ตอนที่ 29 : specify; ครบ200เม้นต์
Specify
(ตอนพิเศษฉลอง200คอมเม้นต์)
คณะสถาปัตยกรรม ไม่สิ ผมว่าการจะทำอะไรสักอย่างในโลกใบนี้ แรงบันดาลใจ ค่อนข้างเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผม ผมทุ่มเทได้เต็มที่ ถ้ารู้สึกว่าสิ่งนั้นพิเศษและน่าสนใจ และคำว่าแรงบันดาลใจก็เป็นคำสั้นๆคำหนึ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะความอยากจะทำ ความคิดสร้างสรรค์ หรือแม้แต่อะไรที่ไม่คิดว่าจะคิดได้ ก็ดันคิดขึ้นได้เฉยๆเมื่อมีแรงบันดาลใจ
ผมน่ะ ใช้ชีวิตกับการเรียนสถาปัตย์มา3ปีกว่า มันต้องมีบ้างแหละที่รู้สึกไม่อยากทำ รู้สึกคิดไม่ออก รู้สึกไม่พอใจกับผลงานตัวเอง มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆหรอกครับ เพราะถ้าเกิดขึ้นแต่ล่ะครั้งแล้วมันโครตจะเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตเลย มันจะดิ่งลงไปเลยแหละ วิธีหลีกหนีง่ายๆของผม คือมองให้กว้าง คิดให้ไกล ให้อิสระกับตัวเอง ก็จะไม่รู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองทำ
สิ่งที่ผมทำมันถือเป็นการหนีต่อความเฟล
แต่ถ้ามันหนีไม่พ้นล่ะ
“มืด มืดชิบหาย” เสียงไอ้พีทดังแว่วๆเข้ามาในหูแต่ผมก็ยังคงฟุบหัวกับโต๊ะอยู่
“ไอ้เหี้ยวา เอาไง” มันเตะขาผมก่อนที่จะพูดออกมา ส่งผลให้ผมต้องแงะหัวขึ้นมาจากโต๊ะแต่โดยดี
“กูคิดไม่ออก” จบประโยคของผม พีท หลิว ปาย รวมถึงเพชร ก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมา
โจทย์โครตยาก
โครตแคบ
และโครตจะแหวกกรอบอะไรออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นี้ผมนั่งคิดจนหัวจะแตกก็ยังคิดอะไรที่ดูเข้าท่าไม่ได้เลย
“เอาน่า ยังไงกำหนดส่งมันก็อีกตั้งนาน ค่อยๆคิดไปล่ะกันเนอะ” ขึ้นชื่อว่างานกลุ่ม มันก็ต้องแอดวานส์กว่างานเดี่ยวหลายเท่าอยู่แล้วครับ
แม้จะไม่พอใจกับประโยคปัดๆของหลิวเท่าไหร่ แต่พวกเราก็จำต้องพยักหน้ายอมรับ
“งั้นวันนี้เลิกประชุมกันแค่นี้ก่อน ใครคิดอะไรออก ไว้มาเสนอครั้งต่อไปนะ” ปายพูดออกมา พยายามยิ้มให้ทุกคนใจเย็นลง
ผมลุกออกจากโต๊ะทันทีที่เลิกประชุม แม้ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ไม่มีแรงจะคิดอะไรต่อแล้วครับ มันว่างมากเลยสมอง ขอกลับไปนอนก่อนล่ะกัน
“ไปไหนต่อวะมึง”
“ไม่ไปห่าไรทั้งนั้น จะกลับไปนอน”
“เออเจอกันเว้ย” พีทบอกลาโดยไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจมันนักหรอก สุดท้ายก็เดินตรงกลับหอในทันที นอนสักชั่วโมงสองชั่วโมง อาจจะทำให้ผมคิดอะไรออกขึ้นมาบ้างก็ได้
ถือเป็นการให้กำลังใจตัวเองที่ดีแต่ไม่นำพาว่ะ
ผมถอนหายใจ มองตรงไปยังที่ไกลๆ ในหัวยังคงคิดเรื่องงานที่พึ่งได้มาไม่ออกสักที ทำไมมันว่างเปล่าได้ขนาดนี้นะ ว่างจนอยากจะจุดบุหรี่สูบสักมวน จะติดก็แต่ไม่มีบุหรี่อยู่ใกล้มือผมเลยนะสิ และผมก็ไม่ได้สูบมานานมากจนไม่อยากจะกลับไปสูบอีกแล้ว
ผมเคยลองตอนม.5 แล้วแม่จับได้นะครับ นั่งอธิบายกันยาววววมาก สุดท้ายแม่ก็พูดออกมาว่า ฉันรักแกมากนะ ฉันไม่อยากเป็นคนจัดงานศพให้แก ผมเลยเลิกสูบเลย แม่ร้องไห้ด้วยอ่ะ เขาคงกลัวผมติดนั้นแหละ
แต่เพราะมันคิดอะไรไม่ออกสักอย่างเนี่ย ผมเลยคิดอยากจะสูบขึ้นมาซะงั้น
ความเฟลมันอันตรายมากนะครับ
“โอเคนะ” ผมละสายตาจากท้องฟ้าตรงหน้าเมื่อมีมือร้อนๆกับน้ำเสียงคุ้นๆดังเข้ามา เมื่อหันไปมองก็เห็นพี่ติณห์ยืนอยู่ตรงนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเดินเข้ามาตรงไหน อาจจะเพราะผมนั่งอยู่นอกระเบียงด้วยเลยไม่ได้ยินเสียงอะไร
ส่วนหนึ่งผมไม่ได้สนใจอะไรด้วยแหละ
“ผมดูไม่โอเคเหรอครับ” พี่ติณห์พยักหน้ารัวๆ
“ดูแย่มากอ่ะ” เขาจับหัวผมหมุนซ้ายหมุนขวาประกอบคำพูดด้วย
“คิดแบบไม่ออกอ่ะ” พี่ติณห์หยุดหมุนหัวผมแล้ว
“โหย นึกว่าเรื่องอะไร นี้มันเบสิกมากๆเลยนะ... สำหรับพวกเรา” พี่ติณห์พูดติดตลกก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม
“แต่นี้มันว่างมากเลย”
“...ไม่มีแรงบันดาลใจด้วย”
“แล้วทำไมไม่มีแรงบันดาลใจล่ะ” ผมไหวไหล่ ผมก็พยายามหาเหตุผลแล้วครับ แต่คิดไม่ออกอ่ะ พี่ติณห์นิ่งไป เหมือนกำลังคิดตามอยู่
“ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจ ก็ต้องหาแรงบันดาลใจสิ” สักพักหนึ่งก่อนที่พี่ติณห์จะพูดออกมา
“ยังไง?” รอยยิ้มของพี่ติณห์ทำให้ผมยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เขาดูแน่ใจมากๆว่าจะเรียกแรงบันดาลใจกลับมาให้ผมได้
“พรุ่งนี้คุณว่างกี่โมง”
เมืองทองธานี
ถือว่าเป็นสถานที่แรกๆที่ผมมาในกรุงเทพเลยนะ เห็นแบบนี้แต่ผมเป็นคนบ้าดูคอนเสิร์ตมากเลยนะ ครั้งล่าสุดที่มาเหยียบที่นี้คงเป็นคอนเสิร์ตsmoke and mirror tourของวงImaging Dragon พูดแล้วผมยังอารมณ์ค้างอยู่เลย มันสนุกมากจริงๆนะ ถ้าเขามาทัวร์อีกผมจะไปแน่ๆอ่ะ จะซื้อบัตรแพงกว่านี้ด้วย
กลับมาที่ปัจจุบัน
ผมไม่คิดว่าพี่ติณห์จะพาผมมาที่นี้ เขาบอกผมเพียงแค่ว่าให้เอากล้องไปด้วย แค่นั้นแหละ
“เรามาดูคอนเสิร์ตเหรอครับ” ผมอดจะถามออกไปไม่ได้ระหว่างกำลังเดินหาอาคารไปด้วย
“เปล่า เรามาเดทกันตั้งหาก” พี่ติณห์ตอบ กล้องolympus em1สีดำสุดคลาสสิคถูกห้อยอยู่ที่คอ
“เดท? พี่ชวนผมเดทอีกแล้วเหรอ” ผมตอบกลับไป ผมเองก็ห้อยolympus em5 mark iiสีดำลูกรักอยู่เหมือนกัน
“เออว่ะ ทุกครั้งผมเป็นคนชวนคุณเดทตลอดเลยอ่ะ ทำไมวะ” พี่ติณห์หยุดเดินและหันมาโวยผมนิดหน่อย
“เดี๋ยวครั้งหน้าผมเป็นคนชวน แต่ขอคิดก่อนนะว่าจะพาไปเดทที่ไหนดี” พี่ติณห์ยักไหล่
“ผมให้เวลาคุณคิดเยอะล่ะนะ ทำให้ดีล่ะ” โหยยยไม่ค่อยจะกดดันหรอก
และone day date ครั้งที่2 ของเราก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
พี่ติณห์เกี่ยวคอผมไปกอด ดูตั้งใจจะใช้ไหล่ผมวางแขนมากกว่า ก่อนที่จะออกเดินอีกครั้ง ทั้งๆที่ยอมตามเขามาถึงนี้แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจริงๆแล้วพี่ติณห์เขาตั้งใจจะพาผมไปไหนกันแน่ แต่สถานที่จัดคือเมืองทองธานี ถ้าไม่ใช่คอนเสิร์ตก็น่าจะเป็นงานexpoหรือนิทรรศการอะไรสักอย่างนั้นแหละ และพี่ติณห์พึ่งพูดไปเองว่าไม่ใช่คอนเสิร์ตก็คงจะเป็นงานอะไรสักงานสองอย่างหลังนี้แหละ
เราเร่งฝีเท้าผ่านแสงแดดแผดเผาก่อนที่พี่ติณห์จะเป็นฝ่ายเดินนำอีกครั้ง
เดินอยู่ได้ไม่นานเราก็ถึงจุดหมาย และป้ายขนาดใหญ่ยักษ์หน้างานก็ทำให้ผมเก็ตทันที
งานสถาปนิก’ 59 ครั้งที่30
“ถ้าคุณจะหาแรงบันดาลใจ มันก็ต้องหาจากงานสถาปัตยกรรมนี้แหละ” เสียงของพี่ติณห์ทำให้ผมหันกลับมาที่พี่เขา
นั้นสินะ เรียกฟีลความเป็นเด็กถาปัตย์กลับมาหน่อย
ผมกับพี่ติณห์เดินเข้าไปในงานและแยกกันไปดูงานแต่ล่ะงานโดยไม่ไกลกันนัก ผมรู้สึกขอบคุณอยู่ลึกๆที่พี่ติณห์บอกให้ผมเอากล้องมาด้วย หลังจากถ่ายรูปสักรูป ผมก็สามารถยืนมองงานชิ้นนั้นๆได้นานเป็นสิบนาทีเลย
ทั้งงานมีชื่อเสียระดับโลกหรืองานของคนไทยเอง และแม้แต่งานของนิสิต นักศึกษาก็มีจัดแสดง ช่วยเปิดแนวทางความคิดใหม่ๆให้ผมได้เยอะโครตๆ
แชะ
ผมกดถ่ายรูปตึกรูปทรงแปลกๆตรงหน้าและหยุดมองอย่างพินิจพิเคราะห์อีกรอบ สุดยอดอ่ะ โครตงานละเอียด ทุกๆส่วนมีความหมายไปหมด ทำได้ไงวะ
ผมส่องรูนู้นรูนี้ไปเรื่อยๆอย่างชื่นชม มองผ่านช่องพวกนี้ไปด้านหลังเป็นพี่ติณห์ที่ยกกล้องถ่ายโมเดลไม้ตรงหน้า
ผมอดที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายพี่ติณห์อีกทีไม่ได้จริงๆ
“ขอโทษครับพี่” ผมลดกล้องลงหลังจากกดถ่ายไปแล้วเมื่อมีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนพี่ติณห์
ใช้คำว่า ตั้งใจวิ่งมาชน ก็ได้มั้ง
“ไม่เป็นไรครับ” พี่ติณห์หันไปตอบเด็กคนนั้นพร้อมรอยยิ้มอย่างปกติ
เป็นเด็กหน้าตาน่ารักเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย ตาโต จมูกโด่ง ผิวหน้า แก้มป่องๆออกแดงนิดหน่อยจากอากาศร้อน (แต่ในห้องแอร์เนี่ยนะ) และที่สำคัญยิ้มเก่งโครตๆ ยิ่งตอนนี้มันเอาแต่ยิ้มให้พี่ติณห์ไม่หยุดเลย ให้ทายว่าน่าจะ16-18ประมาณนี้แหละ ไม่น่าเกิน
“ขอโทษจริงๆนะครับพี่ ผมวิ่งชนคงทำให้โฟกัสกล้องหลุดเลย” เจ้าเด็กนั้นพูดต่อ
“ไม่เป็นไรหรอก โฟกัสใหม่ก็ได้” พี่ติณห์ตอบกลับไป
“พี่เรียนสถาปัตย์เหรอครับ” เดี๋ยว... มันมาเข้าประเด็นนี้ได้ไง
“อื้ม”
“จริงดิ พี่ปีไรแล้วอ่ะ”
“พี่ปี4แล้ว”
“ผมกำลังจะขึ้นปี1ปีนี้ล่ะพี่ นี้ยังคิดหนักอยู่เลยว่าจะเลือกแอดที่ไหนดี”
“ถ้าเราอยากเข้าที่ไหนก็เข้าที่นั้นเลย เราทำได้อยู่แล้วแหละ”
“พี่แนะนำหน่อยดิ นี้ผมไม่มีรุ่นพี่เรียนสถาปัตย์เลย พี่เป็นคนแรกเลยนะ พี่...”
“เตชินท์” มันหลอกถามชื่อนี้ว้า!
คิ้วผมกระตุกขึ้นมาตอนนี้แหละ นับ1-100ในใจจนแทบจะเข้าหลักพันอยู่ล่ะ แม้จะย้ำกับตัวเองว่าแค่เด็กๆก็ตาม แต่ไอ้สายตาแบบนั้น กับคารมของมันก็วอนให้เท้าผมกระตุกยิกๆเลยนะ
“ผมธีร์นะครับ” เด็กธีร์แนะนำตัวเองบ้าง พร้อมรอยยิ้มจนตาโตๆนั้นปิดไปเลย
“พี่เตชินท์มาคนเดียวเหรอครับ” ไอ้ธีร์ถามต่อ (เริ่มมีสรรพนามนำหน้าล่ะ)
“เปล่าหรอก พี่มากับ..” พี่ติณห์มองหาผมเพื่อตอบคำถามนั้น แต่ผมไม่อยากให้พี่ติณห์รู้ว่าผมมองอยู่ จึงทำเป็นยกกล้องขึ้นมาส่องเหมือนจะถ่ายรูปแทน
“เพื่อนเหรอครับ”
“รุ้นน้องในคณะอ่ะ” ทำไมสถานะผมเหลือแค่นั้นเองวะ!
แต่ปกติมันก็ต้องตอบแบบนี้อยู่ล่ะนะ ผมจะหงุดหงิดทำไม
“พี่เขาดูวุ่นๆนะครับ ทางนู้นเป็นโมเดลแบบ3Dนะ พี่เตชินท์ไปดูรึยัง” ไอ้เด็กเวร...
“ยังเลย”
“งั้นเราไปดูกันเถอะครับ”
“เอ่อ..” ถ้าพี่ตอบตกลงผมจะงอนนะบอกเลย
“วา! ผมไปดูทางนู้นนะ” พี่ติณห์หันมาบอกผม ผมไม่ได้ตั้งใจจะจิกนะ แต่ตอนพี่ติณห์เรียกเมื่อกี้ผมถึงกับหันขวับไปเลย
“ไปสิครับ ผมว่าจะไปพอดี” พูดจบผมก็เดินจ้ำอ้าวไปหาพี่ติณห์ทันที
“เออวา นี้ธีร์นะ น้องจะเข้าถาปัตย์อ่ะ” ผมยิ้มมุมปากใส่ไอ้ธีร์ มันเตี้ยกว่าผมอีกครับ! ถือว่าวินเรื่องหนึ่ง
“พี่วานะ” ผมแนะนำตัวสั้นๆ ธีร์พยักหน้ารับมันดูไม่สนใจฟังผมเท่าไหร่ก่อนที่จะหันไปที่พี่ติณห์
“เราไปกันเถอะครับพี่เตชินท์” มันยิ้มกว้างให้พี่ติณห์ คว้าแขนเขาและดึงออกไปเลย
มึงจับแขนพี่ติณห์เหรอ!
รู้ตัวอีกทีผมก็คว้าแขนอีกข้างมาเกี่ยวและลากพี่ติณห์ออกไปอีกทางแทน ธีร์คงไม่ได้ตั้งตัว มันเลยเผลอปล่อยแขนพี่ติณห์มาง่ายๆ
“ผมหิวน้ำอ่ะ” ผมอธิบายสั้นๆและเดินนำไปที่บูธขายน้ำ
“พี่ติณห์ชาเขียวเนอะ” ผมปล่อยแขนพี่ติณห์ลงเมื่อมาถึงร้านและหยุดยืนดูเมนูอยู่สักพัก ไอ้ธีร์ไม่ได้เดินตามมาแล้วนะครับ บางทีตอนเดินมาคนอาจจะเยอะจนมันตามไม่ทันแล้วก็ได้
“อ่าฮะ” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อให้นะครับ” เขาพยักหน้ารับอีกครั้งและทิ้งตัวลงนั่งโต๊ะรอข้างนอก ส่วนผมก็แทรกตัวเข้าไปซื้อน้ำ
“ผมเพิ่มวิปครีมมาด้วยนะ..” ใช้เวลาสักพักกว่าผมจะได้น้ำสองแก้วมาไว้ในมือ ในขณะที่กำลังพรีเซนต์วิปครีมที่สั่งเพิ่มมาให้เฉพาะชาเขียวของพี่ติณห์ ผมก็ต้องหุบปากฉับ
ไอ้เด็กธีร์มันนั่งร่วมโต๊ะกับพี่ติณห์อย่างเริงร่า
“ขอบคุณนะ” พี่ติณห์รับแก้วน้ำไปจากผม ในมือถือช้อนอะไรสักอย่างอยู่
“วากินป่ะ อร่อยนะ” ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าเป็นมูสสตรอเบอร์รี่อะไรสักอย่าง
“กินสิครับพี่วา อร่อยนะ” ธีร์พูดซ้ำ มันส่งยิ้มมาให้ผม อาจจะดูเป็นยิ้มธรรมดา แต่ผมรู้สึกว่ามันเข้าใกล้คำว่า ยิ้มเยาะ ยังไงไม่รู้
“เออธีร์ วาเก่งมากเลยนะ เขาได้เกรดเยอะที่สุดในรุ่นด้วย อยากรู้อะไรถามวาได้” ผมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ จำต้องหยิบช้อนมาตักมูสตรงหน้ากินบ้าง
“เหรอครับ แล้วทำไมพี่ติณห์มาเรียนสถาปัตย์อ่ะ” มันเมินผมอีกแล้วครับ
“พี่ชายพี่ติณห์เขาอยากให้เรียนสถาปัตย์นะ เพราะเขาเรียนวิศวะมา” ผมชิงพูดออกไปก่อน
“พี่ติณห์?” ธีร์หม่นคิ้วและหันมามองหน้าผม
“อ้อ ต้องเรียกว่าพี่เตชินท์สินะ โทษทีๆ พอดีติดอ่ะ ถ้าคนสนิทๆเขาก็จะเรียกว่าพี่ติณห์ทั้งนั้นแหละ” ผมไม่ได้ตั้งใจจะข่มเลยนะ แต่เสียงมันออกไปเอง
“งั้นผมขอเรียกพี่ติณห์บ้างได้ไหมอ่ะ” ธีร์หันขวับไปที่พี่ติณห์พร้อมสายตาออดอ้อน ส่วนผมก็หันขวับไปที่พี่ติณห์อีกคน ประโยคเมื่อกี้มันคล้ายตอนที่ผมขอเรียกพี่ติณห์ว่าพี่ติณห์มากเลยนะ และผมไม่อยากให้ไอ้เด็กนี้มันได้เรียกพี่ติณห์ เราพึ่งเจอมันไม่กี่ชั่วโมงเองนะ
“เรียกเตชินท์เถอะ ส่วนมากก็เรียกเตชินท์กันทั้งนั้น” เยส! ผมหันกลับไปมองธีร์ต่อ
“โห แต่ผมอยากเรียกพี่ติณห์อ่ะ มันสั้นกว่า นะคร้าบพี่ติณห์นะนะ” มึง...
ตาผมกลายเป็นขีดๆแล้วครับ
“งั้น..” พี่ติณห์เกาหัวอย่างลำบากใจสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“เราไปดูโซนนั้นกันเถอะครับพี่ติณห์ เดี๋ยวจะเย็นก่อน” ผมขัดออกไปอีกครั้ง แถมลุกขึ้นเลยด้วย ผมจะไม่ยอมให้เด็กนี้เรียกพี่ติณห์ว่าพี่ติณห์เด็ดขาด
“ถ้าพี่รีบพี่จะไปก่อนก็ได้นะครับ พอดีผมกับพี่ติณห์ไม่รีบ” ผมเค้นเสียงหัวเราะและหันไปมองคนที่พูดขัดผมอีกครั้ง
“ขอโทษนะครับน้อง พอดีพี่มากับพี่ติณห์ น้องไม่ได้มาด้วยก็ไม่ต้องทำเป็นรู้มา..” ประโยคของผมโดนขัดเมื่อพี่ติณห์เอื้อมมือมาปิดปากผมไว้
“เด็กนะวา” เขากระซิบบอกผม
“พี่ว่าเราไปดูโซนอื่นกันต่อเถอะ ถ้ากลับบ้านดึกๆมันก็ไม่ดีอ่ะเนอะ”
“ใช่เลยครับ เราไปกันเถอะ” อ๊าว มึงกลับลำทันทีเลยนะ
เด็กแล้วยังไงวะ กระทืบเด็กคงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง
ผมกับพี่ติณห์พ่วงไอ้เด็กธีร์ กลับมาเดินดูงานกันอีกรอบ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เดินแยกไปดูงานคนล่ะชิ้นกับพี่ติณห์เหมือนตอนแรก ใช้คำว่าแทบจะสิงพี่ติณห์เลยก็ได้อ่ะ ก็ไอ้เด็กนี้มันพยายามถามนู้นถามนี้พี่ติณห์อยู่ตลอด ผมเลยต้องคอยตอบมันแทนไง อย่างเช่น
“งานนี้ใช้เทคนิคอะไรเหรอครับ”
“พี่ชอบงานแนวไหนเหรอ”
“อันนี้พี่ว่ามันสื่อถึงอะไร”
หรือแม้แต่
“พี่ชอบคนแบบไหนเหรอครับ”
“ชอบคนเด็กกว่าหรือแก่กว่าเหรอ”
“อย่างผมพอได้ไหม”
กร๊าซซซ
(พ่นไฟ)
แม้พี่ติณห์จะตอบมันเฉพาะเรื่องสถาปัตยกรรม ผมก็หงุดหงิดอยู่ดี
หัวร้อนมากตอนนี้
หลังจากเดินกันจนเมื่อยขาเราก็มาจบที่บูธอาหารหน้างาน สรุปวันนี้ก็ดูไม่ครบ แถมยังดูได้น้อยกว่าที่คิดอีก เสียดายนิดหน่อยแหะ
“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อบ้าง ธีร์กินไร”
“พี่เตชินท์ซื้ออะไรให้ผมก็กินได้หมดแหละครับ” มันยอมกลับมาเรียกพี่เตชินท์เหมือนเดิมแล้วครับ
“โอเค” พี่ติณห์พูดส่งท้ายก่อนที่จะเดินแยกออกไป ปล่อยให้ผมนั่งจองโต๊ะกับเด็กนี้ตามลำพัง ผมจึงกดดูรูปที่ถ่ายมา เพราะไม่อยากนั่งมองหน้ามันครับ
“ผมพูดตรงๆเลยนะพี่ ผมชอบพี่เตชินท์” ผมชะงักเมื่อธีร์พูดออกมา
“พี่เลิกขวางทางสักทีเหอะ” มันจ้องหน้าผมสักพักก่อนที่จะพูดต่อออกมา สายตาพร้อมเข้ามาเสยหน้าผมทันทีถ้าผมพูดจากวนตีนหรือไม่ฟังมันพูด ผมยกยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นมาเท้าคางชิลๆและตอบมันกลับไป
“คงไม่ได้ว่ะ”
บทสนทนาจบลงแค่นั้นเพราะพี่ติณห์เดินกลับมาก่อน
“ผมอยากกลับแล้ว” ผมโพล่งออกไปทันทีหลังจากกวาดของทุกอย่างลงท้องจนหมด
“เอาดิ ธีร์กลับบ้านยังไงอ่ะ” พี่ติณห์ก็ยังอุตสาห์หันไปถามไอ้เด็กนี้อีก
“บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี้หรอกครับ นั่งรถเมล์ไปแปบเดียวเอง พี่ล่ะ”
“พี่นั่งรถตู้กลับไปอนุสาวรีย์อ่ะ” ได้โอกาสล่ะ
“ไปคนล่ะทางใช่ป่ะ งั้นแยกกันตรงนี้เลยเนอะ บายยย” พูดจบผมก็ดันหลังให้พี่ติณห์เดินนำไปก่อน
“พี่เตชินท์!” ธีร์รั้งพี่ติณห์ไว้
“ขอเบอร์ได้ไหมครับ” คำถามมาพร้อมโทรศัพท์ที่ยื่นมาตรงหน้า ผมตวัดสายตาไปมองธีร์ทันที มันมองตรงไปที่พี่ติณห์ สายตาอ้อนวอนและทำเหมือนไม่มีผมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
“ไม่ได้” ผมตอบ ดันโทรศัพท์มันกลับไปด้วย
“ไรวะ” ฝ่ายนั้นหันมามองผมอย่างหาเรื่องสุดๆ
“ขอโทษที่เสือกนะ แต่เอ๊ะ เรื่องของแฟน มันก็เหมือนเรื่องของเรานั้นแหละ ไม่ถือว่าเสือกหรอกเนอะ” ผมพูดส่งท้ายแค่นั้น และจูงมือพี่ติณห์ออกมาเลย
ขอร้องเลยนะ หวังว่านี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะต้องเจอเด็กเวรนี้เถอะ
เพี้ยง!!
ผมกับพี่ติณห์นั่งเงียบมาตลอดทางที่อยู่บนรถตู้ จนขึ้นมาบนBTSแล้วเราก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรกัน พี่ติณห์เดินดูดน้ำนำหน้าผมอย่างสบายอารมณ์ ออกจะอารมณ์ดีไปสักหน่อยด้วย ต่างกับผมที่หัวร้อนจนต้องหุบปากเงียบ เพราะไม่อยากจะไปพูดอะไรไม่ดีใส่พี่ติณห์เข้า
จนเรากำลังเดินกลับหอ ผมจึงเร่งความเร็วจนมาเดินข้างๆพี่ติณห์
“หัวหายร้อนแล้วเหรอ” พี่ติณห์ถามและวางมือแหมะลงบนหัวผม
“รู้ด้วยเหรอว่าผมหงุดหงิด” ผมถาม ปากยื่นอย่างยังคงไม่พอใจอยู่
“รู้ดิว่ะ” พี่ติณห์ตอบและขำออกมา
“หน้าคุณบอกบุญไม่รับขนาดนั้น คิ้วนี้จะผูกเป็นโบว์อยู่ล่ะเหอะ” พูดจบก็ย่นคิ้วเลียนแบบผมด้วย
“รู้แล้วไม่คิดจะพูดอะไรเลยเหรอ”
“อ้าว ให้พูดอะไรอ่ะ เดี๋ยวพูดไม่เข้าหูแล้วคุณหงุดหงิดไปใหญ่ก็แย่ดิ” ก็จริงแหะ
“แต่พี่ก็น่าจะพูดอะไรบ้างดิ แล้วไอ้ท่าทางแฮปปี้นี้ก็ทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิมเหมือนกันนะ”
“อ้าววว ก็ผมมีความสุขนี้ผมผิดด้วยเหรอ”
“มีความสุขตอนที่ผมทุกข์เนี่ยนะ” ผมตัดพ้อ
“แล้วได้แรงบันดาลใจกลับมาบ้างเปล่า” พี่ติณห์เปลี่ยนเรื่อง แต่จะว่าไปถึงจะมัวแต่กัดกับเด็กนั้น ผมก็ได้เห็นงานเจ๋งๆ แนวคิดใหม่ๆ และอยากจะสร้างสรรค์ผลงานดีๆบ้างเลยแหะ
“ได้อยู่นะ” ผมตอบกลับ คันมือคันไม้อยากวางแปลนจะแย่ เราออกเดินด้วยกันไปเรื่อยๆก่อนที่อยู่ๆพี่ติณห์จะขำออกมาอีก
“พี่ขำอะไร”
“พอนึกแล้ว ผมก็ตลกขึ้นมาอีก” ผมหลิ่วตา
“พี่ขำผมเหรอ”
“เออ” พี่ติณห์ตอบและระเบิดเสียงขำออกมา
“มาขำผมทำไมเนี่ยยยย”
“ตลกอ่ะ คุณโกรธเด็ก18เป็นบ้านเป็นหลังเลยเนี่ยนะ” ผมเอื้อมมือไปปิดปากพี่ติณห์เพราะเขาไม่เลิกขำผมสักที
“ก็ดูมันดิ ทำลายบรรยากาศหมดเลย แม่งเอ้ย”
“บรรยากาศอะไร” พี่ติณห์จับมือผมออกและพูดออกมา
“พี่ลืมไปแล้วเหรอว่านี้เป็นเดทครั้งที่สองของเรา”
“โถ่วา สร้างสีสันดีออก เรายังมีเดทอีกหลายครั้งนา” ผมทำตาตี่ รู้สึกไม่เห็นด้วยกับประโยคเมื่อกี้เลยสักนิด
“นี้จะเป็นเดทที่ผมจำที่สุดเลยเหอะ” พี่ติณห์พูดต่อเล่นเอาคิ้วผมกระตุกอีกครั้ง
“เพราะเด็กนั้นอ่ะนะ” เสียงแหลมขึ้นไปเองอัตโนมัติเลย
“จะบ้าเหรอคุณ”
“... เพราะว่าคุณหึงผมตั้งหาก” ผมหันขวับไปมองพี่ติณห์
“รู้ว่าผมหึงก็ยังไม่คุยกับมันตั้งนานสองนาน”
“ก็นานๆคุณจะหึงที ผมก็ต้องคว้าโอกาสไว้ดิ” ผมทำตาขีดใส่พี่ติณห์อีกครั้ง
“ไม่ตลกเลยนะ” พี่ติณห์บุ้ยปากเมื่อผมกดเสียงใส่
“คุณกล้าสาบานป่ะล่ะ ว่าถ้าสลับกัน คุณจะไม่ทำแบบผม” ไม่กล้า...
พี่ติณห์หึงเลยนะ
ห้ามดูยากพอๆกับจันทรุปราคาเลยเหอะ
“เอาน่า ผมคงไม่บังเอิญเจอเขาอีกหรอก” พี่ติณห์พูดออกมา เพราะผมยังคงหน้างออยู่
“ตอนคุณหึงน่ารักดีนะ” เขาพูดต่อออกมา มองหน้าผมสักพักก่อนที่ยกมือขึ้นมาเกาแก้ม ผมพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เอาเถอะยังไงมันก็ผ่านไปแล้วนี้หนา ผมจึงออกเดินอีกรอบ
แต่ผมก็ต้องหยุดเท้ากะทันหันเมื่อพี่ติณห์หอมแก้มผมฟอดใหญ่
ชิงหอมเสร็จก็เดินลิ่วนำไปเลย
“เดี๋ยวดิพี่ติณห์ มาหอมอีกข้างหนึ่งก่อนมันจะได้เท่ากัน” ผมตะโกนไล่หลัง และวิ่งตามไป
“ไม่เอาเล่า!” พี่ติณห์ตะโกนตอบกลับมา
ถ้าหัวร้อนแลกกับหอมแก้มจากพี่ติณห์
ผมยอมหึงเขาอีกเป็นสิบๆครั้งเลย
อาจจะเป็นเดทที่หงุดหงิดโครตๆ แต่แค่เป็นเดทกับพี่ติณห์
ไม่ว่าจะที่ไหน
เมื่อไหร่
ยังไง
หรือมีใครมาขวางทาง
มันก็เป็นเดทที่ดีอยู่ดีนั้นแหละ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไงงงง ตอนพิเศษฉลอง200เม้นต์ มาดึกไปนิดและออกจะสั้นๆไปหน่อย แต่เราก็ได้เห็นอีกมุมของทั้งติณห์และวาเนอะ หวังว่าจะทำให้ใครๆเผลอยิ้มไปกับความบ้าบอของวาและความกวนตีนลึกๆของพี่ติณห์ 555 ตอนต่อไปก็จะกลับสู่เนื้อหาหลักนะคะ และคิดว่าพรุ่งนี้จะได้อัพด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าจะมาดึกๆรึเปล่า ยังไงก็ติดตามนะค่าา
see you soonnn
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่ติณอาจจะฟินได้กินเด็ก5555
3พีเลยแบบนั้น
เรารอมาอัพต่อนะคะ
รอคอยๆๆๆๆ
อยากเข้าไปช่วยกันออกมามาก
เสียอารมณ์นู๋วา><