ตอนที่ 22 : fortunate
22
1 สัปดาห์ต่อมา
พวกเรากลับเข้าสู่โหมดเรียนหนักกันอีกครั้ง เรื่องรับน้องก็จบไปตั้งแต่วันนั้น เราไม่ได้ประชุมเชียร์กันอีก และคงจะเข้าห้องเชียร์กันเป็นครั้งสุดท้ายในวันรับรุ่น ซึ่งต้องรอผ่านมิดเทอมไปก่อนนั้นแหละ ช่วงนี้พวกผมเลยกลับมาวุ่นวายกับโรงเรียนประถมที่ต้องส่งแบบอยู่ทุกอาทิตย์ ดังนั้นเด็กคณะสถาปัตย์ของเราจึงมีเพื่อนเป็นM150และกาแฟเซเว่นเหมือนเดิม
หลังจากวนลูปกับการใช้ชีวิตที่มหาลัย กลับหอ ทำงาน ไปเรียน มาร่วมอาทิตย์ก็เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะถึงมิดเทอมแล้ว ผมเร่งทำโมเดลโรงเรียนแบบเต็มที่ และเพราะพวกเราวุ่นกันมากๆผมเลยเจอไอ้พาร์ทเฉพาะแค่ตอนมันมารอรับพีท พาร์ทเองมันก็คงโครตวุ่นเหมือนกัน เห็นพีทบอกว่าตอนมันออกมาหาอะไรกินระหว่างตัดโมตอนกลางคืน ห้องไอ้พาร์ทก็ยังเปิดไฟอยู่เลย คงเร่งอ่านหนังสือสอบที่มีเนื้อหาเป็นล้านอยู่นั้นแหละ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ไอ้กันกับเพื่อนตอนมัธยมอีกสองคนนัดผมไปกินหมูกระทะ ผมก็ไม่สามารถไปได้เพราะโมยังไปไม่ถึงไหนเลย และไอ้โมอันเนี่ยก็ชี้ชะตาชีวิตผมเลยไง ดังนั้นระหว่างหมูกระทะกับโมเดล
ผมเลือกโมเดล
แต่เพราะผมไม่ไป พวกไอ้กันเลยเลื่อนเวลาไปก่อน รอผมว่างแล้วค่อยไปพร้อมกันครับ กันมันว่างั้น
ถึงจะวุ่นจนไม่เจอหน้าใครนอกจากเพื่อนในคลาส แต่ก็มีคนๆหนึ่งเป็นข้อยกเว้น
ใช่ครับ พี่ติณห์นั้นแหละ
ผมกับพี่ติณห์กลายเป็นติดกันมากๆซะงั้น เราสามารถนั่งทำงานกันเงียบๆโดยไม่พูดกันเลยทั้งคืนได้ และก็เป็นแบบนั้นแทบทุกวันด้วยครับ ผมแวะไปห้องพี่ติณห์บ่อยจนอยากจะหารค่าน้ำค่าไฟให้รู้แล้วรู้รอดด้วยความเกรงใจ แต่ถ้าถามว่าผมเกรงใจขนาดนั้นทำไมไม่กลับห้องตัวเอง
ห้องผมไม่มีพี่ติณห์ไง
งานในคณะเป็นที่รู้กันว่าไม่ได้มีแค่งานชิ้นเดียวเดี่ยวๆอยู่แล้ว อย่างผมนอกจากโรงเรียนของคลาสdesign ก็ต้องออกแบบบ้านทรงไทยประยุกต์ของคลาสออกแบบสถาปัตยกรรมไทย ที่บังคับเรียนตอนปี3 แล้วไหนจะงานของภาควิชาconที่หินไม่ต่างกันอีก ส่วนพี่ปี4อย่างพี่ติณห์ ถึงตัวงานเองจะไม่เยอะเท่ากับของผม แต่ขนาดของสถาปัตยกรรมที่ต้องทำก็ใหญ่กว่าผมไปหลายเท่าจนแทบล้นมือ โรงพยาบาลเอย พิพิธภัณฑ์เอย เล่นเอาพี่ติณห์เบลอไปเลย
ถามว่าเบลอขนาดไหนเหรอ ก็อย่างเช่น บอกผมว่าจะไปกินข้าวแต่กลับเข้าไปอาบน้ำเฉยเลย หรือแม้แต่ต้องส่งงานวิชาหนึ่งแต่กลับเอาอีกวิชาไปส่งก็เคยมาแล้ว ผมจึงต้องคอยเตือนอยู่บ่อยๆ แต่ผมเองก็ใช่จะความจำดีเยี่ยมอะไร เทียบกับงานตัวเองที่เยอะไม่ต่างกันแล้ว ผมเลยได้แนวการจำมาจากปายว่าให้เอาโพสต์อิทแปะไว้เลย คิดจะทำอะไรก็เขียนและแปะไว้ ถ้าลืมยังไงมาเห็นก็จำได้แน่นอน
ตอนนี้ในห้องพี่ติณห์จึงเต็มไปด้วยโพสต์อิทสีฟ้าและเขียว
ผมสีฟ้า ส่วนพี่ติณห์สีเขียว
เพราะเราโครตสนิทกันเลยตอนนี้ บางทีก็เผลอหลุดท่าทางสนิทกันเกินเหตุในมหาลัยครับ ช่วงหลังๆมานี้เลยต้องทำตัวห่างๆกันสักหน่อย เพราะไอ้พีทกับพี่เมฆเริ่มมองอย่างจับผิดแล้ว ยิ่งเรื่องรับน้องใกล้จะจบเต็มทีคงเอาเรื่องนี้มาใช้อ้างไม่ได้แล้วด้วย
อย่างล่าสุด เราดันเลิกคลาสพร้อมกัน ผมเห็นพี่ติณห์ก็วิ่งเข้าไปหาและคว้านิ้วโป้งมาจับ (ผมน่าจะติดมาจากตอนเด็กๆจูงมือพ่อแม่ก็จะจับนิ้วโป้งนะครับ พี่ติณห์บอกมา) เท่านั้นแหละ ทั้งพี่เมฆ พี่ว่าน พี่อิฐ หลิว หรือแม้แต่ไอ้พีทเอง หันขวับมาที่มือผมทันที เล่นเอาผมปล่อยมือแทบไม่ทัน เพระเหตุการณ์วันนั้นผมถึงพึ่งได้รู้ว่าเมื่อวันปลดระเบียบที่พี่ติณห์ลูบหัวผมและหยุด หรือจะเลี้ยงพิซซ่าและเปลี่ยนเป็นหารกับเพื่อน เพราะถ้าพี่ติณห์ทำแบบนั้นมันจะดูเจาะจงที่ผมเกินไปนั้นเอง
ไม่ใช่ว่าเราอยากจะปิดบังความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ แต่ผมกับพี่ติณห์ยังไม่ชินที่ถูกใครๆมองมา หรือถูกถามถึงอีกฝ่าย ดังนั้นการทำตัวนิ่งๆโดยที่มีแค่เรารู้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นยังไง คงจะดีที่สุด
พูดกันจริงๆ ผมกับพี่ติณห์ก็ยังไม่ได้คบกันสักหน่อยนะ แม้จะตัวติดกันตลอดเวลา (ยกเว้นตอนไปเรียน) และยังรู้ใจอีกฝ่ายมากๆ แต่ก็ยังไม่มีใครขอเป็นแฟนขึ้นมาเลย แค่รู้สึกดีๆต่อกัน และทำสิ่งดีๆให้กัน ประมาณนั้นมากกว่า
ผมหยุดความคิดทั้งหมดลง เมื่อโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงร้องขึ้นมา
‘ครับ’ ผมรับสายสั้นๆ
‘อยู่ไหนล่ะ’ เสียงพี่ติณห์ดังตามสายมา
‘อยู่ปากซอยอ่ะ ผมซื้อก๋วยเตี๋ยวไปล่ะนะ พี่จะกินไรไหม’ ผมตอบพี่ติณห์ในขณะที่จ่ายตังค่าก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กหมูเลียง2ถุงให้ลุงคนขายด้วย
‘ไม่อ่ะ วันนี้เพื่อนผมมาเคลียร์โรงพยาบาลที่ห้องนะ’ อ้อ นี้สินะเหตุผลของการโทรมา
‘อยู่ค้างเหรอครับ’
‘ไม่รู้พวกมันดิ จะเสร็จเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย’ เสียงพี่ติณห์ดูรีบร้อนมาก อาจจะกำลังเคลียร์ห้องอยู่ล่ะมั้ง
‘งั้นผมต้องกลับห้องใช่ไหม’
‘อ่า ก็คงงั้น’ ผมหยุดขาที่ตั้งใจจะก้าวกลับหอไป อดค้างห้องพี่ติณห์เลย
‘ผมเอางานคุณกลับไปไว้ห้องให้แล้วนะวา’ เพราะผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปพี่ติณห์เลยพูดต่อมา
‘ครับ’ ผมพึ่งรู้ว่าการที่เราแลกกุญแจห้องกันจะเป็นข้อดีขนาดนี้ เพราะในสถานการณ์เร่งรีบจะให้รอกันไปมาเพื่อนพี่ติณห์คงมาถึงก่อนพอดีแหละ พี่ติณห์จึงต้องเคลียร์งานผมออกด้วยตัวเองและก็ค่อยกลับห้อง ผมก็ไม่ต้องถ่อไปเอาของด้วย ดีเหมือนกัน
‘แค่นี้ก่อนนะ’ จริงๆก็เซ็งเหมือนกันที่ไม่ได้ค้างห้องพี่ติณห์แต่ผมสิงห้องนั้นไปตั้งอาทิตย์กว่าๆแล้วควรกลับห้องตัวเองได้ล่ะ
‘ครับ’ ผมยังคงรับคำเดิม ผมยังถือหูโทรศัพท์อยู่แบบนั้นแม้พี่ติณห์จะบอกว่าวางสายไปแล้วก็ตาม แต่เสียงสัญญาณที่ยังไม่ตัดทำให้ผมรู้ว่าพี่ติณห์ก็ยังถือสายค้างอยู่
‘คิดถึงนะวา’ สาบานว่าไม่ได้คาดหวังคำนี้เลย แต่พอพี่ติณห์พูดออกมาผมก็ยิ้มจนแก้มแทบแตกโดยไม่สนใจสายตาคนที่เดินผ่านไปมาเลย
‘ผมก็คิดถึงพี่ครับ’ ผมตอบกลับไป
‘ไว้เจอกันนะ’ พี่ติณห์เงียบไปสักพักก่อนพูดต่อมา เจ้าตัวก็คงเขินอยู่เหมือนกันแหละ
‘เจอกันคร้าบบบบ’ ผมรับคำจบพี่ติณห์ถึงได้วางสายไป
จะมีใครรู้บ้างว่า
พี่ติณห์โครตน่ารัก
ผมล่ะอยากจะพูดให้พี่เขาฟังบ่อยๆว่าพี่โครตน่ารัก แต่พี่ติณห์ไม่ชอบให้ผมพูดครับ ผมเลยต้องเก็บงำไว้ในใจเนี่ย ก็ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เข้าใจดีด้วยว่าเป็นเรื่องของงานล้วนๆ และปกติผมก็มักจะรับคำพี่ติณห์ด้วยคำว่าครับ เฉยๆเสมอ อาจจะนอยด์อยู่บ้างแหละ แต่ทำใจได้อยู่แล้ว พี่ติณห์ก็ยังอุตสาห์พูดคำๆนั้นให้ผมฟัง
สำหรับผมกับพี่ติณห์นะ คำว่าน่ารัก คิดถึง เป็นห่วง หวง หรือชอบ เป็นคำต้องห้ามเลยล่ะ เราแทบจะไม่พูดเลยด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ทั้งผมกับพี่ติณห์ก็ยังไม่มีใครเอ่ยคำว่า ผมชอบคุณ ออกมาเลยรู้ไหม แต่เพราะสิ่งที่เราทำให้กันมันแปลได้แบบนั้น ผมที่โครตเชื่อประโยคที่ว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูด จึงไม่ได้เรียกร้องคำนั้นเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าจะหลุดพูดคำพวกนั้นออกมาต้องเป็นกรณีพิเศษจริงๆ
ตรงข้ามกับคำว่าขอบคุณ และขอโทษที่เราพูดใส่กันบ่อยมาก ขอบคุณตั้งแต่เรื่องเล็กๆยันเรื่องใหญ่ หรือขอโทษทุกเรื่องที่ไม่ได้น่าเก็บมาติดใจอะไร แต่เพราะเราไม่หวงสองคำนี้ ผมว่ามันทำให้เราไว้ใจกันได้โครตเร็ว
สำหรับผมสองคำนี้มันมีค่ามากๆนะครับสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆใครสักคน เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเราไปทำอะไรกระทบกระทั่งให้เขาไม่พอใจไว้บ้าง การที่เอ่ยคำพวกนี้ ก็เหมือนเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของเรา
เพื่อรักษาความรู้สึกของเขาไว้
ผมเอื้อมมือไปกดเปิดไฟหลังจากเปิดประตูห้องเรียบร้อย ห้องตัวเองแท้ๆแต่แทบไม่ได้มาเลย ถ้าแม่รู้ ผมต้องโดนแม่บ่นยาวโครตๆแน่ๆ เผลอๆอาจจะให้ผมหารห้องกับพี่ติณห์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
โมเดลบ้านทรงไทยกับโมเดลโรงเรียนถูกวางไว้บนโต๊ะ ผมมองผ่านเลยมันไปและเดินไปเก็บก๋วยเตี๋ยวถุงหนึ่งไว้ในตู้เย็น ตอนแรกตั้งใจจะซื้อมาเผื่อพี่ติณห์แต่คงแห้วซะล่ะ ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ หยิบโพสต์อิทสีฟ้าของตัวเองที่พี่ติณห์คงเก็บมาให้ขึ้นมาดูว่าแพลนอะไรกับตัวเองไว้บ้าง หลังจากอ่านข้อความสั้นๆในกระดาษ3-4ใบนั้นจบ ผมก็เงยหน้ามาบอกโมเดลอีกครั้ง ก่อนที่จะเลิกคิ้วขึ้น เมื่อมีถุงกระดาษของร้านขนมชื่อดังแถวสยามวางอยู่ ผมหยิบถุงนั้นมาเปิดดูทันที
ภายในนั้นเป็นบลูเบอรี่ชีสเค้ก2ชิ้น กับทิรามิสุอีกหนึ่งชิ้น พร้อมกับกระดาษโพสต์อิทสีเขียวที่ติดกล่องเค้กไว้ว่า
แวะไปซื้ออุปกรณ์แถวสยามมาเลยซื้อมาฝาก เก็บไว้กินตอนตี2นะ
ผมหลุดขำออกมา ผมกับพี่ติณห์มักมีปัญหากับการทำโมดึกๆมาก ยิ่งช่วงตี2-3นี้จะหิวเป็นพิเศษ ล่าสุดลงทุนออกไปหาข้าวต้มโต้รุ่งแถวเยาวราชกินเลยนะ
ผมยังมองลายมือที่คุ้นตาบนโพสต์อิทแผ่นนั้น และอ่านข้อความสั้นๆในนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ผมบอกแล้วว่าพี่ติณห์โครตน่ารัก
อีกครั้งที่ผมตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์เข้า ถึงมันจะปลุกผมขึ้นมาได้แต่ไม่สามารถทำให้ผมกดรับได้ เขาว่ากันว่า สิ่งที่เราคิดถึงเป็นอย่างแรกตอนตื่น เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเรามาก ในหัวผมตอนนี้กำลังคิดว่าทำงานเสร็จรึยังวะ
ผมทำโรงเรียนเสร็จแล้ว แต่เสร็จตี4กว่า นอนได้ไม่ถึง3ชั่วโมงดีก็ต้องตื่นแล้วเนี่ย
เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง มันก็ร้องขึ้นมาอีก
เออกูรับก็ได้
‘อืม’ ผมกดรับโดยไม่ได้มองชื่อคนโทรเข้ามาด้วยซ้ำ
‘ยังไม่ตื่นเหรอ มีเรียน8โมงครึ่งไม่ใช่รึไง’ ผมหลุดยิ้มออกมาทั้งๆที่ตายังปิดอยู่เลย
‘ตื่นแล้วเนี่ย’ เสียงงัวเงียระดับนี้หลอกเด็ก8ขวบยังไม่เชื่อเลยครับ
‘โครตเชื่อเลยยยยย’ ผมบอกแล้ว
‘พี่อยู่ไหนเนี่ย’ เพราะได้กินเสียงก้าวเดินมาจากฝ่ายนั้นเลยอดจะถามไม่ได้
‘กำลังออกจากห้อง’ ถ้าจำไม่ผิด วันนี้พี่ติณห์มีเรียน8โมงสินะ
‘งานเสร็จไหม’ ผมถามต่อ ยอมลุกมานั่งขยี้ตาแต่โดยดีแล้วตอนนี้
‘เสร็จดิ เสร็จเร็วกว่าที่คิดด้วย ประมาณเที่ยงคืนนิดๆมั้ง ไอ้พวกนั้นเลยแยกกลับบ้านกัน’
‘พี่อยู่คนเดียวเหรอ’
‘อ่าฮะ’ ผมตื่นเต็มตาแล้วตอนนี้
‘อยู่ไหนล่ะ’ เสียงเดินหยุดลงไปแล้วครับ ผมจึงถามออกไปอีกครั้ง
‘ลิฟต์’
‘มีคนป่ะ’
‘โน’ ผมผุดลุกขึ้น จัดทรงผมลวกๆและก้าวขาออกจากห้องมา ไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่ได้ถึงกับก้าวขาทีล่ะช้าๆ ประมาณว่าเดินเร็วนั้นแหละ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่หน้าลิฟต์พร้อมกดลิฟต์ลง
ถ้าพี่ติณห์อยู่ชั้น8 ผมอยู่ชั้น6 ยังไงลิฟต์ตัวเดียวในตึกก็ต้องแวะมารับผมก่อนอยู่ดี
‘หลับไปอีกรอบแล้วเหรอ’ พี่ติณห์บ่นมาตามสาย เมื่อผมเงียบไป
‘เปล่า’ ผมตอบ และมองตัวเลขหน้าลิฟต์ที่กำลังบอกว่าลิฟต์กำลังลงมาจากชั้น7
‘แล้วทำไมเงียบ’ พี่ติณห์ถามขึ้นมาอีกแต่ผมไม่ได้ตอบ เพียงรอให้ลิฟต์เปิดออกเท่านั้น
“อะไรเนี่ย” พี่ติณห์พูดออกมาหลังจากลิฟต์เปิดออก เขาขำออกมานิดหน่อย
“ลงทุนไปไหมเนี่ยยย” พี่ติณห์บ่น ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ส่วนผมก็เข้าไปยืนแทรกกลางไม่ให้ประตูลิฟต์ปิดครับ
“อยากเห็นหน้า” ผมพูดออกไป พี่ติณห์ยังคงยิ้มกว้างที่โครตน่ามองให้ผม ใบหูขาวๆเริ่มแดงขึ้นมาแล้ว จากที่รู้มา พี่ติณห์ไม่ค่อยหน้าแดงครับ ส่วนที่จะแดงง่ายที่สุดคือใบหู ผมเลยอาศัยสังเกตใบหูแทน
“เว่อร์ๆ” พี่ติณห์ตอบกลับมา
“คนที่บ่นว่าเว่อร์ไม่ควรยิ้มจนหุบยิ้มไม่ได้นะ” พี่ติณห์ขำออกมาอีกนิดหน่อย น่าจะขำให้กับการหยุดยิ้มไม่ได้ของตัวเองนั้นแหละ
“ทีพี่ยังอุตสาห์โทรมาปลุกเลย เรื่องแค่นี้เล็กน้อย”
“ไม่ได้โทรไปปลุก” ผมเลิกคิ้ว
“อยากได้ยินเสียง” คราวนี้เป็นผมที่ยิ้มกว้างอย่างหยุดไม่อยู่ เรายืนยิ้มให้กันสักพักก่อนที่พี่ติณห์จะเกาหัวเก้อๆ
“ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวผมไปเรียนสาย” ผมยอมพยักหน้ารับกลายๆ
“ตั้งใจเรียนนะครับ” โดยไม่วายพูดออกไปก่อนที่จะก้าวขาออกจากลิฟต์ พี่ติณห์ยิ้มตอบกลับมาในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังปิดลง พี่ติณห์เองก็เป็นคนมีตายิ้มเหมือนกันนะ อาจจะไม่ยิ้มจนปิดสนิทไปเลย แต่แววตาภายในนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่ามันกำลังยิ้มให้ผมจากใจจริงๆ
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆผมก็เสียดายขึ้นมาที่ทำได้แค่นี้ แต่ผมก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นจนประตูลิฟต์ปิดลง ผมหันหลังกลับ บุ้ยปากใส่ตัวเอง ผมควรทำอะไรมากกว่านี้รึเปล่านะ อย่างเช่นเดินเข้าไปในลิฟต์กับพี่ติณห์และจูบเขาสักทีหรืออะไรแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ทำ
จะให้ทำในฐานะอะไรล่ะ
แฟนเขาก็ไม่ใช่
ประเด็นของปัญหานี้คือ ผมเนี่ยยยยย ผมเลย ผมควรจะขอเขาเป็นแฟนให้มันชัดเจนกันไปสักที คราวนี้ผมจะกอด จะจูบ จะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ หรือผมจะกดลิฟต์ลงไปขอพี่ติณห์เป็นแฟนตอนนี้เลยดี ไม่ได้ๆ... มันจะดูไม่พิเศษดิ
ในขณะที่หัวผมกำลังหมุนกับการขอพี่ติณห์เป็นแฟน เสียงข้อความเข้าก็ทำให้ผมพักความคิดทุกอย่างไว้ก่อน
TIN :
ตั้งใจเรียนนะ
(ส่งรูปภาพถึงคุณ)
ข้อความสั้นๆพร้อมกับภาพเซลฟี่พี่ติณห์ยิ้มกว้างจนตาแทบปิด รอยยิ้มที่มาจากใจมากๆทำให้เห็นรอยหนวดแมวที่ข้างแก้ม พี่ติณห์เป็นคนผิวขาวเป็นทุนเดิม พอแก้มมีสีแดงระเรื่ออย่างนี้ก็ยิ่งเห็นชัดเข้าไปใหญ่ ผมพึ่งพูดไปเองใช่ไหมว่าพี่ติณห์แทบจะไม่เขินจนแก้มแดงเลย แต่ตอนนี้แก้มกลับแดงมากๆ
ผมกดเซพภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว
และสาบานได้ว่าผมก็กำลังยิ้มกว้างไม่ต่างจากพี่ติณห์
รู้ตัวอีกที ตอนเซลฟี่ยิ้มกว้างของตัวเองกลับไปและกดส่งเรียบร้อย
va :
(ส่งรูปภาพถึงคุณ)
เรื่องคำสั่งที่ผมติดไว้ ผมคิดออกล่ะนะ
ชนะพนันครั้งนั้นผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะสั่งอะไรดีเลยขอติดพี่ติณห์ไว้ก่อน แต่อยู่ๆไอเดียนี้ก็แว่บขึ้นมาในหัวซะเฉยๆ
TIN :
อะไรอ่ะ
ผมยิ้มใส่ข้อความตอบกลับนั้น แต่ไม่คิดจะตอบอะไรกลับไป
มันต้องดีแน่ๆ
วันนี้เป็นวันที่โครตลัคกี้สำหรับผม ตอนส่งโมเดลเมื่อเช้า อาจารย์ก็ออกปากชมว่า เป็นโรงเรียนที่น่าไปเรียนนะ ผมก็แทบลอยแล้ววว ปกติอาจารย์ในคณะไม่ค่อยชมหรอกครับ ดังนั้นชมทีนี้มีอิทธิพลมาก แถมอาจารย์คลาสบ่ายก็มายกคลาสซะเฉยๆ เล่นเอาพวกผมว่างกันกะทันหัน ผมกำลังจะกลับไปนอนเอาแรงที่หอ แต่ไอ้พีทดันชวนออกมาสยามก่อนครับ ผมอารมณ์ดีๆอยู่เลยยอมมาเป็นเพื่อนมัน
เหตุผลที่พีทต้องมาสยามเพราะต้องมาเอากีตาร์คลาสสิคที่ไอ้พาร์ทเอามาซ่อม เหมือนอะไรมันจะบุบจะเบี้ยวอะไรประมาณนั้นแหละ ถ้าเป็นผมคงซื้อใหม่ไปแล้ว แต่ไอ้พาร์ทไม่ใช่ครับ ถึงกับลงทุนส่งซ่อมเลย ไม่รู้ว่าผมเคยบอกไปรึยัง (น่าจะเคยเกริ่นๆไว้) ไอ้พาร์ทนี้เป็นคนเล่นดนตรีของจริงเลยครับ มันมีวงเป็นของตัวเองด้วย และมันเองก็รับตำแหน่งนักร้องนำควบตำแหน่งมือกีตาร์ด้วย ผมเคยเห็นมันเล่นในงานแฟร์ต่างๆอยู่สองสามครั้ง ถือว่าเสียงดีใช้ได้เลยนะครับ แถมมีแฟนคลับด้วย
เห็นไอ้พีทมันบอกว่าพาร์ทจะขึ้นเล่นงานไหนสักอย่างเลยต้องรีบเอากีตาร์มาซ่อมครับ เจ้าตัวดันติดสอบเลยไหว้วานให้พี่มาเอาแทน (ที่ตลกคือพี่เจ้าของร้านทักไอ้พีทว่าพาร์ทและจนกลับออกมาพี่เขาก็น่าจะยังไม่รู้เลยว่าคนที่มาเอาไม่ใช่พาร์ท) แต่เราก็ไม่น่าตรงดิ่งไปเอากีตาร์ก่อนเลย พอเอาเสร็จมานั่งกินร้านกาแฟต่อเลยต้องแบกกีตาร์มาด้วยเลยเนี่ย
แต่ก็ได้ลุคนักดนตรีเหมือนกันนะ แม้จะเล่นไม่เป็นสักนิดเลยก็ตาม
ผมกับพีทสั่งน้ำและขนมเค้กสามชิ้นมานั่งกิน ร้านนี้ดูเป็นร้านกาแฟธรรมดาๆนะครับ แต่อร่อยมากจริงๆ อาจจะเพราะร้านดูเรียบๆคนในร้านเลยไม่แน่นจนขนัดแต่ก็ไม่ขาดสาย ผมกับพีทเลยชอบมานั่งกินชิลๆตอนเวลาเหลือโครตๆแบบตอนนี้ ตอนนี้ยังเวลาเหลืออยู่ครับ เดี๋ยวตอนกลางคืนก็เวลาปั่นงานแล้ว
ผมตักเค้กเข้าปากในขณะที่กำลังคิดว่าพี่ติณห์จะทำหน้ายังไงกับคำสั่งของผม วันนี้พี่ติณห์เลิกคลาสตอน6โมงนู้นอ่ะ นี้พึ่งบ่าย2เอง ผมยังมีเวลาอีกเยอะ
“ถามจริง อินเลิฟอะไรวะ” อยู่ๆพีทก็ถามขึ้นมา
“เปล่า อินล่งอินเลิฟอะไรล่ะ” แม้จะจริงก็ต้องปฏิเสธไปก่อนครับ
“ห่า คิดว่ากูดูไม่ออกเหรอ นั่งๆเรียนอยู่ก็ยิ้ม แดกเค้กก็ยิ้ม เดินๆก็ยิ้ม กูเกือบนึกว่ามึงพี้กัญชาแล้วนะ”
“กูเปล่า” ผมยังคงปฏิเสธอยู่ แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้นก็ตาม
“ทำไมวะ เล่าไม่ได้เหรอ” พีทถาม
“เรื่องของกูไม่มีอะไรหรอก เรื่องของมึงกับหลิวน่าสนใจกว่า” ไอ้พีทถึงกับหลบสายตาผมทันทีเลย
“เล่ามาเลยมึง” ไอ้พีทตักเค้กเข้าปากอีกหนึ่งคำ
“ใครเล่าให้มึงฟังเนี่ย” ผมยักไหล่
“มีสายว่ะ” ผมตอบแค่นั้น
“ไอ้พาร์ทอ่ะดิ น้องเวร ไม่เคยปิดบังเลยนะ” พีทบ่นงึมงำ
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เล่ามาเลย”
“ก็ไม่มีไร” ตอแหลจริงๆนะมึง
“สรุปยังไง คบกัน?” พีทส่ายหัวพรืดทันที
“ยัง ก็คุยๆกันอ่ะ”
“คิดยังไงจีบหลิววะ” กูเห็นพวกมึงกัดกันจะตาย ผมต่อประโยคในใจ
“ไม่ได้คิดเลยอ่ะดิ” อ้าว... ผมทำหน้างงใส่มัน พีทถึงได้พูดต่อ
“มึงก็รู้ใช่ไหมว่าหลิวก็ไม่แย่อ่ะ ไม่รู้ดิว่ะ กูเหงาๆด้วยเลยลองคุยดู” คำตอบของพีทเล่นเอาผมอ้าปากค้างเลย
“มึงจะเล่นๆกับหลิวไม่ได้นะเว้ย” เสี่ยงเสียเพื่อนเลยนะนั้น
“กูไม่ได้เล่นๆ จริงจังมันก็จริงจังแหละแต่ถ้ามันไม่ใช่จริงๆจะให้ทำไง” พีทบ่นอุบ
“มึงชอบเขาป่ะล่ะ” ผมคงจะถามตรงจุดไปหน่อย ไอ้พีทถึงได้สตั๊นไปเลย
“พอลองมาคุยจริงๆนะ มันก็ต้องยอมรับแหละ ว่ามีบางมุม มีบางอย่าง ที่กูไม่เคยเห็น... และมันก็น่ารักดี” ห่า ทำมาเป็นอ้อมไปอ้อมมาจริงๆก็สนใจเขาแทบแย่เลยสิ ผมส่ายหัวหน่ายและตักเค้กเข้าปากอีกคำ
“กูเล่าเรื่องของกูล่ะ มึงเล่าบ้างเลย” โดนโบ้ยเฉยเลย
“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พีทยิงคำถามมาเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมเล่าสักที
“3เดือนกว่าล่ะมั้ง” จริงๆน่าจะนานกว่านั้นด้วยครับ
“แก่กว่าหรือเด็กกว่า” พีทถามต่อ
“แก่กว่า” มันเลิกคิ้ว ปกติสเปคผมคือเด็กกว่าหรือไม่ก็อายุเท่ากันนะครับ
แต่อย่างที่บอกว่าสเปคมันไม่ค่อยตรงหรอก
“งั้นแสดงว่าปี4...” มันพูดและหลิ่วตาจับผิดผม แต่ผมยังคงทำหน้านิ่ง และตักเค้กของไอ้พีทเข้าปากไปด้วยหนึ่งคำ เอออร่อยแหะ
“หรือว่าปี5 แบบเรา ครุศาสตร์ บัญชี” มหาลัยผมมีคณะบัญชีหลักสูตร5ปีด้วยนะครับ
“เอ้ะหรือ6ปีแบบพวกคุณหมอ” ไปไกลแล้วครับ แต่ผมก็ยังคงหน้านิ่งอยู่
“เดี๋ยวนะ ไอ้มากกว่าของมึงเนี่ยคือมากกว่าปีเดียวกัน หรือมากกว่าต่างปี” เพราะผมเรียนก่อนเกณฑ์คนอายุมากกว่าในปีเดียวกันต้องมีอยู่แล้วครับ ผมไม่ได้ตอบพีทกลับไป ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม
“กูรู้จักป่ะ” พีทเปลี่ยนคำถามเมื่อคำถามนั้นไม่น่าจะทำให้มันรู้ได้
“รู้” ผมตอบ รู้ดีเลยล่ะ
“เชด ใกล้มาล่ะๆ” มันใกล้ตรงไหนวะ
“คณะเราป่ะ” พีทถามอีก แต่ถ้าผมเอาแต่ตอบๆๆ ผมว่าแม่งต้องเดาได้แน่
“มึงเก่งนัก มึงก็เดาจากท่าทางกูเอาดิ เลิกถามได้ล่ะ” ผมบอกปัดทันที
“แสดงว่าคณะเราชัวร์” แต่แม่งคิดไปโน้น แม้จะถูกของมันก็เถอะ
“พีท กูกับเขายังไม่ได้คบกันอ่ะ มึงอย่าพึ่งหาเลย” อย่าดูถูกความสามารถไอ้พีทนะครับ แม่งมีเซ้นส์เรื่องเสือกเรื่องชาวบ้านมาก
“ถ้ากูคบกับเขาแล้ว กูจะบอกมึงแน่ๆ” เราไม่เคยปิดบังกันอยู่แล้วครับ
“ก็ได้ว่ะ” พีทยอมแพ้แต่โดยดี
“ถ้ามึงคบกับหลิวก็อย่าลืมบอกกูล่ะ” ผมอดที่จะย้ำไม่ได้
“เออ ถ้าได้คบ” ทำไมไม่มั่นคงเลยวะ บทสนทนาเรื่องรักๆของเราจบลงเมื่อโทรศัพท์ไอ้พีทดังขึ้น จากที่นั่งฟังมันคุย (โครตดัง) ก็ได้ใจความว่าน่าจะเป็นไอ้พาร์ทนั้นแหละ โทรมาถามเรื่องมาเอากีตาร์ให้ยัง
“พาร์ทเลิกเรียนแล้วเหรอวะ”
“อ่าฮะ” ผมพยักหน้ารับและหันมาตักเค้กคำสุดท้ายเข้าปาก แต่สายตาก็ดันหันไปเห็นตารางหนังที่ตั้งอยู่หน้าร้านซะก่อน
“เฮ้ย ดูหนังกันป่ะ” ผมโพล่งออกไป จะว่าไปก็ลืมไปเลยว่านัดไอ้พาร์ทดูหนังไว้
“ดูหนังอะไรล่ะ เดี๋ยวกูต้องไปรับหลิวแล้ว” พีทตอบ
“มึงรับหลิวก็รับไปดิ เดี๋ยวกูดูกับพาร์ท” ผมไม่รอให้ไอ้พีทพูดต่อแล้วเพราะผมกำลังกดโทรออกหาพาร์ท
“เฮ้ยๆ แล้วกูต้องวนไปรับหลิวไปส่งหลิวกลับบ้านและออกมารับไอ้พาร์ทอีกทำไมวะ” ไอ้พีทยังคงบ่นอยู่ แต่ผมไม่สนใจแล้วครับ
‘พาร์ท ดูหนังป่ะ’
ผมกับพาร์ทออกจากโรงตอน4โมงกว่าๆ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงกว่าพี่ติณห์จะเลิกเรียน แม้ไอ้พีทจะบ่นผมแทบตาย แต่สุดท้ายผมกับพาร์ทก็ดูหนังอยู่ดี
“ก็โอเคเนอะ” พาร์ทถามออกมา ในมือยังถือถังป๊อปคอร์นอยู่เลยครับ อุตสาห์บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อถังใหญ่กูไม่กิน ก็ดันซื้อมาซะใหญ่เลย ผมเลยเอื้อมมือไปช่วยมันแดก
“ใช่ได้ แต่ในนิยายสนุกกว่า” ออกจะกล่อยๆไปซะหน่อยด้วย แต่ก็เป็นปกติของหนังไตรภาคที่ภาค2จะดรอปๆหน่อย
“มึงอ่านนิยายด้วยเหรอ”
“เออ อ่านจบเป็นชาติล่ะ”
“มึงอ่านนิยายแล้วจะดูหนังอีกทำไมวะ”
“มันคนล่ะฟิลกันเว้ย ในหนังมันก็แบบหนึ่ง ในนิยายก็อีกแบบ แต่ในนิยายสนุกกว่านะ มึงจะยืมอ่านไหม” พาร์ทเบ้ปากทันที
“กูจะอ้วกออกมาเป็นหนังสืออยู่ล่ะ พอก่อนเหอะ” พูดซะน่าสงสารเลย กูก็จะอ้วกออกมาเป็นโมเดลแล้วเหมือนกัน
“หลังมิดเทอมมึงเอาไปอ่านดิ สนุกจริงๆ” พอผมย้ำอีกครั้งพาร์ทจึงยอมพยักหน้ารับ
“เอางั้นก็ได้” ว่านอนสอนง่ายกว่าพี่มึงเยอะเลย เราไม่รู้จะไปทำอะไรกันต่อจึงโทรตามให้ไอ้พีทออกมารับ ระหว่างรอมันออกมาเลยเดินดูของไปเรื่อยๆ
“เออมึง กูดูเรื่องนี้แล้วนะ” ผมหันมองไปตามมือพาร์ท เป็นตุ๊กตารูปjoy จากเรื่องinside outนั้นเอง
นี้เป็นอีกเรื่องที่ผมแนะนำมันไป
“กูนึกว่ามึงจะวุ่นกับอ่านหนังสือสอบอยู่” เพราะสายตาไอ้พาร์ทเป็นประกายวิบวับมากผมเลยเดินเข้าไปในร้านนั้น
“พักสายตาไง” เหรออออออ
“กูชอบตัวนี้” พาร์ทพูดออกมาและหยิบตุ๊กตาตัวสีเขียวขึ้นมา
“fearเนี่ยนะ” ผมนึกว่ามันจะชอบsadnessหรือตัวเด่นแบบjoyซะอีก
“อ่าฮะ กูว่ามันเหมือนกูดี” ผมเลิกคิ้ว
“ยังไงวะ”
“ขี้ขลาดอ่ะ กลัวไปเรื่อย ไม่กล้าลองเสี่ยงอะไรสักที ไม่รู้เสียหายไปตั้งเท่าไหร่ล่ะ” คำตอบของพาร์ททำให้ผมหันไปมองหน้ามัน แต่มันยังคงทอดสายตาไปยังตุ๊กตาfearในมือมันอยู่
“มึงไม่ได้ขี้ขลาด100%หรอก ในหนังก็บอกอยู่” ผมพูด พาร์ทยักไหล่ก่อนที่จะวางตุ๊กตาตัวนั้นลง
“ไอ้ตัวนี้เหมือนมึง” มันชี้ไปยังเจ้าช้างตัวสีม่วง ที่ชื่อปิ๊งป่อง
“เหมือนตรงไหนวะ”
“กูว่ามันเท่นะ เป็นคนspiritชิบหาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยเพื่อน” เข้ พอมันอธิบายแบบนี้แล้วผมดูหล่อขึ้นมาเลย
“กูซื้อให้มึงนะ” พาร์ทพูดจบมันก็หยิบตุ๊กตาปิ๊งป่องตัวนั้นขึ้นมา
“เฮ้ยๆ จะซื้อให้กูทำไม”
“กูอยากให้มึงเก็บไว้อ่ะ กูว่ามันเหมือนมึง” พูดจบแม่งมีการเอามาเทียบกับหน้าผมด้วยครับ
“งั้นกูซื้อfearให้มึง” พาร์ทเลิกคิ้ว
“จะได้หายกันไง”
หลังจากได้ตุ๊กตาคนล่ะตัวไอ้พีทก็มาถึงพอดี ผมกับพาร์ทเลยออกเดินไปหาพีท ระหว่างนั้นเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่จอดรถ พาร์ทมันก็คว้าแขนผมไว้ก่อน
“อาทิตย์หน้าวงกูจะขึ้นร้องรับบริจาค ช่วยชุมนุมจิตอาสาอ่ะ” ไอ้งานนี้สินะที่ไอ้พีทบอก
“อ่า” ผมรับคำ ยังงงอยู่ว่ามันจะจริงจังเบอร์นี้ทำไม
“กูอยากให้มึงไปดู”
“ได้ดิ กี่โมง วันไหน มึงก็บอกมาล่ะกัน” พาร์ทยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“โอเค เรื่องเวลากับสถานที่กูยังไม่รู้เลยอ่ะ ถ้ากูรู้จะรีบบอกมึงเลยนะ”
“เออ” แม่งจะตื่นเต้นทำไม ผมส่ายหัวกับความเว่อร์ของมัน ก่อนที่ออกเดินอีกครั้ง
“นี้กูชวนมึงคนแรกเลยนะ” พาร์ทพูดออกมาอีกในขณะที่ยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น
“กูฟีลลิ่งสเปเชี่ยลมากเลยเพื่อน” ผมแกล้งประชดกลับไป แต่ไอ้พาร์ทแม่งดันหันมามองหน้าผมอย่างตั้งใจซะงั้น
“กูก็อยากให้มึงรู้สึกแบบนั้น”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้เป็นอีกนึงตอนที่ชอบมากกกก ชอบมากๆ แต่งเองแล้วก็นั่งกรี๊ดอยู่คนเดียว เพราะปกตินี้ไม่เคยมีโมเม้นต์ส่งรูปไปแล้วเขาส่งกลับมาเลยไง 55555 มาถึงตอนนี้หลายๆคนคงเริ่มสัมผัสได้แล้วว่าใครเมะ ใครเคะ แต่เราจะเฉลยให้เห็นกันชัดๆในตอนต่อไปนะคะ แต่จะเฉลยยังไงก็รออ่านล่ะกันเนอะ 555 อย่างที่บอกไปว่า25-27จะไม่อยู่เลยอัพให้ก่อน จะอัพอีกทีวันอาทิตย์และน่าจะได้อัพวันพฤหัสบดีเลย รอด้วยนะคะะะ
ลุ้นว่ายอดนิยายจะถึง30เล่มไหมอ่ะ ตอนพิเศษคิดไว้เยอะมากๆเลยนะ ถ้าไม่ได้แต่งคงเสียดายแย่ ฮืออออ
(ลงชื่อสนใจให้รวมเล่มนิยายได้ในคอมเม้นต์นะคะ)
เจอกันวันอาทิตย์ค่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่นะพาร์ท ไปชอบคนอื่นเถอะะ ไม่อยากให้มีม่าา
ไม่นะพาร์ท!!!!!!!
สังเกตมาหลายตอนแหละ
จะรอตอนต่อไปนะคะ~~~
สนใจค่ะ เรื่องรวมเล่ม *_*
พาร์ทวาด้วยมั้ย อิอิ
พี่ติณทามมายไม่นอนห้องวาบ้าง
เปลืองน้ำเปลืองไฟ5555