ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Monster Companion

    ลำดับตอนที่ #2 : Act1: The Nightmare

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 236
      2
      12 ธ.ค. 55

     


    Act 1: The Nightmare

     

      พิรุณค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนนี้เขากำลังรู้สึกเหมือนกับว่า ศีรษะของเขาเหมือนกับก้อนหินก้อนหนึ่ง มุมมองจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา พอจะบอกได้ว่า เขากำลังเห็นเพดานสีขาวนวลตา เมื่อเขาลองทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ก็พอเดาได้ว่า ความเจ็บปวดที่บริเวณแก้มซ้ายของเขาเกิดจากอะไร

     “พ่อหนุ่ม ตื่นแล้วเหรอ?”

     เสียงทุ้มลึกของชายคนหนึ่งดังเข้ากระทบโสตประสาทของพิรุณ

     “...ท..ที่นี่ คือที่ไหนครับ?”

     “อึดจริงๆ เลยนะพ่อหนุ่ม เจอหมัดเด็ดของหนูนภัสเข้าไปยังนอนแค่ครึ่งชั่วโมง.. ที่นี่ก็หลังร้านลุงเองไง”

    พิรุณค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นนั่ง ที่แก้มซ้ายของเขามีรอบช้ำเล็กน้อยจากการรับกำปั้นของนภัสเข้าไป เบื้องหน้าของเขาคือชายผู้มีอายุพอสมควรคนหนึ่ง ร่างกายของเขาดูกำยำล่ำสัน ผิวสีเกรียมแดดทำให้เขาดูเหมือนชายชาติทหาร แม้ว่าร่างกายอันสูงใหญ่นั่นจะดูน่าเกรงขาม แต่ดวงตาสีเทานั้นกลับดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เส้นผมสีเทานั้นเองก็บ่งบอกได้ถึงอายุของเขาที่ดูแล้วไม่น่าจะน้อยกว่าห้าสิบปี

    “งั้น ลุงก็คือเจ้าของเกมเซ็นเตอร์สินะครับ”

    “ถูกต้องแล้ว พ่อหนุ่ม จะดื่มอะไรหน่อยมั้ย.. เอ้า นี่ น้ำใบบัวบกแก้ช้ำใน”

    ไม่รู้ว่า ตาลุงคนนี้ไปเตรียมน้ำนี่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พิรุณก็รับมาดื่มแต่โดยดี

    “..ขอบคุณครับ ว่าแต่ ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ?”

    “นี่ก็ห้าโมงครึ่งแล้งล่ะนะ พ่อหนุ่ม รู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

    “ก็..พอไหวนะครับ”

    “ฮ่าๆๆ งั้นเรอะ เท่าที่ดู เธอนี่ซ่อนรูปใช้ได้นะ ถึงจะตัวเล็ก แต่ร่างกายสมบูรณ์กว่าที่เห็นเยอะเลย คงฝึกมาเยอะล่ะสิ”

    “...”

    “นั่นสินะ คนเราก็มีเรื่องที่ปิดบังคนละอย่างสองอย่างล่ะนะ”

    “ถ้างั้น ขอบคุณ คุณลุงมากนะครับ ยังไงผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ”

    พิรุณลงมาจากเตียงอย่างคล่องแคล่วผิดไปจากคนที่เพิ่งจะตื่นนอนตามปกติ

    “อ้า งั้นเดี๋ยวลุงไปส่งหน้าร้านก็แล้วกัน”

    บรรยากาศโดยรอบเกมเซ็นเตอร์กลับมาคึกคักเหมือนในตอนแรก เพียงแต่ตอนนี้มีคนมากกว่าเดิมเนื่องจากที่ล่วงเลยเวลาเลิกเรียนมาพอสมควร

    และที่มุมหนึ่งของร้านนั้น ปรากฏอยู่โซนหนึ่งที่ค่อนข้างแปลกจากทั่วไป กล่าวคือเป็นมุมที่ดูปลอดโปร่ง มีเก้านวมสำหรับพักผ่อนตั้งอยู่เรียงราย และมีแว่นตาสามมิติตั้งอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กสลับกับเก้าอี้นวมเหล่านั้น

    “ลุงครับ มุมนั้นมีไว้สำหรับเกมอะไรงั้นเหรอครับ”

    “หืม.. อ่า นั่นก็เกมมอนสเตอร์คอมพาเนี่ยนไงล่ะ พ่อหนุ่ม”

    เกมมอนสเตอร์คอมพาเนี่ยน... นั่นก็คือเกมหนึ่งที่องค์กรของพิรุณกำลังจับตาดูอยู่ และเป็นเกมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทเวิร์ดเอ็นเตอร์ไพรส์

    เกมนี้.. ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์บางอย่าง เธอจะต้องคอยสืบข้อมูลจากเธอคนนี้ แล้วหาจุดประสงค์ที่แท้จริงเบื้องหลังเกมนี้ให้ได้

    นั่นคือภารกิจที่พิรุณได้รับมอบหมายมา

    “ครับ ผมเองก็สนใจอยู่เหมือนกัน”

    “งั้น ว่างๆ ก็แวะมาร้านลุงอีกนะ เห็นแก่วีรกรรมเธอที่ช่วยจัดหนักพวกเด็กเกพวกนั้นให้ ลุงจะคิดราคาพิเศษให้เลยล่ะ ฮ่าๆๆ”

    ฝ่ามืออันใหญ่โตมโหฬารตีเข้าที่กลางหลังพิรุณอย่างจัง นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย ด้วยไซส์ตัวของพิรุณ ทำให้เขาปลิวไปชนกับเครื่องเล่นเกมอาร์เคดโชคร้ายเครื่องหนึ่ง

    “อ่า...โทษทีๆ เผลอตัวไปหน่อย”

    “...อูย...”

    ทั้งเอามือถูที่ร่างกายเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ต่างกัน พิรุณเอามือถูที่หน้าอก เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ในขณะที่ลุงเจ้าของร้านเอามือถูหลังหัว เพื่อแก้ความเก้อเขิน

     
     

    พิรุณมุ่งหน้าออกจากเกมเซ็นเตอร์แล้วตรงดิ่งไปที่หอพักของตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะแวะรับประทานอาหารเย็นที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแผงลอยของ ชายเจ็ดหมี่เกี๊ยวก่อน ซึ่งเขาตั้งใจเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมาลองชิมตอนขากลับ

    เป็น..ไป..ตามแผน..

    นั่นคือคำพูดของเขาก่อนที่จะหมดสติไป อันที่จริงด้วยแผนความคิดที่ไม่ธรรมดาของพิรุณ เขาต้องการที่จะอาศัย การสร้างความประทับใจในทางใดทางหนึ่ง เพื่อที่จะเข้ามาตีสนิทกับนภัส แม้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จะนอกเหนือจากความคาดหมายไปมาก แต่นั่นก็เผอิญไปตรงกับผลลัพธ์ที่ต้องการพอดี

    หอพักของพิรุณนั้น เป็นหอพักราคาถูกสำหรับนักเรียน หรือนักศึกษาที่ไม่มีเงินมากนัก แต่ต้องการที่จะอาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้น นี่จึงเป็นหอพักที่ไม่ได้มีสภาพที่หรูหราเท่าใดนัก แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับพิรุณ เนื่องด้วยเขาต้องการสำรองเบี้ยเลี้ยงสำหรับทำภารกิจเอาไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด

    ห้องพักของพิรุณนั้นเป็นแบบห้องคู่ นั่นเพื่อหารค่าใช้จ่ายสำหรับภารกิจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด แม้จะขาดความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

    “โย่ว เป็นยังไงบ้าง พิรุณ”

    ส่วนนี่ก็คือเพื่อนร่วมห้องของพิรุณนั่นเอง นายคนนี้คือ อภิวัฒน์ หรือเรียกอย่างง่ายๆ ว่า  วัฒน์เป็นเด็กหนุ่มชาวอีสานแท้ๆ แต่ดันพูดคล่อง พูดชัด ไม่มีเสียงเหน่อแม้แต่นิดเดียว แถมส่วนสูงก็สูงกว่าพิรุณราวๆ สามสิบเซนติเมตรได้ นอกหน้านี้นายวัฒน์ก็ยังมีหน้าตาที่จัดได้ว่า สูงกว่ามาตรฐานพอสมควรเลยทีเดียว ด้วยผิวสีเหลืองน้ำผึ้ง ผมดำหยักศกเล็กน้อย จมูกโด่งเป็นสัน นัยต์ตาสีดำสนิท แม้จะสวมแว่น แต่ก็ห่างไกลจากความเฉิ่มไปพอสมควร ถ้าจะบอกว่าหมอนี่มีกิ๊กสักสองสามคน ก็คงจะพอจะเชื่อได้

    “อ่า ก็ดีแหละ.. เอ้า.. ของฝาก..”

    “นี่มัน...ชายเจ็ดหมี่เกี๊ยวในตำนานนี่นา!

    “ก็เวอร์ไป...”

    “ขอบใจมาก ถ้างั้นก็ขอจัดหนักเลยก็แล้วกัน”

    วัฒน์ควักชามพร้อมตะเกียบออกมาเหมือนกับเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเป็นวันเลยทีเดียว เพียงแต่

    “หืม.. มีอะไรหรือพิรุณ?”

    วัฒน์จ้องมาที่มือของพิรุณพร้อมกับเครื่องหมายปรัศนีลอยอยู่บนศีรษะ ในขณะที่พิรุณก็กวักมือหยอยๆ

    “ก็ตังค์น่ะสิ ของกินมันไม่มีฟรีหรอกนะ”

    “เอาน่า อย่าทำเป็นขี้เหนียวหน่อยเลย เลี้ยงเพื่อนสักมื้อสองมื้อหน่อยจะเป็นอะไรไป”

    “เลี้ยงบ้า เลี้ยงบออะไรเล่า ติดมากี่มื้อแล้ว ได้นับบ้างมั้ยเนี่ย!

    “สาม...หรือสี่หว่า?”

    “หกแล้วเฟ้ย ตั้งแต่ฉันมาเหยียบที่นี่ แกยังไม่จ่ายฉันสักมื้อเลยนะ!

    “เอาน่าๆ ไว้ฉันเลี้ยงคืนให้ก็ได้”

    “เฮ้อ...พอแล้ว เหนื่อยๆ”

    “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องห่วงๆ”

    คนที่ต้องให้ทวงเรื่องค่ากินขนาดนี้ก็มีด้วย.. แถมทวงแล้วไม่จ่ายอีกต่างหาก

    พิรุณทิ้งตัวลงนอนบนเตียงฝั่งตัวเองด้วยความเหนื่อยใจ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการพักผ่อนเล็กๆ...

     
     

    ท่ามกลางทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังก้มคุดคู้หอบเอาผ้านวมผืนหนึ่งเอาไว้แนบกับอก

    “ลูกแม่.. ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงลูกก็ต้องไม่เป็นไร”

    เสียงของหญิงสาวนี้ช่างน่าโหยหายิ่งนัก บางสิ่งในตัวของพิรุณบอกเขาว่า เขารู้จักผู้หญิงคนนี้ ตามตัวของผู้หญิงคนนี้ปรากฏเป็นแผลไฟไหม้ผุพองหลายแห่ง เขม่าควัญติดตามเนื้อตัว ศีรษะแตกเป็นแผลมีเลือดอาบลงมาตามใบหน้า ที่แขนมีรอยทิ่มแทงของเศษไม้ปักคาเอาไว้ จนเลือดไหลนองเปรอะผ้านวม

    “แค่กๆ.. คุณแม่...”

    เสียงของเด็กน้อยคนหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากผ้านวมในอ้อมกอดของเธอ ด้วยการปกป้องของผู้ที่เด็กคนนั้นเรียกว่า แม่แม้ว่าผู้เป็นแม่จะสะบักสะบอมเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ แต่กลับไม่ปรากฏแม้เพียงริ้วรอยเล็กๆ จะมีก็แต่เพียงควันไฟเท่านั้น ที่เธอทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้

    มืออันแสนบอบบางยื่นขึ้นมาจับใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น...

    “แม่ครับ.. มีเลือดไหลออกมาด้วย...”

    “แม่สบายดีจ่ะ...ไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอก”

    รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นท่ามกลางทะเลเพลิงแห่งนี้.. แม้นั่นจะช่วยปลอบประโลมเด็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้พิรุณรู้สึกถึงสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น..

    ครืน.... โครม...!

    เสียงนั้นคือ เพดานที่เริ่มยุบตัวลง ด้วยความร้อนและแรงแผดเผาจากเปลวเพลิง โครงสร้างของอาคารที่ค่อยๆ เสียหายจนในที่สุดก็เริ่มทนไม่ไหว ทำให้มันถล่มลงมา และแม่ลูกคู่นั้นก็อยู่ใต้นั้นพอดี

    “อันตราย!

    พิรุณตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง แต่เสียงนั้นก็ไม่อาจส่งไปถึงแม่ลูกคู่นั่นได้ และเพดานก็ถล่มลงมาจนบดบังทั้งสองไปจากสายตา

    เฮือก!

    พิรุณผุดนั่งขึ้นมาด้วยอาการสะดุ้งตื่น ทั้งตัวของเขาเต็มไปเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั้งชุดเสื้อผ้า

    “ฝันนี้อีกแล้ว...”

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิรุณเห็นความฝันแบบนี้ แต่จะให้นับว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เขาเองก็ไม่อาจบอกได้

    ทุกอย่างในความฝันนั้นชัดเจนมาก ผิดกับความฝันอื่นๆ ที่มักจะเหมือนหมอกที่เลือนราง และไม่สมจริง ไม่ว่าจะภาพของอาคารที่ถล่มลงมา กลิ่นควันไฟ ความร้อน หรือแม้แต่เสียงของบุคคลทั้งคู่ ทุกอย่างนั้นเหมือนความจริงไม่มีผิดเพี้ยน

    นาฬิกาที่หัวเตียงบอกเขาว่านี่เป็นเวลากว่าห้าทุ่มแล้ว เขาจึงลุกขึ้นไปที่ห้องน้ำ แล้วหยิบแก้วขึ้นมาเติมน้ำจากหัวก๊อกของอ่างล้างหน้า เพื่อที่จะสร้างความสดชื่นพร้อมกับเรียกสติตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะรายงานภารกิจ

    พิรุณจัดแจงอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนอนให้เรียบร้อย เมื่อกลับมายังเตียงนอน พิรุณก็หยิบเอาเครื่องพีดีเอที่มีรูปร่างเหมือนกับแท๊บเล็ตขนาดย่อส่วนเหลือเท่าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตามด้วยการเลือกแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘TWSI’ ขึ้นมา

    ทันใดนั้น จอของเครื่องพีดีเอก็เรืองแสงสีขาวขึ้นมาเล็กน้อย แล้ววิสัยทัศน์ของพิรุณก็ดับวูบไปครู่หนึ่ง แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขากลับไม่ใช่ห้องพักที่หอ แต่เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยเม็ดทราบสีขาว ท้องฟ้าสีคราม และน้ำทะเลสีเขียว

    “งายพิรุณวันนี้มาช้าไปหน่อยนะ”

    สิ่งมีชีวิตที่กำลังทักทายพิรุณอยู่คือ เมอรี่บันนี่ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ชายหาดใต้ร่มกันแดด มาสคอตการ์ตูนชื่อดังตัวนี้เป็นกระต่ายน้อยสีชมพูขนาดเท่ากับกระถางต้นโป้ยเซียน ที่มักจะถือส้อมอันเล็กๆ ที่เปื้อนเลือดอยู่เสมอ นั่นก็ทำให้เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเมอรี่บันนี่ถึงยังเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กอยู่ หรือมันอาจจะเหมือนกับ แฮปปี้ฟลาวเวอร์เฟรนด์ก็เป็นได้

    “พอดีเผลอหลับไปหน่อยครับ”

    “ง้านเหรอ”

    “นี่พี่เมามาหรือครับเนี่ย?”

    “อาร้ายอารายไม่ม้าวไม่มาว

    คำพูดยานคางขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่เมาอีก... พิรุณคิดว่าวันนี้คงไม่ได้คุยอะไรเป็นการเป็นงานแน่ๆ

    “งั้นเดี๋ยวผมจะเขียนรายงานทิ้งเอาไว้ให้นะครับ”

    “โอ่เค่”

     “...”

    พิรุณสะบัดมือครั้งหนึ่งก็ปรากฏแถบเครื่องมือลอยขึ้นมาตามทิศทางที่สะบัด เขาเลือกเอาโน้ตอันหนึ่งกับปากกาอีกแท่งออกมา ก็ปรากฏเป็นสมุดและปากกาลอยอยู่บนอากาศ เขาจึงจัดแจงเขียนรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แล้วเอาไปวางไว้ที่เก้าอี้ชายหาด ส่วนเมอรี่บันนี่ตอนนี้ก็ไปเฝ้าพระอินทร์เรียบร้อยแล้ว...

    พิรุณส่ายหน้าหนึ่งครั้ง แล้วพึมพำออกมาเบาๆ

    “หัวหน้านี่ บางทีก็ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×