ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #39 : วันนี้ .. ที่ทรมาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      16
      17 ธ.ค. 54

    ตอนที่ 35

     

     

     

    ทันทีที่มือของผมเอื้อมไปปิดไฟ ริมฝีปากของผมก็ประกบกับคนตรงหน้าอย่างช้าๆ เป็นครั้งที่ผมรู้สึกอยากแสดงความรักกับคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากของผมค่อยๆลูบไล้และสัมผัสเข้าไปข้างในของอีกคน กลิ่นเหล้าอ่อนๆของทั้งผมและมันผสมกันไปมา พอๆกับลิ้นของผมที่ตวัดซ้ายขวาในช่องปากของอีกคนที่ยังคงกระด้าง ไม่ชำนาญการนัก

     

    “นาย หยุดก่อน” อีกคนผลักอกผม ก่อนจะหาอากาศหายใจแล้วพูดออกมา

    “ทำไมละครับ ขอพี่โป้ให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้เหรอ” ผมเริ่มจะงอแง

    “ไม่เอาแล้ว เมาแล้ว ไปนอนเถอะ” อีกคนพูดพร้อมกับพยายามเอาตัวออกจากอ้อมแขนผม

    “ยังไม่เมาเลย พี่โป้จะพิสูจน์ให้น้องดูไง ว่าพี่โป้รักน้องน้ำมนต์มากแค่ไหน” ผมบอกอีกคนพร้อมกับก้มหน้าเอาจมูกไปชน

    “วิธีแบบนี้พิสูจน์มากี่คนแล้วละ” อีกคนย้อนกลับมาซะเจ็บ

    “แต่พี่รักน้ำมนต์จริงๆนะ” ผมยังคงยืนยันความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนี้

    “รักจริง แล้วรอได้หรือเปล่าละ” สายตาที่เว้าวอนนั้น ทำเอาผมใจอ่อนระทวยไปหมด อีกคนคงไม่พร้อมรับศึกในวันนี้จริงๆ

     

     

    “ได้สิ รอมาตั้งนานแล้ว จะรออีกนิดนึงจะเป็นไรไป” ผมบอกพร้อมกับยิ้มให้กับมัน

    “น่ารักมาก จุ๊บ” น้ำมนต์บอกผมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเขย่งมาจูบที่ปากผมหนึ่งครั้ง

     

     

    สำหรับคนนี้ .. ผมรอได้เสมอครับ ในเมื่อรอมาตั้งนานกว่าเขาจะรักผม งั้นก็คงต้องรอต่อไป จนกว่าเขาจะพร้อม และสำหรับผม การพิสูจน์ว่ารักกันมากน้อยแค่ไหนสำหรับน้ำมนต์แล้ว มีอะไรให้ผมพิสูจน์ได้อีกเยอะแยะมากมาย ที่ไม่ต้องใช้ร่างกายและความใคร่มาพิสูจน์กัน

     

     

     

    คำคืนนั้นจบลงด้วยอีกคนที่อยู่ในอ้อมแขนของ ความอบอุ่นจากอีกคนช่วยให้หัวใจของผมที่เคยตายด้านเพราะความรักกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผมอาจจะเคยเกเรกับหัวใจของตัวเอง เล่นอะไรพิเรนท์ๆจนทำให้หัวใจผมเจ็บช้ำ ด้วยการกระทำซ้ำๆของตัวเอง แต่หลังจากนี้ ผมรู้แล้วว่าหัวใจที่เต้นอยู่นั้น เต้นได้เพราะใคร ..

     

     

     

     

     

     

     

    “ปิดเทอม นายกลับบ้านหรือเปล่า” น้ำมนต์ถามในเช้าของวันต่อมา ในขณะที่ผมกำลังยืนแปรงฟันอยู่

    “กลับ มึงอ่ะ” ผมหยุดแปรงฟันแล้วตอบมัน

    “กลับอยู่แล้ว เราไม่ได้มีหอในเมืองนี่” มันตอบผมมาพร้อมกับมือที่จับเอาผ้าห่มที่เราห่มด้วยกันสองคนเมื่อคืนมาพับให้  ผมก้มหน้าลงบ้วนปาก เอาฟองยาสีฟันออกไปให้หมด ก่อนที่ผมจะเผลอกลืนไปเยอะกว่านี้ เวลาพูดกับมัน

     

    “ไม่ใช่ กูหมายถึง มึงจะกลับไปบ้านกูด้วยมั๊ย ไปอยู่กระท่อมกับกู กูเหงา” ผมหันไปบอกมันพร้อมกับทำหน้าจริงจัง เพื่อให้มันรู้ว่า กูชวนมึงจริงๆนะ และกูก็เหงาจริงๆด้วย

    “ได้ไง เราต้องอยู่กับยาย นายไปทำหน้าที่ลูกที่แสนดีของนายเถอะ เราก็จะทำหน้าที่หลานที่แสนดีของเราเหมือนกัน” มันบอกผมมา

    “แต่กูอยากให้มึงอยู่ใกล้ๆนี่หน่า” ผมเดินออกมาหามัน ทำสายตาอ้อนวอน เหมือนแมวขอปลาทู

    “ห่างกันบ้าง จะได้คิดถึงกันมากขึ้น” มันตอบมาพร้อมกับยิ้มๆ

    “ไม่เชื่ออ่ะ มึงเหรอจะคิดถึงกู” ผมย้อนๆ แบบน้อยใจ

    “ไม่เชื่อก็ตามใจ” ดูมันครับ แทนที่จะง้อผมหน่อย ไม่มีเลย เชื่อแล้วจริงๆ น้ำมนต์นะน้ำมนต์ !!

     

     

     

     

     

     

    แล้วช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาของปิดเทอมที่ผมอยากให้เปิดเทอมไวๆ การกลับบ้านของผมมาครั้งนี้ก็เหมือนกับการกลับบ้านมาในทุกๆครั้ง แต่ที่แตกต่างคือผมต้องช่วยงานป๊ามากขึ้น ป๊าบอกว่าตั้งแต่เรายกเลิกการหมั้นกับหมวยเล็กไป ลูกค้าของป๊าที่ได้มาจากพ่อของหมวยเล็ก หายไปพอสมควร ดังนั้นป๊าจึงพาผมมาช่วยงาน ทั้งหาลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเดิมไว้

    ป๊าบอกว่า ป๊าตามใจผมจนผมเลือกเรียนช่าง แต่มันก็ไม่ได้เอามาใช้อะไร แถมตอนเข้ามหาลัย ผมยังต้องไปเข้าเรียนพวกบริหารอีก ซึ่งไม่รู้ว่าหัวของผมจะไปด้านนั้นได้ไหม แต่ป๊าก็อยากให้เรียน เพราะตามใจเรียนช่างแล้ว ก็ต้องตามใจป๊าเรียนบริหารเหมือนกัน แต่สำหรับผมแล้ว เรียนอะไรก็ได้ เพราะผมก็ยังไม่ได้คิดถึงอนาคตของตัวเองไว้ไกลเกินวันพรุ่งนี้เหมือนกัน และก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็คงทิ้งธุรกิจที่บ้านไม่ได้อยู่ดี

     

     

    “เมื่อไหร่จะพาแฟนมาให้แม่รู้จัก หือตาหนู” แม่ผมถามขึ้น ขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีพักเหนื่อยจากกลับมาแพปลา

    “แม่อยากเจอจริงเหรอ” ผมถามสวนไป

    “ก็อยากเจอสิ ว่าแต่น่ารักเหมือนแม่มั๊ย”

    “โห จะน่ารัก จะสวยสู้แม่ได้ไง แม่สวยกว่าเยอะ”

    “ไม่ต้องมาทำปากหวาน  บอกแม่มาซะดีๆนะ ว่าคนไหน แม่เคยเจอหรือยัง” แม่ทำหน้าอยากรู้มาก พร้อมกับลงมานั่งใกล้โซฟาใกล้ผม

    “เคยเจอแล้วครับ” ผมบอกไปพร้อมกับรอยยิ้มแบบมีเลศนัย

    “น่านนน คนไหนนะ จะไม่บอกแม่จริงเหรอ” แม่ยังคงพยายามคิด และซักไซ้อยู่เนิ่นนาน จนผมปล่อยให้แกคิดไปต่างๆนานา

     

     

    จะว่าไป ผมก็คิดวิธีที่จะบอกแม่ให้รู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะว่าวันหนึ่ง แม่ก็ต้องรู้อยู่ดี แต่วันนั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่ ผมขอผลัดไปก่อนแล้วกัน .. ยังไม่อยากดราม่าช่วงนี้

     

     

     

    เย็นวันนั้นไอ้เอ็มมารับผมไปกินเบียร์ที่ร้านอาหารอีสานร้านหนึ่ง ที่ผมกับมันไปกันบ่อยๆครับ ตั้งแต่ปิดเทอมมาผมก็ห่างเรื่องสังสรรค์ไปพอสมควร ส่วนมันก็เพิ่งจะได้กลับบ้านมา มัวแต่หลงสาวอยู่ในเมือง จนลืมบ้านลืมเพื่อน ที่กลับมานี่เพราะผมโทรไปบอกมันครับ ว่าถ้าไม่กลับมา ผมเลิกคบ ถึงได้เห็นหัวกันนี่แหละ

     

     

    “มึงไม่ไปหาน้องน้ำมนต์บ้างเหรอ” มันถามผมเมื่อเบียร์เย็นๆ ถูกซักเข้าคอมันไปได้ครึ่งแก้ว

    “ไม่ค่อยมีเวลาเลยวะ ช่วงนี้ป๊างานยุ่งมาก กูต้องอยู่ช่วย” ผมบอกมันไป พร้อมกับยกเบียร์เข้าปากเหมือนกัน

    “ไม่คิดถึงหรือไงวะ” มันถาม

    “เกินกว่าคำนั้นแล้ววะ โทรคุยกันทุกคืน กลางวันกูก็โทรเกือบทุกชั่วโมง นี่ขนาดอยู่ไกลกันแค่ขับรถไปหาชั่วโมงกว่าๆถึงนะ กูยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วถ้าต้องไปเรียนมหาลัย กูคงขาดใจตาย” ผมอธิบายความอัดอั้นให้มันฟัง

    “มึงก็ดูเว่อร์ๆดีนะ กูว่า” มันกัดผมครับ

    “กูไม่ได้เว่อร์เว๊ย ความรู้สึกคนเรามันวัดกันไม่ได้อยู่แล้ว ว่าอย่างไหนน้อย แบบไหนมาก อะไรพอดี” ผมบอกมันพร้อมกับยักคิ้วให้

    “เออ กูเข้าใจ กูก็คิดถึงของกูเหมือนกัน” มันบอกผมครับ

    “แหม เพิ่งห่างกันได้ไม่ถึงวัน คิดถึงกันซะแล้ว” ผมขอกัดมันบ้าง

    “ฮ่าๆ ไม่ต้องมาแซวกู แล้วช่วงนี้น้องน้ำมนต์ทำอะไรเหรอ”

    “อยู่บ้าน ช่วยยายขายขนม วาดรูป ไม่ก็ออกไปถ่ายรูปเล่น ตามอารมณ์ศิลป์ของมัน” ผมบอกไป

    “อืม ไม่เห็นจะคิดถึงมึงเลยเนอะ”

    “แสดดด มึงรู้ได้ไง ว่าไม่คิดถึง”

    “คิดถึง แล้วทำไมไม่มาหามึงบ้างละ เพิ่งเป็นแฟนกันนะเว๊ย อย่าปล่อยให้ห่างกันนานๆ เดี๋ยวความรักมันก็เจอจางไปหรอก”

    “ไม่หรอก กูเชื่อ ว่าระยะทาง ไม่ทำให้รักกูจางง่ายๆ”

    “เออ ให้มันจริงอย่างที่มึงคิดแล้วกัน”

     

     

    ไอ้เอ็มพูดจนเบียร์เย็นๆ รสหวานๆเมื่อแตะลิ้นเมื่อครู่ รู้สึกขมๆขึ้นมาทันทีเลยครับ ไอ้นี่มันเป็นพวกมองอะไรไกล และมองลึก มองขาด ไม่ได้มองเข้าข้างใคร ไม่ได้มองให้คนอื่นดูดี คนไหนดูชั่ว แต่มันจะมองอย่างเป็นกลางๆ

     

    ผมรู้จักมันดีครับ มันไม่ได้ต้องการจะให้น้ำมนต์ดูแย่ แต่มันแค่อยากจะเตือนๆผม เพราะระยะทาง มันเคยทำให้ผมต้องเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว ..

     

     

     

    “ฮัลโหล ทำไรอยู่มึง” คืนนั้นผมโทรไปหาน้ำมนต์ไวกว่าทุกวัน

    “กำลังช่วยยายทำขนม” มันบอกผมมา

    “พรุ่งนี้กูไปหานะ”

    “แล้วงานไม่ยุ่งเหรอ”

    “คนงานทั่วไปยังมีวันหยุดเลย แล้วกูเป็นถึงลูกเจ้าของจะให้ทำตลอดเลยหรือไง” ผมกวนมัน

    “เหรอครับ คุณหนูโป้” ดูมันครับ ตอบผมมากวนๆไม่แพ้กัน

    “ใช่แล้วครับ พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่าละ”

    “เจอกันในเมืองดีกว่า เจอกันครึ่งทาง จะได้ไม่เอาเปรียบกัน” มันบอกผม

    “อืม ก็ได้ แล้วแต่มึงสะดวกเลย” น้ำมนต์มันชอบคิดอะไรเล็กๆแบบนี้เสมอเลยครับ

    “ได้ครับ คุณหนู” ดูที่มันทะเล้นครับ

    “แหนะ ยังไม่หยุด เจอจะจับจูบให้”

    “ลองดูสิ มีต่อยแน่”

    “โห โหดจริงๆเลย กล้าทำนายหัวโป้เหรอ”

    “ก็นายหัวโป้ มันกวนน้องน้ำมนต์นี่”

    “น้องน้ำมนต์ ?”

    “ทำไมอีกละ”

    “เปล่า กูเขินเวลามึงแทนตัวเองว่าน้อง”

    “แต่พี่ปีโป้ก็ยังแทนตัวเองว่ามึงกู”

    “ไหน ? ใครกัน พี่ปีโป้ออกจะพูดไพเราะเสนาะหู”

    “เหรอครับ”

    “ใช่แล้วครับ”  อยากพูดเพราะๆกับมันอยู่หรอก แต่ไม่ชินสักที

    “นี่ๆ มีอะไรจะบอก” มันพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสัย

    “มีอะไร ?”

    “เงี่ยหูมาใกล้ๆ” มันพูดซะอย่างกับกว่าอยู่ใกล้กัน ผมนี่กดโทรศัพท์แทบจมเข้าไปในหูละ

     

     

     

    “คิดถึงนะครับ  ตึ๊ด ตึ๊ด”

     

     

     

     

    หึหึ .. ร้ายจริงๆแฟนผม ร้ายที่กล้าทำให้ผมยิ้มค้าง ร้ายที่กล้าตัดสายกับผม ร้ายแบบนี้ ไม่รักก็บ้าแล้ว

     

     

     

    “นั่งยิ้มอะไรอ่ะ ตาหนู” ป๊าทักมาพอดี หุบยิ้มแทบไม่ทัน

    “เปล่านี่ป๊า”

    “โกหกคนแก่บาปนะ” ดูแกพูดเข้า

    “แฟนบอกว่าคิดถึง” ผมบอกแกไป จะได้ไม่ต้องมานั่งแช่งผม

    “แค่นี้ถึงกับยิ้ม” ดูที่แกถามมา

    “ป๊าไม่ใช่วัยรุ่น ป๊าไม่เข้าใจหรอก”

    “เอ็งว่าป๊าแก่เหรอ หือ ?”  เริ่มไม่จบง่ายๆแล้วครับ

    “ใครว่า ป๊า เปล่าซะหน่อย ป๊าครับ พรุ่งนี้หนูขอเข้าเมืองนะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเสีย

    “ไปทำไม ไปหาแฟนเหรอ?”

    “ก็ไม่เชิง นะนะ ป๊านะ เดี่ยวจะมาช่วยงานชดวันหลัง” ผมยื่นข้อเสนอ

    “ได้ ..”  เอ๊ย ทำไมง่ายจังวะ

    “แต่ ..” นั่นไง ข้อแลกเปลี่ยน

    “แต่อะไรอีกละป๊า หนูทำงานให้ป๊ามาหลายวันแล้วนะ เงินก็ไม่ได้เนี่ย ดูดิตัวดำหมดแล้ว “ นายหัวโป้กำลังเริ่มงอแงครับ

    “ป๊ากับแม่จะไปด้วย ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องไป”

     

     

    เอ่อ .. อะไรของป๊าเนี่ย พูดแล้วก็เดินจากไป ทั้งป๊าทั้งแม่กำลังจู่โจมหนูอยู่นะเนี่ย 

     

     

    แต่ถ้าไม่พาไป สักวันแกสองคนก็คงรู้อยู่ดี ถ้าไม่ใช่วันพรุ่งนี้ มันก็ต้องมีสักวัน ถึงจะบอกตัวเองว่าไม่พร้อม แต่ในเมื่อทุกอย่างบังคับขนาดนี้ ก็ต้องกล้าเผชิญความจริงแหละ ..

     

     

    สู้เค้า .. นายหัวโป้ !!

     

     

     

     

    วันนี้ป๊ากับแม่ผมแต่งตัวกันเต็มยศเลยครับ แม่บอกกลัวน้อยหน้าลูกสะใภ้ ส่วนป๊าบอกว่าไม่อยากน้องอยากน้อยหน้าผม เอากับเขาสองคนสิ และนี่ผมก็ยังไม่ได้บอกน้ำมนต์เลยว่าป๊ากับแม่มาด้วย กลัวเกร็งจนไม่มา กลัวไม่กล้ามาเจอ รายนั้นยิ่งเข้าใจยากอยู่แล้ว ตอนที่โทรมาบอกว่ากำลังออกมา และจะรอหน้าวิทยาลัย ผมก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก  ใจตอนนี้อยากขับรถให้ช้าๆ อยากลงไปเข็นด้วยซ้ำ

     

    “ตาหนูเป็นไรเหรอ ทำไมขับรถช้าแบบนี้” แม่ที่อยู่ข้างหลังถามผมครับ

    “ไม่รีบแม่” ผมบอกแม่ไป

    “งั้นลงตาหนู ป๊าขับเอง ป๊ารีบ กลับมาทำงานทำการอีก” ป๊าผมเริ่มหงุดหงิดไปด้วยคน จนผมต้องเร่งความเร็ว

     

     

     

    อีกไม่กี่แยกก็จะถึงมหาลัยผมแล้ว ผมอยากให้วันนี้ในเมืองรถติดมากๆ ให้เหมือนกรุงเทพยิ่งดี แต่นี่มันต่างจังหวัด จะให้ไปติดมากมายแบบนั้นได้อย่างไร ยิ่งคิดเหงื่อยิ่งไหล ทั้งๆที่แอร์ก็เปิดซะแรงขนาดนี้

     

     

    “ป๊าครับ แม่ครับ” ผมเรียกทั้งสองคน เพื่อให้มาสนใจที่ผมจะสารภาพ

    “มีไรตาหนู” แม่ขานรับ

    “ว่ามา” ป๊าก็หันหน้ามาสนใจ

    “ในชีวิตของหนู ป๊ากับแม่เคยผิดหวังกับหนูเรื่องอะไรมากที่สุดเหรอครับ” ผมถามลองเชิง

    “แกไม่ได้ที่หนึ่งตอนป.6” ป๊าบอกผม

    “โห ป๊า จริงจังหน่อยสิ”

    “สำหรับแม่ แม่ไม่เคยผิดหวังในตัวลูกเลยจ๊ะ” แม่ตอบได้นางสาวไทยมาก

    “แหมคุณ ยอลูกซะ” จนป๊าต้องเหน็บ

    “ก็ทำไมละ ลูกชั้นน่ารัก” แม่หันไปสวนป๊า

    “ทำไมวะตาหนู แกกลัวป๊ากับแม่ไม่ชอบแฟนแกเหรอ” ป๊าหันมาสนใจผม และคงรู้ทันว่าที่ผมถามนี่หมายถึงอะไร

    “จะพูดแบบนั้นก็ถูกครับ” ผมพูดพร้อมพยักหน้า กลืนน้ำลายกับคอที่แห้งผาก เพราะแยกหน้าก็คือวิทยาลัยของน้ำมนต์แล้ว

    “นี่ตาหนูมาทางวิทยาลัยศิลป์นี่ แฟนตาหนูเรียนวิทยาลัยศิลป์เหรอ” ป๊ามองทางแล้วถามผม

    “อ่า .. ครับ” ผมตอบไปแบบไม่เต็มคำนัก เพราะไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงจุดนัดพบของผมกับน้ำมนต์แล้ว และตอนนี้น้ำมนต์คงยืนรออยู่แล้ว

     

    “วิทยาลัยศิลป์เหรอ หนูน้ำมนต์เรียนอยู่ที่นี่นิ” แม่ผมเสริม

     

     

     

    “เอ๊ะ หรือว่า // อย่าบอกนะว่า”  ป๊ากับแม่ของผมประสานเสียงถามขึ้นมาพร้อมกับรถที่จอดเทียบฟุตบาตร ข้างทาง แล้วด้านซ้ายก็เป็นน้ำมนต์ยืนอยู่ในชุดกางเกงยีนส์เดฟรัดขา ขาดตรงหัวเข่าเล้กน้อย ใส่เสื้อยีนส์เก่าๆพับแขน  ปล่อยผมยาวสยายไปตามสายลมที่พัดผ่าน ทำหน้าสงสัยเมื่อมีรถไปเทียบข้างหน้า เพราะคงไม่คุ้นกับรถที่บ้านผม

     

     

    “ครืดดดดดดด” เสียงกดกระจกลงโดยฝีมือผมดงขึ้น โดยกระจกที่เปิด เป็นกระจกทางด้านที่ป๊าผมนั่งอยู่

    “สวัสดีครับ  สวัสดีครับ” น้ำมนต์ทำหน้างงๆ เล็กน้อย ที่เห็นหน้าสองท่านนั่งอยู่บนรถ ก่อนจะยกมือไหว้ ป๊ากับแม่ของผมก็รับไว้ และยิ้มแห้งๆออกมา คงยังช็อคอยู่ไม่น้อย

    “ขึ้นนั่งข้างหลังสิ” ผมบอกน้ำมนต์ น้ำมนต์พยักหน้าให้ผมเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดประตูหลังขึ้นนั่งข้างแม่ผม

     

     

    ในรถเก๋งรุ่นท็อปของตลาดคันนี้ ไม่มีแม้เสียงใดๆหลุดรอดออกมา การหายใจของแต่ละคน ยังต้องพยายามหายใจให้เกิดเสียงให้กระทบกับผนังจมูกให้น้อยที่สุด ผมคนขับยังต้องหรี่แอร์ที่เร่งเปิดขับไล่ความร้อนอบอ้าวในตัวเองให้เบาลง ส่งผลให้เหงื่อที่รอเวลาไหล เคลื่อนตัวต่ำลงตามแรงดึงดูดโลก  ผู้โดยสารที่เพิ่งก้าวขาขึ้นมาใหม่ นิ่งเงียบอย่างกับอยู่ในสงครามเย็นแบบไม่รู้ตัว

     

    ผมที่แน่กับทุกเรื่อง กล้าเผชิญกับทุกอย่าง มาวันนี้ต้องมาเจอความเงียบที่แสนจะโหดร้ายกว่าความเงียบใดๆของทั้งสองคน เล่นเอาผมไม่อยากหายใจ อยากขับรถพุ่งชนสิบล้อฝั่งตรงข้าม ถ้าคนที่นั่งรถอยู่นั้นมีแค่ผม ผมคงทำอะไรบ้าๆแบบนั้นไปแล้ว

     

     

    รถสี่ล้อจอดเข้าเทียบที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตัวเมือง เพียงแค่รอดจอดสนิทเท่านั้น ประตูทั้งสองข้างถูกเปิดขึ้นอย่างไว ก่อนที่จะเดินเห้างไป

    “ไปเจอกันที่ร้านเดิม” แม่หันมาบอกผม ก่อนจะเดินตามป๊าไป

     

     

    “เฮ้ออออออ” ผมถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ หันไปมองคนที่นั่งข้างหลังที่ทำสีหน้ากังวลแพ้ผม แม่ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

    “มีอะไร .. หรือเปล่า” น้ำมนต์ถามมาด้วยสีหน้าสงสัย และคงไม่อยากฟังคำตอบอะไรมากนัก

    “อย่าให้กูพูดเลย เดี๋ยวมึงก็ต้องรู้ ไปกันเถอะ เดี่ยวเขาจะรอนาน” ผมบอกมัน แล้วเดินลงรถมา

     

     

    ระยะทางเดินไปถึงร้านประจำที่ป๊ากับแม่ผมชอบมาทานเวลาเข้าเมืองไม่กี่ร้อยเมตร แต่เหมือนผมกำลังเดินขึ้นเนินเขา ที่ผมกำลังแบกภูเขา  โอ๊ยยย ทรมารเว๊ย

     

     

     

    ภาพของทั้งสองคนที่นั่งไม่พูดไม่จา และนั่งจ้องมองมาที่ผมและน้ำมนต์ ยากจะคาดเดาสายตานั้น เล่นเอาผมขนลุกวาบที่สันหลัง ภาวนาให้อย่ามีอะไรที่คาดไว้อีกเลย

     

    “มีอะไรจะบอกป๊ามั๊ย” ป๊าเริ่มคำถาม พร้อมกับส่งสายตามองมาที่ผม ผมหันไปสบตาป๊าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางแม่อย่างกับจะขอความช่วยเหลือจากแก แต่สายตานั้นก็ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย เลยหันมามองน้ำมนต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ น้ำมนต์ยิ้มฝืนๆให้ผมเล็กน้อย ผมรู้ดีว่าอีกคนก็ลำบากใจกับการมานั่งอยู่ในที่แห่งนี้ แม้จะกว้างขวางโอ่อ่าซะเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนว่ากำแพงของร้านกำลังบีบให้พวกเราอึดอัด จอยากขาดอากาศหายใจ

     

    “ว่าไงละตาหนู” คำถามในน้ำเสียงธรรมดาของป๊า ทำให้ผมกลับมาสบตากับป๊าอีกครั้ง ป๊าผมไม่เคยขึ้นเสียงตวาด เพื่อขู่เอาความจริงของผม น้ำเสียงเยือกเย็นแบบนี้แหละ ที่น่ากลัวกว่าเสียงตวาดโหวกเหวกโวยวาย

     

    ผมถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปจับกับมือของน้ำมนต์ไว้ สายตาของป๊ากับแม่หันมาสนใจที่มือคู่นั้น

     

    “ป๊าครับ แม่ครับ  นี่น้ำมนต์ครับ  แฟนผม” ผมบอกไป พร้อมกับส่งสายตาสู่กับสองท่าน ที่มองมาทางผมด้วยสายตาที่ตกใจอีกครั้ง

    “อืม เก่งดีนี่” คำพูดจากปากของป๊าตอนนี้ ไม่ใช่คำชมแต่อย่างใด แต่นั่นคือคำประชดประชันที่ร้ายกาจ บาดลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

    “ป๊า ..” ผมไม่รู้จะหาประโยคไหนมาพูด เพราะถึงจะพูดอะไรออกไป ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่แกสองคนจะเข้าใจ

    “คบกันนานหรือยัง” แม่เป็นฝ่ายถามผมบ้าง

    “เกือบๆ จะสองเดือนแล้วครับ” ผมก้มหน้าตอบ

    “ก็หลังจากถอนหมั้น” แม่สวนผมมา

    “อ่าครับ” ผมบอกแม่ไป

    “ถ้าป๊ารู้ว่าถอนหมั้น แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ ..” ป๊าผมพุดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ก็หยุดไว้ไม่พูดต่อ ทิ้งให้ประโยคนั้นเป็นปริศนา ที่ทำให้ผมไม่สบายใจขึ้นหลายล้านเท่าตัว

     

    “คุณลุง คุณป้าครับ” น้ำมนต์เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง

    “คือน้ำมนต์ก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกแบบนี้ให้ท่านทั้งสองเข้าใจยังไงนะครับ เพราะถ้าถามน้ำมนต์เอง น้ำมนต์ก็ไม่ค่อยเข้าใจมันหรอกครับ มันคงเป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นคำพูด และก็เขียนเป็นตัวอักษรไม่ได้ มันคือความรู้สึกที่ต้องแสดงผ่านการกระทำ ..”

    “ที่พูดมาก็สวยหรูดีนี่” ป๊าผมพูดกระแทกน้ำมนต์

    “ผมขอโทษนะครับ ถ้าเข้ามาทำให้คุณลุงกับคุณป้าไม่สบายใจ” น้ำมนต์บอกพร้อมกับก้มหน้า

    “ป้าว่าหนูน้ำมนต์กลับไปก่อนดีมั๊ยคะ ป้าขอคุยกับลูกของป้าก่อนแล้วกัน” แม่ผมหันไปพูดกับน้ำมนต์ น้ำมนต์เงยหน้ามามองหน้าแม่ของผม ก่อนที่จะยิ้มให้กับแม่ผมเล็กน้อย และลุกขึ้นจากเก้าอี้

     

    “เอี๊ยดด” เสียงเก้าอี้ลากกับพื้นในวินาทีนี้ ดูเป็นเสียงที่บาดหัวใจของผมเหลือเกิน ผมหันมองอีกคน มือกระชับแน่นกว่าเดิม น้ำมนต์ใช้มืออีกข้างมาแกะมือผมออก แต่ผมก็ยังไม่อยากจะปล่อยมือนั้นไป

    “ตาหนู” เสียงของป๊าผมดังขึ้นมาอีกที อย่างที่บอกนั่นแหละครับ เป็นเสียงเรียบเฉย แต่ช่างโหดร้ายสำหรับผมในตอนนี้เหลือเกิน ตาของผมเริ่มจะมองอะไรไม่ชัด เพราะเริ่มเต็มไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อริน

     

    “เราค่อยคุยกันนะ” น้ำมนต์ฝืนยิ้มบอกผม หน้าตาของเขาดูซีดจนผมเป็นห่วง รอยยิ้มที่ส่งมาให้ ผ่านริมฝีปากเล็กๆนั้นไม่ช่วยอะไรผมในตอนนี้ได้เลย

     

    “ไม่นะมึง มึงอย่าทิ้งกูไปสิ” ผมบอกมัน น้ำตาเริ่มไหลลงแก้ม

    “ใครบอกว่าเราทิ้ง นายคุยกับพ่อแม่นายเสร็จ แล้วเราค่อยกลับมาคุยกัน เราไม่ทิ้งนายหรอก” คำพูดปลอบโยนของอีกคน ที่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ไม่มีคาบน้ำตาใดๆบนใบหน้า แต่แววตาอย่างกับคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างสาสม

     

     

    น้ำมนต์เอามือมาแกะที่มือผมอีกครั้ง ถ้าหากการปล่อยมือมันไปในครั้งนี้ ผมไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ผมจะได้จับอีกหรือเปล่า และผมก็ไม่รู้เลยว่า ผมจะได้เจอมันอีกไหม

     

     

     

    “ปล่อยน้ำมนต์ได้แล้วตาหนู” เสียงของป๊าดังขึ้นอีกครั้ง และดังขึ้นกว่าเดิม มือของผมหลุดลงอย่างง่าย อย่างกับคนไร้เรี่ยวแรง น้ำมนต์หันหลังให้ผมในทันที ก่อนที่จะเดินออกจากร้านไปอย่างช้าๆ  กระจกของร้านสะท้อนให้ผมเห็นหน้าน้ำมนต์ ที่มีน้ำตาไหลออกมา ยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดใจ

     

     

    ถ้ารู้ว่าการที่ป๊ากับแม่รู้ความจริง จะทำให้ผมเจ็บแบบนี้ ทำให้น้ำมนต์ต้องมีน้ำตาแบบนั้น ทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าป๊ากับแม่จะรับเรื่องนี้ได้ ทำให้ผมคิดว่ารู้จักป๊ากับแม่ดี ..  

     

    ผมจะขอปิดมันไปจนกว่าวันนั้นจะมาถึง

     

     

    หรือว่าแท้จริงแล้ว   วันนั้น .. มันมาถึงแล้วกันแน่นะ ..








    ...........................................................................................................................................................
    ขอกำลังใจเป็นแสดงความคิดเห็น ติชม วิจารณ์ กดโหวตให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    ...........................................................................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×