ก็คงไม่มีใครกล้ามาจีบเราแล้วละ กว่าจะมีแฟนกับเขาสักคน ไม่ใช่ง่ายๆเลยนี่” ผมบอกไปพร้อมกับยิ้มๆ

    “เมื่อกี้ไม่ได้พูดแบบนี้นี่ .. แต่ก็ดีละ กูชอบ” นายปีโป้บอกผม พร้อมกับเดินเข้ามาโอบคอผมอีกครั้ง

     

     

    เรื่องราวของผมกับนายปีโป้ก็มักจะเป็นแบบนี้แหละครับ วันๆหนึ่งมีทุกอารมณ์ เขาบอกกันไว้ว่า ถ้าไม่เคยร้องไห้มาก่อน ก็จะไม่มีวันเห็นคุณค่าของรอยยิ้ม .. ถ้าไม่เคยรู้สึกสูญเสีย ก็จะไม่เห็นคุณค่าของความรัก ผมเข้าใจแล้วละครับ ว่ามันรู้สึกเช่นไร เวลาเป็นแค่ตัวแปรหนึ่งเท่านั้นที่เอามาใช้พิสูจน์ความรักของผม ความรู้สึก ความผูกพัน สิ่งต่าๆงที่เขาทำให้ผมต่างหาก ที่มันเอามาพิสูจน์ .. ว่าคนๆนี้ รักเราจริงๆ

    ผมกับนายปีโป้เดินกลับเข้าบ้านมา โดยมีมือของนายปีโป้จับมือผมไว้ และเมื่อใกล้มาถึงบ้าน ผมเลยบอกให้เขาปล่อยมือ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อกัน แต่การแสดงความรักประเจิดประเจ้อแบบนี้ก็คงไม่ดีนัก .. ยิ่งความรักของเราแล้ว ยิ่งยากจะยอมรับ

     

     

    “กลับกันมาแล้ว” ยายผมทักเมื่อเห็นผมกับนายปีโป้เดินเข้ามาที่ใต้ถุนบ้าน

    “หนูน้ำมนต์ .. แม่ขอโทษด้วยนะลูก ที่ทำให้ลูกเสียใจวันนี้” แม่นายปีโป้เดินเข้ามาจับมือลูบแขนปลอบผม

    “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” ผมตอบแล้วยิ้มไป

    “ดูสิคุณ น่ารักจริงๆเลยหนูน้ำมนต์เนี่ย แม่ดีใจจัง แม่จะได้มีลูกชายเพิ่มละ” แม่ปีโป้พูดพร้อมกับหันไปคุยกับป๊าของนายปีโป้ ที่นั่งขรึมไม่พูดไม่จาอยู่

    “นี่คุณ .. จะเก็กอีกนานมั๊ย เมื่อกี้ก็ยังชมหนูน้ำมนต์กับคุณยายอยู่เลย พอตาหนูโป้มาก็ทำเก็กซะงั้น  ตาหนูโป้มันรู้หรอก ว่าคุณทำไปทำไม  ดูสิตาหนู ป๊าเค้างอนเรา เค้ากลัวเราไปม่รักเค้า” แม่ของนายปีโป้หันไปดุป๊าของนายปีโป้ ก่อนจะหันไปพูดกับเค้า

    “จริงเหรอป๊า ...” นายปีโป้พูดกับป๊าลากเสียงยาว ทำเสียงกวนๆ กับหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้คุณลุงมากขึ้น

    “ไม่ต้องมายุ่งกับป๊า ป๊ามันไม่หนุ่ม ป๊ามันผมไม่ยาว ป๊ามันไม่ได้หน้าขาว มันไม่ได้น่ารักแล้วนี่” นั่นไงครับ ป๊าน้อยใจใหญ่แล้ว

    “โอ๋ๆ ไม่น้อยใจนะตัวเอง ยังเค้าก็รักตัวเองเหมือนเดิมแหละ มามะกอดหน่อย” นายปีโป้พูดพร้อมกับกอดคุณลุงไว้แน่น คุณลุงดิ้นเล็กน้อย แต่สีหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มขึ้นบ้าง

    “เอากับเขาสิบ้านนี้  ถ้าลูกชายมีแฟนผู้หญิง แม่ก็น้อยใจ พอลุกชายมีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อก็น้อยใจอีก กลัวลูกไม่รักสินะ เหอะๆๆ” ยายพูดสรุป ก่อนจะหัวเราะออกมา กับภาพของพ่อลูกกำลังง้องอนกัน

     

     

    ส่วนแม่ของนายปีโป้ ก็จับตัวผมหมุนซ้ายหมุนขวา จับแก้มจับแขน ลูบไล้ไปตามตัวเป็นว่าเล่น

    “หนูน้ำมนต์นี่ผิวสวยจังเลยคะแม่ หนูชักชอบแล้วสิ ดูๆไปก็คล้ายผู้หญิงนะคะเนี่ย” คุณป้าพูดกับยาย เรื่องของผม จะว่าผมเขินก็ใช่ แต่ก็ไม่ชอบเท่าไหร่ ที่มีใครบอกว่าเหมือนผู้หญิง

    “น้ำมนต์มันได้แม่มันมา ผิวอะไรเนี่ยเหมือนแม่มันหมด” มีแต่คนบอกว่าผมเหมือนแม่ครับ เค้าบอกว่าผู้ชายเหมือนแม่จะไม่อาภัพ แต่ผมว่าผมยงอาภัพที่พรากจากพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็กอยู่ดี

    “นั่นสิคะ มองแว๊บแรกหนูก็คิดเลยว่าเหมือนยัยนามากๆ” คุณป้าบอกว่าผมหน้าเหมือนแม่ผมครับ

     

     

    “ลูบไล้พอหรือยังคุณ ถูอย่างกับจะขอหวยจากหนูน้ำมนต์”  คุณลุงส่งเสียงมาจากด้านหลัง

    “ป๊าอิจฉาอ่าดิ บอกหนูมาเถอะ ว่าอยากกอดน้ำมนต์เหมือนกัน” นายปีโป้แซวพ่อของตัวเอง

    “ใครบอกละ ป๊าไม่อยากกอดใครทั้งนั้นแหละ แกก็ออกไปเลย ไม่ต้องมาเกาะแกะกับพ่อ พ่อร้อน”

    “ร้อนจริงอ่ะ งั้นหนูไปกอดแม่ดีกว่า”

    “เอ๊ยย”

    “โอ๋ๆๆ ใครจะกล้าทิ้งป๊าละ ถึงหนูจะมีแฟน แต่หนูก็รักป๊าเหมือนเดิมนะ รักมากๆด้วย” นายปีโป้อ้อนใหญ่แล้วครับ ผม ยาย และคุณป้ายิ้มให้กับภาพนั้นใหญ่

    “ให้มันจริงเห๊อะ .. นานๆทีกลับบ้าน นึกว่าไปติดสาวที่ไหน ที่แท้ก็ลูกไอ้ยศ หนีไม่พ้นมันจริงๆเลยกูเนี่ย” คุณลุงพูดถึงพ่อผมครับ

     

    “โอเค เดี่ยวคราวหน้าหนูจะกลับบ้านทุกอาทิตย์เลย  จะไม่เถลไถลที่ไหนอีกแล้ว หนูสัญญา”

    “ไม่ต้องมาเลย ป๊าไม่อยากเจอ” คุณลุงพูดมาสีหน้าจริงจัง

    “อ้าว ไงงั้นอีกละป๊า”  นายปีโป้เริ่มเอาใจป๊าตัวเองไม่ถูกละ แต่หัวโตๆ ผมยาวๆของเค้าก็ยังไถๆอยู่ตามแขนของป๊าขงเค้าอยู่ดี

     

     

     

     

     

    “ถ้าจะมา ต้องพาหนูน้ำมนต์มาด้วย เข้าใจมั๊ยยยยยยย”  ก่อนประโยคที่ชัดเจนจะหลุดออกมา พร้อมรอยยิ้มที่แสนใจดีของคุณลุงจะกลับมาให้เห็นบนใบหน้าอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้เต็มที่อีกครั้ง

     

     

     

    ภาพตอนนี้คงเป็นภาพที่น่าดูไม่เบา ภาพของคุณลุงนั่งกอดและเกาหัวลูกชายตัวโต ที่อ้อนพ่ออย่างกับเด็กๆ กอดบ้าง หอมแก้มบ้างสลับไป ภาพของคุณป้าที่ยืนโอบเอวผมไว้เบาๆ สายตาจ้องมองพ่อลูกเล่นกัน และภาพของยายที่ดูลูกๆหลานๆ พรางเคี้ยวหมากในปาก มีแซวบ้าง คุยบ้างตามประสา

     

     

    เมื่อก่อนผมมองว่ารักเข้าใจยาก และช่างซับซ้อน แต่เพราะคนเราเลือกจะมองต่างมุม มองกันคนละแบบ บางคนมองรักเพื่อผมประโยชน์ บางคนมองรักเพื่อชื่อเสียง บางคนมองรักคือเพศ คืออายุ บางคนมองรักแค่คลายเหงา บางคนมองรักคือทั้งชีวิต

     

     

    ถ้าเรามองรัก ว่ามันคือความรัก .. เมื่อนั้นเราก็จะมองมันเหมือนกัน

     

     

    ขอบคุณคุณลุงคุณป้า และก็ยายมากนะครับ .. ที่มองรักครั้งนี้เหมือนกับที่ผมและนายปีโป้มอง










    ...........................................................................................................................................................
    ขอกำลังใจเป็นแสดงความคิดเห็น ติชม วิจารณ์ กดโหวตให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    ...........................................................................................................................................................





    ฝากกดไลท์แฟนเพจนักเขียนหลังเขาด้วยนะครับที่ https://www.facebook.com/pages/Lungkhao/262017157203925

    (เพื่อติดตามตอนพิเศษ บนสนทนาขำๆของตัวละครต่างๆ เรื่องราวน่ารักที่มีนอกเหนือในนิยายครับ)




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×