ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าชายหมีขาว

    ลำดับตอนที่ #6 : - Abandon The Mission -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24
      0
      24 ก.พ. 60

    STAR
    ทั้งสองคนในบ้านหัวเราะออกมา พลางเอามือกุมท้องของตัวเอง "อะ ฮะๆ เธอคนนั้นน่ะเหรอ? เธอคนนั้นมีทรงผมแปลกจริงๆ ทำไมฉันไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยฮ่าๆ!" สโนว์ไวท์หัวเราะจนเสียงเริ่มขาดหาย ทางนางฟ้าแม่ทูนหัวเองก็ขำกลิ้งจนทวินเทลทั้งสองข้างของเธอคลุกไปกับฝุ่นบนพื้น

    "เธอคนนั้นคือเทพีอาร์ทิมิส" สโนว์ไวท์ที่เลิกหัวเราะกลับมาพูดเป็นปกติอีกครั้ง  คิ้วของหญิงสาวผมบลอนด์ทองขมวดกันจนแทบจะเป็นปม

    "ตะ แต่ว่า เทพีอาร์ทิมิส? ท่านเป็นเทพนี่นา จะมีตัวตนแบบนั้นได้ยังไง" คริสตินกล่าว

    "ทีนี่น่ะเป็นดินแดนแห่งเทพในตำนาน, สัตว์, เวทมนตร์ และ ระหว่างความจริงกับความหลอกลวงนะ"

    หญิงสาวผมบลอนด์ทำหน้ามึนงงกับสิ่งที่ตนเองได้ฟังไปเมื่อครู่ ความจริงกับความหลอกลวงนั่นมันอะไรกันน่ะ?

    "......"

    สโนว์ไวท์ถอนหายใจแล้วเล่าต่อไป "คราวหลังฉันจะอธิบายโลกภายนอกให้เธอฟังแล้วกันเด็กน้อย"
    นางฟ้าแม่ทูนหัวยิ้มอย่างทะเล้นๆพลางหยิบจาน ดินเหนียว และ ก้อนหินมาวางไว้บนโต๊ะ
    "อธิบายตอนนี้นี่แหละ เพราะถ้าข้ามไปยังไง เธอก็ไม่มีวันเข้าใจได้หรอกถ้าไม่รู้ถึงรากฐานของมัน"

    สโนว์ไวท์กลอกตาของตนแล้วทำท่าฮึดฮัด "โอเค ฉันเล่าตอนนี้เลยก็ได้"

    "ให้ดินเหนียวนี่แทนเขตของความจริง จานแทนเขตระหว่างความจริงและความหลอกลวง ส่วนก้อนหินแทนเขตความหลอกลวง" สโนว์ไวท์ชี้ไปยังสิ่งทั้งสามตามลำดับคำพูดของตน

    "เขตแดนที่อยู่ตรงกลางแทนจานนี่เป็นศูนย์รวมของสิ่งที่มีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริงสามารถยืนอยู่ได้ หรือพูดง่ายๆว่า ประชากรจากทั้ง 2 เขตข้างๆสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้สบายๆ" เธอจิ้มไปที่จาน

    "เขตแดนที่อยู่ด้านข้างทั้งสองนั้น เริ่มที่ดินเหนียว เป็นเขตแดนของความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นของจริงไปทั้งหมด ไม่มีสิ่งที่เป็นเทพนิยาย ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติ มีเพียงแค่หลักของความจริงเท่านั้น  พวกเขาเป็นคนกำหนดว่าความจริงนั้นคืออะไรโดยการริเริ่มลงมือทำ จึงเรียกได้ว่า เป็นเขตแดนที่เก่าแก่ที่สุดจากทั้ง 3 เขต" 

    เธอชี้นิ้วไปที่ดินเหนียวที่ถูกแทนว่าเป็นเขตแดนแห่งความจริงพลางมองมันด้วยสายตารังเกียจแปลกๆ

    "ต่อมาคือเขตแดนแห่งความหลอกลวง เขตนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยของพวกสิ่งที่ไม่มีในเขตความจริง บางทีเขตนี้ก็เรียกได้ว่าไม่มีใครอยู่เลยก็ได้ เพราะทุกสิ่งในนั้น มีเพียงต้นไม้กับเรื่องเล่า, ตำนาน, เทพนิยายเท่านั้น เช่น ตัวฉันและนางฟ้าแม่ทูนหัวไงล่ะ"

    หญิงผมดำถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจพลางกลอกตาตัวเองไปด้วย

    "และก็มีอีกสิ่งที่อาศัยอยู่ที่เขตความหลอกลวง นั่นก็คือ'เทพ'ยังไงล่ะ" หญิงผมดำหลับตาลงแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา

     "อย่างเช่นเทพีอาร์ทิมิส พวกนั้นเป็นเหมือนพวกที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์นิดหน่อย เพราะเทพจะสามารถข้ามไปมาระหว่าง 3 เขตได้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดโดยที่ไม่มีการสูญสลายหรือดับหายไป"

    "เอาล่ะไหนๆก็เล่าจบแล้ว เรื่องของทั้ง 3 เขตแดนน่ะนะ อยากจะฟังเรื่องเล่าความสัมพันธ์ของทั้งสามเขตที่ทำให้เกิดสงครามน้อยใหญ่ในเขตต่างๆไหมล่ะ?"

    คริสตินเบนสายตาหนีจากผู้หญิงผมดำด้วยความลังเล ใจหนึ่งอยากฟัง แต่อีกใจก็ไม่ นางฟ้าแม่ทูนหัวยิ้มแล้วหยอกสโนว์ไวท์เล่นๆ "แหม เห็นตอนนั้นยังไม่อยากจะเล่าอยู่เลยนี่จ๊ะ?"  สโนว์ไวท์หันไปถลึงตาใส่นางฟ้าผมสีชมพูทันที นางฟ้าหัวเราะคิกๆแล้วไปหลบอยู่ด้านหลังคริสติน

    "ละ เล่าก็ได้ค่ะ" เสียงคริสตินแผ่วเบาลงด้วยความกังวลลึกๆในใจ เธอไม่รู้ทำไมจู่ๆถึงได้มีความรู้สึกอย่างนั้น

    "ทั้งสามเขตนี้เป็นเพื่อนพ้องพี่น้องที่ดีต่อกัน" เธอผายมือ แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบก้อนดินเหนียวมาไว้บนฝ่ามือของตนเอง

    "แต่อยู่มาวันหนึ่งเขตความจริงอยากเป็นใหญ่โดยการควบคุมเขตทั้งสาม" เธอเอาก้อนดินเหนียวนั้นโปะลงบนเสี้ยวเล็กๆของจาน "โดยเริ่มจากการกลืนกินดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างความจริงและความหลอกลวง"

    มือที่เปื้อนดินนั่นค่อยๆไล่เข้ามาถึงกลางจาน แต่ทว่าสโนว์ไวท์ก็หยุดมือสีขาวของเธอไปชั่วขณะ

    "แต่ทว่า รุกรานไปได้ไม่เท่าไหร่ เขตแดนนี้ก็เริ่มสร้างพันธมิตรขึ้นมาต่อต้านดินแดนแห่งความจริง"

    "โดยที่เหล่าพันธมิตรนั้นเป็นอาณาจักรทั้งหมดภายในเขตแดน ซึ่งมีทั้งหมด 14 อาณาจักร ทุกๆอาณาจักรให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกันเป็นอย่างดีเพราะเนื่องมาจากตำนานอันเก่าแก่ที่มาจากแม่มดผู้เป็นที่เลื่องลือ"

    ดวงตาคมของสโนว์ไวท์จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเจ้าหญิงคริสติน

    "ตำนานนั้นได้กล่าวไว้ว่า [0 เจ้าหญิงผู้ทระนง] จะเป็นผู้ที่สามารถโค่นความชั่วร้ายทั้งปวงได้ หรือก็คือเจ้าแห่งจอมมาร แต่ต้องมีผู้ช่วยทั้งหมด 3 คน ก็คือ [I เจ้าชายหมีขาว] [II อัศวินดอนกิโฆเต้] และ [III ขุนนางมังกรดำ] "

    "ซึ่งเจ้าหญิงผู้ทระนงคนนั้นเธอคิดว่าใครกันล่ะหืม?" ริมฝีปากสีแดงสดหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    "ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านเจ้าหญิงผู้ทระนง"

    นางฟ้าแม่ทูนหัวและสโนว์ไวท์โค้งตัวให้คริสตินอย่างอ่อนน้อม ตอนนี้เธออึ้งจนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมาได้อีก 

    'เจ้าหญิง? ผู้ทระนง?'

    ___________________________________________________

    เจ้าชายนิ่งเงียบไปแล้วไม่ตอบอะไรปี่เซี๊ยะกลับ จนเด็กชายสีขาวเริ่มจะหงุดหงิด

    "....."
    "เอาล่ะท่านเจ้าชาย สรุุปได้รึยัง? เพราะอีกเดี๋ยวโลกที่ท่านนางฟ้าประทานให้นี้กำลงจะพังทลายลงเพราะนางมีหลายอย่างที่ต้องทำ จะมีสร้างโลกส่วนตัวให้พวกเราคุยกันตลอดไปก็ไม่ได้นี่เนอะ?"

    เด็กชายสีขาวเอียงหัวเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มน่ารักๆมาให้เขา  

    ยิ้มนั่นมันน่ารักก็จริงน่ะแหละ แต่ว่าในตอนนี้ เหมือนเด็กคนนั้นจะยิ้มเป็นความหมายว่า 'ถ้ายังไม่ตอบอีกล่ะก็ ข้าจะทิ้งท่านไว้ที่นี่แหละ' ซะมากกว่า

    "ข้า..... ข้าจะขอออกจากภารกิจ หรือไม่ออกจากภารกิจ ..... พวกนายก็ต้องพาตัวข้าไปอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?"  เจ้าชายยิ้มแสยะด้วยความเหนื่อยใจ

    "หืมมม งั้นเหรอ แสดงว่าก็น่าจะรู้หมดแล้วน่ะสิ ฉลาดดีนี่เจ้าชาย"

    ปี่เซี๊ยะเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของเขาแล้วหยิบหนังสือที่ได้มาจากชายผมทองในกระท่อมกลางป่าออกมา  เมื่อมือของปี่เซี๊ยะแตะไปที่หนังสือ วงเวทย์ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ป้องกันหนังสือเล่มนั้นทันที    เด็กชายสีขาวยิ้มแสยะออกอย่างไม่น่าไว้ใจ

    "เข้ามาแส่ไม่เข้าเรื่องจริงๆ เจ้าพ่อมดดึกดำบรรพ์เอ๊ย!.." 

    ว่าแล้วปี่เซี๊ยะก็ปัดหนังสือนั่นทิ้งไปกลางอากาศ เจ้าชายมองตามหนังสือนั่นไปด้วยความตกใจ

    "เฮ้ย!! นั่นทำอะไรน่ะ!"
    "กำจัดตัวยุ่งออกไปจากทางไงท่านเจ้าชาย"

    ครืนน ครืนน

    เสียงดังกึกก้องอันน่าหวาดหวั่นดังขึ้น เจ้าชายมองไปรอบท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวด้วยความตกใจ แต่ทางปี่เซี๊ยะนั้นกลับไม่มีท่าทีตกใจอะไรเลย

    "เจ้าชายจะตกลงกับผมไหมขอรับ?"
    ".....กรอด"  

    เขากัดฟันกรอด หมดหนทางหนี  และไม่มีทางสู้ได้ ดวงตาสีเหลืองนั้นเปล่งประกายด้วยความน่ากลัว บีบบังคับจิตใจของเขาให้ตอบตกลง

    "ฉัน... ตกลงยกเลิกภารกิจ"

    ทันทีที่เจ้าชายตอบตกลง ท้องฟ้าก็พังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา เด็กชายสีขาวหายไป เขาไม่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ดวงดาวอีกแล้ว เมื่อเจ้าชายลืมตาขึ้นอีกที เขาก็กลับมาอยู่ที่หน้าผาอีกครั้ง
    เล็บแหลมสะกิดโดนบ่าของเจ้าชายให้เขาหันไปด้านหลัง ปี่เซี๊ยะยืนอยู่ตรงนั้นพลางกวักมือเรียกเขาให้ตามไป
    _______________________________________________________________

    ปราสาทหลังใหญ่สีเทาตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้า เมฆครึ้มปกคลุมดินแดนบริเวณรอบๆ เสียงฟ้าผ่าดังโครมครามราวกับนภาถล่ม หญิงสาวผมสีแดงนั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องโอ่โถงบนยอดหอคอยในปราสาท สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ

    เธอหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านด้วยความไม่พอใจก่อนที่จะโวยวายกับตัวเองให้เมดผู้ช่วยฟัง

    "เอเดน นี่เธอไปหาหนังสือเรื่องนี้มาจากไหนกันแน่?!"

    หญิงสาวผมแดงทำตาขวางใส่'เอเดน' ข้าราชบริพานส่วนตัวของเธอ อีกฝ่ายตอบผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล 

    "จากเด็กชายผู้หนึ่งที่เป็นนักเล่านิทาน เขาได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาและขายมันให้ดิฉัน และดิฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับมันไว้ค่ะ" 

    เมื่อหญิงสาวตอบเสร็จแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ทำท่าทีฟึดฟัดแล้วก็อยากระเบิดอารมณ์โมโห เธอนั้นกลั้นใจไว้แล้วเปิดไปยังหน้าต่อไป เธออ่านด้วยท่าทีสงสัยแล้วจู่ๆก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

    เมดสาวผมดำยาวลากพื้นคิดในใจ 'คงจะสนุกมากละสินะ?' พลางยิ้มกับตัวเอง

    สาเหตุที่เอเดนต้องหาหนังสือมาให้หญิงสาวผมแดงคนนี้อ่านก็เพื่อที่จะได้ทำให้เธอสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมานี้เจ้าหญิงแห่งเพลิงผู้นี้แทบจะไม่สามารถควบคุบเปลวไฟและความโกรธของตนเองจากการรู้เรื่องที่ว่าจะต้องถูกบังคับแต่งงานได้เลย

    สาวน้อยผมสีแดงเก็บหนังสือด้วยความถนุถนอมพลางเชิดหน้าขึ้นแล้วบอกสาวใช้ของเธอให้เอามันไปไว้ในห้องสมุดส่วนที่ลึกที่สุดและยังบังคับให้เธอหาเล่มต่อมาให้ด้วย

    เอเดนยิ้มรับองค์หญิงของเธอด้วยความเต็มใจแล้วนำหนังสือเล่มนั้นไปเก็บ การดูแลเจ้าหญิงผู้เอาแต่ใจแบบนี้นี่มันลำบากจริงๆ 

    หลังจากที่เอเดนต้องเดินผ่านโถงส่วนที่ใหญ่ที่สุดของปราสาทเข้าไปยังทางวกวนหลายชั้นก่อนจะถึงห้องสมุดแล้วเธอก็ต้องเดินกลับมายังหอคอยอีกรอบ เธอก็ถูกยิงคำถามเข้าใส่ด้วยเสียงกร้าวของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังนอนเล่นอยู่บนบัลลังก์

    "เอเดน! ตอนนี้เจ้าชายอยู่ไหนกันแน่?"

    แต่สาวรับใช้ส่ายหน้าพลางส่งยิ้มหวานให้เจ้าหญิงผมเพลิงด้วยความเอ็นดู 

    "ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คงกำลังเดินทางมาอยู่กระมังคะ?"
    "......" เจ้าหญิงเบ้ปากด้วยความรำคาญใจแล้วนั่งเล่นต่อไปบนบัลลังก์ของตนเอง ก่อนที่เธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้  ดวงตากลมโตของเจ้าหญิงเป็นประกายแสงด้วยความตื่นเต้น

    "เอเดน! เรามาหนีออกจากปราสาทน่ารำคาญนี่กันเถอะ"
    "คะ?!"
    __________________________________________

    เจ้าชายที่ตอนนี้กลับมามีร่างเป็นหมีขาวเหมือนเดิมเดินตามกวางมูสสีขาวตัวยักษ์ไปตามทางรกชัฏที่ข้างๆเต็มไปด้วยป่าไม้และเถาวัลย์พร้อมกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนคละคลุ้งอยู่ในอากาศ

    ในใจของเจ้าชายตอนนี้อยากจะออกจากป่าไปเต็มที่ แต่กวางมูสข้างหน้าตนเองยังคงเดินลึกเข้าไปในป่าโดยไม่ลดความเร็วลงเลย ขาทั้งสี่ข้างของเขาเริ่มปวดตุ้บๆและหัวก็เริ่มกลับมามึนอีกแล้วด้วย

    'เจ้าชาย ท่านได้โปรดอย่าเพิ่งเป็นลม เพราะถึงแม้ว่าข้าจะเป็นสัตว์ในตำนาน แต่ข้าคงไม่สามารถพาหมีขาวขนาดยักษ์ไปยังเมืองของท่านนางฟ้าด้วยตัวคนเดียวได้หรอกนะ'

    เสียงของปี่เซี๊ยะดังขึ้นมาในความคิดของเขา นี่มันอะไรกันเนี่ย? นี่อีกฝ่ายสามารถติดต่อสื่อสารกับเขาในความคิดได้ด้วยงั้นเหรอ?

    งั้นอย่างนี้เขาก็สามารถถามอะไรก็ได้งั้นเหรอ? เจ้าชายคิดในใจ

    'ได้สิท่านเจ้าชาย ตามแต่พระประสงค์ของท่านเลย' เสียงเด็กชายดังขึ้นมาอีกรอบ เจ้าชายก็ยังคงรู้สึกแปลกๆอยู่ดี

    เจ้าชายนึกคำถามในใจ งั้น.... ทำไมฉันต้องออกจากภารกิจด้วยทั้งๆที่นายถูกส่งมาเพื่อช่วยฉัน แต่กลับต้องมาเสียเวลาเดินทางไปยัง[โค้ดเนม ; นางฟ้า]ด้วยล่ะ?

     

    ปี่เซี๊ยะไม่ตอบอะไรเขากลับมา แต่ว่าเมื่อเดินเข้าไปในป่าได้สักพักหนึ่ง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

     

    'เพราะท่านนางฟ้ามีอะไรบางอย่างจะให้เจ้าชายดู มันคงไม่ดีถ้าหากท่านโดนเอาเปรียบโดยเจ้าชายจากอาณาจักรอื่นๆที่รวมหัวกันแกล้งท่านเพราะอิจฉาหรอกนะ...'

     

    'แถมอีกอย่าง ท่านคงไม่ได้อยากที่จะเป็นหมีขาวอย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม มันคงจะลำบากน่าดูเลยที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้นอกจากข้า'

     

    ปี่เซี๊ยะอธิบายจบเจ้าชายก็เริ่มจะเข้าใจในความต้องการของ[โค้ดเนม ; นางฟ้า]ขึ้นมาหน่อยๆว่าเอาจริงๆแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนอันตรายอะไรนี่นา

     

    'อ่า เลี้ยวซ้ายตามข้ามาเลยท่านเจ้าชาย เดินเข้าไปอีกนิดหน่อยก็ถึงเมืองของท่านนางฟ้าแล้ว'

     

    กวางมูสสีขาววิ่งเข้าไปในทางลึกซ้ายมืออย่างรวดเร็วจนเจ้าชายไม่สามารถตามทัน กวางมูสตัวนั้นหายไปจากทางรอบๆข้าง เจ้าชายลังเลที่จะเดินต่อแต่แล้วเสียงของเด็กชายที่เขาคุยด้วยเมื่อกี้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

     

    'วิ่งเลยเจ้าชาย'

     

    อุ้งเท้าของเขารีบเหยียบย่ำบนผืนดินอย่างสุดกำลังไปตามทางเดินข้างหน้า พอรู้ตัวอีกที สายตาของเจ้าชายก็พบเข้ากับภูเขาลูกใหญ่ที่มีโขดหินสลับซับซ้อนเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ระหว่างร่องเขาและช่องหินพวกนั้น มีปราสาทตั้งอยู่อย่างสวยงาม หมู่นกบินวนไปมารอบปราสาทบนท้องฟ้า  เสียงของน้ำตกขนาดยักษ์ทำให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย





    เจ้าชายมองหาทางไปต่อก็พบเข้ากับสะพานหินอันหนึ่งซึ่งข้ามจากป่าที่อยู่ด้านหลังเขาไปยังเมือง[โค้ดเนม ; หน้ากาก] ที่นางฟ้าอยู่  เขาข้ามสะพานนั้นไปในตัวเมือง  ข้างในเมืองนั้นเงียบสงัด แทบไม่ได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิต(ยกเว้นนกที่บินอยู่บนฟ้าตอนนี้เลยน่ะนะ)เลยแม้แต่น้อย เจ้าชายเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าประตูวังของปราสาทหลังนั้น

    เขาไม่รู้ว่าจะเข้าไปได้ยังไงก็ได้แต่ยืนมองด้วยความสงสัยพลันหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นมาต่อหน้า เธอสวมผ้าโพกหัวสีขาวไว้ด้านบนพร้อมที่คาดสีทองปิดบังผมของตนเองไว้ ใบหน้าส่วนบนถูกปิดด้วยหน้ากากโลหะสีทองเช่นกันกับที่คาดบนศีรษะของเธอ คอนั้นถูกสวมด้วยโลหะสีเงินที่ตรงกลางมีเม็ดทับทิมลูกใหญ่ประดับเอาไว้ เสื้อกับกระโปรงของเธอมีสีขาวและเป็นชิ้นเดียวกันซึ่งเหมือนผ้าคลุมซะมากกว่าแต่ว่ากลับมีผ้าคลุมสีขาวชั้นที่สองทับเอาไว้อีก 

    "ท่านคงจะเป็นแขกพิเศษสินะคะ"

    เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เธอจะต้องเจอหมีขาวขนาดยักษ์อย่างนี้อยู่หน้าประตูทุกวันอย่างไงอย่างงั้นน่ะแหละ

    "เชิญเข้ามาด้านในเลยค่ะ"  หลังจากที่เธอเอ่ยเสร็จ เธอก็หันหลังให้กับเขาพลางก้าวเข้าภายในปราสาทเจ้าชายต้องตกใจอีกรอบหลังจากที่จู่ๆหญิงสาวคนนั้นโผล่ขึ้นมาเขาก็ต้องเจอกับปี่เซี๊ยะที่ยืนอยู่ข้างในพร้อมชุดสีขาวอย่างที่เขาเจอในโลกอีกโลกหนึ่งที่คุยกัน แต่คราวนี้กลับมีหน้ากากสีทองที่ปกปิดใบหน้าส่วนบนสวมเข้าไปด้วย

    ในมือของเขาถือเครื่องรางรูปสัตว์ตัวเล็กๆเอาไว้พร้อมกับโค้งให้หญิงสาวในชุดสีขาวกับเจ้าชายพลางกล่าวออกมาว่า

    "ยินดีต้อนรับ ท่านเจ้าชาย"
    _____________________________________________
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×