ตอนที่ 32 : relationship goals
31
“วา ไม่กินข้าวเหรอ”
“เดี๋ยวกินคร้าบ” ผมขานตอบไป สายตายังคงหยุดที่โมเดลตรงหน้าที่ใกล้100%เข้าไปทุกที
“ส่งงาน11โมงไม่ใช่เหรอ มากินก่อนนนน เดี๋ยวไม่ทัน”
“แปบหนึ่งงง” ผมตอบกลับไปประโยคไม่ต่างจากเดิมมากนัก และหันมาเก็บรายละเอียดต่อ
“จะ24ชั่วโมงล่ะนะที่คุณนั่งงมกับงานนี้เนี่ย” พี่ติณห์ที่ควรจะกินข้าวเดินเข้ามานั่งยองๆตรงหน้าผม ผมแค่ยิ้มแหย่ๆตอบกลับไปและสนใจงานเหมือนเดิม
เป็น2วันที่โครตหนักหน่วงในชีวิต
ผมได้นอนไป3ชั่วโมงเองมั้ง ก่อนที่จะลุยงานจนใกล้เวลาส่งเข้าไปทุกที
เรียกว่าทำจนหยดสุดท้ายเลยเนี่ย
“คุณจะทำจนวิสุดท้ายทุกงานเลยใช่ไหม” พี่ติณห์ทิ้งตัวลงนั่งและเท้าคางมองผม
“ส่วนมากก็ประมาณนั้นแหละครับ” พี่ติณห์พยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแค่เท้าคางมองอยู่แบบนั้น ผมขีดๆเขียนๆเพิ่มโดยไม่รู้ว่าช่วยให้ดูดีขึ้นรึเปล่าและมองงานตรงหน้าทีล่ะส่วนช้าๆอีกรอบ
คิดว่าเสร็จแล้วนะ
“ได้แค่นี้มั้ง” ผมพึมพำและเลื่อนสายตาไปมองพี่ติณห์ พี่ติณห์นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโมเดล และเท้าคางมองผมอยู่เหมือนเดิม
“มองทำไมมม” ผมถามและเลิกคิ้วใส่เขา
“เพลินดี”
“มองผมเนี่ยนะ?” พี่ติณห์พยักหน้า
“ตอนคุณตั้งใจทำอะไรมากๆมันโครตน่ามองเลยว่ะ” ผมยิ้มและเท้าคางมองพี่ติณห์บ้าง
เราสบตากันอยู่ไม่นานพี่ติณห์ก็ผุดลุกขึ้น
“อดกินแล้วมั้ง มันจะไปส่งงานไม่ทันนะ” ผมยืนขึ้นบ้างและบิดขี้เกียจ สายตามองไปยังนาฬิกาปลุกตัวเดียวในห้องที่กำลังบอกเวลา10:46
“น่าจะ ส่งเสร็จแล้วค่อยกินก็ได้ครับ” มาถึงขนาดนี้ล่ะ ส่งให้เสร็จแล้วค่อยกินทีเดียวก็ได้ ผมหาวอีกรอบและเดินงงๆเข้าห้องน้ำไป
นอกจากหิวก็ง่วงนี้แหละครับที่จู่โจมผมสุดๆ
การส่งงานถึงมืออาจารย์เป็นอะไรที่ยกภูเขาทุกลูกออกจากบ่า ยิ่งงานครั้งนี้เป็นไฟนอลแล้วด้วย พวกผมออกมาจากห้องส่งงานต้องสภาพชูมือขึ้นจนสุดแขนแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา (เสียงดังไม่ได้ครับเดี๋ยวอาจารย์หักคะแนน) แต่หน้าทุกคนแสดงความโล่งอกอย่างล้นปรี่ แม้ใบหน้าจะโทรมโครตๆขนาดไหนก็ตาม
“อาทิตย์นู้นนนเจอกันนะมึง” เพชรตบบ่าผมกับพีทก่อนที่จะแยกออกไป
“เออเจอกันๆ” พีทตอบกลับเพชรกลับไป
“Congrats Projectเอาให้เต็มที่นะครับวรมินทร์” โดยที่มันไม่ลืมจะพูดส่งท้ายให้ผม ซึ่งผมก็ยกนิ้วโป้งให้มันไป อาจจะเบาเรื่องไฟนอลไปแล้ว แต่ผมก็ยังมีโปรเจคจบให้รับผิดชอบอีกครับ
“มีไรให้ช่วยก็บอก แต่ขออีกสัก2-3วันนะ ขอนอนก่อน” หลิวเข้ามาคุยกับผมบ้าง
“ไว้จะเรียกมาใช้แรงงานนะ” หลิวพยักหน้ารับ ก่อนที่เธอจะหันไปคุยกับไอ้พีท
“ปายกลับบ้านป่ะเนี่ย” ผมจึงหันมาคุยกับปายแทน
“อืม คงกลับแหละ เดี๋ยววันงานให้ป๊ามาส่ง แต่ถ้าจะให้ช่วยงานอะไรบอกได้เลยนะวา โปรเจคจบคงไม่ใช่ง่ายๆเลยอ่ะ” เธอพูดจบก็พยายามจะเค้นยิ้มให้ผม
“ได้ ถ้าทำไม่ทันจะโทรเรียกแน่นอน” ปายพยักหน้างึกงัก
พวกเราพูดคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะแยกย้ายกัน สภาพแต่ล่ะคนต้องการพักผ่อนมากครับ ดังนั้นอย่ามัวแต่คุยกันให้เสียเวลาเลย ผมเองก็เดินทอดน่องกลับไปที่หออย่างเนืองๆ ในหัวกำลังรันงานใหม่ที่ต้องรับผิดชอบ ผมจะทำอะไรดีนะ คิดไปคิดมาหลายตลบก็ยังคิดไม่ออกเลยเนี่ย
ผมยังคิดอะไรไม่ออกด้วยซ้ำก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องแล้ว
แต่เพียงแค่เปิดประตูออกขาที่จะก้าวอัตโนมัติก็หยุดลง
นี้ห้องผมถูกไหมเนี่ย
ความเบลอทำให้ผมชะโงกออกไปมองเลขห้องอีกครั้ง
“ส่งงานแล้วเหรอ” แต่เสียงที่คุ้นเคยจากคนในห้องก็ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้เข้าผิดห้องนี้ว้า
“พี่ทำความสะอาดห้องให้ผมเหรอ” อย่างว่าแหละครับ ตอนทำงานนี้ของโครตเยอะ มันก็เลยโครตรก ผมจำได้ว่ามันโครตของโครตรกกว่านี้มากๆแต่ตอนนี้มันสะอาดสะอ้านสุดๆ
“อือ ผมรู้สึกว่าผมเหยียบโดนอะไรนักก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่พื้นเลยกวาดทิ้งสักหน่อย” พี่ติณห์ตอบโดยที่ยังนั่งเล่นเกมส์อยู่ที่โซฟา
“พี่ไม่น่าทำเองคนเดียวเลยอ่ะ มันเยอะอยู่นะ” มันโครตเยอะเลยแหละ เรียกพี่เขามาใช้แรงงานแล้วเขายังมาทำความสะอาดให้อีก ผมก็เกรงใจเป็นนะ
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าวอยู่ในตู้นะ จะอุ่นอีกรอบก็ได้” ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ (ตอนแรกตั้งใจจะโยนๆไปนั้นแหละแต่เห็นพี่ติณห์ทำความสะอาดให้ขนาดนี้แล้วโยนไม่ลง)
“แม่บ้านที่ดีมากเลยอ่ะ” ผมแกล้งโผล่หัวเข้าไปพูดข้างหูพี่ติณห์และชิงหอมแก้มไปฟอดใหญ่
“กวนตีน” พี่ติณห์ด่าผมออกมาทันที แต่ผมกลับหัวเราะร่าและมุ่งตรงไปหาข้าวในตู้แทน
เอาจริงการมีรูมเมทมันก็ไม่แย่นะ
แค่รูมเมทคนนี้นะ
“พี่ติณห์ดูหนังกันเถอะ” ผมกวาดข้าวกล่องลงกระเพาะด้วยความรวดเร็ว และถึงแม้มันจะไม่ได้ครึ่งกระเพาะผมเลย แต่ผมก็ขี้เกียจเกินกว่าจะหาอะไรกินจึงโผล่หัวออกไปคุยกับพี่ติณห์แทน
“เอาดิๆ” พี่ติณห์ตอบแต่ตาก็ยังมองเกมส์อยู่นะ ผมละสายตาจากพี่ติณห์หันมาหยิบหนังสักเรื่องขึ้นมา
“จบตาก่อนไม่ได้เหรอออ” พี่ติณห์บ่นออกมาก่อนที่ผมจะกดปิดจอ ผมจึงหันไปยิ้มตาปิดให้พี่เขา
“ไม่ได้ครับ” พูดจบผมก็กดปิดเกมส์เลย ขอตานี้ๆทุกทีอ่ะ สุดท้ายก็ไม่ได้ดูหนัง
เมื่อหนังเริ่มฉาย ผมก็กดปิดไฟในห้องและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพี่ติณห์ นั่งเท้าคางดูหนังอยู่สักพักก่อนที่หัวจะหนักขึ้นมา
จนล้มไปวางแน่นิ่งอยู่ที่ตักพี่ติณห์
ดีที่พี่ติณห์ไม่ได้บ่นอะไรออกมา เขายังคงมองตรงไปยังหน้าจอตรงหน้า ผมจึงยึดตักพี่ติณห์เป็นหมอนให้ผมซะเลย
“เนียนตลอดอ่ะ” พี่ติณห์เลื่อนมือมาตีหน้าผากผมเบาๆและบ่นขึ้น แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีผม ผมจึงนอนตะแคงและสนใจดูหนังตรงหน้าแทน
ก็ช่วยไม่ได้นี้นา ตักพี่เป็นหมอนที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลยนะ
หลับเฉยเลยว่ะ
ผมลืมตาขึ้นมาเมื่อน้ำย่อยในกระเพาะกำลังจะกินกระเพาะผมแทนอาหารแล้ว รู้สึกหิวมากจนข่มตาหลับต่อไปไม่ได้
ผมกระพริบตาไล่ความง่วงอีกครั้ง เผลอหลับไปตอนไหนวะ หน้าจอโทรทัศน์ตรงหน้าดำมืดไปแล้ว ผมคงเผลอหลับไปตอนดูหนังสินะ และตอนนี้หนังก็คงจบไปแล้วด้วย
ผมหันมามองเจ้าของตักที่ผมนอนอยู่เมื่อนึกขึ้นมาได้
พี่ติณห์เท้าคางและหลับไปไม่ต่างจากผม เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้
ตั้งแต่วันส่งไฟนอลของพี่ติณห์เมื่อวันพุธ พี่ติณห์ก็มาช่วยงานผมเลย ไม่ได้หลับไม่ได้นอนพอๆกัน แถมยังเป็นธุระเรื่องหาข้าวหาน้ำ ทำความสะอาดห้องให้ผมอีก คงไม่แปลกที่พี่ติณห์จะเพลียจนเผลอหลับไป ผมเลื่อนมือไปปัดผมที่ปรกหน้าพี่ติณห์ออก รู้สึกผิดเหมือนกันแหะที่ทำให้พี่ต้องลำบาก แต่มันก็อยู่บนความซึ้งใจอ่ะ มันจะมีใครวะที่ยอมทำทุกอย่างให้โดยไม่บ่นสักคำ ไม่หวังอะไรตอบแทนสักอย่าง และก็ยังอยู่ข้างๆกันจนถึงตอนนี้
ขอบคุณนะพี่ติณห์
ผมเองก็จะอยู่ข้างๆพี่เหมือนกัน
พี่ติณห์สะดุ้งตื่นขึ้นมาในขณะที่ผมยังเกลี่ยผมให้เขาอยู่เลย เขามองหน้าผมสักพักก่อนที่จะยกมือขึ้นมาขยี้ตา
“กี่โมงแล้ววะ” เอาจริงผมก็ไม่รู้ ผมจึงผุดลุกขึ้นนั่งเพื่อมองหานาฬิกา
“จะ2ทุ่มแล้ว” นอนไปสักพักเหมือนกันแหะ
แต่ไม่สามารถลดความง่วงไปได้เลยนะ
“หิวอ่ะ” พี่ติณห์พูดประโยคในใจผมเป๊ะเลย
“เนอะ กินไรดีอ่ะ” พี่ติณห์ทำหน้าคิด ยังดูง่วงอยู่เลยครับ
“ในตู้เย็นมีอะไรเหลือบ้าง” ผมส่ายหัวทันที
“ไม่เหลืออะไรเลยครับ แม้แต่น้ำเปล่า” ยิ่งอยู่ทำงานดึกก็ยิ่งหิวครับ เราเลยหยิบทุกอย่างที่สามารถกินได้มากินหมดแล้ว
“อยากซื้อของมาตุนไว้เนอะ ตู้เย็นไม่มีของแบบนี้เราอาจอดตายได้” ผมรู้ว่าพี่ติณห์แค่พูดเฉยๆแต่ประโยคนั้นก็ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้
“งั้นไปซื้อของมาตุนกัน” พี่ติณห์เลิกคิ้ว
“ที่ไหน”
“ห้างAไง ใกล้ๆนี้เอง เดินไปแปบเดียวก็ถึง ไปหาอะไรกินด้วย” พี่ติณห์ทำหน้าคิดตามสักพัก
“ไปเถอะนะนะ” ผมจึงหยิบลูกอ้อนออกมาใช้ทันที พอมาคิดๆดูแล้วผมกับพี่ติณห์ยังไม่เคยไปเดินซื้อของด้วยกันจริงๆจังๆเลยนะ มีแต่ถนนคนเดินกับร้านค้าแถวนี้เท่านั้นเอง
“โอเคๆ” สุดท้ายพี่ิติณห์ก็ยอมพยักหน้ารับ ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาเลย
ผมจะกวาดซื้อของกินมาให้หมดเลยคอยดู
การมาเดินห้างตอนดึกๆเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมชอบเป็นพิเศษ เพราะคนไม่ได้พลุ่งพล่านเหมือนตอนกลางวัน เราจึงสามารถเดินเรื่อยๆได้ อย่างตอนพาแม่มาช็อปปิ้งผมก็มาตอนเวลานี้แหละ และยังตอนมาดูหนังกับพี่ติณห์เมื่อตอนนู้นอีก
เพราะมีจุดมุ่งหมายแน่วแน่ว่าซื้อของไปตุนที่ห้อง เราจึงเริ่มจากหาข้าวเย็นกินก่อนจะได้ลุยซื้อของทีเดียว
เราไม่ได้เสียเวลากับมื้ออาหารนาน หลังจากอิ่มหนำกันเรียบร้อยเราก็มาเดินซื้อของกัน โดยมอบหมายตำแหน่งเข็นรถเข็นให้พี่ติณห์ ทำไมนะเหรอ
“เฮ้ยๆ เอาออกไปเลย” ผมจะได้เนียนหยิบของใส่เยอะๆไง แต่พี่ติณห์ก็เห็นตลอดเลยครับ ทำไมเก่ง แม่ผมยังไม่เห็นเลยนะ
“อันนี้อร่อยนะ” ผมกอดขนมถุงนั้นไว้โดยไม่ยอมให้พี่ติณห์หยิบออก
“คุณบอกอร่อยมา5ถุงล่ะนะ”
“ผมกินหมดเชื่อดิ” พี่ติณห์ส่ายหัวและหยิบขนมอีกถุงในรถเข็นขึ้นมา
“งั้นเอาอันนี้ออก”
“ไม่ได้! อันนั้นก็อร่อย” ผมเข้าไปขวางไม่ให้พี่ติณห์เอาขนมไปเก็บ
“ให้เลือกได้ถุงเดียว”
“โหยยยยยย” พี่ติณห์ไม่สนใจโหยของผมสักนิด เพราะเขาแย่งขนมจากมือผมไปคืนอย่างไร้เยื่อใยสุดๆ
“ไปต่อได้ล่ะ ซื้อขนมเปลืองมาก” พี่ติณห์เข็นรถออกไปและบ่นผมด้วย ปล่อยให้ผมเดินตามและบ่นอุบอิบไปมา
“วา! อยากกินช็อกโกแลตไม่ใช่เหรอ”
“ไหนนนนน” ทำเป็นดุแต่ก็คอยจำให้หมดเลยนะว่าผมอยากกินอะไร
จะไม่ให้ผมหยิบไปหมดได้ไงล่ะ
“ปกติพี่กินยี่ห้อไหน” เราสองคนมาหยุดยืนอยู่หน้าช็อกโกแลตหลากหลายยี่ห้อ
“ผมกินได้หมดอ่ะ” คำตอบของพี่ติณห์เหมือนกับคำตอบในหัวผมเลย
“ผมก็เหมือนกัน งั้นเอาอันที่แพ็กเกจน่ากินล่ะกัน” พี่ติณห์ขำออกมาหลังจากผมพูดจบ
“ทำไมอ่ะ”
“แค่ขำที่คุณคิดเหมือนผม” คราวนี้ผมขำออกมาบ้าง หันไปหยิบแพ็กเกจรูปใบไม้ขึ้นมาใส่รถเข็นไว้ ก่อนที่จะปลายตาไปเห็นแพ็กเกจรูปดอกกุหลาบอีกถุงหนึ่ง อันนี้ก็น่ากินแหะ...
“เอาไป2ถุงเลยล่ะกันเนอะ” ผมหันกลับมาถามพี่ติณห์แต่ฝ่ายนั้นมองผมอยู่ก่อนแล้ว
“ผมว่าล่ะ เอาดิ” คำอนุญาตพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะทำให้ผมหยิบช็อกโกแลตรูปกุหลาบมาใส่รถเข็นเพิ่มและเราก็ออกเดินต่อ
“เราควรซื้ออะไรที่มันทำกินง่ายๆไปเก็บไว้บ้างรึเปล่า” พี่ติณห์หยุดเท้าเมื่อเรามาถึงพวกอุปกรณ์ทำอาหารและอาหารต่างๆ
“พี่เลือกเลย ผมไร้ความรู้เรื่องนี้มาก” พูดจบผมก็ขยับมาเข็นรถเข็นแทน
“ผมก็ไม่มีนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นพี่ติณห์ก็หยิบอาหารแต่ล่ะอย่างมาอ่านอย่างตั้งใจ สุดท้ายเราก็ได้แกงกะหรี่แช่แข็งที่ให้ต้มตอนน้ำเดือด3นาทีก็กินได้แล้วมาห่อหนึ่ง กับพวกอาหารแช่แข็งต่างๆอีกมากมาย
“ผลไม้นี้หยิบไปได้เป็นโลๆเลยอ่ะ ผมกินได้หมด” ผมหยุดเข็นรถเมื่อเรามาถึงพวกผลไม้ต่างๆ ผลไม้ละลานตาตรงหน้าทำให้ผมไม่รู้จะหยิบอะไรขึ้นมาก่อนดี ผมชอบกินผลไม้มากและก็กินเก่งมากด้วย ไม่ว่าจะมีเยอะขนาดไหนผมก็กินได้หมดเลยอ่ะ ดังนั้นไม่ว่าจะหยิบอันไหนขึ้นมาก็ดีต่อใจผมทั้งนั้น
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย” ผมจำต้องหยุดขาอยู่ที่เดิมเมื่อโดนพี่ติณห์สั่ง
“แอปเปิ้ลไหม”
“เอา”
“ส้มอ่ะ”
“เอา!”
“องุ่นอ่ะ”
“เอา!!”
“เชอร์รี่?”
“เอา!!!”
“คุณจะกินทุกอย่างไม่ได้นะวา”
“หยิบมาให้หมดเลยก็ได้ครับ ผมชอบมากจริงๆ” พี่ติณห์หลิ่วตามองผมยังคงไม่หยิบอะไรขึ้นมาสักอย่าง
“ผมกินได้จริงๆ ผมกินหมดก่อนมันเสียด้วย” พี่ติณห์ยังคงมองผมอย่างชั่งใจอยู่
“จริงงงงงงๆ” ผมจึงยืนยันอีกครั้ง
“อยากกินไรมากสุด”
“เชอร์รี่” พี่ติณห์หยิบกล่องเชอร์รี่ขึ้นมา
“ให้อีกสองอย่าง” อีกสองอย่างเองเหรอ...
“แอปเปิ้ล”
“เขียวหรือแดง”
“เอามาอย่างล่ะสองลูกก็ได้” พี่ติณห์หันขวับมามองหน้าผม
“เรื่องแบบเนี่ยคุณเชี่ยวชาญจังนะ”
“ก็ผมชอบบบ เอาแอปเปิ้ลฟูจิมาลูกหนึ่งก็ได้” พี่ติณห์มองแอปเปิ้ลตรงหน้าอีกสักพัก
“เอาไปอย่างล่ะลูกล่ะกัน”
“โอเคคค” ผมมีหน้าที่เท้าคางมองพี่ติณห์ซื้อของไปแล้วครับ
“อย่างสุดท้ายเอาไรดี” พี่ติณห์วางเชอร์รี่กับแอปเปิ้ลใส่รถเข็นและหันมาถามผมอีก
“พี่อยากกินไรอ่ะ ผมตามใจพี่เลย”
“ส้มอีกสองโลล่ะกันเนอะ” ผมพยักหน้างึกงักตามที่พี่ติณห์บอก
ทั้งๆที่มีพี่ติณห์คอยห้ามนู้นห้ามนี้แต่รถเข็นของเราก็แน่นขนัดด้วยข้าวของหลากหลายอย่าง จนผมร้อนๆหนาวๆขึ้นมากับราคาของทั้งหมดนี้ แม้จะหารสองก็เถอะ
“อยากกินไรอีกป่ะ” พี่ติณห์มองของในรถเข็นและหันมาถามผม
“อยากกินไอติม” ผมตอบพร้อมสายตาวิบวับ อยากซื้อไอติมกล่องๆไปแช่ในตู้เย็นให้เยอะๆเลย เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมกินได้เรื่อยๆ
“เอาดิ” เยส! พี่ติณห์ตอบและเราก็มาหยุดยืนที่หน้าตู้ไอติม
“ผมอยากกินวานิลลา” ผมบอกเป้าหมายและชี้ให้พี่ติณห์ดูด้วย
“ผมอยากกินช็อกชิพ”
“เอาไปสองกล่องเลยล่ะกันเนอะ” ผมพูดจบก็หยิบไอติมกล่องใหญ่ของทั้งสองรสขึ้นมา
“กล่องเล็กก็พอ” แต่พี่ติณห์รั้งไว้และจัดการหยิบกล่องเล็กใส่มือผมแทน ก็ดีกว่าไม่ได้กินวะ
“พอแล้วเนอะ” พี่ติณห์กวาดสายตามองของทุกอย่างและพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“อือ เดี๋ยวไปซื้อโดนัทข้างหน้า” พี่ติณห์หันขวับมามองหน้าผม
“ผมเริ่มสงสัยล่ะ” ผมเลิกคิ้ว
“สงสัยว่า?”
“คุณบริหารเงินที่ได้ยังไงเนี่ย ซื้อเอาๆเลย” ผมขำ
“เพราะผมขี้เกียจเกินกว่าจะมาซื้อบ่อยๆไงครับ ถ้ามาบ่อยๆก็คงตังหมดนั้นแหละ” พี่ติณห์ขำบ้าง และเราก็มายืนรอจ่ายตัง
“พี่วา!” เสียงทักพร้อมกับมือที่ตะปบเข้าที่บ่าอย่างแรงทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวเลย
“เหี้ยไรของมึง” ผมหันขวับกลับไปที่คนเรียกก่อนที่จะเจอไอ้แจนจึงโบกหัวแม่งไปหนึ่งที
“ตบหัวทำไมเนี่ยยยย” แจนโวยวาย ตอนนี้เองที่พึ่งเห็นคนที่ยืนอยู่หลังมัน
“หวัดดีค่ะพี่วา พี่เตชินท์” พิ้งค์ยิ้มหวานและยกมือไหว้ผมกับพี่ติณห์ทันที
“อ้าว พี่เตชินท์หวัดดีครับ” ไอ้แจนยกมือไหว้พี่ติณห์บ้าง
“อะไรๆมากันสองคนเหรอ” ผมโพล่งออกไปทันที relationshipพัฒนามาถึงขั้นมาซื้อของสองคนแล้วนะครับบบบ
“พี่ก็มากันสองคนป่ะวะ” แจนรีบโพล่งออกมาทันทีที่ผมแซว
“ทำไม มีปัญหาเหรอ” ผมตบหัวแม่งไปอีกที อย่ามาหือกับพี่นะเว้ย
“พิ้งค์กับแจนอ่ะไม่แปลกหรอก แต่พี่วากับพี่เตชินท์เนี่ย มาเดินซื้อของกันดึกๆสองคน ไม่แปลกเหรอคะ” พิ้งค์หลิ่วตาและพูดออกมา
“พี่กับวาอยู่หอเดียวกันนะ” พี่ติณห์พูดออกมาบ้าง
“พี่กับพี่ติณห์อ่ะไม่แปลกเว้ย แต่เราสองคนเหอะ ยังไงๆ คบกันแล้ว?” ผมโพล่งออกไปบ้าง
“เปล่านะคะ/ครับ” คำตอบที่ตอบออกมาพร้อมกันทำให้ผมเลิกคิ้ว
“มาซื้อของด้วยกันอย่างนี้ยังไม่ได้คบกันอีกเหรอ” ผมถามนี้นึกว่าจะได้คำตอบแบบว่าคบกันแล้วอะไรแบบนั้นนะ
“ไม่คบกันก็มาซื้อของด้วยกันได้นะคะ พี่น้องไงงง แบบพี่วากับพี่เตชินท์” พิ้งค์ยังคงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“พี่พูดเหรอว่าพี่น้อง” จบประโยคนั้นของผม พี่ติณห์ก็ลอบประทุษร้ายเท้าผมทันที และผมต้องคีพลุคไม่เจ็บด้วยครับ แม้มันจะโครตตตคเจ็บเลยก็ตาม
“นี้เราจะไปไหนกันต่อ” พี่ติณห์เปลี่ยนประเด็นทันที
“เดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ เรามาดูหนังกัน” นี้มันเดทชัดๆไม่ใช่เหรอวะ ผมหรี่ตาใส่ไอ้แจน ซึ่งน้องมันก็ยิ้มแหย่ๆใส่ผม ผมช่วยขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้คบกันอีกเหรอวะ ได้ไงเนี่ย
“ผมไปก่อนนะพี่” แจนที่โดนผมจ้องรีบพูดออกมาเลย
“เออๆไว้เจอกัน” ผมพูดออกไปบ้าง ไว้เจอกันลับหลังพิ้งค์นะมึงกูจะถามให้พรุนไปเลย
“หวัดดีค่ะ/ครับ” พิ้งค์กับแจนยกมือไหว้ผมกับพี่ติณห์อีกครั้งก่อนที่จะแยกออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เราได้จ่ายเงินพอดี
“ทำไมไปบอกน้องแบบนั้น” ผมกับพี่ติณห์แบ่งกันถือของคนล่ะครึ่งก่อนที่พี่ติณห์จะพูดออกมา
“ผมพูดความจริงนี้” ผมตอบกลับไป แต่พี่ติณห์ก็ยังส่ายหัวหน่าย
“คิดจะเปิดตัวก็เปิดเฉยๆเลยเหรอ”
“แจนกับพิ้งค์ไม่เอาไปพูดต่อหรอกนา” พี่ติณห์บุ้ยปาก
“ผมรู้แล้ว แต่ถ้าเราพูดออกไปมันจะไม่ใช่เรื่องของเราสองคนแล้วนะ และเราไม่มีทางรู้เลยว่าทุกคนจะโอเคเหมือนเราสองคนรึเปล่า”
“ผมไม่สนใจทุกคนบนโลกหรอกครับ ผมสนใจแค่พี่โอเครึเปล่าเท่านั้น” พี่ติณห์จ้องตาผมอย่างหาความจริงสักพักก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมา
“ชั่งมันเหอะ คุณจะกินโดนัทใช่ป่ะ” ผมพยักหน้ารัวๆทันที
ตอนนี้เราถือถุงใส่ของต่างๆกันจนเต็มมือไปหมด รวมถึงถุงโดนัทที่ผมพึ่งซื้อมาล่าสุดด้วย เพราะมันเยอะพอประมาณและเราก็ใช่ว่าจะออกมาซื้อของบ่อยๆ เราเลยนั่งคิดว่ามีอะไรอีกไหมที่จะต้องซื้อ
“อยากกินไอติมวาฟเฟิล” ผมบ่นออกมา ก็ร้านไอติมดันมาตั้งอยู่หน้าเลยเนี่ย มีท็อปปิ้งตกแต่งด้วยแหะ
“บอกให้คิดว่ามีอะไรจะซื้ออีกไหม” พี่ติณห์โวยผมนิดหน่อย
“เดี๋ยวผมมานะซื้อไอติมแปบ” แต่ผมไม่ได้ฟังเลยครับ แค่วางข้าวของให้เป็นระเบียบและผุดลุกขึ้นเท่านั้น
“เอามาเผื่อผมโคนหนึ่งด้วย” แล้วจะบ่นทำไมเนี่ยยย ผมยีหัวพี่ติณห์นิดหน่อยและตรงไปที่ร้านไอติมร้านนั้น
“ผมคิดออกล่ะว่าลืมซื้ออะไร” ผมกลับมาที่พี่ติณห์พร้อมไอติมวาฟเฟิลในมือ2โคน
“อะไร” ผมถามและยื่นไอติมให้พี่ติณห์
“นาฬิกาข้อมือคุณอ่ะ คุณจะซื้อเลยป่ะ” เออจริงด้วย ผมว่าจะซื้อๆตั้งหลายรอบแล้วก็ลืม
“ซื้อดิ เราวางของไว้นี้แล้วไปซื้อกันก่อนไหมแปบเดียว”
“คุณไปซื้อดิ เดี๋ยวผมนั่งเฝ้าของเอง” ผมบุ้ยปาก
“พี่ครับ!” รู้ตัวอีกทีก็ตะโกนเรียกพี่คนขายไอติมร้านตรงข้ามแล้ว
“คะ?” เมื่อพี่เขาขานตอบผมก็ยิ้มกว้างให้ทันที
“ร้านปิดกี่โมงเหรอครับ”
“อีกสักพักค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“ผมฝากของหน่อยได้ไหมครับ” พี่ติณห์หันขวับมามองผมเลย
“รบกวนเขานะวา” พี่ติณห์ดุผมนิดหน่อย
“อ้อได้เลยค่ะ!” แต่พี่คนขายคงไม่คิดเหมือนพี่ติณห์เพราะเธอรีบตอบกลับมาทันที
“ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมานะ” พอเธอรับปากแบบนั้น ผมก็คว้ามือพี่ติณห์และเดินออกไปทันที
“พี่ชอบเรือนไหน” ผมละสายตาจากนาฬิกาตรงหน้าและหันไปมองพี่ติณห์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ผมเหรอ ผมชอบเรือนนี้” พูดจบก็ชี้นาฬิกาข้อมือสีเทาตรงหน้า ผมว่าแล้วว่าพี่ติณห์ต้องชอบเรือนนี้ ก็พี่ติณห์ชอบสีเทานี้หนา
นาฬิกาข้อมือสีเทาที่พี่ติณห์ชี้ ไม่ได้มีเอกลักษณ์หรือดีไซน์ที่โดดเด่นอะไรมากมาย แต่ความเรียบๆของมันก็ทำให้ดูคลาสสิคดี ดูเหมาะกับพี่ติณห์ดีนะ
จริงๆแล้วมันไม่ค่อยใช่สไตล์ผมเลย
“เอาเรือนนี้แหละครับ” แต่ผมก็ตกลงที่จะซื้อเรือนที่พี่ติณห์บอกอยู่ดี
“เฮ้ย ทำไมเอาเรือนที่ผมชอบอ่ะ ทำแบบที่คุณชอบดิว่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมอยากให้พี่เลือกให้มากกว่า” พี่ติณห์ขมวดคิ้วและเขาก็กวาดสายตามองนาฬิกาตรงหน้าอีกครั้ง
“คุณชอบเรือนไหน” คำถามแนวเดิมถูกส่งมาที่ผมบ้าง ผมจึงหันกลับไปมองนาฬิกาอีกครั้ง มีหลายเรือนเลยนะที่ผมชอบ แต่ถ้าที่ชอบจริงๆก็คง...
“เรือนนี้” ผมชี้ไปยังนาฬิกาสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า หน้าตามันสะดุดตาผมสุดๆ ไหนจะลูกเล่นต่างๆที่น่าจะมีเยอะมากประมาณหนึ่งเลยแหละ ให้ผมเดามันน่าจะพึ่งออกมาไม่นานด้วย แม่งโครตผมสไตล์อ่ะ
“พี่ครับ เอาเรือนนี้อีกเรือนหนึ่งครับ” เสียงพี่ติณห์ขัดความคิดเกี่ยวกับนาฬิกาของผมลง
“พี่จะซื้อทำไมอ่ะ” พี่พนักงานเอานาฬิกาทั้งสองเรือนไปใส่กล่องแล้ว จึงเหลือแค่ผมกับพี่ติณห์เท่านั้น
“ผมก็อยากใส่นาฬิกาที่คุณเลือกเหมือนกัน”
“หูยยยยยย” พี่ติณห์โบกหัวผมทันที ผมตั้งใจจะใส่นาฬิกาที่พี่ติณห์เลือกให้อยู่แล้วนะ แต่พอพี่ติณห์มาซื้อนาฬิกาที่ผมเลือกให้อีกเนี่ยผมก็อดที่จะหูยออกมาไม่ได้เลย
นี้มันไม่ต่างจากนาฬิกาคู่เลยป่ะวะ
“นาฬิกาคู่ป่ะเนี่ย” ผมโพล่งออกไปทันที ซึ่งพี่ติณห์ก็ไหวไหล่
“งั้นมั้ง” เหยดดดดด นี้ของคู่ชิ้นแรกของผมกับพี่ติณห์เลยนะ
“แต่เขาบอกว่าห้ามให้นาฬิกากันนะ” พี่ติณห์ชะงักและหันมามองผม
“จริงดิ” ผมพยักหน้ารับ จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน แต่รู้ว่าห้ามซื้อนาฬิกาให้แฟน มันเหมือนนับเวลาถอยหลังอะไรแบบนั้นมั้ง
“เราไม่ได้ซื้อให้กันป่ะวะ เราซื้อใช้เอง” พี่ติณห์ตอบกลับมา
“แต่ให้อีกฝ่ายเลือกเนี่ยนะ” ผมถามกลับ ซึ่งพี่ติณห์ก็พยักหน้ารับ
“มันไม่เหมือนกันเว้ย” ผมขำกับท่าทางลุกลี้ลุกลนนั้น
“พี่เชื่ออะไรพวกนี้ด้วยเหรอ”
“เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายป่ะวะ” ผมไหวไหล่
“ผมรู้นะ แต่ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่” ผมก็แค่รู้ว่าไม่ควรทำอย่างนี้อย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อว่ามันจะทำให้เลิกกันสักหน่อย ผมว่ามันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า
“ผมก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้นหรอก แต่อยู่ๆคุณก็พูดขึ้นมาอ่ะ” พูดจบเขาก็บุ้ยปากใส่ผม
“นี้ครับ ขอบคุณนะครับ” บทสนทนาจบลงแค่นั้นเมื่อพี่พนักงานเอานาฬิกาที่ใส่กล่องเรียบร้อยและตังทอนมาให้
“ขอบคุณคร้าบบบ” ผมกับพี่ติณห์รับของมาและก้าวออกมาจากร้าน
ไม่รู้เพราะความเงียบของห้างที่ใกล้ปิด เพราะว่าเราอยู่ใกล้กัน หรือเพราะว่าผมมีความสุขมากจนอดที่จะเอื้อมมือไปจับมือพี่ติณห์ไม่ได้ แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วแหละว่าพี่ติณห์อาจจะสะบัดออกก็ได้
“อารมณ์ไหนเนี่ย” พี่ติณห์ชะงัก ก้มลงไปมองมือและเงยหน้ามาถามผม แต่คำตอบของผมมีเพียงแค่การไหวไหล่เท่านั้น
พี่ติณห์ขำ เลื่อนมืออีกข้างมาผลักหัวผมนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ชักมือออกจากมือผม ซ้ำยังกระชับมือกลับมาอีกด้วย
“อารมณ์อ้อนมั้งครับ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หวัดดีค่าาา มาอัพเร็วอีกแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้หวือหวาอะไร แค่ความสัมผัสที่ดำเนินไป กลับมาไม่มีอารมณ์แต่งอีกล่ะอ่ะ ฮืออออ ไม่รู้เหตุผลด้วย ส่วนมากจะเป็นตอนใกล้จบแบบนี้แหละ เรื่องนี้ก็เหลืออีกไม่กี่ตอนแล้วด้วย เรามาพูดเรื่องอะไรซ้ำดี เรื่องรวมเล่มอีกรอบล่ะกัน 5555 อย่าลืมนะคะถ้าใครสนใจให้รวมเล่มก็บอกได้เลยนาาา
เจอกันค่าาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เหมือนจะไม่เกี่ยว5555
หนูเขินนนนนนนนส../////.
ถ้าเราเป็นพี่ติณณ์เราจะไม่ทน คนอะไรเสน่ห์เหลือล้ำ...
แจนพิงค์!!! ออกมาแล้ว อิอิ
น่ารักกกก