ตอนที่ 38 : แกลลอนที่ 18 (100%)
“ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันค้างที่บ้านก็บอกมาตรงๆ เลยนะ ฉันจะได้กลับ” จิรเมธเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากอยู่กันตามลำพังกับสาวใต้แล้ว
ลัลนายืนหน้าคว่ำด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไรกันแน่...
ใจหนึ่ง... เธอก็ไม่อยากให้จิรเมธอยู่ใกล้ๆ คอยปั่นป่วนหัวใจแบบนี้
ส่วนอีกใจ... ก็เป็นห่วง กลัวว่าถ้าไล่เขากลับไปแล้ว เจ้าตัวอาจจะขับรถหลงไปวนมาจนได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็เป็นได้ เพราะถนนหนทางเข้าออกหมู่บ้านเธอนั้นคดเคี้ยว เป็นหลุมเป็นบ่อ ขนาดเซียนเส้นทางแท้ๆ ยังต้องถึงกับส่ายหน้าหนี
สุดท้าย...เมื่อชั่งใจดูแล้วว่าเธอควรยึดเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก ลัลนาจึงบอกเขาเสียงห้วนว่า
“ฉันไม่ใจดำขนาดนั้นหรอกน่า”
“ไม่ต้องมาอ้างให้มากความ ถ้าเธอไม่เต็มใจ ก็อย่าทำเลย ฉันเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดแทน” คนพูดประชดกลับไม่รับรู้ถึงความห่วงหาอาทรภายในใจของสาวใต้ เพราะอาการน้อยเนื้อต่ำใจอย่างท่วมท้นบังตา
ลัลนารู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่เธอเอาแต่กระเง้ากระงอดปากร้ายใส่ชายหนุ่ม แต่ด้วยทิฐิที่มิเคยยอมอ่อนข้อให้ใคร สาวแสบแห่งบ้านเขากะหมอกจึงเลือกที่จะย้อนรอยเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเธอ
“ถ้าอย่างนั้นนายก็กลับไปเดี๋ยวนี้เลยสิ จะมัวนั่งรออะไรอยู่ล่ะ?” หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดคล้ายจะเป็นการไล่เขาทางอ้อม
คนที่รู้สึกขุ่นเคืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยยิ่งทวีความโมโหเข้าไปใหญ่ ใบหน้าคมขาวสะอาดสะอ้านบึ้งตึงขึ้นทันตา ก่อนจะหันหลังสาวเท้าก้าวเดินออกจากเรือนเหย้าของสาวใต้ไปอย่างรวดเร็ว ตัวเขาเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าของบ้านออกปากอัญเชิญแล้ว เขาจะยังทู่ซี้ยืนอยู่ให้ยิ่งช้ำใจอีกทำไมกันล่ะ...
“ทำงานกันรวดเร็วว่องไวดีจังเลยนะ หนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้”
ทว่าเสียงสอดแทรกกลางสมรภูมิน้ำลายของสองหนุ่มสาวที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับเจ้าของร่างงามที่ขยับหมวกงอบออกจากศรีษะ ขณะเดินฝ่าแสงแดดร่ำไรในยามเย็นเข้ามาหาบุตรสาวและนักพัฒนาหนุ่มนั้น ฉุดให้สองขายาวของจิรเมธต้องพลันหยุดลง
“แม่จ๋า เก็บปาล์มเสร็จแล้วเหรอจ้ะ” ลัลนาละความสนใจจากคู่กัด รีบเดินเข้าไปโอบกอดเอวบางของผู้เป็นแม่ พร้อมทั้งเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เหนื่อยไหมจ้ะแม่จ๋า”
“นิดหน่อยลูก” มาลินีตอบรับเสียงนุ่ม พลางยกมือลูบเรือนผมสลวยของบุตรสาวอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมองคนหนุ่มที่ยืนหน้าเรียบ คล้ายไม่ค่อยสบอารมณ์ในบางสิ่งบางอย่าง
“แล้วนี่พ่อหนุ่มกำลังจะกลับหรือยังล่ะจ๊ะ?” มาลินีเอ่ยถามด้วยความเอื้ออารี
“ครับ” จิรเมธปรับสีหน้าให้เป็นปกติขณะเอ่ยตอบ “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลากลับเลยนะครับ”
หนุ่มกรุงยกมือไหว้เจ้าของบ้านอย่างนอบน้อม ก่อนจะเงยหน้าปรายตาแอบชำเลืองสาวแสบเพียงนิด แล้วก็เตรียมจะหันหลังเดินจากไป
“จะรีบกลับไปไหนล่ะจ๊ะ อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ”
คนฟังนิ่งไปอึดใจ เกิดความลังเลขึ้นมา ตัวเขานั้นโกรธเคืองลูกสาวของท่านอยู่จนอยากจะไปให้พ้นๆ หน้าตามที่เจ้าหล่อนต้องการเสียเดี๋ยวนี้ ทว่าคิดดูอีกทีก็อดเกรงใจเจ้าของบ้านผู้อารีไม่ได้ ในเมื่อน้ามาลินีเอ่ยปากชวนแล้ว หากเขาปฏิเสธ เกรงจะะเป็นการเสียมารยาทต่อผู้หลักผู้ใหญ่
แต่พอหันไปเห็นสีหน้าเมินเฉยของลูกสาวเจ้าของบ้านแล้ว อารมณ์ก็อยู่เหนือเหตุผล จิเรมธจึงตอบปฏิเสธ
“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะมืดค่ำไปกว่านี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ค้างที่นี่สักคืนสิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถ แถมยังปลอดภัยกว่าอีกด้วย กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ จะเสี่ยงขับรถออกไปตามทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อละก็ อันตรายเปล่าๆ จ้ะ” คนฟังเสนอทางช่วยอย่างมีเมตตา
“แต่ผมเกรงใจน่ะครับ” หนุ่มเมืองกรุงยังคงบอกปัดอย่างสุภาพ
“เป็นเด็กเป็นเล็กจะมาเกรงอกเกรงใจอะไรกันให้มากเรื่องล่ะจ๊ะ ตัวพ่อหนุ่มเองก็เหมือนลูกหลานน้าคนหนึ่งนั่นแหละ กะอีแค่แบ่งห้องหับให้นอนสักห้องสองห้องจะเป็นอะไรไปล่ะ ที่บ้านนี้ก็มีที่เหลือออกเยอะแยะ”
หนุ่มต่างถิ่นยืนนิ่งใช้ความคิด พลางชำเลืองหันไปมองสาวหน้าตูมที่ทำตัวเหมือนไม่อยากจะให้เขาอยู่ใกล้ๆ อีกคราอย่างชั่งใจ แปลกจริง...คราวนี้เธอกลับยืนสงบปากสงบคำไม่เอ่ยคัดค้านอะไรออกมาเหมือนเมื่อครู่ คงจะเป็นเพราะว่ามารดาของเธอเป็นคนกล่าวชักชวนเขา มิใช่เพื่อนสาวที่เป็นคนออกปากก็ได้ เธอจึงไม่กล้าขัดใจท่าน
ดังนั้นคนที่มีใจเอนเอียงไปทางคำพูดของหญิงสูงวัย เพราะเห็นจริงตามเหตุผลในความปลอดภัยของตนดังที่ท่านกล่าวมา เลยยินยอมตกปากรับคำ
“งั้นผมขอรบกวนด้วยนะครับคุณน้า” จิรเมธยกมือไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนน้อม
“จ้ะ เดี๋ยวน้าจะให้เด็กเตรียมของใช้จำเป็นไว้ให้ก็แล้วกันนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวปูไข่จะช่วยเป็นธุระให้ผมเอง” คนหนุ่มรีบบอกอย่างเกรงอกเกรงใจ
“อ๋อ... อย่างนั้นเหรอจ๊ะ” มาลีนีพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็ดีเลย น้าจะได้ไปเตรียมข้าวเย็นเอาไว้ให้กินกัน”
รอยยิ้มปิติบนใบหน้าแดงก่ำแบบคนตรำงาน ทำให้คนมองนึกสงสัยใคร่รู้เป็นนักหนาว่า หยาดเหงื่อที่เกาะพราวไปทั่วทั้งตัวนั้น มันก่อให้เกิดความสุขใจได้อย่างไร...
เมื่อลองคิดดูแล้ว คนที่ทำงานหนักขนาดนี้ น่าจะมีแต่ความทุกข์ยาก เหนื่อยทั้งกายและใจมิใช่หรือ...
ขนาดลูกจ้างในบริษัทของเขาที่นั่งบนเก้าอี้นุ่มๆ อยู่ภายใต้แอร์ที่เย็นฉ่ำแท้ๆ ยังเอาแต่บ่นอุบอิบ แถมทำหน้าหงิกหน้างอไม่เว้นแต่ละวัน กะอีกแค่ขยับนิ้วพิมพ์งานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ความอัศจรรย์ใจนี้ทำให้หนุ่มกรุงหวนระลึกไปถึงคำพูดในวันแรกที่เขาได้เจอกับภรรยาผู้ใหญ่ธม
‘หรือว่านี่จะเป็นความอิ่มเอมใจที่ท่านเคยบอกไว้
แล้ว... มันคืออะไรกันล่ะ?’
ในเมื่อทุกวันนี้เขาก็ยังหาคำตอบจากการเสียเงินเสียทองช่วยเหลือผู้คนในเขากะหมอก ที่ขาดทั้งทักษะการคิด การพัฒนา และการต่อยอดสินค้าของตนเองไม่ได้สักอย่าง มันเป็นเหตุผลหลักเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เขามายืนอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า
สิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้น ผลสุดท้ายแล้วตระกูลเดชาธรจะได้กำรี้กำไรอะไรกลับคืนมาบ้าง นอกเสียจาก ‘ความว่างเปล่า’ กับ ‘หลายความสุขของคนทั้งหมู่บ้าน’
นั่นก็เท่ากับว่า...เขาไม่ได้อะไรเลย หนำซ้ำยังมีแต่เสียกับเสียอีกต่างหาก!
‘อย่าไปคิดมากดีกว่า...
ในเมื่อตกปากรับคำเขาไปแล้ว... ก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด’
นักธุรกิจหนุ่มเตือนสติตนเอง เมื่อชักจะคิดเพ้อเจ้อเข้าไปทุกที แล้วจึงหันมากล่าวอาสาช่วยงานเจ้าของบ้านด้วยความเต็มใจว่า
“ให้ผมเข้าครัวช่วยคุณน้านะครับ จะได้ถือเป็นการตอบแทนเรื่องที่พักด้วย” จิรเมธฉีกยิ้มสดใส
“ทำได้เหรอจ๊ะ!?” คนฟังเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“นิดหน่อยครับ ผมเคยทำกับข้าวกินเองตอนที่อยู่เมืองนอกน่ะครับ”
“ดีสิจ๊ะ งั้นพ่อหนุ่มเดินตามน้ามาเลยจ้ะ น้าจะได้มีลูกมือหนุ่มๆ ไว้ช่วยหยิบจับยกหม้อแกง”
มาลินียิ้มรับด้วยความยินดีเป็นที่สุด ก่อนจะออกเดินนำไปยังห้องครัว โดยมีชายหนุ่มตามมาติดๆ ทิ้งให้ลูกสาวยืนเก็บอุปกรณ์อีกนิดๆ หน่อยๆ อยู่ใต้ถุนบ้านเพียงผู้เดียว
เมื่อจัดเตรียมข้าวปลาอาหารจนพร้อมมูล ครอบครัวแก้วกำเนิดกับหนุ่มนักพัฒนา และสองหนุ่มสาวชาวภูธรก็นั่งล้อมวงรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีปูไข่คอยหยอดมุข ส่วนไก่แจ้ก็คอยรับมุขให้ความครื้นเครงแก่ทุกคนอยู่ไม่ขาด จวบจนทั้งหมดอิ่มหมีพีมันกันดีแล้ว จิรเมธจึงอาสาจัดแจงยกสำรับคาวหวานกลับไปเก็บ รวมถึงช่วยล้างถ้วยล้างชามให้เสียเลย
มือเรียวยาวสะอาดเนียนนุ่มที่ทั้งชีวิตไม่เคยต้องทำงานรับใช้ใครเยี่ยงนี้ ไม่มีทีท่าจะนึกรังเกียจรังงอนกับสิ่งที่ทำเลยสักนิด สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ใหญ่ธม ลัลนา รวมถึงปูไข่และไก่แจ้ที่เฝ้ามองอยู่เป็นนักหนา
เมื่อเสร็จกิจชายหนุ่มจึงขอตัวไปเดินเล่นย่อยอาหารรับลมเย็นๆ ยังด้านนอกซะหน่อย เปิดโอกาสให้คนที่เหลือได้สนทนาในสิ่งที่พวกตนนั้นนึกฉงนสงสัยเสียเหลือเกิน
“หนูนา หนูทะเลาะกับพ่อหนุ่มเขารึเปล่าลูก แม่เห็นตอนกินข้าวพวกหนูไม่ค่อยพูดกันเลย ดูต่างคนต่างเงียบๆ ผิดปกตินะ” มาลินีเอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจนางมาตั้งแต่เมื่อเย็น
“เปล่านี่จ๊ะ” คนปากแข็งส่ายหัวปฏิเสธ “ปกติหนูกับเขาก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอยู่แล้วล่ะจ้ะ”
“เอ็งแน่ใจนะ” ธมที่คิดเหมือนศรีภรรยาถามย้ำ
“แน่ใจสิจ๊ะพ่อจ๋า” ลัลนาตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ยายหนูนาโกหกจ้ะพ่อผู้ใหญ่” คนที่ทนไม่ไหวชิงเอ่ยแย้งขึ้นเสียเอง ทำให้คนทั้งวงหันไปมองเจ้าหล่อนเป็นตาเดียว “เมื่อตอนเย็น ปูไข่ยังเห็นยายหนูนาวีนคุณเขาอยู่เลย”
เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดได้ทีรีบฟ้องใหญ่ แต่ทั้งนี้ก็เพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้คนทั้งสองผิดใจกันมากไปกว่านี้
“ยายปู่ไข่จอมโกหก!” คนร้อนตัวหันขวับไปค้อนเพื่อนสาวจนตาเขียว ก่อนจะหันไปแก้ตัวกับบิดาพัลวัน “พ่อจ๋าอย่าไปฟังนะจ๊ะ”
“ปูไข่ไม่ได้โกหกนะจ๊ะพ่อผู้ใหญ่” คนถูกว่าเอ่ยยืนยันหนักแน่น แถมยังหาสมัครพรรคพวกเป็นทัพเสริม “พี่ไก่แจ้ก็เห็นเหมือนกัน... จริงไหม?”
”จริงจ้ะ” หนุ่มใต้เลยต้องไหลไปตามน้ำ เพื่อเอาใจแม่ยอดยาหยี ก่อนจะแอบขยิบตาเป็นเชิงขอโทษขอโพยลัลนาที่เขวี้ยงค้อนมาให้เขาอีกคนเสียยกใหญ่
“ว่ายังไงหนูนา เอ็งทำจริงอย่างที่ปูไข่พูดรึเปล่า?” ธมหันมาถามบุตรสาวเสียงเข้ม เล่นเอาหน้าคนฟังหน้าหดเหลือแค่สองนิ้วอย่างร้อนลน
“หนูนาเปล่าจริงๆ นะจ๊ะ” หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ แบบเด็กหนีความผิด
“แม่ไม่เชื่อหรอก” มาลินีบอกเรียบๆ “เพราะแม่เองก็เห็นว่าพ่อหนุ่มเขามีสีหน้าบูดบึ้ง บอกบุญไม่รับสักเท่าไร ถ้าจะให้แม่เดาละก็ เขาคงเบื่อที่ต้องมานั่งทะเลาะกับลูกสาวของแม่นั่นแหละ”
“ไม่จริงนะจ๊ะแม่จ๋า หนูนาไม่ได้ทะเลาะอะไรกับเขาซะหน่อย แล้วหนูก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปกินรังแตนมาจากที่ไหน” ลัลนารีบลนลานโบกไม้โบกมือแก้ตัวกันอุตลุด
“ช่างเถอะ ถ้าลูกยังยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด พ่อกับแม่ก็จนใจ พวกเราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”
คนเป็นแม่กล่าวตัดบทอย่างระอา ใบหน้ายามปกติที่มีแต่ความกรุณาปราณีแลดูนิ่งเฉยจนน่าใจหาย ทำเอาคนมองถึงกับหน้าถอดสี เพราะไม่เคยเห็นท่านออกอาการขุ่นเคืองตัวเธอถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
“แม่จ๋า หนู...” ลัลนาพยายามจะแก้ต่างให้ท่านคลายความกรุ่นโกรธ แต่กลับถูกมารดาขัดขึ้นเสียก่อน
“เอาละ...แม่ไม่อยากจะรับรู้เรื่องนี้อีกแล้ว แค่ขอให้หนูช่วยพึงระลึกสักนิดก็พอว่า ถึงแม่จะไม่รู้สาเหตุที่ลูกทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันก็ตาม แต่แม่ไม่ชอบที่หนูยึดถือทิฐิของตนเป็นที่ตั้งแบบนี้ เพราะแม่ยังจำได้ดีถึงสิ่งที่เคยพร่ำสอนหนูว่า การเป็นลูกสาวผู้ใหญ่ธมนั้น เวลาจะคิดจะทำอะไรสักอย่าง ต้องคำนึงถึงคนส่วนใหญ่เป็นหลัก ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ตัวเองเหมือนกับเด็กๆ”
ยิ่งผู้เป็นมารดากล่าวกดดันเธอมากเท่าไร ลัลนาก็ยิ่งสะอึกจนแทบจะน้ำตาร่วง
“ถ้ายังคิดว่าเป็นลูกสาวของแม่ ก็จงไตร่ตรองดูถึงสิ่งที่หนูควรกระทำเถอะ”
“คือ... หนู...” ลัลนารู้สึกผิดจนพูดไม่ออก จึงเปิดโอกาสให้มารดาได้สั่งสอนเธอต่อไป
“คิดดูให้ดีนะหนูนาว่าการที่แม่อยากให้หนูปรับความเข้าใจกับพ่อจิม มันเพื่ออะไร ยังไงซะพวกลูกก็ต้องทำงานด้วยกันอีกนาน ถ้าลูกกับเขามัวแต่ทะเลาะกัน เพราะต่างคนต่างคิดที่จะเอาชนะกันเพียงอย่างเดียวละก็ หมู่บ้านของเราจะยังพัฒนาต่อไปได้ไหม?”
เมื่อพูดจบ มาลินีก็จับจูงผู้เป็นสามีลุกขึ้นเดินหนีบุตรสาวไปเสียดื้อๆ ก่อนที่เพื่อนสาวเพื่อนชายอย่างปูไข่กับไก่แจ้จะค่อยๆ ทยอยลุกเดินตามออกไปด้วย เพื่อให้แม่คนเจ้าปัญหาได้มีเวลาทบทวนในสิ่งที่ผู้เป็นมารดากล่าวทิ้งท้ายเอาไว้
ลัลนาเกิดความสับสนวุ่นวายใจไปหมดว่า
‘แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี?
ใจหนึ่งก็ยอมรับว่า... เขามีบุญคุณต่อหมู่บ้านเขากะหมอกของเธอ
แต่อีกใจก็ไม่กล้ายอมรับว่า... เขากำลังทำให้หัวใจของเธอกวัดแกว่งหวั่นไหวจนเสียศูนย์’
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถึงทีสาวแสบต้องเป็นฝ่ายง้อผู้ชายบ้างแล้วค่าาาา
งานนี้นางจะกัดลิ้นตายมั้ย????
มาเอาใจช่วยกันตอนหน้าจ้า
ใครอดใจรอไม่ไหว อยากรู้เรื่องก่อนใคร แวะไปโหลดได้ที่เมพและร้านอีบุ๊คชั้นนำทั่วประเทศค่า เค้ารับประกันความน่ารักนะจ๊ะ
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
