ตอนที่ 23 : home
23
"นอนตักเนี่ยนะ!?” พี่ติณห์ทวนคำที่ผมพึ่งพูดไป ซึ่งผมก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“อย่างอื่นได้ไหมอ่ะ” พี่ติณห์ไม่ชอบอะไรแบบนี้จริงๆครับ เขาไม่ชอบให้ผมหวานใส่สักเท่าไหร่ ถ้าจะจูบก็จูบเลย กอดก็กอดเลย แบบนี้ยังโอเคกว่ามาทำอะไรละมุนๆแบบนี้อีก
“นะ~ ผมอยากนอนตักอ่ะ” ผมหยิบสายตาอ้อนวอดออกมาใช้อีกรอบ
“พอเลยไอ้สายตาแบบนี้” แต่พี่ติณห์ไม่หลงกลครับ สร้างภูมิคุ้มกันเร็วมาก ผมว่าผมก็ทำไม่บ่อยนะ (บ่อยมากตั้งหาก)
“..ผมมีสิทธิ์ปฏิเสธเหรอ” สุดท้ายพี่ติณห์ก็ถอนหายใจและยอมตอบตกลงออกมา
“โอเค” ผมยิ้มกว้างและทรุดตัวลงนอนหนุนตักนั้นทันที พี่ติณห์ยกโต๊ะญี่ปุ่นมากางเพื่อทำงานไปด้วยครับ ผมก็จะสามารถนอนไปด้วยได้
“กี่ชั่วโมงอ่ะ” พี่ติณห์ยกขาเพื่อปลุกผม เมื่อกี้เกือบเคลิ้มหลับไปแล้วนะ หัวผมเกือบตกจากตักพี่ติณห์แล้วด้วย ทำไมรุนแรงขนาดนี้
“2ชั่วโมงล่ะกัน” เดี๋ยวจะได้ตื่นมาทำงานต่อ
“โอเคคค” พี่ติณห์รับคำอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะหลับตาลงและดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา
Special part; Tin 1.5
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลังจากวาหลับไป วาหลับง่ายมากๆ ผมตัดโมสักพัก ก้มมองอีกทีวาก็หลับปุ๋ยไปแล้ว จริงๆหัวใจผมยังเต้นแรงอยู่เลยแม้วาจะหลับไปแล้ว ผมไม่โอเคกับเรื่องพวกนี้เลยอ่ะ มันละมุนเกินไปจนกว่าผมจะรับมือไหว
ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้าอีกครั้ง และพยายามจะจดจ่อที่โมเดลตรงหน้า
ถามว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังไม่ชินอีกเหรอ
เราอยู่ด้วยกันก็จริงแต่ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้ทุกวันซะหน่อย ส่วนมากเราจะแค่นั่งทำงานเงียบๆข้างกัน หรืออย่างมากวาก็จะซบไหล่ผมบ้างตอนเหนื่อยๆ หรือจับนิ้วโป้งผมบ้าง (ผมรู้สึกเหมือนเป็นพ่อเขาทุกครั้งเลย) แต่ตอนวาจับนิ้วโป้งผมมันก็ดูเด็กน้อยไปอีกแบบ
ผมล่ะไม่อยากจะพูด
วาเล่นงัดเสน่ห์ทุกอย่างมาใช้รัวๆเลยอ่ะ ใช้คำว่าไม่มีกั๊กเลยดีกว่า ผมเคยคิดนะว่าวาโครตเป็นคนมีเสน่ห์ ถ้าถูกเสน่ห์พวกนั้นจู่โจมจริงๆ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องมีหลงบ้างแหละ และเสน่ห์ของวามีเป็นร้อย ผมไม่รู้ว่าผมตกหลุมเสน่ห์อันไหนไปบ้างแล้วเนี่ยยยย
บางทีก็เหมือนตั้งใจ บางทีก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่ว่าจะแบบไหนมันก็ส่งผลต่อผมทั้งนั้น
ผมเริ่มรู้สึกว่าวาเป็นต่อผมขึ้นทุกที แต่ผมก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย เขาอาจจะไม่ได้แสดงท่าทีข่มขู่ผมอะไรหรอกนะ แต่มันก็รับรู้ได้อ่ะว่าเขาอยู่เหนือผมไปอีกขั้นแล้ว นั้นมันโครตอันตรายต่อผมเลยนะ หรือบางทีผมอาจจะต้องยอมรับความจริง...
ผมมีเพื่อนที่เป็นสาวประเภทสอง หรือผู้ชายที่ชอบผู้ชายอยู่ประมาณหนึ่ง และเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ดันไปนั่งอยู่ในบทสนทนาพวกนั้นซะได้ เรื่องของเรื่องคือผมนัดไปกินข้าวกับเพื่อนสมัยมัธยม (ทั้งชาย หญิง ตุ๊ด ทอม เกย์ กระเทย นั้นแหละ) ผมไม่ได้อคติอะไรกับคนพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ผมเองก็เริ่มเบี่ยงเบน (แต่ผมยังมั่นใจว่าผมไม่ได้สนใจผู้ชายทุกคนบนโลกนะ วาเป็นกรณียกเว้น) ผมจึงสนใจฟังเป็นพิเศษโดยไม่รู้ตัว
เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่า มันจะมีฝ่ายรุก และฝ่ายรับ รวมถึงบางคนก็เป็นทั้งรุกทั้งรับ ฝ่ายรุกจะถูกเรียกว่าเมะ ฝ่ายรับถูกเรียกว่าเคะ และทั้งรุกทั้งรับเรียกว่าเสะ (สาบานได้ว่าโครตความรู้ใหม่สำหรับผม) เพื่อนๆผม ถ้าไม่ใช่พวกที่แต่งหญิงก็จะเป็นเมะซะมากกว่า หลังจากนั่งฟังพวกมันเม้าท์คู่ขาให้ฟัง ผมก็อดจะมาย้อนนึกกับตัวเองไม่ได้ว่า
และผมกับวาล่ะ ใครเคะ ใครเมะ
จากรูปการแล้ว ผมอาจต้องยอมเขาว่ะ
แต่ผมไม่อยากยอมเลยอ่ะ
แค่คิดก็เจ็บล่ะ
ยังดีหน่อยที่วาไม่รีบร้อนเรื่องแบบนั้นมากนัก (โครตดี) แต่ไอ้การที่โดนวารุกบ่อยๆ หรือทำตัวน่ารักใส่บ่อยๆ มันก็ทำให้ผมใจสั่นอยู่เหมือนกัน จริงๆก็โครตสั่นเลยแหละ แต่ถ้าโดนมากๆเข้า บางทีผมอาจจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเสน่ห์และความคาริสมาของวาก็ได้
บางทีนะ
หลังจากเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมก็เริ่มชินกับการมีหัวทุยๆของวานอนอยู่ที่ตัก หัวใจเริ่มกลับมาเป็นปกติและทำงานได้เหมือนเดิม วานอนนิ่งมากจนผมเผลอนั่งมองไปตั้งหลายครั้ง รอยใต้ตาดำที่คงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ (พวกเราเหมือนสะสมไปแลกของเลย) ทำให้ผมเลื่อนมือไปไล้บริเวณนั้นเบาๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมระวังอย่างดีไม่ให้วาตื่น แต่วาก็ไม่น่าจะตื่นง่ายๆหรอกนะ หลับลึกปานนั้นแล้ว
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดันร้องขึ้นมาจนได้ ผมรีบคว้าโทรศัพท์มากดรับโดยสายตายังหยุดอยู่ที่วาเพราะกลัวเขาจะตื่นขึ้นมา ยังไม่สองชั่วโมงตามที่กำหนดไว้เลยครับ แต่วาก็ยังคงนิ่งอยู่ น่าจะหลับลึกจริงๆแหละ
‘มึง แบบกูอยู่ที่ห้องมึงป่ะวะ’ เสียงที่ผมจำได้ว่าเป็นเสียงไอ้เมฆดังตามสายมา
‘ไม่เห็นนะ’ จริงๆก็ไม่ได้หาด้วยซ้ำ
‘มันน่าจะอยู่ที่ห้องมึงนะ กูไม่น่าลืมไว้ที่อื่นแล้วอ่ะ’
‘มึงลองนึกดีๆ ลืมไว้ที่คณะรึเปล่า’
‘ไม่มี กูแวะไปคณะมาล่ะ เดี๋ยวกูแวะไปดูที่ห้องมึงนะ’
‘เฮ้ยเม..’ ผมยังไม่ได้ทันจะพูดอะไรต่อ ไอ้เมฆก็กดวางสายไปแล้ว ผมนั่งมึนๆอยู่สักพัก ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าอันดับแรกผมต้องพาวาออกไปจากห้องนี้ก่อน
“วา” ผมเขย่าตัววาเบาๆ แต่วาก็ยังคงนิ่งอยู่
“วา!” คราวนี้เขย่าแรงขึ้นและเรียกดังขึ้นด้วย
“วา!!! วา!!!!” ผมถึงกับตะโกนใส่หู แต่วาก็ยังคงนิ่งอยู่ นี้หลับหรือตายเนี่ย
“วาาาา” ผมเขย่าตัววารัวๆแล้ว ยังไงถ้าไอ้เมฆมาจากมหาลัยผมก็น่าจะปลุกวาได้ก่อนนะ
“ไอ้วา!” ผมเริ่มรู้สึกว่าวาอาจจะตายแล้วจริงๆ
แอด
“กูว่ามันต้องอยู่ที่ห้องมึงนี้แหละ” ผมที่กำลังเขย่าตัววาชะงักไปเลย ร่างกายหันขวับไปมองคนที่เดินเข้ามาโดนอัตโนมัติ เมฆเปิดประตูเข้ามาในห้องผม และยืนมองภาพนี้อยู่ตรงประตูนั้นแหละ ภาพที่เมฆเห็นน่าจะประมาณว่า วานอนตักผม และผมก็กำลังโน้มตัวไปทำอะไรสักอย่าง คิดแค่นั้นผมก็ตกใจจนรีบลุกขึ้นอย่างแรง
“โอ้ยยยยย” ทีตอนเนี่ยดันตื่น วาลูบหัวตัวเองปอยๆ มันคงเจ็บอยู่ไม่น้อยเลยแหละ เพราะเจ้าตัวถึงกับกลิ้งไปกลิ้งมาเลย
“ยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลยไม่ใช่เหรอ” หลังจากความเจ็บบรรเทาลง วาก็ลุกขึ้นนั่งโดยที่ยังลูบหัวปอยๆและบ่นออกมา
“ไอ้วาเหรอ...” ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา และเจ้าของเสียงนั้นก็คือไอ้เมฆ ตอนนี้มันเดินเข้ามาในห้องแล้วครับ
“อ้าวพี่เมฆ มาทำไรอ่ะ” มึงก็ไม่ควรชวนเขาคุยเป็นปกติขนาดนี้ไหม
“กูอ่ะไม่แปลก มึงนะสิแปลก” วายังดูงงๆอยู่เลย ผมกลัววาจะโพล่งอะไรออกมาเพราะเมาขี้ตาผมเลยรีบแทรกออกไปก่อน
“วากลับห้องไปก่อนเถอะ” วาหันมามองผมอย่างงงๆเข้าไปใหญ่
“แต่ยังไม่สองชั่วโมงเลยนะ” น่าจะหมายถึงเรื่องนอนตักนั้นแหละ
“ไว้คราวหน้าล่ะกัน ออกไปก่อนเหอะ” วายังคงไม่ขยับตัว ใบหน้ายังดูงุนงงว่าทำไมเขาต้องออกไปด้วย เมื่อเห็นแบบนั้นผมเลยฉุดวาให้ยืนขึ้นและลากวาออกไปจากห้องก่อนที่จะปิดประตูและล็อคประตูเสร็จสรรพ
ใครมันไม่ล็อคประตูวะ!
ผมอยากจะฆ่ามันซะจริงๆ แต่จากย้อนคิดดูดีๆ ผมเป็นคนเข้าห้องมาคนสุดท้ายนี้ว้า คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำได้เพียงแค่ทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
แต่ผมยังสามารถคีพลุคpoker face ทำท่าทีเฉยๆและเดินเข้าไปนั่งทำงานต่อได้
“มึงไม่ต้องมาเนียนไอ้ติณห์ เล่า! มา! ให้! หมด!” ผมถอนหายใจออกมา จริงๆก็คิดไว้แล้วแหละว่ายังไงไอ้เมฆไม่มีทางปล่อยผ่านแน่นอน
“ให้กูเล่าอะไรล่ะ” เนียนไปก่อนครับ
“สัด เล่าให้หมดนั้นแหละ มึงวางยาอะไรน้องกู” ไม่พูดเปล่า แม่งตบหัวผมด้วยครับ ผมถึงกับวางคัตเตอร์และลูบหัวปอยๆเลย
เวรกรรมที่ทำวาหัวโขกพื้นสินะ
“กูต่างหากที่ต้องถาม ว่าน้องมึงวางยาอะไรกู” ไอ้เมฆทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามผม สายตาโครตจับผิดถูกส่งมาทันที จากที่รู้จักกันมา ผมรู้ดีว่าใครก็ตามที่โดนสายตาแบบนี้จากเมฆต้องโดนคาดคั้นจนกว่ามันจะได้ความจริงนั้นแหละ
“มึงพูดมา” นั้นไง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ไอ้เล่ามันก็ตั้งใจจะเล่าอยู่แล้วแหละ แต่จะเล่าตรงไหนก่อนดีนะสิ
“กูพูดไม่ถูกว่ะ รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้แล้ว” เมฆทำหน้างงใส่ผม
“กูรู้จักมึงนะตินติน กูรู้ว่ามึงชอบผู้หญิง”
“ก็เออไง ตอนนี้กูก็ยังชอบผู้หญิงอยู่”
“แล้วไอ้วา?” ผมบอกแล้วว่ามันพูดยาก
“วาเป็นข้อยกเว้น” หน้าไอ้เมฆสามารถแปลออกมาเป็นคำได้ว่า อะไรนะ เหี้ยอะไร ห๊ะ หรือแม้แต่ กูให้มึงพูดอีกที
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเป็นวา อย่างที่บอกว่าไม่รู้น้องมันวางยาอะไรใส่กู” เมฆยังคงเงียบ มันคงอยากให้ผมพูดให้จบก่อน
“กูไม่เคยคิดชอบผู้ชายเลยนะ และกูก็โครตสับสนเลยกว่าจะมาถึงตรงนี้ กูไม่รู้จะอธิบายยังไงว่ะ... กูแค่ชอบเขา กูไม่สนหรอกว่าเขาเป็นเพศอะไร” ไอ้เมฆอ้าปากค้างเลยตอนนี้
“กูเริ่มเปลี่ยนมาสงสัยแล้วว่าไอ้วามันวางยาอะไรมึง” กูก็สงสัย...
“นี้มึงคบกับมันมานานยังเนี่ย” เมฆถามต่อ
“เฮ้ยๆ กูยังไม่ได้คบกัน”
“แล้วนอนตัก?”
“มันก็แค่นอนตักป่ะวะ” หน้าไอ้เมฆนี้แปลได้ว่าโครตไม่เชื่อผม แต่มันแค่นอนตักจริงๆโว้ย
“ขนาดนอนตักกันขนาดนี้ มึงก็บอกกูว่าคบก็จบ”
“ก็กูยังไม่ได้คบกัน จะให้บอกว่าคบกันได้ไง” ผมอยากจะตบหัวไอ้เมฆสักทีโทษฐานที่มันพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อลองมองมุมกลับว่า ผมเปิดประตูเข้าไปเจอเปรมนอนตักเมฆ
ผมก็คงมีสภาพไม่ต่างจากเมฆเท่าไหร่
“อ้อ อยู่ในช่วงทดลองของป่ะ” กูเกลียดคำนี้มาก ผมกลอกตา เลิกต่อล้อต่อเถียงกับไอ้เมฆเพราะมันทำให้ผมเริ่มปวดหัวหนึบๆแล้ว
“สรุปคือ มึงกับไอ้วาจีบกันอยู่สินะ” ผมยอมพยักหน้ารับ ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับง่ายๆแต่มันก็ประมาณนั้นแหละ
“ไอ้เหี้ย มึงรู้ไหมกูตกใจแทบบ้า ฟิลเหมือนเปิดประตูมาเจอแฟนกับชู้อ่ะ ช็อคเบอร์นั้นเลย มึงสองคนดูไม่น่าได้กันที่สุด แต่สุดท้ายก็ได้กันจนได้ โลกแม่งไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ” ไอ้เมฆร่ายยาวออกมาเลย
“กูยังไม่ได้กันนะ” ผมโพล่งออกไป เดี๋ยวแม่งจะเข้าใจผิดครับ
“หอมแก้มกันยัง”
“มึงจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ”
“จุ๊บเหม่ง กอด ไซร้คอ อะไรพวกนี้อ่ะ” ให้ตายเหอะเมฆ... ผมกลอกตาอีกรอบและหันมาทำงานต่อ
“เฮ้ยยยยยยยตินติน ตอบกู”
“ให้กูตอบอะไรเล่า” ดูมึงถามแต่ล่ะอย่าง
“จูบกันยัง” หน้าตาแม่งอยากรู้มากๆเลยครับ เรื่องชาวบ้านนี้มึงอยากรู้รึเกินนะ
“ชัวร์เลย มึงไม่ตอบแบบนี้” มึงจะถามกูทำไมถ้ามึงจะตอบเองเนี่ย
ผมหันมาสนใจงานตรงหน้าต่อ เพราะเบื่อไอ้เมฆเต็มทน และเมฆก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหมือนมันก็กำลังรวบรวมข้อมูลใหม่โครตๆเมื่อกี้อยู่
“กูสงสัยอย่างหนึ่ง” มันถามออกมาอีก
“มึงกับไอ้วา ใครรุก ใครรับวะ” นั้นไงงงง เมื่อวันนั้นไม่น่าแบกมันไปกินข้าวด้วยเลย (ไอ้เมฆก็อยู่ในบทสนทนากับเพื่อนสมัยมัธยมของผมเหมือนกันครับ)
“กูบอกว่า กู ยัง ไม่ เคย ทำ เรื่อง อย่าง นั้น” ผมพูดช้าๆชัดๆใส่หน้ามัน แต่เมฆก็ยังทำหน้าแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไรเหมือนเดิม
“มันก็ต้องรู้โดยสัญชาตญาณอยู่แล้วป่ะวะ” กูไม่เห็นจะรู้เลย...
“โหยไอ้ติณห์มึงบอกมาเหอะ ขนาดนี้ล่ะ” ผมเคาะดินสอกับโต๊ะ ไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่ไม่รู้จะตอบยังไงมากกว่า
“กูพูดโดยสัจจริง... กูก็ไม่รู้” เมฆขมวดคิ้ว
“ถามจริง?”
“ตอบจริงๆเลยเนี่ย”
“อ้าว แล้วปกติไม่มีใครรุกใครรับเหรอวะ”
“ก็ไม่อ่ะ”
“ตอนจูบใครเริ่มก่อนอ่ะ” เอ่อ...
“ตอนลวนลามใครชอบทำมากกว่าอ่ะ” ก็...
“แล้วใครชอบทำตัวน่ารักๆ ออดอ้อนขอแทะโลมมากกว่าอ่ะ” น่าจะเป็น...
ว่าแต่ทำไมผมกับวา ผมต้องเป็นรับด้วยวะ แต่ถ้าจะให้ผมรุกวาก่อน เริ่มจูบก่อน จับมือก่อน หรือออดอ้อนวา
ผมก็คิดภาพไม่ออกเลย
เพราะผมป๊อดกว่าวาก้าวหนึ่งเลยต้องเป็นรับใช่ไหมเนี่ย
โหยยยยชีวิต
“มึงรู้คำตอบแล้วอ่ะดิ” เสือกรู้ทันอีก พอโดนสายตาจับจ้องจากไอ้เมฆสักพัก ผมเลยยอมถอนหายใจออกมา
“กูว่า... กูนี้แหละ” ยอมรับก็ได้ว่ะ
“รุกเหรอ?” ผมส่ายหัว
“รับ”
“เชี่ย!” ไอ้เมฆหลุดอุทานออกมาอย่างดัง ผมนี้ตกใจเลยครับ
“อะไรของมึงงงง”
“กูไม่คิดว่าจะเป็นมึงอ่ะ จริงๆนะ” เมฆตอบออกมา มันยังดูตกใจอยู่เลย
“ก็ดูดิ มึงนิ่งกว่า เงียบกว่า ขรึมกว่า อารมณ์เย็นกว่า เอาใจใส่มากกว่า อบอุ่นมากกว่า ตัวสูงกว่า หน้าตาก็ออกแนวหล่อๆมากกว่า เทียบกับไอ้วาที่พูดมากกว่า... หมายถึงมากกว่ามึง อารมณ์ร้อนกว่า กวนตีนกว่า หน้าตาออกแนวน่ารักมากกว่า เสือกเป็นรุกเฉย” กูก็คิดแบบนั้นแหละเพื่อน
แต่วามีหลายอย่างที่มึงไม่รู้ กูบอกเลย
“มันไม่ใช่แค่ปัจจัยภายนอกสินะ” เมฆพูดต่อเอง หน้าผมคงบอกมันนั้นแหละ
“ประมาณนั้น”
“ปกติไอ้วาเวลาอยู่กับมึงเป็นยังไงอ่ะ” ผมเลียปาก พยายามคิดว่าอะไรแตกต่างบ้าง
“วาเหรอ... เห็นมันนิ่งๆแบบนั้นแต่แม่งโครตร้อนแรง เดาการกระทำของวาไม่ค่อยได้ แล้วก็เป็นคนชอบทำอะไรน่ารักๆอย่างไม่น่าเชื่อ แถมขี้อ้อนชิบหาย ไอ้สายตาออดอ้อนนั้นนะโครตอันตราย” ผมพูดจบ ไอ้เมฆก็ทำท่าโก่งคออ้วกครับ แล้วมึงจะถามกูทำไมมมม
“เอาเหอะ กูพูดตรงๆนะ” ผมหันมาทำงานต่อ อีกสักพักใหญ่ๆกว่าเมฆจะพูดออกมาอีก
“กูรู้จักมึงทั้งสองคนดี มึงทั้งคู่เป็นคนดีและควรได้คบกับคนดีๆ... อาจจะแปลกหน่อยที่มาคบกันเองซะงั้น แต่กูก็ดีใจด้วยว่ะ” ประโยคเป็นทางการทำให้ผมอึ้งไปเลย
“กูยังไม่ได้แต่งงานกับมัน มึงใจเย็นก่อน” พูดอย่างกับอวยพรงานแต่งครับ
“เออ กูรู้ล่ะ แต่สายตามึงตอนพูดถึงวา มันแตกต่างนะติณห์” ผมเม้มปาก
ไม่รู้ตัวเลยแหะ
“กูไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้เลย” เมฆพูดต่อและเลื่อนมือมาลูบหัวผม
“กูว่ามึงเจอของจริงแล้วว่ะ”
Special part; The End
ถึงจะเป็นอาทิตย์หายนะ แต่ถ้ากลั้นใจหน่อย เดี๋ยวก็ผ่านไปครับ
ผมยังมึนๆอยู่เลยว่าตัวเองส่งงานทันได้ไง
สอบมิดเทอมผ่านไปแล้ว และจากสายบอกมา คือคะแนนมิดเทอมของปี1จะออกวันนี้ครับ ผมกับไอ้พีทเลยอาสามาดูว่าสรุปมีปี1คนไหนได้คะแนนต่ำกว่าCรึเปล่า จะได้รู้ว่าต้องเตรียมของรับรุ่นไหม
“สวัสดีครับจารย์” ผมกับพีทพูดขึ้นมาพร้อมกัน อาจารย์พยักหน้ารับและส่งแฟ้มคะแนนให้ผม พวกผมเคยมาติดต่อแล้วนะครับว่าจะขอดูคะแนน ผมเปิดแฟ้มไปยังหน้าที่เขียนว่า 100 สถาปัตยกรรมหลัก ก่อนที่จะไล้ดูคะแนนน้องตั้งแต่0001
“แทนแม่งสุดๆอ่ะ” ไอ้พีทกระซิบออกมา ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะไอ้เด็กนั้นได้A-ครับ พลาดไปนิดเดียวแท้ๆ ผมดูจนครบ45คนและหันไปมองไอ้พีท
“กูว่าแล้วว่าปี1ต้องทำได้” พีทพูดประโยคในใจผมเลย
“ขอบคุณนะครับอาจารย์” ผมกับพีทหันไปขอบคุณอาจารย์ก่อนที่จะเดินออกมา น้องที่คะแนนน้อยที่สุดได้Cซึ่งก็ยังถือว่าเป็นไปตามที่พวกผมกำหนดนะ
“มึงโทรบอกหลิวเลย” ได้รับรุ่นสักทีโว้ย
ครั้งนี้น่าจะเป็นการคิดบทว้ากน้องที่ยากที่สุดของผม ผมนั่งกลั่นกรองว่าจะพูดยังไงดีมาหลายรอบสุดๆและก็ยังคงคิดไม่ออก นี้เป็นการว้ากน้องครั้งสุดท้ายเลยนะ เป็นการพูดต่อหน้าน้องด้วยมาดดุๆเป็นครั้งสุดท้าย ผมก็อยากจะพูดอะไรที่มันจับใจคนฟัง ถ้าทำให้น้องๆร้องไห้ได้ก็คงดี แต่มันติดตรงผมคิดไม่ออกนะสิว่าต้องพูดยังไงถึงจะทำให้น้องน้ำตาแตกได้ ในขณะที่หัวกำลังคิดว่าจะพูดกับน้องยังไง มือก็ต้องจัดเตรียมสถานที่ไปด้วย
“คิดบทออกยัง” หน้าผมคงมุ่นมากๆจนหลิวถามออกมา
“ยังเลย” ทำไมหัวมันตื้อๆขนาดนี้
“พวกแก! จองร้านล่ะนะ แวะไปบอกพวกพี่ๆมาแล้วด้วย” ยี่หวาเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรายงาน ถามว่าร้านอะไรนะเหรอ รับน้องจบมันก็ต้องปาร์ตี้สิครับ พวกผมเลยให้ยี่หวาผู้เชี่ยวชาญเรื่องร้านอาหารที่อาหารอร่อยและดริ๊งค์ได้เป็นคนไปจัดการมา
แต่ผมโฟกัสที่ประโยคว่าพวกพี่ๆของยี่หวามากกว่า
“ชวนปี5ไปบ้างป่ะ” ผมถาม
“เออ โครตโชคดีอ่ะแก เจอพี่ดินมาเคลียร์ธีสิสพอดีเลยฝากพี่เขาไปกระจายข่าว พี่เขาบอกว่าจะมานะ งานเครียดๆพอดี” ผมพยักหน้ารับ จะว่าไปก็ไม่เจอพี่ดินนานแล้วแหะ อยากเจอเหมือนกัน
“โอ้ยฟิลเหมือนเลี้ยงรุ่นเลยอ่ะ ชอบจัง” หลิวพูดออกมา
“ฉันก็ชอบนะ ไม่ได้แดกเหล้ามาตั้งนาน” ประโยคนั้นของไอ้พีทครับ แต่เรียกเสียงฮาจากพวกผมได้อย่างดี ทำแต่โมจะเอาเวลาไหนไปกินเหล้าล่ะครับ
พวกเพื่อนๆที่มือตัดเทียนไปด้วย ตัดกระดาษ หรือสายสิญจน์ไปด้วย ยังคงคุยกันแบบออกรสออกชาติ โดยมีผมนั่งฟังอยู่เงียบๆ ไม่ใช่อะไรหรอก ยังเครียดเรื่องบทพูดกับน้องอยู่เลย ผมวางเทียนที่ตัดเสร็จแล้วลง
ติ้ง
ผมที่กำลังจะเลื่อนมือไปหยิบเทียนอีกอันมาตัด เปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่เข้ามาแทน
TIN :
น้องผ่านป่ะ
va :
ผ่านดิน้องผมซะอย่าง
นี้พี่อยู่ไหน
TIN :
กินข้าวอยู่โรงอาหาร
va :
รู้เรื่องปาร์ตี้เย็นนี้แล้วใช่ป่ะ
TIN :
อ่าฮะ เห็นไอ้อิฐพูดอยู่
พี่เกลบอกว่าจะไปนะ
พี่เป้อก็น่าจะไปด้วย
va :
พี่ดินก็น่าจะไปนะ
TIN :
จริงดิ
เตรียมตัวโดนด่าเลยอ่ะ
ผมหลุดขำออกมา พี่ดินยังคงหาเรื่องมาด่าพี่ติณห์ได้ทุกเรื่องจริงๆ
va :
คิดบทที่จะพูดกับน้องไม่ออก
TIN :
ทำไมอ่ะ
va :
พี่อยู่กับใคร
TIN :
เมฆ
va :
เดี๋ยวผมไปหา
ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าหลังจากบอกพี่ติณห์เสร็จ
“เดี๋ยวกูมานะ” ผมบอกลาเพื่อนๆก่อนที่จะแยกออกมา บางทีพี่ติณห์อาจจะให้แนวคิดดีๆในการว้ากน้องครั้งสุดท้ายนี้ของผมก็ได้
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงโรงอาหาร กวาดสายตามองรอบๆและเจอพี่ติณห์กับพี่เมฆนั่งอยู่ม้านั่งข้างนอกพอดี จึงวิ่งตรงไปหา
“ไงไอ้ตูบ” ผมเกลียดชื่อนี้ พี่เมฆเรียกผมตูบทันทีที่รู้เรื่องผมกับพี่ติณห์ พี่เขาบอกว่าหน้าผมตอนเจอพี่ติณห์เนี่ย หูกระดิก หางกระดิกอย่างรัวเลยล่ะ จึงเรียกไอ้ตูบ
“ช่วยคิดบทหน่อย” ผมเมินพี่เมฆและหันไปมองพี่ติณห์ที่กำลังจิ้มไส้กรอกพันเบคอนเข้าปากอยู่
“ทำไมอ่ะ ก็พูดปกติไง” ผมหยิบไม้จากมือพี่ติณห์และจิ้มไส้กรอกเข้าปากบ้าง จริงๆพี่เมฆรู้ก็ดีอย่างนะ จะได้ไม่ต้องทำตัวห่างเหิน แถมจะมาหาพี่ติณห์เมื่อไหร่ก็ได้อีก (เพราะพี่เมฆต้องอยู่ด้วย) ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพี่ติณห์ถึงยอมบอกพี่เมฆง่ายๆ อาจจะเพราะว่ามันมาถึงจุดนั้นแล้วอ่ะครับ แถยังไงก็คงฟังไม่ขึ้นแล้วล่ะ ช่วงแรกๆที่ผมอยู่กับพี่ติณห์ หรือรอกลับหอพร้อมกัน หรือแวะไปช่วยงานพี่ติณห์ที่ห้องโดยที่พี่เมฆอยู่ พี่เมฆก็จะเบ้ๆปากนะครับ แต่ช่วงนี้คงจะชินล่ะ ถึงได้นั่งกินเฉยๆ
“อยากจบหล่อๆ ว้ากน้องครั้งสุดท้ายล่ะนะ”
“มึงไม่ต้องทำมาเป็นชิลไอ้ติณห์ ตอนปีเรามึงคิดบทเป็นอาทิตย์ๆ” นี้ก็อีกข้อดีครับ พี่เมฆชอบเผาพี่ติณห์ให้ผมฟัง ผมชอบ
“หุบปากไปเหอะมึง” พี่ติณห์บ่นเพื่อนนิดหน่อย
“ตอนนั้นพี่ติณห์พูดว่าอะไรอ่ะ” ผมหันไปถามพี่ติณห์ ตอนนี้อยากได้แนวทางมากเลยครับ
“ตอนนั้นเหรอ... ผมแกล้งบอกว่าพวกเขาไม่ผ่านอ่ะ และก็แกล้งทะเลาะกับเพื่อน หันไปอีกทีน้องก็ร้องไห้แล้ว” หน้าพี่ติณห์นิ่งๆมันดูโหดใช้ได้เลยนี้นะ
“แล้วผมอ่ะ ผมควรพูดยังไงดี”
“ไม่ต้องไปคิดประดิษฐ์ให้มันสวยหรูหรอกวา” ผมหันไปมองพี่ติณห์
“แค่พูดสิ่งที่อยากพูด พูดในแบบที่เป็นคุณ แค่นั้นมันก็พิเศษมากแล้ว” ไม่รู้เพราะพี่ติณห์ให้แนวคิดดี หรือสายตาที่เชื่อมั่นในตัวผมที่กำลังมองมากันแน่ ที่ทำให้ผมรู้สึกวางใจมากขึ้น
ผมระบายยิ้มคืนให้พี่ติณห์
ผมรู้แล้วว่าจะพูดอะไรดี
“พอเหอะ กูจะอ้วก” ผมกับพี่ติณห์กลอกตาแทบจะพร้อมกันเลย
ใครก็ได้เอาพี่เมฆออกไปที
ถึงจะคิดออกแล้วว่าพูดอะไรกับน้องดี แต่การมายืนอยู่หน้าห้องในท่าเตรียมพร้อมก็ทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง พอมาคิดๆดูแล้วตอนว้ากน้องครั้งแรกผมโครตของโครตชิลเลยแต่พอครั้งสุดท้ายที่จะได้ว้าก ผมกลับกังวลโครตๆ
อาจจะเพราะผมต้องพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริงแหละมั้ง
ปีหนึ่งทุกคนนั่งประจำที่และสอดส่ายสายตามองหน้าพี่แต่ล่ะคน ปีหนึ่งยังไม่รู้คะแนนนะครับ น่าจะรู้ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นการสังเกตหน้าพี่ๆทุกคนน่าจะเป็นการระมัดระวังตัวที่ดี ผมไม่รอให้ใครในพวกเราหลุดมาดซะก่อน เพราะผมสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมา
“นี้คงเป็นการเข้าห้องเชียร์ครั้งสุดท้ายแล้วนะครับ เข้าประเด็นเลยล่ะกันนะ เมื่อเช้าผมไปดูคะแนนของพวกคุณมาแล้ว...” ปีหนึ่งนั่งฟังผมตาแป๋วเลย
“คุณเคยคิดไหมว่า ถ้าไม่ผ่านการรับรุ่นจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะไม่มีพี่รหัส ลุงรหัส แม้กระทั่งปู่รหัสก็จะไม่มี และจะไม่มีน้องรหัสในปีต่อไปด้วย” ผมยังคงพูดช้าๆชัดๆอยู่เหมือนเดิม
“เผื่อพวกคุณไม่รู้ ปี90ไม่ได้รุ่นนะครับ” ปีหนึ่งเลิกลั่กขึ้นมาทันที ผมไม่ได้โกหกนะ แต่ปีนั้นไม่ได้รุ่นจริงๆครับ พวกพี่ปี89ไม่รับปี90เป็นน้อง ผมโครตโชคดีที่ไม่ได้เป็นรุ่นนั้นอ่ะ เพราะคงจะรับแรงกดดันไม่ไหวแน่ๆ
“พวกคุณทำให้ผมรู้สึกแย่นะ...” พูดมาถึงตรงนี้ผมก็แสร้งเงยหน้ามองฟ้า เพลงบอกมาว่ามันจะเหมือนกับผมกำลังห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลครับ ทำไมทุกคนถึงรู้เรื่องพวกนี้! เรียนการแสดงกันมาเหรอ
“ผมตั้งใจสอน และแน่ใจว่าตัวเองทุ่มเทกับพวกคุณมาก แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยใช่ไหม” ผมยังคงพูดต่อ เกลียดการแสดงจุดนี้ของตัวเองมาก จากตอนแรกที่กังวลว่าจะไม่เนียน ว่าจะมีคนดูออกรึเปล่า ตอนนี้เริ่มสนุกขึ้นมาแล้วครับ ก็ผมไม่นึกว่าปี1จะหลอกง่ายขนาดนี่นี้หนา
“รุ่น100 พวกคุณไม่อยากได้รุ่นรึไง ทำไมไม่ตั้งใจ” เสียงประโยคหลังของผมขาดห้วงไปนิดหน่อย เพราะผมดันหันไปเห็นยี่หวาที่ยืนอยู่เกือบหลังห้อง
ร้องไห้ครับ
เฮ้ย! นี้จะเอกการแสดงไปหน่อยล่ะนะ
“แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ข้อตกลงก็ต้องเป็นตามนั้น หลังจากวันนี้เจอพวกผมที่ไหน ไม่ต้องไหว้ ไม่ต้องทำเหมือนรู้จักกันอีก” ผมเลิกสนใจยี่หวาเพราะเธอทำให้ผมจะขำอ่ะเลยต้องรีบกลับเข้าบทก่อน พิ้งค์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าสุดขมวดคิ้วมุ่นและเอาแต่ส่ายหัวอย่างไม่เชื่อผม
“เสียใจด้วย” ผมจบประโยคและหันหลังเดินออกมา พอผมเดินออกมาทุกคนก็เดินตามออกมาครับ โดยไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าและข้าวของออกมาเหมือนจะกลับจริงๆ ทั้งยังกดปิดไฟปิดทุกอย่างอีก เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นมา ผมว่ามันเนียนตรงยี่หวากับเพื่อนอีก3-4คนร้องไห้เนี่ยแหละ ปีหนึ่งถึงได้เชื่อง่ายขนาดนี้
แต่แผนการของเรายังไม่จบ ผมได้ยินเสียงพิ้งค์พูดแว่วๆว่า จะไปขออาจารย์ดูคะแนน หรือน้องบางคนก็กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง ส่วนพวกผมก็วิ่งเข้าประจำที่ หลังจากยกมือให้สัญญาณ 1 2 3 พวกเราก็เปิดประตูเข้าไปอีกครั้ง
พร้อมด้วยพี่ปี4 ปี5 รวมถึงพวกปี2
เทียนที่เตรียมไว้ถูกจุดขึ้น ทั้งวางอยู่ที่พื้นและในมือของพวกเราคนล่ะเล่ม เพลงคณะถูกร้องคลอขึ้นเบาๆ แต่ที่ดังกว่านั้นคือเสียงร้องไห้ของปีหนึ่งนี้แหละ ผมกลับไปยืนที่เดิม ร้องเพลงคณะจนจบและปล่อยให้ความเงียบปกคลุม ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลหรอกครับ เพราะปีหนึ่งร้องไห้กันดังมาก
“ผมในนามของตัวแทนปี98 อยากจะกล่าวขอโทษน้องๆทุกคนจริงๆ พี่รู้ว่าพี่พูดไม่ดี ลงโทษสารพัด แถมยังทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลกับพวกเราขนาดไหน” คำแทนตัวเองว่าพี่ ถูกหยิบมาพูดอีกครั้ง
“แต่ที่พี่ทำไปก็เพราะว่าพี่หวังดีกับพวกเรา พี่อยากให้พวกเราสามัคคีกัน รู้จักกัน ไว้ใจกัน และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พี่ไม่ได้หวังว่าคำขอโทษในครั้งนี้จะทำให้ทุกคนอภัยให้พี่” ผมแน่ใจมากว่าพิ้งค์กำลังส่ายหัวปฎิเสธประโยคนั้นของผม เห็นกล้าๆแบบนั้น ตอนร้องไห้ก็ดูเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งนะ
“สำหรับพี่ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากจริงๆ และพี่อยากจะขอบคุณ ขอบคุณในน้ำใจ และความตั้งใจของทุกคน” พูดมาถึงตรงนี้ผมก็ตบมือให้ปีหนึ่ง ทุกๆคนที่อยู่รอบๆก็ตบมือตามจนกลายเป็นเสียงกึกก้องไปหมด
“รุ่น100... ตอนนี้พวกคุณเป็นน้องของพวกผมเต็มตัวแล้วนะ”
“...ยินดีต้อนรับสู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาสถาปัตยกรรมหลักอย่างเป็นทางการนะครับ” พูดมาถึงตรงนี้พวกพี่เนียนก็เข้ามายืนรวมกับพวกผม ผมสาบานได้ว่าพิ้งค์มองแจนอย่างไม่เข้าใจ ภายในเสี้ยววินาทีมันก็เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
กูจะช่วยเคลียร์ทีหลังนะแจน
“บูมคณะ!!!!!!!!!” ผมไม่เคยได้พูดประโยคนี้ ส่วนมากไอ้เพชรจะเป็นคนพูดและครั้งนี้ผมก็นึกว่ามันจะพูด แต่เพชรบอกให้ผมเป็นคนสั่ง
เพราะผมเป็นเฮดว้าก
“3!!!!!!!!!!! 4!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงบูมคณะของรุ่น96 97 98 และ99 ดังสนั่นกึกก้องอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเราตั้งใจกอดคอและบูมคณะให้กับน้องรุ่น100ที่ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ผมตั้งใจบูมสุดเสียงเพื่อทดแทนสิ่งที่พวกเขาทำให้ผม สิ่งที่สอนผม ประสบการณ์ใหม่ๆของผม และต้อนรับน้องคนเล็กสุดในบ้าน ด้วยหัวใจจริงๆ
บ้านหลังนี้อบอุ่นมาก
ผมยืนยัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรามาแล้วววว แวะมาอัพให้ก่อนตามที่บอกไว้เพราะพรุ่งนี้จะไม่อยู่ บอกอีกครั้งว่าเราขอลาไปเที่ยวนะ 555 อัพอีกทีน่าจะเป็นวันพฤหัสบดีหรือไม่ก็วันศุกร์เลยนั้นแหละ ยังไงก็ฝากรอ ฝากคอมเม้นต์ตามกันเรื่อยๆด้วย มันเป็นแรงผลักดันให้เลิกขี้เกียจนะ 555 สำหรับตอนนี้คงเคลียร์ประเด็นใครเคะใครเมะแล้ว เพราะแทรกการพากษ์ของพี่ติณห์เข้ามานิดหน่อย จริงๆเรารู้สึกว่าทุกคนออลเชียร์ติณห์วา 555 เราโอเคนะ เพราะเราเองก็รู้สึกว่าพี่ติณห์นี้โครตเมะ แต่เราอยากจะลบภาพ เมะต้องสูงกว่า เมะต้องนิ่งกว่า ต้องหล่อกว่า ต้อมแข็งกระด้าง ต้องอ้อนไม่เป็น อยากจะลบภาพพวกนี้ออกไป และพี่ติณห์เองก็ไม่ใช่เคะมากแบบเคะจ๋าอะไรแบบนั้น เราจะได้เห็นฉากพี่ติณห์รุกวาบ้างแน่นอน ยังไงก็ฝากเอ็นดู #วาติณห์ ของเราด้วยนะคะ
เจอกันคร้าบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขนลุกมากเลยตอนอ่านบทนี้
อยากอ่านตอนต่อแล้วค่ะ ชอบเรื่องนี้มากกก
เราอยู่สาบวาติณณ์มาตั้งแต่แรกแล้วค่ะ
ออร่าบางอย่างออกว่าพี่ติณณ์ของเราเคะอ่ะค่ะ
นั้นวาอ่อยไม่ใช่รุก5555
พี่ติณณ์น่าร๊ากกกกกกกกกกกก
สู้ๆค่าาาาาา ไรเตอร์ รออยู่นะ
รอนะคะ
พูดตรงๆสามตอนแรกเราว่าติณณ์วา แต่หลังจากนั้นมันไม่อ่ะ
เราวาติณณ์เต็มตัวมาก พี่ติณณ์โคตรน่ารัก โว้ยยยย จะทุบบ้านให้พัง
พี่เมฆรู้ก็ดีจะได้มีคนช่วย55555555
แล้วแจนจะเป็นยังไงต่อ.. หวังว่าจะไม่มีดราม่านะคะ ._.
พฤหัสเลยเหรอ...ตับเราจะขาดไหม ฮือ
เที่ยวให้สนุกนะคะ~