ตอนที่ 14 : BLIND BRIDE DOLL#13 ความจริงจากคนตาย
Chapter 13 ความจริงจากคนตาย
รถออดี้สีดำบัดนี้มีผู้โดยสารสามคนรวมคนขับด้วยเป็นสี่ แน่นอนว่าคนขับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าของรถอย่างเซียวจ้าน
อวี๋ปินและอี้ป๋อนั่งหลับจนหน้าแนบไปกับกระจกอยู่ที่เบาะหลัง เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาเร่งกู้ข้อมูลจนไม่ได้หลับได้นอน แต่สำเร็จมั้ยยังไม่มีใครถาม และอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้บอกอะไรด้วย หากแต่เซียวจ้านคิดว่าหวังอี้ป๋อน่าจะรู้ดี เพราะเมื่อช่วงตีสี่ที่เขาตื่นขึ้นมากินน้ำ ยังแอบเห็นคนสองคนนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หากข้อมูลถูกกู้ได้จริง เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าข้างในมีข้อมูลหรือความลับอะไรจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดการชิงวัตถุโบราณ รวมไปถึงมีคนที่บุกเข้ามาถึงขั้นพยายามเอาชีวิตพวกเขาขนาดนี้
หากคิดในแง่ดี บางทีอาจจะเป็นข้อมูลความลับทางวิชาการหรือเปล่า...
วันนี้วังจั๋วเฉิงเองก็ไม่ได้ไปทำงาน แต่ติดสอยห้อยตามมาเป็นเพื่อนของตัวเอง เพราะว่าเขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสรุปแล้วที่มาของตุ๊กตาโบราณเป็นยังไงกันแน่
ด้านหลังของออดี้อีตรอนถูกวางลังกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไว้หนึ่งลัง ซึ่งของที่บรรจุอยู่ด้านในก็คือวัตถุโบราณเจ้าปัญหา ส่วนข้างใต้แผ่นรองที่แต่เดิมเป็นที่ใส่ยางอะไหล่และเครื่องมือฉุกเฉินหากรถมีปัญหา บัดนี้ถูกถ่ายของออกทั้งหมด แต่บรรจุอาวุธปืนเข้าไปแทน เป็นปืนยาวสองกระบอกที่อี้ป๋อเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ปืนลูกโม่อีกสองกระบอก และกล่องสีดำขนาดเท่ากระเป๋าใส่ดน้ตบุ๊คอีกหนึ่งใบซึ่งเจ้าของรถเองก็ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร
เพียงชั่วโมงกว่า เซียวจ้านก็พาคนทั้งสามมาถึงหน้าอาคารสูงตระหง่านสไตล์จีนในยุคราชวงศ์ถัง ด้านหน้าติดป้ายใหญ่ที่มีตัวอักษรเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘กรมโบราณคดี เมืองหางโจว’
รถเอสยูวีคันหรูเทียบเข้าจอดในช่องจอดรถเฉพาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับที่มีผู้รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเดินมาเพื่อจะขอดูบัตรประจำตัว เซียวจ้านลดกระจกลง ล้วงหยิบกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของตัวเองออกมาจากรกะเป๋ากางเกงก่อนจะดึงบัตรใบหนึ่งยื่นให้อีกฝ่ายดูอยู่ครู่ ก็คืนบัตรใบนั้นกลับมาพร้อมกับทำความเคารพด้วยการโค้งให้ เป็นอันเข้าใจกันว่าไม่มีปัญหา
หวังอี้ป๋อและอวี๋ปินลืมตาตื่นขึ้นตั้งแต่ที่รถจอดสนิทแล้ว ร่างโปร่งสองคนข้างหลังเปิดประตูรถแล้วลงไปยืนบิดขี้เกียจ สายชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ถูกดึงออกมาเสียบเข้ากับช่องชาร์จข้างตัวรถบริเวณส่วนของล้อหน้า ก่อนที่คนทั้งสี่จะเดินเข้าไปด้านใน
ด้านในกรมโบราณคดีไม่ค่อยมีคนมากนัก ส่วนใหญ่จะมีนักวิชาการไม่กี่คนที่ประจำอยู่ด้านใน ส่วนนักโบราณคดีในแต่ละหน่วยงานก็จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง บ้างก็ไปออกพื้นที่สำรวจ บ้างก็ไปขุดค้น หรือไปที่สำนักงานอื่นเพื่อจัดการกับโบราณวัตถุหรือโครงกระดูกต่างๆ
วันนี้พวกเขามาที่นี่มีเพียงสองเป้าหมายคือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับยุคเป่ยหยางที่อาจจะเป็นเบาะแสของตุ๊กตาโบราณ ส่วนอีกเป้าหมายหนึ่งคือการสอบถามถึงการขุดค้นเจอตุ๊กตาโบราณนี้รวมถึงผู้ที่รับผิดชอบดูแล
เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร
“คุณเซียวจ้าน ไม่เจอกันนานนะคะ” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงก็เผยรอยยิ้มสดใสให้พร้อมกล่าวทักทายกลับ
“คุณหลิน สวัสดีครับ”
“วันนี้มีธุระอะไรคะถึงมาที่นี่ได้” อีกฝ่ายถามอย่างใจดี
“พอดีผมอยากจะมาหาข้อมูลทำวิจัยนิดหน่อยน่ะครับ แล้วก็อยากจะรบกวนถามเรื่องวัตถุโบราณที่ถูกโจรกรรมที่โรงแรมแกรนด์ ไม่ทราบว่าสะดวกคุยมั้ยครับ?” ทันทีที่อีกคนได้ฟังจุดประสงค์ของการมาที่นี่จากเซียวจ้านก็พยักหน้าอย่างยินดี
“ถ้ายังไงขอให้เพื่อนผมทั้งสามคนเข้าไปด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ เชิญด้านนี้ก่อนนะคะ” ว่าพร้อมผายมือไปทางด้านใน ก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไปยังห้องที่คล้ายกับห้องประชุม โต๊ะสี่เหลี่ยมหลายตัวถูกวางต่อกันเป็นรูปตัวยูและมีเก้าอี้นั่งล้อมรอบ บนผนังภายในห้องทั้งสามด้านมีช่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่เจาะเอาไว้เพื่อวางโบราณวัตถุจำพวกรูปปั้นและเครื่องปั้นโบราณ
ทุกคนจับจองที่นั่งของตัวเองเสร็จสรรพ คุณหลินก็นำน้ำดื่มใส่แก้วกระดาษมาเสิร์ฟให้ ก่อนที่เธอจะลดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแขกผู้มาใหม่ทั้งสี่
เซียวจ้านเริ่มพูดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ยอมให้เสียเวลา เพราะพวกเขายังมีธุระต้องทำอีกมาก
“คืองี้ครับ ผมกลับมาที่จีนรอบนี้เนื่องจากต้องการติดตามงานประมูลวัตถุโบราณ รวมไปถึงทำวิจัยที่เกี่ยวข้องจึงได้ถูกเชิญไปที่โรงแรมแกรนด์ ที่เกิดเรื่องวันนั้น...”
“ดิฉันทราบค่ะ”
“คือผมทราบมาว่าโบราณวัตถุในห้องนิรภัยสี่ชิ้นถูกขโมยออกไป โดยหนึ่งในนั้นมีตุ๊กตาสลักโบราณด้วย อันที่จริงบอกตามตรงผมรู้สึกสนใจของชิ้นนั้นมาก และต้องการจะทำวิจัย แต่ก็ประจวบกับเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”
“คุณเซียวจ้านก็เลยต้องการจะมาหาข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม เซียวจ้านพยักหน้าและพูดต่อชัดถ้อยชัดคำ
“ครับ ผมอยากจะขอดูบันทึกการขุดค้น รวมถึงวิธีการเก็บรักษา พร้อมกับรายชื่อคนรับผิดชอบดูแลน่ะครับ จะนำไปใช้อ้างอิงในงานวิจัยของผม”
คนฟังเงียบไปครู่ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยออกมาช้าๆ อย่างระมัดระวัง
“อันที่จริง ของโบราณทั้งสี่ชิ้นนั้นยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป อีกอย่างบันทึกการขุดค้นก็ยังไม่สมบูรณ์ดีค่ะ จึง..”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไม่มีฉบับสมบูรณ์ก็ไม่เป็นไร ผมเพียงแค่จะขอดูคร่าวๆ เท่านั้น แค่ข้อมูลของตุ๊กตาบ่าวสาวโบราณก็ได้ครับ เพราะผมสนใจชิ้นนี้มากเป็นพิเศษ” เซียวจ้านรีบโพล่งออกไปอย่างกะตือรือร้น คุณหลินมองหน้าของเซียวจ้านอย่างใช้ความคิดราวกับว่าความกะตือรือร้นนั้นมันแปลกพิกล ทำเอาจั๋วเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะกลัวว่าจะถูกสงสัย ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษทั้งสองคนที่นั่งห่างออกไปไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น อี้ป๋อยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำด้านหน้าขึ้นมาจิบ หากแต่ดวงตาคมก็จับจ้องไปที่คุณหลินไม่วางตาเพื่อจดจำและบันทึกใบหน้านั้นผ่านเลนส์ที่ใส่เอาไว้ที่ดวงตาข้างขวาของตัวเอง
อวี๋ปินยกมือขึ้นทำท่าเหมือนกับกำลังจะเกาใบหู แต่ในความเป็นจริงคือกำลังปรับเสียงเครื่องดักฟังที่เสียบเอาไว้ให้มีความถี่เพียงพอที่จะรับเสียงได้อย่างชัดเจนที่สุด
คุณหลินทำท่าชั่งใจอยู่ครู่ก่อนเผยรอยยิ้มออกมาบางๆพร้อมเอ่ยบอก
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ” แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป เพียงไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมกับแฟลชไดรฟ์หนึ่งอันพร้อมกับแฟ้มเอกสารหนาๆ อีกหนึ่งแฟ้ม
เซียวจ้านรับแฟ้มเล่มหนานั้นไปเปิดดู ส่วนเจ้าหน้าที่หญิงจัดการกดสวิตช์พร้อมกับเสียบแฟลชไดรฟ์เข้าไปในช่องเสียบบนผนัง หน้าจอสีขาวค่อยๆ ถูกเลื่อนลงมาจากเพดานด้านบนช้าๆ ก่อนจะปรากฎภาพที่ถูกฉายจากเครื่องโปรเจ็กเตอร์ ไฟในห้องบัดนี้ถูกปิดมืดเพื่อให้มองเห็นภาพบนจอได้อย่างชัดยิ่งขึ้น
คุณหลินทำหน้าที่อธิบายขณะที่มือก็ถือพ้อยเตอร์เพื่อคอยกดเปลี่ยนหน้าหรือเปลี่ยนไฟล์ในแฟลชไดรฟ์นั้น ข้อมูลด้านในมีตั้งแต่รูปภาพขณะขุดค้น ไปจนถึงการขนย้ายกลับมายังกรมโบราณคดีเพื่อเก็บรักษาตามขั้นตอน นอกจากจะเป็นภาพนิ่งแล้วยังมีเป็นคลิปวิดีโอด้วย แน่นอนว่าข้อมูลทุกอย่างถึงแม้จะเป็นของกรมโบราณคดีที่ยังไม่ถูกเผยแพร่ แต่บัดนี้กำลังถูกบันทึกอย่างเงียบๆ โดยอุปกรณ์ไฮเทคบนร่างกายของเจ้าหน้าที่หวังอี้ป๋อและอวี๋ปิน
“อย่างที่ทราบว่า ตุ๊กตาบ่าวสาวโบราณนี้เป็นชิ้นสุดท้ายที่ขุดค้นในช่วงที่ผ่านมาค่ะ โดยจุดที่ค้นพบคือบนที่ดินผืนหนึ่งในหนิงโป ซึ่งขณะนั้นกำลังจะทำการขยายเพื่อสร้างเส้นทางสายใหม่ แต่คนของกรมทางหลวงเจอโดยบังเอิญ ก่อนจะแจ้งมาทางเรา”
“ของชิ้นเล็กแบบนี้ ที่จริงหากถูกแบ็คโฮกระแทกตอนช่วงขยายเส้นทางก็น่าจะเสียหายไป โดยที่ไม่น่าจะรู้หรือเปล่าครับว่าเป็นวัตถุโบราณ ถ้าหาก...” เซียวจ้านแย้งขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดจบ หญิงตรงหน้าก็เอ่ยต่อ
“ใช่ค่ะ ที่จริงเราไม่ได้เจอตุ๊กตาโบราณก่อนแต่แรก แต่ที่เจอคือบริเวณนั้นทั้งบริเวณ มีโครงกระดูกกว่าห้าสิบโครงที่ถูกฝังไปพร้อมกับเครื่องปั้นและเครื่องประดับโบราณที่บ่งบอกชนชั้นฐานะทั้งสิ้น” ร่างบางที่ได้ฟังถึงกับเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ และอีกอย่างข้อมูลนี้ก็ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยที่ไหน ไม่เพียงแค่เซียวจ้าน แต่อีกสามคนที่นั่งฟังอยู่ก็มีอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะไม่เคยได้มาสัมผัสกับสายงานด้านโบราณคดีมาก่อน
“เราได้ขุดโครงกระดูกบางส่วนขึ้นมาด้วย ซึ่งจากที่ทำการตรวจสอบเพศ อายุของโครงกระดูกก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย” ภาพพื้นที่ขุดค้นพร้อมโครงกระดูกนับสิบปรากฎขึ้นบนจอโปรเจ็กเตอร์พร้อมกับคำอธิบายเรียบๆ ไม่รีบร้อน มือของคุณหลินกดพ้อยเตอร์เลื่อนภาพไปอีก คราวนี้ภาพที่ปรากฎคือโครงกระดูกสองโครงที่ถูกฝังซ้อนกัน รอบๆ โครงมีเศษซากของเครื่องประดับและเครื่องปั้นที่แตกกระจายไปทั่วเนื่องจากการผุกร่อนตามธรรมชาติ ส่วนบริเวณข้างหัวกะโหลกมีวัตถุโบราณที่คุ้นตาถูกฝังไว้ โดยครึ่งบนโผล่พ้นดินออกมาเนื่องจากการขุดค้น
“ตุ๊กตาบ่าวสาว...?” เซียวจ้านพึมพำออกมา พลันก็รู้สึกวูบโหวงในใจอย่างประหลาด หวังอี้ป๋อบัดนี้มองภาพตรงหน้าตาไม่กระพริบพลันก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ จนต้องหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
“จุดนี้น่าสนใจเป็นพิเศษค่ะ เพราะโครงสองโครงนี้เหมือนกับถูกฝังลงไปพร้อมๆ กัน อีกอย่างยังมีตุ๊กตาสลักที่เราสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตัวแทนของทั้งคู่ถูกฝังลงไปด้วย แต่ประเด็นคือ...” คุณหลินเว้นไปครู่หนึ่งเพื่อจิบน้ำ เซียวจ้านบัดนี้รู้สึกตื่นเต้นจนมือเล็กๆ ชื้นเหงื่อ ดวงตาเรียวสวยแอบลอบมองไปที่ใบหน้าคม หากแต่ใบหน้านั้นก็ยังเรียบเฉยไม่มีปฏิกิริยาใด
“ประเด็นคือ จากที่เราตรวจสอบลักษณะทางกายภาพของโครงกระดูกแล้ว พบว่าเป็นเพศชายทั้งคู่” คนที่ติดสอยห้อยตามทั้งสามคนต่างรู้สึกประหลาดใจหนัก แต่เซียวจ้านทำเพียงพยักหน้ารับรู้ เพราะโดยปกติแล้วการฝังศพร่วมกันในอดีตก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี หากแต่ก็ต้องมาดูกันว่าสาเหตุการฝังร่วมกันคืออะไร หากไม่ใช่เสียชีวิตพร้อมกัน เป็นสายเลือดเดียวกัน หรือเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ส่วนอายุของโครงอยู่ที่ราวๆ หนึ่งพันสองร้อยปีค่ะ”
“ยุคเป่ยหยางจริงๆ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ดังไม่เบาของเซียวจ้านแต่ก็ได้ยินกันทั่วทุกคน ทำเอาเจ้าหน้าที่หญิงของกรมโบราณคดีเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“คุณเซียวจ้านก็รู้เหรอคะ?”
“อ้อ ผมก็กะเอาคร่าวๆ น่ะครับ คิดว่าน่าจะใช่” อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ก่อนจะอธิบายต่อ
“ตอนนี้โครงกระดูกบางส่วนถูกเก็บไว้ในโกดังด้านหลัง ส่วนเครื่องประดับกำลังอยู่ระหว่างการประกอบให้เป็นรูปเป็นร่าง จะมีที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือตุ๊กตาที่เราเรียกกันว่าตุ๊กตาบ่าวสาว ซึ่งต่อมาได้คุณหวงซู่หมินดูแลรับผิดชอบตั้งแต่การเก็บรักษาและนำออกไปเพื่อจัดโชว์ในงานประมูลที่โรงแรมแกรนด์ค่ะ”
“ดูแลหมายถึงเก็บไว้ในห้องเก็บโบราณวัตถุตลอดเลยใช่มั้ยครับ?”
“ใช่ค่ะ”
“นอกจากคุณหวงซู่หมินแล้ว ยังมีคนอื่นที่เข้าๆ ออกๆ อีกมั้ยครับ?” เมื่อได้ฟังคำถามนั้นหญิงวัยกลางคนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยอมตอบเซียวจ้านไปตามตรง
“ก็...ไม่มีนะคะ เพราะคนอื่นๆ ทำหน้าที่ขุดค้นและขนย้ายกลับมาที่นี่จากนั้นคนที่รับช่วงต่อในการดูแลก็จะมีแค่คุณหวงซู่หมินคนเดียวค่ะ”
...หวงซู่หมิน ผู้อำนวยการกรมโบราณคดี....
คนทั้งสี่หันมองหน้ากันเหมือนกับว่ากำลังสื่อสารกันทางสายตาว่าได้ข้อมูลมากพอแล้วสำหรับแหล่งขุดค้นของตุ๊กตาโบราณ แต่ยังไม่ทันที่ว่าที่ด็อกเตอร์ด้านโบราณคดีอย่างเซียวจ้านจะได้เอ่ยขอบคุณเพื่อลาไปหาข้อมูลที่หอสมุดของกรมโบราณคดี คุณหลินก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“คุณเซียวจ้านสนใจจะเข้าไปดูที่เก็บโครงกระดูกสักหน่อยมั้ยคะ ดิฉันคิดว่าคุณน่าจะสนใจ”
แน่นอนว่าเซียวจ้านไม่ปฏิเสธ
เพียงไม่นานคนทั้งสี่กับเจ้าหน้าที่ประจำกรมโบราณคดีก็มาหยุดยืนอยู่ภายในโกดังแห่งหนึ่ง ภายในมีกลิ่นคล้ายสารเคมีบางอย่างคละคลุ้ง รวมถึงอากาศด้านในก็เย็นกว่าด้านนอก ซึ่งก็ได้รับคำอธิบายว่าต้องควบคุมอุณหภูมิเอาไว้ให้คงที่เพื่อรักษาสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของโครงกระดูก ด้านในมีชั้นเหล็กแบบยาวตั้งเรียงตลอดแนว บนชั้นมีโครงกระดูกถูกวางอยู่ในกล่องสีขาวทรงยาว กะด้วยสายตาคร่าวๆ อยู่ที่ประมาณเกือบสามร้อยกล่อง
จั๋วเฉิงทันทีที่เดินเข้ามาด้านในก็รู้สึกขนลุกซู่พอๆ กับอวี๋ปิน เขาสองคนรู้สึกว่าอากาศด้านในนอกจากจะหนาวแล้วยังรู้สึกเย็นเยียบผิดปกติ อาจเป็นเพราะว่าโดยส่วนตัวแล้วกลัวผีก็ได้ เมื่อมาอยู่ในที่เก็บโครงกระดูกแบบนี้ความกลัวจึงแล่นปราดไปทั่วกายอย่างห้ามไม่อยู่
“เชิญด้านนี้ค่ะ”
คุณหลินก้าวเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลงที่หน้ากล่องใส่โครงกระดูกใบหนึ่ง ด้านหน้ากล่องมีเขียนวันที่ขุดค้น และรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับโครงกระดูกด้านใน คุณหลินเลื่อนกล่องออกมา ที่ใต้กล่องเป็นแผ่นเหล็กที่มีล้อเลื่อนดังนั้นจึงทุ่นแรงไปได้มาก
ภาพโครงกระดูกสองโครงถูกวางซ้อนทับกันปรากฎแก่สายตาของคนทั้งห้าที่ยืนล้อมรอบอยู่ บางส่วนดูไม่ค่อยสมบูรณ์นักอาจเป็นเพราะกาลเวลาทำให้เกิดการผุกร่อนหรือสลายไปบ้าง แต่ภาพรวมก็ยังมองได้ชัดว่าโครงด้านล่างนอนหงาย ส่วนโครงด้านบนอยู่ในลักษณะนอนคว่ำ
ร่างบางที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดมองนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในอก ขอบตาร้อนผะผ่าว จั๋วเฉิงและอวี๋ปินเลือกที่จะยืนห่างออกไปเล็กน้อยเพราะความกลัว
คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเซียวจ้านจึงเป็นหวังอี้ป๋อที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน้ำลายในปากเหนียวขึ้นมาจนกลืนลงคออย่างยากลำบาก ตาคมจ้องมองโครงกระดูกสองโครงที่ปรากฏตรงหน้านั้นก็ให้รู้สึกหน่วงในใจขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ตรงนี้คือโครงกระดูกดังกล่าวค่ะ จะเห็นได้ว่าโครงด้านล่างดูสมบูรณ์พอสมควร เราสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นการเสียชีวิตโดยธรรมชาติ ส่วนโครงด้านบนที่มีลักษณะของกระดูกหนากว่าและใหญ่กว่านี้ สันนิษฐานว่าอาจเสียชีวิตเพราะ...”
“ถูกของมีคม” เซียวจ้านเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
คุณหลินที่ได้ฟังเผยรอยยิ้มชื่นชมให้กับคนช่างสังเกตตรงหน้า แต่จั๋วเฉิงที่ไม่รู้เรื่องก็ท้วงขึ้นด้วยความอยากรู้
“รู้ได้ยังไง?”
“กระดูกตรงช่วงอกมีร่องรอยถูกของมีคมแทง จากขนาดแล้วคิดว่าน่าจะเป็นของมีคมจำพวกดาบมากกว่าศรธนู” ร่างบางหันไปอธิบายกับเพื่อนเสียงเบา พลันหยดน้ำใสจากดวงตาก็ร่วงเผลาะ ไม่เพียงแต่จั๋วเฉิงที่ตกใจ แต่ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน
“เซียวจ้าน” หวังอี้ป๋อขยับเข้าไปหาคนแรก
“ปละ เปล่า ไม่เป็นอะไร” มือเรียวรีบยกขึ้นมาปาดของเหลวบนใบหน้าลวกๆ ราวกับเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยนั้นเรียกชื่อ
“แน่ใจนะคะคุณเซียวจ้าน?” คุณหลินหันมาถามอย่างเป็นห่วง
“ครับ แน่ใจครับ อาจจะแสบตาเพราะกลิ่นสารเคมี” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนจะสูดหายใจลึกเพื่อตั้งสติให้กับตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาง่ายๆ เสียแบบนั้น
“ถ้ายังงั้นจะพักก่อนมั้ยคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ต่อเลยครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงวัยกลางคนก็พยักหน้าอย่างลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อช้าๆ
“อย่างที่คุณเซียวจ้านบอกเมื่อครู่ค่ะ ทางเราเองก็สันนิษฐานแบบนั้น แต่ก็มีที่ผิดปกติอยู่อีกจุดหนึ่ง”
คุณหลินเดินเข้าไปหยุดยืนข้างๆ กล่องสีขาวนั้นก่อนจะยกปากกาขึ้นมาชี้ให้ดูตรงช่วงอกระหว่างโครงทั้งสองนั้น
“ตรงนี้เคยมีเครื่องประดับทรงกลมที่ทำจากหยกลายมังกรและมีตราบัญชาทัพรูปเสือ แต่เราเอาออกแยกไปวิจัยอีกส่วนหนึ่ง”
“...” เซียวจ้านรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในอก เช่นเดียวกับหวังอี้ป๋อที่บัดนี้เลือกที่จะเดินแยกออกมาจากตรงนั้นเงียบๆ เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด...และถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญจนเกินไป...
นั่นคือโครงกระดูกของแม่ทัพแห่งเป่ยหยาง ‘หวังเจิ้นฮว๋า’
“สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของยุคเป่ยหยาง ซึ่งจากบันทึกด้านประวัติศาสตร์บอกไว้ว่ามีแม่ทัพในยุคเป่ยหยางเพียงสองคน คือแม่ทัพหวังเจิ้นฮว๋า และแม่ทัพอู๋ซวง”
“ทำไมถึงมั่นใจว่าเป็นแม่ทัพล่ะครับ?” วังจั๋วเฉิงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเขาเหมือนกันที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้
“เพราะตราบัญชาทัพรูปเสือเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของการเป็นแม่ทัพในสมัยก่อนค่ะ”
เงียบกันไปครู่ คุณหลินก็เหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้อีกประเด็นหนึ่ง
“อ้อ แล้วก็ตัวหยกที่เราแยกไปวิจัย ก็มีผลออกมาคร่าวๆ แล้วเหมือนกันค่ะว่ามีลักษณะคล้ายกับหยกของจักรพรรดิหวังเหว่ยหลงแห่งแคว้นเป่ยหยางถึง 90%”
“หมายความว่า...”
“ค่ะ หมายความว่าแม่ทัพท่านนี้ ‘อาจจะ’ เป็นหนึ่งในองค์รัชทายาทของจักรพรรดิหวังเหว่ยหลง ตามบันทึกที่บอกว่าจักรพรรดิมีโอรสพระองค์หนึ่ง แต่ไม่เปิดเผย”
“ถ้าอย่างนั้น ที่ยุคเป่ยหยางสิ้นสุด ก็เป็นเพราะไม่มีผู้สืบทอดราชบัลลังก์... อย่างนั้นเหรอครับ?” เซียวจ้านรับรู้ได้เลยว่าเสียงของตัวเองที่ถูกเปล่งออกมานั้นมีความสั่นไหวไม่มั่นคงเหมือนกับก่อนหน้านี้
“เราสันนิษฐานแบบนั้นค่ะ”
สิ้นบทสนทนาเหล่านั้น ราวกับความมืดมนและปริศนาทุกอย่างด้านหลังกำแพงสูงทะมึนถูกเปิดออก ภาพในอดีตเมื่อพันกว่าปีพรั่งพรูเข้ามาในหัวของหวังอี้ป๋อราวกับสายน้ำไหลตั้งแต่ต้นสายไปสิ้นสุดยังปลายน้ำอันเป็นหน้าผา
เขามองเห็นเรื่องราวทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
การสันนิษฐานทุกอย่างถูกต้องแทบทั้งหมด
โครงกระดูกนี้คือโครงกระดูกของแม่ทัพหวังเจิ้นฮว๋า
และแม่ทัพหวังเจิ้นฮว๋าคือองค์รัชทายาทที่รอสืบต่อบังลังก์ของผู้เป็นราชบิดา
หากแต่...เขากลับมาเสียชีวิตเสียก่อน
ด้วยการฆ่าตัวตายต่อหน้าคนรัก
ร่างสูงรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกสายน้ำซัดกระหน่ำจนร่างทั้งร่างลอยวูบหวิวและกำลังจะตกลงไปในหุบเหวลึกไร้ก้นนั้น
“อี้ป๋อ เป็นไรเปล่าวะ” เสียงของอวี๋ปินราวกับการปลุกเรียกให้อี้ป๋อตื่นจากพะวังความคิด ใบหน้าคมบัดนี้ซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
“กู กูเห็น...” เสียงแหบทุ้มเปล่งออกมาเพียงเท่านั้นก็ทำเอาเพื่อนของเขารู้สึกผวา
“มึงเห็นอะไร อย่าบอกนะว่า...” ขนแขนอวี๋ปินตั้งชันขึ้นมาทั้งที่ยังพูดไม่จบ ดวงตาก็กวาดมองไปทั่วอย่างขลาดกลัว ถ้าให้ไปสู้รบเขาไม่เคยหวั่น แต่ถ้าให้สู้กับผี เขาเลือกที่จะถอนตัว
“ขอผมดูหยกลายมังกรได้ไหมครับ?” ครั้งนี้คนร้องขอไม่ใช่เซียวจ้าน แต่เป็นอี้ป๋อที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าระหว่างเซียวจ้านและคุณหลิน เจ้าหน้าที่หญิงมองหน้าชายรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้าด้วยความสงสัย ตั้งแต่ที่เข้ามาที่นี่แล้วที่เธอรู้สึกสงสัยคนที่ติดสอยห้อยตามว่าที่ด็อกเตอร์เซียวจ้านเข้ามา
“เห็นทีจะไม่ได้ค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบและประกอบชิ้นส่วนที่แตกไป”
“ไม่เป็นไรครับ เท่านี้ก็ขอบคุณคุณหลินมากๆ แล้วครับ”
“นายไม่เป็นไรแน่นะเซียวจ้าน?” จั๋วเฉิงถามขึ้นหลังจากที่คนทั้งสี่แยกกับเจ้าหน้าที่กรมโบราณคดีแล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปยังหอสมุดเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อ
“อืม” คนถูกถามตอบสั้นๆ เพียงเท่านั้น หากแต่กลับมีความสั่นไหวบางอย่างปรากฎในดวงตาเรียวสวย
เขาจะบอกทุกคนได้ยังไงว่าเขารู้จักเจ้าของโครงกระดูกที่ได้ไปดูอย่างใกล้ชิดพวกนั้น
ความมั่นใจตอนนี้อยู่ที่ 90% ขอแค่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกสักหน่อย แค่เพียงสักนิด...ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แทบจะสมบูรณ์
“อ่ะละเมื่อกี้มึงเป็นอะไร เห็นผีใช่มั้ย?” อวี๋ปินพอออกมาจากห้องเก็บโครงกระดูกแล้วก็รู้สึกมีแรงขึ้นมา กลับมากล้าพูดกล้าคุยเหมือนเดิม
“เปล่า แค่ปวดตาเพราะเลนส์” เสียงทุ้มเอ่ยตอบเพื่อนเบาๆ เท่านั้นพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปข้างหน้าเป็นเชิงบอกว่าทิ้งห่างสองคนข้างหน้ามากเกินไปแล้ว ให้เร่งฝีเท้า
จู่ๆ ก็เกิดเสียงเตือนดังสนั่นมาจากด้านหน้าของอาคารของกรมโบราณคดี ใบหน้าเรียวหันขวับไปตามเสียงอย่างตกใจ เพราะเขาจำได้ว่าเป็นเสียงจากรถยนต์ของเขาเอง
“ที่รถ” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างสูงก็ออกตัววิ่งนำไปยังต้นเสียงทันที อวี๋ปินก็ตามไปติดๆ พร้อมกับเซียวจ้าน ส่วนจั๋วเฉิงเลิ่กลั่กอยู่ครู่ พอสมองประมวลผลทัน ขาเรียวก็ก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว
ร่างทั้งสี่วิ่งมายังด้านหน้าอาคาร เสียงเตือนกันขโมยของรถยนต์สีดำยังคงดังแสบแก้วหูอยู่ที่ลานจอดรถที่ห่างออกไปอีกประมาณสามร้อยเมตร หากแต่รอบด้านกลับไม่มีใคร แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เซียวจ้านล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถขึ้นมากดเพื่อปิดเสียงนั้น เท้าเรียวกำลังจะก้าวไปด้านหน้า แต่ถูกแขนแกร่งรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ผมเอง” อี้ป๋อหันไปบอก ยังไม่ทันที่ร่างบางจะได้ท้วงอะไร คนร่างสูงก็ผละไปเสียแล้ว เซียวจ้านเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างนั้นกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่ลานจอดรถ ดวงตาเรียวเหลือบไปมองเจ้าหหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษอีกคนเพื่อดูปฏิกิริยา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงการพยักหน้าว่าให้เรารอกันอยู่ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว
อี้ป๋อวิ่งมาที่รถเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น รอบๆ ออดี้อีตรอนมีเพียงแค่เขาคนเดียว แต่จากสัญชาตญาณกลับรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ เขาพาตัวเองไปที่ด้านหลังของตัวรถ สายตาก็มองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังพลางยกมือให้สัญญาณไปทางกลุ่มที่ยืนดูอยู่ไกลๆ เป็นเชิงบอกว่าปลดล็อครถให้ที
พอได้ยินเสียงปลดล็อคปุ๊บ เขาก็รีบเปิดฝากระโปรงท้ายหากแต่เป้าหมายไม่ใช่ยกเอาลังเก็บวัตถุโบราณออกมา แต่เลือกที่จะเปิดแผ่นรองด้านใต้เพื่อหยิบอาวุธปืนและระเบิดควัน
เสียงกึกก้องกัมปนาทสะท้านหูดังรัว จนเซียวจ้านและจั๋วเฉิงสะดุ้งพร้อมกับทรุดตัวลงหมอบเอามืออุดหู ทันทีที่รถยนต์เพียงคันเดียวตรงหน้าเกิดประกายไฟแปลบปลาบจากการถูกอัดกระแทกอย่างแรงด้วยลูกกระสุน
หวังอี้ป๋อที่อยู่ด้านหลังรถลดตัวลงต่ำ มือหนากระชับกระบอกปืนขนาดยาวสีดำด้านแน่น เมื่อครู่เขามองไม่เห็นใครเลยก็จริง แต่ก็พอจะเดาทางถูกว่ากระสุนที่ถูกยิงเมื่อครู่มาจากทิศทางไหน ร่างสูงพาตัวเองหมอบลงไปกับพื้นแล้วขยับกายไปใต้ท้องรถพร้อมกระบอกปืนด้วยความคล่องแคล่ว ลมหายใจหนักๆ ถูกปล่อยออกมาก่อนจะยกปืนขึ้นเล็งไปยังทิศทางที่คาดไว้ สายตาคมมองผ่านเลนส์บนลำกล้องปืนเพื่อหาเป้าหมายอย่างใจเย็นพร้อมกับขบกรามจนขึ้นนูนเป็นสัน ก็พอดีกับทีกระสุนอีกนัดถูกยิงมาตรงล้อไทเทเนียมเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หวังอี้ป๋อพลิกตัวไปทางด้านซ้ายเพื่อหลบวิถีกระสุนได้อย่างทันท่วงที
เขาเห็นมันแล้ว!
ไม่รอช้าร่างสูงพลิกตัวกลับตั้งลำกล้องปืนเล็งไปยังเป้าหมาย และเหนี่ยวไกออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ถึงเขาจะเป็นเป้าอยู่ในที่แจ้ง แต่เพราะอยู่ใต้ท้องรถทำให้การจะเล็งมาที่เขายากลำบากพอตัว แต่กลับกัน เขากลับมองเห็นผู้ที่อยู่ด้านนอกได้อย่างชัดเจน
เสียงปืนทั้งสามนัดทิ้งระยะห่างไปนานพอสมควร อวี๋ปินพยักหน้าให้กับทั้งสองคนแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ไปจากที่นี่ครับ”
เซียวจ้านกับจั๋วเฉิงเมื่อเห็นสัญญาณจากคนตรงหน้าแล้วก็ยันกายลุกขึ้นวิ่งตรงไปยังรถอย่างไม่รอช้า แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกมันไม่ได้มีแค่คนเดียว เพราะทันทีที่พวกเขาทั้งสามคนออกวิ่ง ก็เกิดเสียงปืนขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ วิถีกระสุนถูกเล็งไปที่บุคคลทั้งสาม พร้อมกับที่ตัวรถก็ถูกรัวด้วยกระสุนจากปืนกล
หวังอี้ป๋อที่ยังอยู่ใต้ท้องรถสบถออกมาอย่างโมโห เขากัดฟันกรอดแล้วใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีพลิกตัวออกจากข้างใต้ไปอยู่ด้านข้างตัวรถแทน ประตูรถถูกเปิดผลัวะอย่างรวดเร็วเพื่อใช้เป็นที่กำบัง พร้อมกับที่ลำกล้องปืนก็เล็งไปยังเป้าหมายที่อยู่อีกด้าน ก่อนจะรัวกระสุนไปยังทิศทางของฝ่ายตรงข้ามอย่างแม่นยำ
หนึ่ง...
สอง...
สาม...
สี่...
หากไม่ตายก็ปางตาย เพราะจุดยิงคือส่วนหัวของพวกมันทั้งสิ้น
คนที่วิ่งหลบกระสุนทั้งสามกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เสียงหอบหายใจถี่ดังปะปนกันจากเหตุการณ์เสี่ยงตายหวุดหวิด นับว่าโชคดีที่พวกเขาไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนัก จะมีก็เพียงแผลที่เกิดจากสะเก็ดกระสุนเท่านั้น
“ออกรถ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเซียวจ้านก็กดสตาร์ทรถ เหยียบคันเร่งพร้อมหักพวงมาลัยหนัก สายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าถูกกระชากออกด้วยแรง 170 แรงม้า เสียงล้อยางบดกับพื้นลานจอดเป็นเสียงแสบแก้วหูก่อนรถทั้งคันจะทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเพียงชั่ววินาที
ตอนนี้เนื้อหาวิชาการด้านโบราณคดีจะเยอะหน่อยนะคะ ทั้งที่ความจริงคือคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว นั่งระลึกชาติอยู่นานมาก 555555 ส่วนคำผิดยังไม่ได้แก้น้าาาา ภาษาอาจจะไม่สละสลวยเท่าไหร่
ถ้าตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ ก็ขออภัยด้วยจ้า ช่วงนี้เราไม่ค่อยมีสติ 5555555
แต่ไม่อยากค้างไว้นาน กลัวตัวเองลืมพล็อตเรื่องอยู่เหมือนกัน
เจอกันตอนหน้าจ้า
ปล. ในลิงก์เป็นรูปของโครงกระดูกของจริงจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถูกขุดขึ้นมาจริงๆ และเป็นโครงกระดูกแบบฝังซ้อนกัน เพศชายทั้งคู่ ภาพโดยไรท์เองจ้า ถ่ายตอน เข้าไปทำวิจัยในโกดังเก็บโครงกระดูกของกรมโบราณคดีเมืองไถหนาน ไต้หวัน ปี 2018
ใครกลัวหรือรู้สึกไม่ดี ไม่ต้องกดเข้าไปดูน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

WOW!!เลยอะ ไรท์ ไรท์เก่งจัง ♥️💕♥️💕 ขอบคุณนะคะ รอตอนต่อไปอยู่น๊า 😊😊😊