ตอนที่ 30 : separation
29
“เปล่า มันจะมาอยู่ที่นี้ได้ไงวะ” จบประโยคของผม คิ้วหม่นๆของพีทก็แทบจะผูกโบว์ได้ มันเสยผมขึ้นไปลวกๆ ดูวิตกกังวลมากกว่าเดิมหลายเท่า
“เข้ามาก่อนดิ” สุดท้ายผมก็อ้าปากชวนมันออกไป สาบานได้ว่าถ้าไอ้พีทในโหมดปกติมันจะไม่มีทางดูเครียดและเงียบขนาดนี้หรอก พีทพยักหน้ารับคำชวนผมและก้าวเข้ามาในห้อง
“สวัสดีครับพี่เตชินท์” พีทยกมือขึ้นไหว้พี่ติณห์ พี่ติณห์พยักหน้ารับไหว้พีทก่อนที่จะปลายตามาที่ผม แต่ผมก็เพียงแค่ยักไหล่ ผมไม่รู้นี้นาว่าพีทมันมาทำไม แล้วอะไรทำให้มันดูเครียดขนาดนี้
“งั้นผมกลับก่อนล่ะกัน” พี่ติณห์พูดประโยคเดิมเหมือนตอนแม่ผมมาหาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้จะมารบกวนเวลาส่วนตัวอะไรของใคร” ประโยคประชดประชันขั้นสุดของพีททำให้ผมตวัดสายตากลับไปมองมัน
“พี่กลับไปก่อนดีกว่าครับ” ผมพูดสรุป ซึ่งพี่ติณห์ก็พยักหน้ารับและแยกออกไป
“มีเรื่องอะไร ไหนเล่า” หลังจากพี่ติณห์ออกไปแล้ว ผมก็หันมานั่งคุยกับไอ้พีทแต่โดยดี
“กูทะเลาะกับพาร์ท” พีทนั่งเงียบสักพักก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมา ถึงมันไม่บอก ดูหน้ามันผมก็รู้แล้วครับว่ามันทะเลาะกันมา แต่ทะเลาะเบอร์ไหนนี้ไม่แน่ใจ
ปกติพีทกับพาร์ทจะทะเลาะกันเบอร์1-2บ่อยมาก คือพูดจาไม่เข้าหูกัน เลยไม่คุยกันสองถึงสามวัน ถ้าเบอร์3ก็ไม่คุยกันและกระแหนะกระแหนกันเพิ่มเข้ามา เบอร์4คือต้องใช้พ่อแม่เคลียร์ ส่วนเบอร์5 คือทะเลาะกันหนักมากกกก มากจนไม่เห็นหนทางที่จะดีกันได้ ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอกครับ มีแค่ครั้งเดียวตอนพวกมันม.ต้นเท่านั้น
“เบอร์ไร” ผมถามมัน
“5” คำตอบสั้นๆของพีททำให้ผมเบิกตากว้าง
“จริงป่ะเนี่ย ทะเลาะเรื่องไรวะ” พีทยกมือขึ้นมาบีบ มันเป็นท่าทางที่จะออกมาเองตอนที่โครตเครียดสุดๆ
“เมื่อวานเย็น ตอนกูกลับบ้านอ่ะ กูก็นั่งคุยกับมันปกติ แล้วกูก็อดที่จะพูดเรื่อง..” มันเงยหน้ามามองหน้าผม
“เรื่องมึงมีแฟนไม่ได้” ผมถอนหายใจออกมาทันที กูว่าล่ะว่ามันต้องเกี่ยวกับกู
“มึงไปบอกมันทำไมวะ”
“แล้วมึงจะให้กูทำไง จะให้กูทนเห็นมันไม่รู้อะไรเลยแบบนี้เหรอ กูทำไม่ได้ว่ะ” พีทตอบกลับมา
“กูก็คิดว่าพาร์ทมันก็เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว มันคงทำใจได้” พีทพูดต่อ ประโยคของมันทำให้ผมนิ่งไป หมายถึงตอนผมมีแฟนคนที่แล้วอย่างนั้นเหรอ นั้นมันตอนปีหนึ่งเลยนะ
นี้มึงชอบกูมานานขนาดไหนเนี่ยพาร์ท
“ไงต่อ” ผมจึงตัดสินใจปล่อยให้พีทเล่าต่อไป
“มันก็ขำๆนะ แล้วก็ถามว่าใคร แต่กูไม่ได้บอกมัน กูก็บอกมันว่าจะรู้ไปทำไม เอาเป็นว่ามึงมีแฟนแล้วก็พอ มันก็ยังถามย้ำอยู่นั้นแหละว่าใครๆๆๆ ถามย้ำจนกูหงุดหงิด” พูดมาถึงตรงนี้ผมก็พอจะรู้บ่อเกิดของความพังพินาศแล้ว
“กูก็เลยบอกมันไปว่า เป็นใครไม่สำคัญหรอก มึงเลิกหวังลมๆแล้งๆกับวามันได้ล่ะ และกูจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ ว่าไอ้คนนั้นมันเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ” พีทยกมือขึ้นมาลูบหน้า มันดูรู้สึกผิดสุดๆที่พูดแบบนั้นออกไป
“ไอ้พาร์ทจอดรถ มันเอาแต่ถามกูว่าใคร พูดอยู่แค่คำเดียวด้วยซ้ำ กูเลยบอกมันว่าลงจากรถกูไปเลย”
“... พาร์ทมันลงไปจริงๆ กูก็โกรธจนกว่าจะสนใจว่าแม่งไปไหน กูผิดเองอ่ะ.. กูไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าพาร์ทเดินไปทางไหน เพราะกูมุ่งหน้ากลับบ้านเลย” มันเงียบไปสักพักเหมือนชั่งใจว่าจะเล่าต่อดีไหม
“กูมารู้สึกตัวตอนแม่เข้ามาหากูตอนเที่ยงคืน ถามกูว่ารู้ไหมว่าน้องไปไหน ทำไมน้องยังไม่กลับบ้านอีก กูก็เลยบอกแม่ว่าพาร์ทไปทำงานบ้านเพื่อนจะกลับพรุ่งนี้ ขอโทษที่ลืมบอก” นี้แหละพีท เห็นมันกวนตีนทำตัวไร้สาระไปวันๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องของพาร์ทแล้ว มันยอมที่จะรับผิดแทนทุกอย่าง เพียงเพื่อให้น้องไม่โดนด่า
ผมชื่นชมมันเรื่องนี้นะ
“วันนี้นะเว้ย กูตระเวนหามันในทุกๆที่ที่มันจะอยู่ เพื่อนทุกคนของมัน ถ่อไปหอเพื่อนมันมาแล้วด้วย แต่กูก็ยังไม่เจอมันเลยอ่ะวา กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว กูคิดอะไรไม่ออก มาจบเอาที่นี้เนี่ย” พีทยีหัวตัวเองรัวๆ ใบหน้ายังคงเคร่งเครียดแบบสุดๆ
“มึงใจเย็นก่อน พาร์ทมันก็ดูแลตัวเองได้แล้วแหละ” ผมเอื้อมมือไปตบบ่ามันเบาๆ ไม่กล้าที่จะโกรธมันเลยสักนิด ผมเข้าใจความรู้สึกพีทนะ ความเป็นพี่ของมัน มันคงทนเห็นพาร์ทไม่รู้อะไรไม่ได้ คงทำไม่ได้แม้แต่จะให้พาร์ทหวังอะไรจากผมต่อไป สำหรับผม ผมคิดว่าพีทมันตัดสินใจถูกด้วยซ้ำ แต่บางที.. พาร์ทอาจต้องการเวลาหน่อย
“มันคงอยากได้เวลาสักหน่อย ถ้าพรุ่งนี้มันยังไม่กลับบ้าน ค่อยว่ากันอีกที” พาร์ทเองก็ไม่ใช่เด็กๆที่จะดูแลตัวเองไม่ได้ มันดูแลตัวเองได้ดีและผมรู้ด้วยว่ามันรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
“ถ้าพาร์ทเป็นอะไรไป กูจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
“เฮ้ยอย่าพูดแบบนั้นดิว่ะ พาร์ทมันไม่เป็นไรหรอก และมันก็ไม่ใช่ความผิดของมึงคนเดียวสักหน่อย” พีทเลื่อนสายตามามองผม มันดูไม่เข้าใจประโยคนั้น
“ส่วนหนึ่งก็ความผิดกูด้วย ถือว่าเราหารครึ่งกันล่ะกัน” ผมพยายามยิ้มให้มัน พีทมองรอยยิ้มนั้นอยู่สักพักก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“เดี๋ยวกูจะช่วยมึงหาพาร์ทเอง” ผมย้ำอีกครั้ง
“เออ ขอบใจว่ะ”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เราก็ยังมีเรื่องเรียนที่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งใกล้ไฟนอลเข้าไปทุกที ช่วงนี้พวกเราจะเรียกกันว่าช่วงเดือด หมายถึงมีงานเยอะมากจนเดือดไปหมด แค่เวลาที่มียังไม่พอจะทำงานทั้งหมดส่งเลยครับ แต่ความคิดที่จะโดดไม่เข้าเรียนสักคาบก็เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะอาจารย์บางคนก็หักคะแนนเป็นว่าเล่นเลยนะครับถ้าขาดเรียน สุดท้ายผมก็ต้องลากไอ้พีทมาเรียนด้วยให้ได้ แม้ไอ้พาร์ทจะยังไม่กลับบ้านเลยก็ตาม และถึงจะมานั่งเรียนได้ก็ใช่ว่าสติมันจะอยู่ที่การเรียน พีทนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดและเอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมคาดว่าคงเป็นเพื่อนพาร์ทหรืออะไรทำนองนั้น
ความเครียดที่หาได้ยากยิ่งของพีท พอออกมาทีก็ออกมาชัดเจนมาก จนคนรอบข้างยังต้องเอ่ยปากถาม ก็มีผมเนี่ยที่ต้องคอยบอกว่าไม่มีอะไรๆ แม้หน้าไอ้พีทจะไม่ให้ความร่วมมือเลยก็ตาม แม่งเล่นนั่งหน้านิ่งกับคิ้วขมวดหน้าโหดอยู่สองหน้าตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ยจะไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงได้ไง ไหนจะออร่าความดาร์กที่แผ่กระจายและบอกเป็นนัยๆว่าอย่ารบกวนนั้นอีก
หลิวดูจะรู้เรื่องนี้ประมาณหนึ่ง เธออาจจะไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แค่หาของกินมาให้พีท ตบบ่ามันและไปนั่งเรียนตามปกติ แต่ผมก็สังเกตได้ว่าเธอหันกลับมามองพีทอยู่หลายครั้ง ไอ้พีทเองมันคงไม่เห็นหรอกครับ แม่งเอาแต่กดโทรศัพท์ไง
ผมอยากจะพูดอะไรออกไปบ้างนะ แต่การที่พาร์ทหายออกจากบ้านไปสองวันโดยที่ไม่สามารถติดต่ออะไรได้ มันก็คงไม่มีประโยคไหนหรือคำไหนช่วยให้อะไรมันดีขึ้นได้
นอกจากจะพาพาร์ทกลับมา
ผมเริ่มหงุดหงิดไอ้เวรนั้นอยู่นิดๆที่ทำอะไรไม่ใช้หัวคิด ไม่สนใจเลยว่าใครจะเป็นห่วงมันขนาดไหน แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน
“วันนี้พอแค่นี้ล่ะกันนะคะ” อาจารย์พูดส่งท้าย พวกผมจึงกวาดข้าวของลงกระเป๋า ไอ้พีทที่ไม่ได้หยิบอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำก็ลุกพรวดขึ้นทันที
“มึงจะไปไหนวะ” ผมคว้าแขนมันไว้ กลัวอารมณ์มันจริงๆ
“กูจะไปหาพาร์ท กูเสียเวลาไปหลายชั่วโมงแล้วนะ” พีทตอบกลับมา มันเครียดจนเหงื่อออกไปหมด
“เราไม่ได้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นะเว้ย เราแค่รับผิดชอบหน้าที่ของเรา” ผมเก็บชีทที่รับไว้แทนพีทและยัดใส่กระเป๋ามัน
“มึงจะไปตามหาพาร์ทที่ไหน”
“กูว่าจะไปดูที่ตึกเศรษฐศาสตร์ก่อน”
“โอเค” ผมยัดของใส่กระเป๋าลวกๆและยืนขึ้น
“มึงจะไปด้วยเหรอ” พีทถาม
“เออดิว่ะ จะปล่อยมึงไปคนเดียวได้ไง” เดี๋ยวมึงบ้าขึ้นมาก็แย่สิ
“ตามใจมึง” พีทพูดแค่นั้นและออกเดิน
ตึกเศรษฐศาสตร์กับตึกสถาปัตย์มันห่างกันอยู่ระดับหนึ่งเลยนะครับ แต่ทั้งๆที่ระยะทางก็ไกลขนาดนั้นและแสงแดดประเทศไทยก็ไม่เคยปราณีใคร พีทก็ยังออกเดินอย่างมั่นคงและรวดเร็ว จนผมต้องจ้ำตามมันตั้งหลายรอบ
ร้อนกว่าอากาศก็คงเป็นใจพีทนั้นแหละ
เรามาถึงตึกเศรษฐศาสตร์ด้วยระยะเวลาไม่ถึง5นาที นี้ถือว่าโครตเร็วเลยนะ เข้ามาในตึกได้ผมก็หอบแฮกเลย เหงื่อนี้ไหลเป็นลิตรแล้วมั้ง ช่วยรดน้ำต้นไม้ไปในตัวเนอะ
พักเหนื่อยได้ไม่นานลิฟต์ก็มา ผมจึงต้องแบกร่างเข้าไปยืนหอบต่อในลิฟต์
เรามาถึงชั้นเรียนของพาร์ทในเวลาไม่นาน พีทพุ่งตัวเข้าไปในห้องนั้น โชคดีที่ไม่มีอาจารย์อยู่ในห้องบางทีอาจจะพึ่งเลิกคลาสหรือยังไม่เข้าคลาสก็ได้
“เดี่ยว เห็นพาร์ทป่ะ” พีทตรงเข้าไปถามเดี่ยว เพื่อนสนิทในคณะของพาร์ท เดี่ยวหันมามองผมกับพีทมันดันกรอบแว่นใหญ่ๆขึ้นไปก่อนที่จะตอบ
“ไม่เห็นเลยนะ ว่าจะถามเนี่ยว่าทำไมพาร์ทไม่มาเรียน” จบคำตอบของเดี่ยว พีทก็เดินไปหลังห้องเพื่อคุยกับเพื่อนอีกคน
“ต้า เห็นพาร์ทป่ะ” คำถามแนวเดิมถูกถามออกมาอีกครั้งแต่ต่างคน ต้าเพื่อนอีกคนของพาร์ทไหวไหล่
พาร์ทเป็นคนมีเพื่อนหลายประเภทมาก ทั้งเพื่อนเรียน เพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน เพื่อนยืมของ มันมีหมดทุกอย่างจริงๆ ถ้าไอ้เดี่ยวก็จะเป็นตัวแทนของเพื่อนเรียน ส่วนไอ้ต้านี้ก็เพื่อนเที่ยวครับ
“ไม่นะ” มันตอบ แม้คำตอบของมันจะเหมือนกับเดี่ยวแต่ผมสัมผัสบางอย่างได้
“บอกมาเลยมึง” ผมเท้าโต๊ะต้าและถามอีกครั้ง
“อ้าว ก็กูไม่รู้” มันยืนยันคำเดิม แต่สายตาที่หลุกหลิกโครตๆก็ทำให้ผมปลายตาไปมองพีท
ให้มันจัดการนั้นแหละ
“ถ้าน้องกูเป็นอะไรขึ้นมา มึงจะรับผิดชอบได้ไหม” ประโยคของพีทดุดันและถ้าคนสติดีๆคงไม่คิดโกหกต่อแน่
“ใจเย็นก่อนดิว่ะมึง พาร์ทมันไม่เป็นไรหรอก” ต้ารีบพูดทันที
“เล่ามา” ไอ้พีทพูดซ้ำ ช้าๆชัดๆและกดดันโครตๆ
“ก็เมื่อ2วันก่อนพาร์ทมันโทรมา บอกว่าอยู่ร้านเหล้ากูเลยไปหา แม่งเอาแต่ดื่มๆๆไม่พูดกับใครเลย สุดท้ายแม่งก็เมาแอ๋ เพ้อห่าไรนักไม่รู้” เล่ามาถึงตรงนี้ผมก็ชะงักไปเลย ไม่รู้ว่าพาร์ทพูดอะไรออกไปบ้าง ไม่รู้แม้แต่ว่าต้ารู้อะไรไปบ้าง
“มันเมาอ่ะ จะให้กูทำไงเลยเปิดห้องให้แม่งนอน จะให้กูแบกมันกลับก็ไม่ไหวหรอกนะ ไปแดกซะไกลเลยด้วย” ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพียงแค่รอให้ต้าเล่าต่อเท่านั้น
“กูมีน้องเป็นบาเทนเนอร์อยู่แถวนั้นเลยบอกให้ไปดูซากมันหน่อยตอนเช้า คือกว่าแม่งจะตื่นก็เย็นแล้วอ่ะ แต่พาร์ทมันก็โอเคนะ แค่ย้ายไปแดกเหล้าร้านน้องคนนั้นแทน ไม่รู้ไปเสี้ยนเหล้ามาจากไหน” ต้าพยักหน้าเหมือนว่าเล่าจบแล้ว
“ตอนนี้มันอยู่ไหน”
“กูไม่รู้ไงมึงงง เมื่อคืนกูไม่ได้ไปแดกกับมันเพราะเช้ามีเรียนเนี่ย แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอก มันอาจจะเมาแล้วเปิดห้องนอนอีกคืนก็ได้”
“คิดได้แค่นี้เหรอวะ! ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” พีททุบโต๊ะและตะคอกใส่หน้าต้า
“ไอ้เหี้ยพีท มันก็ไม่ใช่ความผิดกูป่ะ กูแค่ไปแดกเป็นเพื่อนมัน แล้วมึงเป็นแฝดมันประสาอะไรวะ ถึงต้องมาถามกูเนี่ย” ไอ้ต้ายืนขึ้นเพื่อเถียงกับพีท
“ถ้ามันเป็นอะไรไป กูจะไม่เอามึงไว้เลย” พีทพูดและชี้หน้าต้าด้วย
“อ้าว มาโทษกูได้ไงวะ! โทษตัวเองเหอะที่ดูแลมันไม่ได้อ่ะ เป็นพี่ประสาอะไรวะ” จบประโยคนั้นของต้า พีทก็กระชากคอเสื้อมันขึ้นมาทันที ผมที่อยู่ข้างๆต้องคว้าแขนมันไว้ ขืนมาต่อยกันที่นี้ได้ชิบหายกันหมดแน่
“มึงใจเย็นดิว่ะ” ผมตะโกนใส่หูพีท แต่มันยังคงขยุ้มคอเสื้อต้าแบบนั้น
“มึงมัวแต่มาต่อยกับไอ้ต้า พาร์ทมันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะเว้ย” ผมพูดต่อ ซึ่งได้ผลทันที เพราะพีทปล่อยคอเสื้อต้าลง
“มันอยู่ร้านไหน”
หลังจากได้ชื่อร้านมาจากต้า ผมกับพีทก็พุ่งตัวออกจากตึกเศรษฐศาสตร์ พีทดูหุนหันมากจนผมหยุดไม่ได้ ผมรู้สึกได้ว่ามันหงุดหงิด โกรธ ไม่รู้จะทำยังไงดี มันคงรู้สึกผิดไปหมด และคงกำลังถามตัวเองซ้ำว่า ถ้าพาร์ทเป็นอะไรไป มันจะทำยังไงดี
พอไอ้พีทเครียดขนาดนี้ ผมก็รับความเครียดจากมันมาบ้าง เริ่มรู้สึกหัวร้อนกับการที่พาร์ททำอะไรไม่คิดมากขึ้นทุกที โกรธถึงขนาดไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาเรื่องของผมมาทำร้ายตัวเองขนาดนี้
มันเป็นอะไรที่ผมไม่คิดว่าพาร์ทจะตัดสินใจทำแบบนี้
และมันแย่มากจนอยากจะต่อยมันสักหมัด
เราก้าวเดินด้วยความรวดเร็วเพื่อจะไปที่จอดรถของพีท หลังจากเราเดินผ่านมุมตึกมา พีทที่เดินเร็วจนเข้าใกล้คำว่าวิ่งก็ชะลอเท้าลง จนผมต้องหันไปมองตามสายตานั้น
พาร์ทยืนพิงรถอยู่
เป็นมันจริงๆด้วย
ผมก้าวเข้าไปหามัน กระชากคอเสื้อมันขึ้น
“ทำเหี้ยอะไรลงไปวะ รู้บ้างไหมว่ามีใครเป็นห่วง” ผมพูดใส่หน้ามัน ยังคงกำคอเสื้อมันไว้
“เสือกไรวะ” พาร์ทตอบแค่นั้น สายตามันว่างเปล่า กลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นบุหรี่คละคลุ้งไปทั่ว
“มึงรู้ไหมว่าไอ้พีทมันวิ่งโร่หามึงขนาดไหน พ่อกับแม่เขาเป็นห่วงมึงขนาดไหน อย่ามาพูดจาหมาๆนะเว้ย” ผมขยุ้มคอเสื้อมันแน่นขึ้น หงุดหงิดจนอยากจะต่อยหน้าเรียกสติมันสักที ไม่รู้ว่าที่มันพูดจาแบบนี้เพราะมันเมาหรือเพราะอยากจะพูดแบบนี้จริงๆ
“แล้วมึงอ่ะ! มึงได้เป็นห่วงกูบ้างไหม” พาร์ทถามกลับมา แววตาเจ็บปวดมากจนผมเผลอผ่อนแรง
“หรือว่ามึงมัวแต่เสพสุขอยู่กับใครๆ” จบประโยคนั้นผมก็ผลักพาร์ทออกจนมันกระแทกกับรถ
“ทำไมวะ! กูพูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้เหรอ” มันตะโกนใส่ผม ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น แค่มองหน้าผมด้วยสายตาเจ็บปวดคู่เดิมและพูดออกมา
“ในขณะที่กูกำลังผิดหวัง เสียใจ แทบจะตายอยู่แล้ว มึงก็มีความสุขอยู่กับใครสักคนที่ไม่สมควรได้ตำแหน่งนั้นใช่ไหม” พาร์ทดูเหนื่อย เหนื่อยและไม่สามารถกักเก็บอะไรไว้ได้อีก ผมจำต้องเย็นลงและปล่อยให้มันพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ไม่ใช่ว่ากูไม่เคยเจอนะ กูเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว เหตุการณ์ที่มึงรักคนอื่น แต่มึงรู้ไหมทำไมกูถึงเข้าใจมึง เพราะกูรู้ว่าสักวันหนึ่ง มึงก็ต้องมีชีวิตของมึง มีผู้หญิงสักคนที่ดีๆ สวย น่ารัก ดูแลมึงได้ และจะเป็นแม่ของลูกที่ดีของมึง”
“...กูเข้าใจเรื่องนั้นดี” มันพูดจนจบและเงียบไป เม้มปากแน่นและทอดมองมาที่ผมเหมือนเดิม
“แต่ที่กูเสียใจ ที่กูผิดหวัง และกูรับไม่ได้ คือใครคนนั้นที่มึงเลือกดันเป็นผู้ชาย..ผู้ชายเพศเดียวกับกู และกูโครตแน่ใจว่าไม่มีผู้ชายคนไหนบนโลกใบนี้ที่รักมึงมากกว่ากู! มันคนนั้นไม่สมควรที่จะได้ยืนข้างมึง ได้รับความรักจากมึง ในเมื่อใครคนนั้นมันห่วยกว่ากูด้วยซ้ำ!!” ผมเงียบ เม้มปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกแย่ที่ทำร้ายพาร์ทขนาดนี้ รู้สึกผิดที่ทำให้เรื่องมันแย่ หรือรู้สึกไม่พอใจกับประโยคนั้นของพาร์ท
แต่ทุกอย่างมันอัดแน่นอยู่ในใจจนเจ็บหนึบไปหมด
เป็นความรู้สึกปวดร้าวที่ผสมผสานกันจนยุ่งเหยิง
“ทำไมวะวา ทำไมไม่เป็นกูอ่ะ ถ้ามึงจะชอบผู้ชายสักคนในชีวิต มันควรเป็นกูป่ะวะ ไม่ใช่ไอ้เหี้ยที่ไหน” ผมเสยผมลวกๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ ผมต้องพูดอะไรสักอย่าง ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
“มึงฟังกูนะพาร์ท” มันมองผมนิ่งๆเหมือนกำลังตั้งใจฟังที่ผมพูดจริงๆ
“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้แต่กูรักเขาไปแล้ว”
“ถ้ามึงจะพูดแบบนี้มึงหุบปากไปเถอะวา! กูถามจริงเหอะ ไอ้เหี้ยนั้นมันมีอะไรดีนักเหรอ มึงลองพูดออกมาให้กูฟังดิ หรือว่ามันทำอะไรให้มึงเหรอ มึงถึงได้รักมันอ่ะ” ผมคว้าบ่ามันไว้เมื่อมันเริ่มระเบิดอีกครั้ง
“มึงฟังกูก่อน!”
“ไม่! กูไม่ฟัง นอกจากมึงจะบอกกูว่ามันมีดีอะไร แล้วกูแพ้มันตรงไหน กูไม่ดีกับมึงตรงไหนวะ ทำไมมึงรักกูไม่ได้!!” หน้าผมชาไปหมด ยิ่งมองหน้าพาร์ทในระยะประชิดแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ...
ในที่สุดผมก็หนีไม่ได้
ผมเลือกที่จะไม่ทำร้ายพาร์ทไม่ได้
“อย่างน้อยมึงบอกกูได้ไหม..ว่ามันเป็นใคร” เสียงของพาร์ทอ่อนลง มันดูหมดแรงจนอ่อนล้าไปหมด มีเพียงมือของผมที่ประคองร่างมันไม่ให้มันล้มพับไปก่อน
“มึงอยากให้กูทำยังไงวะ” ผมพูดออกไป อ่อนล้าไปต่างจากมัน พาร์ทจับมือผมลง มันบีบมือผมอยู่สักพักก่อนที่จะกอบกุมมือผมไว้ เหมือนมันอยากจะทะนุถนอมผมไว้ มันจรดฝ่ามือผมที่ริมฝีปากเบาๆและเงยหน้ามามองผม
“เลือกกูดิ เลือกกูแทนเขา” พาร์ทกำลังอ้อนวอน..
“กูขอโทษจริงๆ” ผมพูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง ผมพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ผมทำไม่ได้จริงๆ
“ที่มึงบอกว่ากูไม่ให้โอกาสมึง กูเคยให้มึงแล้วพาร์ท แต่มึงเข้ามาไม่ได้...” พูดจบผมก็ดึงมือออกจากมือของพาร์ท
พาร์ทนิ่งไป มันคงช็อคกับประโยคนั้นของผม นานเท่าความคิดพาร์ทก็ดึงผมเข้าไปกอด
“ไม่..ไม่เอาแบบนี้ มึงให้โอกาสกูอีกครั้งเถอะนะ กูขอร้อง กูจะทำให้ดีที่สุดเลยวา” อ้อมกอดของพาร์ทสั่น มันกำลังกลัว กลัวว่าผมกำลังจะปล่อยมันไป
ผมรั้งมันต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
ผัวะ
ผมผละออกจากอ้อมกอดก่อนที่จะต่อยหน้ามันเต็มแรง พาร์ทที่ไม่ได้ตั้งตัวเซถอยไปนิดหน่อย ผมแน่ใจว่าผมต่อยมันแรงมากๆ อย่างน้อยๆก็ต้องได้เลือดกันบ้างแหละ
ผัวะ!
ผมเข้าประชิดตัวมันอีกครั้ง ปล่อยหมัดอีกหมัดออกไปด้วยแรงมากกว่าเดิม พาร์ทไม่ได้หันหนี ไม่ได้พยายามหลบ
มันแค่ยืนเฉยๆให้ผมต่อยมันเท่านั้น
ผัวะ
ผัวะ
ผมปล่อยหมัดออกไปอีกครั้งและอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเจ็บมือไปหมด พาร์ทที่รองรับหมัดเหล่านั้นก็คงจะเจ็บหนักไม่ต่างกัน ผมกระชากคอเสื้อมันขึ้น ตั้งใจจะปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง แต่สภาพหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลและสายตาที่ยังคงทอดมองมาที่ผม
พาร์ทยังไม่ได้ละสายตาจากผมด้วยซ้ำ
สายตาของมันทำให้มือผมที่เตรียมปล่อยหมัดสั่นไปหมด มันสั่นจนผมลังเลที่จะต่อย ผมดันมันจนติดรถอีกครั้ง เปลี่ยนใจไม่ได้ต่อยมันอีกครั้ง ขยุ้มคอเสื้อมันแน่น สบสายตาที่มองตรงมาโดยไม่ได้คิดหลบ
“ต่อยดิ ต่อยเลยถ้ามึงไม่คิดจะเปลี่ยนใจ” พาร์ทถุยน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดลงพื้นและพูดออกมา
ประโยคของพาร์ททำให้ผมต่อยหน้ามันอีกครั้ง
ผัวะ
ผมปล่อยมือลงหลังจากต่อยมันจนนับไม่ถ้วน
“มึงเข้าใจรึไงวะ” ผมถอยหลังออกมาก่อนที่จะอ้าปากพูด
“กูคนนี้เนี่ยนะที่ได้รับความรักจากมึง คนที่มึงรักมาตั้งไม่รู้ต่อกี่ปี กูเนี่ยนะที่มึงคอยห่วงใย คอยหวังดี กูเนี่ยนะพาร์ท... มันไม่ควรเป็นกูอ่ะ”
“คนที่ต่อยมึงได้ มันไม่ควรเป็นคนที่ได้รับความรู้สึกดีๆจากมึง” ผมกำมือแน่น ความเจ็บยังคงติดตรึงอยู่แบบนั้น
“กูไม่มีค่าพอให้มึงรักหรอก”
ผมพูดจนจบ ก่อนที่จะหันหลังเดินออกมา ตอนนี้เองที่ผมพึ่งสังเกตว่ามีคนตั้งมากมายอยู่ตรงนั้น ไอ้พีทยืนอยู่ไม่ไกลจากคนนักมันมองตรงมาที่ผม ไม่ได้พูดอะไรออกมา และมันก็คงตั้งใจให้ผมเคลียร์กับพาร์ทอยู่แล้ว ถัดจากพีทเป็นหลิวที่หยุดอยู่ตรงนั้น แค่เห็นเธออยู่ข้างๆพีทผมก็รู้สึกเบาใจขึ้นเยอะ ผมปลายตาต่อไป คนที่ยืนอยู่ข้างๆหลิวเป็นพี่ปีสี่สักคน
ปีสี่เหรอ...
ผมกวาดสายตามองหาพี่ติณห์ทันที
พี่ติณห์ยืนอยู่ที่มุมตึกกับพี่เมฆ เขามองตรงมาที่ผม สายตาอ่านยากจนผมไม่รู้ว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่ คงไม่ได้คิดโทษตัวเองอยู่หรอกนะ
นี้ไม่ใช่ความผิดของพี่ติณห์เลย ไม่ใช่สักนิด
ผัวะ!!
ความคิดของผมหยุดลงเมื่อพีทเดินมากระชากคอเสื้อผม และต่อยหน้าผมเข้าจังๆ
“ถือว่าเหมากับที่มึงต่อยน้องกูล่ะกัน” มันพูดและปล่อยเสื้อผมลง ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกแย่เลยที่พีทต่อยผม ผมอยากให้มันต่อยผมมากกว่านี้ หรือเรียกคนมารุมกระทืบผมเลยก็ได้
กับสิ่งที่ผมทำไป รับผิดชอบแค่นี้มันไม่มีทางพอด้วยซ้ำ
“วา!!” ผมหยุดขาที่ก้าวเดินและหันกลับไปยังเสียงเรียกอีกครั้ง พาร์ทเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยหลังมือและเดินเข้ามาหาผม
“ขอกอดได้ป่ะวะ” ประโยคของมันทำให้ผมชะงักไปเลย โดยไม่ได้คิดทบทวนอะไร ผมคว้าพาร์ทเข้ามากอดทันที ความรู้สึกผิดที่หนักอึ้งไปหมดทำให้ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา แต่ร่างกายที่สั่นสะท้านในอ้อมกอดผมก็ทำให้ผมรู้ว่าพาร์ทก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน
และมันกำลังร้องไห้หนักมากๆด้วย
“กูขอโทษนะ กูขอโทษจริงๆ” ผมพร่ำพูดประโยคเดิมซ้ำๆ พาร์ทกระชับกอด ซบหน้ากับไหล่ผมและปล่อยให้น้ำตาพูดแทนทุกอย่างอยู่สักพัก
“ไม่เป็นหรอก ไม่ใช่ความผิดมึง กูผิดเอง... ที่ไปชอบมึง” ใช้เวลาสักพักกว่าพาร์ทจะตอบกลับมา มันลูบหัวผมเบาๆและผละออก ยืนสบตากับผมอย่างนั้น ก่อนที่มันจะหยุดมือและยกออกจากหัวผมดื้อๆ
“กูชอบมึงนะ”
“...ขอบคุณที่รับฟัง”
พาร์ทถอยหลังออกไปและพูดออกมา พยายามอย่างหนักที่จะเค้นรอยยิ้มฝืนๆให้ผม
ตอนนั้นเองที่ผมปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมา
“เออ กูรู้ล่ะ ไปชอบคนอื่นได้แล้วนะมึง” ผมตอบกลับไป ฉีกยิ้มฝืนๆตอบกลับไปด้วย พาร์ทพยักหน้ารับ มันยิ้มให้ผม เลื่อนมือมายีหัวผมอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเดินกลับไปที่รถและเข้าไปนั่งในนั้น
เพียงไม่นานพาร์ทกับพีทก็ขับออกไป ทิ้งผมกับไทยมุงให้อยู่ตรงนั้นต่อ
แต่ฟ้าฝนคงคิดว่าผมยังคงเสียใจไม่มากพอ อยู่ๆก็พร้อมใจปล่อยสายฝนเม็ดโตๆลงมา ทุกคนบริเวณนั้นวิ่งกรูหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น ยกเว้นผมที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ปล่อยให้สายฝนชะล้างรอยน้ำตาและความเจ็บปวด
บางทีฝนอาจจะไม่ได้ตกลงมาเยาะเย้ย
แต่ตกลงมาปลอบใจผมก็ได้
ผมยืนอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่ก่อนที่ฝ่ามือร้อนๆจะจับเข้าที่ไหล่ผม บีบจนเต็มแรงและปล่อยออก
“ไม่ต้องขออยู่คนเดียวนะ” ผมก้มหน้าลงมามองหน้าเขา ซึ่งพี่ติณห์ก็พูดออกมาทันที
“... เพราะผมไม่อนุญาต” พี่ติณห์ยืนตากฝนอยู่ข้างๆผม เขาดึงผมเข้าไปกอดหลังจากพูดจบ อ้อมกอดที่ถึงแม้จะเย็บเฉียบก็ยังให้ความรู้สึกอบอุ่นใจได้เสมอ พี่ติณห์ลูบหัวผมเบาๆ ริมฝีปากกระซิบถอยคำอยู่ข้างหูผม
“ไม่เป็นไรแล้วนะวา ผมอยู่ข้างๆคุณนะ”
ถอยคำที่ทำให้หัวใจที่เย็นเฉียบเหมือนสายฝนของผมกลับมาอุ่นวาบอีกครั้ง
ผมกลับมาที่หอด้วยสภาพซอมบี้ ไร้เรี่ยวแรงจะทำอะไรอีกต่อไป ผมจึงเพียงแค่ทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นนอกระเบียงและก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ผมไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้มานานแล้ว มันอึดอัดจนไม่สามารถจะเก็บไว้ในใจได้จนต้องระบายออกมาทางน้ำตา
การร้องไห้เป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่งที่ผมว่ามันได้ผลนะ
ข้างๆผมเป็นพี่ติณห์ที่ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างกัน พี่ติณห์ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่นั่งอยู่ข้างๆผม เหมือนเดิมเลย... ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พี่ติณห์ก็จะอยู่ข้างๆผมเสมอ
ผมเลื่อนมือไปวางลงบนตักและแบมือออก ไม่ต้องพูดอะไรออกมาพี่ติณห์ก็วางมือลง ผสานมือของเราเข้าด้วยกัน ผมเอียงหัวพิงไหล่ของเขา
พี่ติณห์เป็นเครื่องสร้างความอบอุ่นให้กับผม
น้ำตาของผมไม่สามารถไหลออกมาได้อีกแล้ว ตาผมร้อนและโครตเจ็บ ฝ่ามือมีแต่บาดแผลจากการต่อยหน้าพาร์ทแบบไม่ยั้ง เลือดแห้งไปหมดแล้ว แต่อาการเจ็บยังคงอยู่ และผมไม่มีแรงแม้แต่จะหายามาทาหรืออะไรทั้งนั้น
พี่ติณห์พลิกมือผมขึ้น เขาเหมือนรู้ว่าผมเจ็บ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่ยกมือผมขึ้น เป่าเบาๆบริเวณที่เป็นแผล และกดจูบที่นิ้วผม
“พี่เห็นตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ” ในที่สุดผมก็หาเสียงตัวเองเจอและพูดออกไป เผลอผงกขึ้นจากไหล่ของพี่ติณห์โดยไม่รู้ตัว แต่พี่ติณห์เลื่อนมือมาจับให้หัวผมพิงไหล่เขาอีกครั้งและตอบกลับมา
“สักพักอ่ะ พอจะจับใจความได้” ผมขยับเข้าไปใกล้พี่ติณห์มากขึ้นเพื่อที่จะได้พิงได้ถนัด
“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอก”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณพูดขอโทษมาเยอะแล้วนะวันนี้ หยุดพูดได้แล้ว” พี่ติณห์เลื่อนมือมาเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าผมและพูดออกมา
“คุณรู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” พี่ติณห์พูดต่อ
“น่าจะตอนปี2นะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“คุณไม่เคยชอบพาร์ทบ้างเลยเหรอ” เสียงของพี่ติณห์สั่นนิดหน่อย ทำให้ผมกระชับมือที่จับอยู่
“ผมเคยลองดู แต่มันไม่ใช่จริงๆ” พี่ติณห์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาเอียงหัวพิงหัวผมอีกทีและปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ
“ขอบคุณที่เลือกผมนะ” เขาพูดออกมา เสียงไม่ได้ดังมาก แค่พอให้ผมได้ยินเท่านั้น
“ผมไม่ได้เลือกพี่ครับ แต่พี่เป็นคนเดียวที่เข้ามาในใจผมได้” พี่ติณห์กดจูบที่ขมับผม ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วตัวผมเลย
มันอบอุ่นจนผมรู้สึกผิดที่ได้รับ รู้สึกไม่คู่ควรกับสัมผัสนี้ ผมที่ทำร้ายใครอีกคนจนแทบตาย ผมคนนั้นกลับไปรับการให้อภัย และการปลอบใจอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ผมคนนั้นมันไม่ควรได้รับเลยจริงๆ
“ผมมันโครตเลวเลยเนอะ”
แต่ผมไม่สามารถปล่อยมือคนๆนี้ได้ ผมไม่สามารถปล่อยให้พี่ติณห์ต้องพบเจอกับความไม่แน่นอนของผม ผมรักเขามาก รักจนอยากเปิดเผยด้านที่อ่อนแอกับเขา ผมไม่สนหรอกว่าผมจะทำผิดขนาดไหน แต่ผมไม่มีทางยอมเสียอ้อมกอดนี้ไป
ผมทำร้ายพี่ติณห์อีกคนไม่ได้
“ผมก็รู้สึกเลวที่รักคุณ” พี่ติณห์ตอบกลับมา เขากระชับฝ่ามือของเรา ขยับเข้าหาอย่างหวงแหนและห่วงใย จนผมสัมผัสได้
มันอาจจะเห็นแก่ตัว
อาจจะไม่ยุติธรรมต่อใคร
แต่ไหนๆผมก็เลวไปแล้ว
ขอเลวเรื่องนี้อีกอย่างล่ะกัน
“...แต่คนเลวมันก็ต้องคู่กันไม่ใช่เหรอ” พี่ติณห์พูดต่อออกมา เขากดริมฝีปากที่หน้าผากผมอีกครั้ง ผมเงยหน้ารับสัมผัสนั้น ตอนนี้ผมอ่อนแอ และคนๆนี้นี่แหละที่จะทำให้ผมกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
บางทีการที่พาร์ทไม่ใช่สำหรับผม
อาจจะเพราะผมรู้ดีว่าผมไม่ดีพอสำหรับมันก็ได้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อันนี้กลับสู่เนื้อหาหลักแล้วนะคะ แต่งตอนนี้ไปด้วยการขมวดคิ้วตลอดตอน พาร์ทไม่ได้เสียใจที่วารักใครสักคน แต่พาร์ทเสียใจที่ใครคนนั้นมันอาจจะไม่ได้ดีกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่คนเรา มันไม่ได้ต้องการใครสักคนที่ดีที่สุด เราแค่ต้องการใครสักคนที่พอดีสำหรับเรา จะอัพตอนนี้นี่เกร็งรอเลย ความหรรษาของการอัพนิยายเรื่องนี้คือ ไม่ว่าจะบทดี บทไม่ดี พี่ติณห์ก็จะโดนด่าหมด ทำไมคะ! 555 นี้รักพี่ติณห์มากนะ บางทีก็งงอ่ะ เพราะเราไม่เคยตั้งใจจะเขียนให้พี่ติณห์ดูไม่ดีเลย แต่พี่ติณห์ก็กลับถูกด่าอยู่ดี ฮือออออ แต่ถ้าจะคาดหวังให้เราเปลี่ยนเคะนะ บอกเลยว่าไม่ได้ และไม่มีทางด้วย โอเคเลิกบ่นแค่นี้ 55555
ตอนต่อไปน่าจะกลับมา2วันเหมือนเดิมนะคะ ยังไม่แน่ใจ
เจอกันคร้าบบบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

"ไม่ต้องขออยู่คนเดียวนะ"
".......เพราะผมไม่อนุญาต"
ชอบตอนนี้อ่ะ ฟินนนนนนนนน
สู้ๆนะค้าาาา ไฟต์ติ้งงงงงงงงงง
อบอุ่น เราชอบนะแบบนี้
เรื่องของหัวใจใครห้ามได้บ้าง ไม่รักก็คือไม่รักป่ะ โวยวายไปทำไม แล้วพาร์ทมีสิทธิ์อะไรถึงไปตัดสินว่าคนอื่นไม่ดีเท่าตัวเอง
เราชอบพี่ติณณ์นะคะ
ชอบเคะแบบนี้ บุคลิกแบบนี้ อ่านแล้วรู้สึกดีกับพี่ติณนะ
รอมาอัพต่อนะคะ
ตอนนี้ถือว่าเตลียเรื่องของพาร์ทไปได้แล้วเนอะ กิกิ
พี่ติณก็เป็นenergyของวาเหมือนกันเนอะ
.////. ฟินอะงุงิๆ
อื้อหืออออออออออออ ตับจะแตกกกก อื้อหือออออ
เขินพี่ติณณ์โคตรๆ...
ตอนก่อนๆหน้านี้ไม่ได้มาเม้นเพราะไม่รู้จะเม้นยังไงค่ะ โดยส่วนตัวไม่ค่อยเข้าใจ+ชอบนิสัยของพาร์ทสักเท่าไหร่
เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้เรียกร้องขนาดนี้5555555555
ส่วนเรื่องพี่ติณณ์ที่โดนว่านี่อืม... ตอนที่แล้วที่หึงอ่านไปก็โมโหๆนิดนึงเหมือนกันนะ
เพราะส่วนตัวชอบคนแบบวามากกว่าเลยเอียงๆไปบ้าง555555 แต่พอมานั่งคิด คนนิสัยแบบพี่ติณณ์
ทำแบบนี้แหล่ะถูกแล้ว! คิดให้ทำแบบอื่นไม่ได้จริงๆ
จริงๆเรื่องโพซิชั่นไม่ได้สนใจนะคะ แค่เขาคู่กันก็แฮปปี้ดี ♥
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ
เม้นเหมือนตอนจบเลย....เปล่านะ
ปล.รอรวมเล่มขอจองคนแรกได้ไหมคะ55555555555