ตอนที่ 11 : giver give up
11
‘ฮัลโหลครับ’
‘ยังไม่ตื่นอีกเหรอวา’ เสียงที่คุ้นหูทำให้ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งคุยแต่โดยดี
‘กำลังจะตื่น’ แม่โทรมาเร็วไปนิดหนึ่ง
‘เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก’
‘ไม่สายยย เคยสายด้วยเหรอ เคยแต่ไม่ไป’
‘ไม่มีรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้นเลยนะ’ ผมขำกับประโยคนั้นของแม่
เช้าๆตื่นมาคุยกับแม่ก็เป็นโมเม้นต์เพิ่มพลังที่ดีเหมือนกันนะ จะดีมากกว่านี้ด้วย ถ้าแม่ไม่โทรมาปลุกผมเนี่ย
‘ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ก่อนไม่ไปก็คำนวณมาแล้ว ว่าขาดได้กี่คาบ’
‘จ้าาาา พ่อคนเก่ง’ ผมขำอีกครั้ง จะมีแม่คนไหนเขาแซะลูกเบอร์นี้บ้างเนี่ย
‘โทรมามีไรเปล่าเนี่ย’ โทรมาแต่เช้าเลยด้วย
‘อ้อ! เดือนหน้าฉันจะขึ้นกรุงเทพนะ’ ผมเลิกคิ้ว
‘วันไหนอ่ะ’
‘ยังไม่รู้เลยเนี่ย รู้แค่ว่าต้องไปอ่ะ ถ้านางไม่ยกเลิกงานแต่งนะ’
‘งานแต่งใครอ่ะ’
‘เพื่อนสนิท คนนี้ฉันสนิทมากเลยนะวา ตอนคลอดแกมันยังมาค้างเป็นเพื่อนอยู่เลย นี้มันก็บ่นๆว่าไม่ได้เจอแกมานานล่ะ’ ผมเลิกคิ้ว
‘คนไหนเนี่ย’
‘เจอแกล่าสุดตอน6ขวบมั้ง แกไม่น่าจะจำได้’ นั้นล่าสุดเหรอออออ
‘แม่ยังติดต่อกับเขาอยู่อีกเหรอ นี้วา20แล้วนะแม่ ไม่ใช่10ขวบ’
‘ก็ยังโทรคุยกันอยู่นะ แต่ไม่มีโอกาสนัดเจอกันบ่อยๆเท่านั้นเอง’ เห็นแบบนี้แม่ผมเพื่อนเยอะมากครับ แถมยังมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศอย่างต่อเนื่องด้วย
‘ถ้าแม่ขึ้นมาจะไปนอนบ้านเพื่อนคนนั้นหรือห้องวาอ่ะ’
‘ห้องแกสิ จะไปนอนบ้านเขาทำไมล่ะ รบกวนเปล่าๆ’
‘ไหนว่าสนิทกันไง’
‘ก็สนิทกัน แต่ก็ไม่ต้องรบกวนเขาขนาดนั้นก็ได้ไหม รบกวนลูกชายตัวเองก็พอ’
‘แล้วแต่เลยยยยย’
‘ทำไม แม่ไปค้างไม่ได้เหรอวา’
‘โหยยยย ได้อยู่แล้วนา’ จะน้อยใจทำไมเนี่ย
‘แต่ก็บอกก่อนล่ะกัน จะได้เก็บของ’ ถ้ายิ่งเป็นช่วงทำโมนี้หาที่เดินยังลำบากเลยครับ
‘เก็บอะไรอ่ะ ไล่หญิงที่ซุกไว้ออกเหรอ’
‘มีที่ไหนเล่า’
‘ไม่มีจริงอ่ะ’ เกลียดเสียงสองมาก
‘ไม่มี ถ้ามีก็บอกไปแล้ว’
‘เออๆ’ ผมเป็นคนค่อนข้างหวงห้องตัวเองระดับหนึ่งเลยนะ ผมไม่ชอบให้ใครหรืออะไรมาอยู่ในห้องผมเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันวุ่นวายนะครับ และผมค่อนข้างเจ้าระเบียบมากด้วย (เห็นแบบนี้ก็เถอะ) ผมเลยอยู่หอคนเดียวนี้ไง ไอ้การพาผู้หญิงมาอยู่ในห้องนี้เป็นไปไม่ได้เลย ส่วนมากผมจะไปอยู่ห้องเขามากกว่าด้วยซ้ำ
‘แม่’
‘ว่าไง’
‘คิดถึงบ้านอ่ะ’ การที่แม่โทรมานอกจากจะทำให้ผมมีเพื่อนคุยแล้ว ยังทำให้ผมเบาใจเรื่องในหัวลงไปได้ด้วย
‘ก็กลับมาสิ มีใครห้ามแกเหรอ’
‘ไปวันเสาร์ กลับวันอาทิตย์อ่ะนะ มันเหนื่อยยยย’ ตอนปีหนึ่งผมเคยทำนะครับ ทำอยู่เกือบเดือนก็ล้มเลิกครับ เพราะรู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินไป
‘แล้วแกจะบ่นทำไม’
‘ก็อยากกลับ แต่กลับไม่ได้ไง’
‘มีเรื่องอะไรป่ะเนี่ย’ แม่เป็นคนที่ดูผมออกเสมอ
‘นิดหน่อย’
‘เรื่องไร’
‘เล็กน้อยอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก’ จะให้บอกว่าเรื่องที่สับสนรึไงล่ะ
‘อื้อๆ ถ้าไม่ไหวก็เล่าได้นะ’ ฮืออออออ ยิ่งอยากกลับบ้านไปใหญ่
‘ครับแม่’
‘ไว้เดี๋ยวขึ้นไปหา’
‘คร้าบบบ’
‘แม่รักวานะ’ ผมหลุดยิ้มออกมากับประโยคนั้น
‘วาก็รักแม่ครับ’ ผมไม่ลังเลที่จะตอบกลับไปเลยสักนิดเดียว
‘เออ แค่นี้แหละ’
‘คร้าบบบบบ’ หลังจากนั้นแม่ก็กดตัดสายไป ผมทิ้งตัวลงนั่งเหม่ออีกสักพักก่อนที่จะหันไปมองนาฬิกา
ต้องไปมออีกแล้วสินะ
‘อยู่ไหนล่ะ’ เลิกเรียนปุ๊บก็โทรมาปั๊บเลยไอ้นี้
‘พึ่งออกจากห้องเรียน’
‘งั้นเจอกันที่ห้องเชียร์เลยนะมึง
‘เออ’ คลาสเมื่อกี้เป็นวิชาเลือกนะครับ และผมกับพีทลงกันคนล่ะคลาสเลยไม่ได้เรียนด้วยกัน
ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงและกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง ก่อนที่จะหันไปเห็นคนหน้าตาคุ้นๆคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเพื่อนเรานี้เอง
“เพลงงงง ลงคลาสนี้เหรอ” เพลงที่กำลังง่วนกับการเก็บของเงยหน้ามามองผม
“เยส แล้วแกไม่ได้ลงคลาสเดียวกับพีทเหรอ”
“เปล่าอ่ะ” ผมสนใจคลาสนี้มากกว่านี่ครับ
“แปลกอ่ะ” เพลงตอบพร้อมกับหน้าล้อๆ อะไรของเธอออ
“ไอ้หน้าแบบนั้นมันอะไรเนี่ย”
“ไม่~ ก็เห็นปกติแกตัวติดกับพีท”
“เหมือนที่เธอตัวติดกับชินป่ะ”
ชิน เป็นชื่อเพื่อนอีกคนในรุ่นที่เป็นเพื่อนสนิทเพลงนะครับ สองคนนี้ตัวติดกันมาก ไปไหนไปกัน มีช่วงหนึ่งที่พวกผมสงสัยว่าสองคนนี้คบกันรึเปล่า แต่เพลงก็จบทุกข่าวลือด้วยการบอกว่า ไม่มีทางเอาเพื่อนเป็นแฟนแน่นอน และสอยหนุ่มคณะวิทยาศาสตร์มาควงอยู่ช่วงหนึ่ง
“อยากตายเหรอวา บอกรอบที่ล้านแล้วนะว่าฉันกันชินเป็นเพื่อนกัน” และเพลงก็ไม่ชอบให้ใครล้อเธอกับชินเท่าไหร่หรอกครับ มันคงน่าอึดอัดนะ
“ล้อเล่นนน” เพลงบุ้ยปากก่อนที่จะเดินออกมา
“ยิ่งตอนนี้ฉันมีคนที่ดูๆอยู่ล่ะด้วย เดี๋ยวเขามาได้ยินแล้วจะเข้าใจผิด” ผมหันขวับไปมองเพลงทันที
“ใครวะ” ไม่ได้ขี้เสือกสักเท่าไหร่เลย
“ไม่บอกเว้ย” เพลงตอบพร้อมกับยักคิ้วกวนตีนผมด้วย
“ไม่อยากรู้หรอก” จริงๆก็อยากรู้แหละครับ แต่เพลงไม่บอกก็ไม่อยากรู้ก็ได้ เพลงขำก่อนที่จะเลื่อนมือมาตบบ่าผมเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรนะ
“ไปห้องเชียร์เลยป่ะ” ขอบคุณที่เธอเปลี่ยนเรื่องสักที
“น่าจะ เธออ่ะ”
“ไปรอไอ้ชินใต้ตึก4” เห็นป่ะ ผมบอกแล้วว่าสองคนนี้ตัวติดกันมาก
“ให้รอเป็นเพื่อนไหม”
“โอ้ยไม่ต้อง แกไปห้องเชียร์ก่อนเลย” ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่เราสองคนจะเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยกัน
“ตรวจสมุดเซ็นไปถึงไหนแล้วอ่ะ” ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเพลงเป็นหนึ่งในคนที่ตรวจสมุดเซ็นของปีหนึ่งนะครับ
“ส่วนของฉันเสร็จแล้วนะ ส่วนอื่นก็คงเสร็จแล้วด้วยแหละ”
“เรียบร้อยดีป่ะ”
“ส่วนที่ส่งมาก็โอเคเลยนะ แต่น้องที่ยังไม่ได้ส่งก็มี คงส่งกันวันนี้แหละ เดี๋ยวแกบอกอีกทีในห้องเชียร์วันนี้ล่ะกัน” ผมพยักหน้ารับ ถึงกำหนดที่ต้องส่งสมุดล่าลายเซ็นรุ่นพี่แล้วครับ แต่ผมให้เวลาส่ง3วัน วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายพอดี
ผมเดินคุยเรื่องต่างๆกับเพลงไปเรื่อยๆจนเดินมาถึงใต้ตึก
“ฉันไปล่ะ เจอกัน” เพลงหันมาบอกผมก่อนที่จะแยกไปอีกทาง
ผมเองก็หันกลับไปอีกทางและมุ่งหน้าไปที่ห้องเชียร์ตามที่ตั้งใจไว้
“36 37 38... ก็ขาดอีก7เล่มสินะ” เสียงหลิวดังเข้ามาในโสตประสาทเป็นอย่างแรกหลังจากผมเปิดประตูเข้ามาในห้องเชียร์
“หวัดดีค่ะเฮดว้าก” และเธอก็หันมาทักผมเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา
“วันนี้ตามสมุดเซ็นจากน้องด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับคำหลิว นี้ถือเป็นประเด็นหลักของวันนี้เลยสินะ
“แล้วก็แจ้งเรื่องนักกีฬาเฟรชชี่เกมส์ ให้อยู่รอลงชื่อด้วย” ปายหันมาบอกผม
“เค มีไรอีกป่ะ” หลิว ปาย และเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนหันไปมองหน้ากัน
“ไม่น่าจะมีล่ะ ถ้ามีจะบอก” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง
“เห็นพีทป่ะ” ผมเอ่ยถามขึ้น เมื่อกวาดสายตามองยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าจะเจอไอ้พีทเลย
“โรงอาหารเปล่า เห็นแว่บๆ” หลิวเป็นคนหันมาตอบผม
“กินข้าวกันแล้วเหรอ” นี้พึ่ง11โมงเองนะ
“กินแล้วดิ เดี๋ยวไม่มีแรงไฝว้กับน้อง” หลิวตอบผมอีกครั้ง งั้นผมก็ควรออกไปหาอะไรกินบ้างรึเปล่านะ
“งั้นไปโรงอาหารนะ”
“เดี๋ยว! มีคนฝากของมาให้แกอ่ะ” ผมเลิกคิ้วให้หลิว ก่อนที่เธอจะส่งกล่องที่วางอยู่แถวนั้นมาให้ผม
ผมรับมาและเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างในทันที
เป็นข้าวกล่องนั้นเอง
เดี๋ยวนะ... สถานการณ์แบบนี้
“ใครฝากมาอ่ะ” ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมคาดหวังชื่อคนๆหนึ่งอยู่ลึกๆ
“น้องพิ้งค์! ฉันเจอตอนเลิกคลาส น้องเขาดูตั้งใจเอามาให้แกมากเลยนะ ฉันว่าน้องพิ้งค์เขาต้อง...” เสียงของหลิวไม่ได้เข้าหัวผมอีกต่อไป
เป็นพิ้งค์สินะ
กลายเป็นว่าผมต้องมองหาแทนไทก่อนทุกครั้งที่เรียกน้องเข้าเชียร์ไปแล้ว และวันนี้ผมก็ไม่ผิดหวังด้วย
แทนไทในชุดที่ไม่ได้ถูกระเบียบเท่าไร (แต่ก็ไม่เลวร้าย) เดินเข้ามาในห้องเชียร์ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งอยู่หลังห้องอย่างปกติ ผิดกับ0043และ0032ที่นั่งแถวหน้าสุดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้จะแปลกหน่อยก็ตรงที่ไอ้แจนที่ปกติจะนั่งกับแทนไท ย้ายมานั่งกับไอ้กิตที่ทิ้งตัวลงนั่งหลัง0043กับ0032ซะงั้น
คงไม่มีไรหรอกมั้ง
“สวัสดีครับ/ค่ะ”
“ใครที่ยังไม่ได้ส่งสมุดเซ็น ส่งตอนนี้ได้เลยนะครับ” ผมพยักหน้ารับไหว้จากน้องๆและเข้าประเด็นที่ต้องพูดทันที
“ถ้าทุกคนส่งกันไม่ครบ พี่จะไม่ให้ผ่านนะครับ” น้องที่ยังไม่ได้ส่งรีบยื่นสมุดให้พี่ว้ากที่อยู่ใกล้ๆทันที
“ขาดเล่มหนึ่ง” เมื่อทุกคนเลิกขยับตัว ผมก็หันไปหาปาย เพื่อให้ปายยืนยันยอดอีกครั้ง
“พี่จะพูดอีกครั้งนะครับ เอาสมุดเซ็นมาส่ง” ปีหนึ่งเริ่มมองหน้ากันไปมา ที่เห็นชัดสุดคงเป็นพิ้งค์ที่กวาดสายตามองเพื่อนทีล่ะคนด้วยสายตาจริงจัง
“พี่จะนับ1ถึง3นะครับ”
“1!” ปีหนึ่งยิ่งมองหน้ากันเลิกลั่กเข้าไปใหญ่แล้วตอนนี้
“2!” ผมขานเลขสองออกไปอีกครั้ง
“แทนส่งสมุดหรือยัง” เสียงของผมเงียบลง เมื่อพิ้งค์หันไปถามแทนไท แทนไทที่นั่งกอดเข่าอยู่หลังห้องเพียงแค่ปลายตามามองพิ้งค์เท่านั้น
“อย่าทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนนะ ส่งสมุดซะ” ไม่รู้ว่าเพราะพิ้งค์พูดเสียงดัง หรือทั้งห้องพร้อมใจกันเงียบ เสียงของพิ้งค์ถึงได้ดังก้องกังวานไปทั่ว
“คุยกับเราได้แล้วเหรอพิ้งค์” นั้นเป็นเสียงจากแทนไท ผมพึ่งนึกได้ตอนนี้นี่เองว่าปีหนึ่งทะเลาะกัน และมันก็คงมีประเด็นให้รุนแรงขึ้นไปอีกแหละ ถึงได้มีออร่าบางอย่างแผ่ขยายไปทั่วขนาดนี้
“อย่ากวนตีน ส่ง สมุด สัก ที” ไอ้พีทที่อยู่ข้างๆเดินเข้ามาประชิดตัวผมทันทีที่พิ้งค์พูดจบ
“เราต้องสั่นระฆังป่ะวะ” ผมหันไปจิ๊ปากใส่พีท ใช้เวลาเล่นไหมเนี่ยยยยย
ถือว่าพิ้งค์ทำสำเร็จ เมื่อเธอพูดจบ แทนไทก็ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดและหยิบสมุดเซ็นออกมา แทนไทมีท่าทีหงุดหงิดพร้อมระเบิดสุดๆ ขนาดผมที่ยืนมองอยู่ตรงนี้ยังสัมผัสได้เลย แทนไทไม่ได้ส่งสมุดให้สรที่ยื่นมือไปรับ แต่กลับจ้องตาผมและลุกขึ้น
ก่อนที่จะเดินมาหาผม
“แค่ส่งใช่ไหม” แทนไทเดินเข้ามาหาผม ก่อนที่จะยื่นสมุดให้ผม ผมนึกว่ามันจะใช้สมุดฟาดหัวผมซะแล้วด้วยซ้ำ ผมมองสมุดในมือแทนไทและเลื่อนสายตาไปยังสร ให้มารับสมุดจากแทนไทไป
“พี่จะทำให้มันยากทำไมวะ พี่ก็รับไปดิ!” ผมชะงักไปเมื่อแทนไทตวาดใส่ผม ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปีหนึ่งบ้าง ไม่รู้ว่าแทนไทหงุดหงิดอะไร แต่ผมรู้ว่าเขากำลังควบคุมอารมณ์หงุดหงิดพวกนั้นไว้ไม่ได้
“อะไรของมึง” ผมหันขวับไปยังพีททันทีที่มันเดินมาขวางทางระหว่างผมกับแทนไทไว้
“เหอะ อะไรของพวกมึงมากกว่ามั้ง” แทนไทตอบกลับไปและเขวี้ยงสมุดในมือลงพื้น
“ไอ้เหี้ยนี้วอนล่ะวะ!” ผมคว้าแขนพีทไว้ทันทีเมื่อมันทำท่าจะเข้าไปซัดแทนไท
“เอาดิว่ะ! ต่อยเลย คิดว่ากูกลัวรึไง ทำขนาดนี้แล้วก็ต่อยเลยก็ได้” แทนไทไม่ได้มีท่าทีกลัวพีท แถมยังยั่วยุพีทเข้าไปใหญ่ด้วย
“ไอ้วาปล่อยดิว่ะ! มึงไม่เห็นเหรอว่าไอ้เด็กนี้มันวอนโดนตีนขนาดไหน”
“มึงนั้นแหละใจเย็นๆ” ผมกดเสียงใส่พีท ผมรู้ดีว่าเพื่อนผมคนนี้เป็นคนฉุนเฉียวขนาดไหน และพีทไม่ชอบให้ใครมาว่าเพื่อน พี่ หรือคนที่มันรู้จักทั้งนั้น ถ้ามีใครมาว่า... มันก็พร้อมที่จะสู้เต็มที่เลยล่ะ
“ใจเย็นก่อนดิแก” เพลงที่พึ่งเดินมาถึงเข้ามาพูดกับพีท
“แกเย็นได้เหรอเพลง เราเย็นไม่ได้แล้วว่ะ” พีทหันไปตอบเพลง มันมีท่าทีโครตหงุดหงิดเลยตอนนี้
ตอนนี้เพื่อนคนอื่นเริ่มกรูกันเข้ามาห้ามทัพแล้ว บ้างก็อยู่ด้านหลังแทนไท บ้างก็อยู่ด้านหลังพีท
“เหอะ!” พวกผมหันกลับไปที่แทนไท แทนไทกำลังยกยิ้มมุมปากที่ผมโครตไม่เข้าใจ มันเหมือนกำลังเป็นต่อกับอะไรสักอย่างอยู่
แต่อะไรล่ะ
“ถ้าพี่ไม่ทำให้มันเป็นเรื่องยาก มันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก!” แทนไทพูดประโยคนั้น โดยจ้องตาผมไปด้วย
“มึงหมายความว่าไง!” ไอ้พีทตะโกนกลับไปทันที
“ในเมื่อคนบางคน... ง่ายจะตายแท้ๆ” จบประโยค แทนไทก็เลื่อนสายตาจากผมไปยังเพลงที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนที่จะไล้สายตามองเพลงตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผัวะ
ผมเลื่อนมือไปจับเครื่องเคาะสัญญาณที่เอาแต่ส่งเสียง ติ้ก ต่อก ทุกวินาที ซึ่งมันโครตน่ารำคาญ เมื่อในห้องมีแค่ผม ก่อนที่จะหันไปมองประตูห้องพักอาจารย์ที่ยังไม่มีวี่แววว่าอาจารย์ที่เดินออกไปจะกลับเข้ามาสักที หลังจากนั่งฟังเสียงเครื่องเคาะสัญญาณมาสักพักใหญ่ๆ ผมก็ยิ่งแน่ใจเข้าไปอีกว่ามันผ่านไปหลายนาทีแล้ว ไม่รู้อาจารย์มัวไปถามสถานการณ์จากใคร ถึงได้นานขนาดนี้
คิดมาถึงตรงนี้ผมก็ยกมือมาปิดหน้าตัวเองอีกครั้ง
ผมทำอะไรลงไปวะ
แค่เห็นแทนไทไล้สายตามองเพลงอย่างเหยียดหยาม ผมก็ลั่นมือไปต่อยหน้ามันซะแล้ว ผมปะติปะต่อเรื่องเองได้ในตอนนั้นว่าเพลงกับแทนไทคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่น้องปีหนึ่งกับพี่ปีสามแน่ๆ เผลอๆทั้งสองคนคงนอนด้วยกันไปแล้ว แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือแทนไทไม่มีสิทธิ์ทำตัวเหยียดหยามหรือทำกิริยาไม่ดีกับเพลง อันนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ
ยังไงเพลงก็เป็นเพื่อนผม
แล้วดูสิ่งที่มันทำ
สมควรโดนหมัดป่ะ
แต่ถึงมันจะพูดจาวอนขนาดไหน ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อยมัน ผมต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆที่ให้อารมณ์โกรธเสี้ยววินาทีทำลายทุกอย่าง ผมไม่อยากจะคิดว่าเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างนอกจะโดนอาจารย์ดุว่าอะไรบ้าง จะโดนลงโทษอะไร หรือจะทำยังไงต่อไป รวมถึงผมที่นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย
ผมไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเลย
เพราะอย่างนั้นผมเลยอยากให้อาจารย์รีบเดินกลับมา แล้วบอกสักทีว่าจะเอายังไงกับผม จะลงโทษ หักคะแนน เขียนรายงาน หรืออะไรก็บอกมา ปล่อยให้ผมรอแบบนี้มันก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมาอยู่ดี
ผมถือวิสาสะหยิบสก็อตเทปที่วางอยู่บนโต๊ะมาพันรอบเครื่องเคาะสัญญาณที่เอาแต่ร้องไม่หยุด
ไอ้เสียงบ้านี้ยิ่งจะทำให้ผมสติแตกเข้าไปใหญ่
แอด
ผมนั่งตัวตรงและหันกลับไปยังประตูเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา อาจารย์เลื่อนสายตามามองหน้าผม ก่อนที่จะส่ายหัวหน่ายออกมา
“จารย์รู้แล้วนะว่าเกิดอะไรขึ้น” อาจารย์พูดขึ้นหลังจากทิ้งตัวลงนั่งแล้ว
“ทำไมเธอทำแบบนั้นล่ะวรมินทร์ เธอไม่ใช่เด็กไม่ดีนะ” อาจารย์ต้นพูดกับผมด้วยสายตาจริงจัง ผมรู้จักกับอาจารย์ต้นดี ผมเคยมีอาจารย์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจค ซึ่งอาจารย์ก็ช่วยผมไว้ทุกอย่าง และเป็นคนมีเหตุผลมาก อาจจะเพราะผมสนิทกับอาจารย์ด้วย อาจารย์ถึงได้มารับหน้าที่เคลียร์กับผมแบบนี้
“ขอโทษครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ยิ่งเห็นสายตาผิดหวังจากอาจารย์แบบนี้แล้วด้วย
“ขอโทษมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะวรมินทร์ คุณต้องหาวิธีแก้ปัญหา ลองบอกจารย์มาสิว่าคุณคิดจะทำยังไง”
“ผมยอมรับผิดทุกอย่างครับ แล้วแต่อาจารย์จะลงโทษ” อาจารย์ต้นถอนหายใจยาวออกมาหลังจากผมพูดจบ
“แล้วผมควรทำยังไงล่ะ คุณลองบอกมาหน่อยสิ”
ผมเงียบ เพราะไม่มีคำตอบดีๆให้คำถามนั้นจริงๆ
“ขออนุญาตครับ” ผมเลื่อนสายตาจากการก้มหน้างุดไปยังคนที่พึ่งเข้ามาใหม่
พี่ติณห์อยู่ในสภาพเหงื่อท่วมตัวเหมือนรีบร้อนวิ่งมา เจ้าตัวไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เพียงแต่ยกมือไหว้อาจารย์ต้นและทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆผมตามที่อาจารย์อนุญาตเท่านั้น
“ว่าไงเตชินท์ คุณมีธุระอะไร” อาจารย์ต้นหันไปคุยกับพี่ติณห์
“ผมเป็นพี่ของวาครับ”
“คุณเป็นพี่รหัสเขาเหรอ” อาจารย์ต้นถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่ครับ... ผมเป็นคนทำให้วาเป็นเฮดว้ากครับ” ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ยังคงหยุดสายตาอยู่ที่พี่ติณห์ พี่คิดจะทำอะไรกันแน่...
“เพราะผมเป็นคนสอนวามา การที่วาทำผิดพลาด... ผมก็ควรจะต้องรับผิดด้วยครับ”
“ไม่ได้! พี่ติณห์ไม่ได้ทำอะไรผิด” ผมโพล่งออกไปทันที
“ผมผิดสิ ผมผิดที่สอนคุณมาไม่ดี” พี่ติณห์เลื่อนสายตามามองผม ผมส่ายหัวปฏิเสธประโยคนั้นทันที
“พี่สอนผมมาดีแล้วพี่ติณห์ พี่สอนผมมาทุกอย่าง พี่บอกผมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันว่าผมไม่มีสิทธิ์พูดคำหยาบหรือทำร้ายร่างกายน้อง ผมยังจำได้อยู่เลย แต่มันผมเองแหละพี่... ผมเองที่ผิด ผมเองที่ทำตามที่พี่บอกไม่ได้ พี่ไม่จำเป็นต้องมารับผิดแทนผม”
“ผมไม่ได้รับผิดแทนคุณ แต่ผมรับผิดร่วมกับคุณ ถ้าคุณรู้ว่าคุณทำผิด ทำไมถึงยังทำวา ทำไมไม่คิดให้ดีก่อน!” ผมเม้มปากเมื่อพี่ติณห์ดุผม สายตาของพี่ติณห์มีความไม่เข้าใจ หงุดหงิด และผิดหวังในตัวผมอยู่ลึกๆ ซึ่งทั้งหมดนั้น มันทำให้ผมรู้สึกแย่มากจริงๆ
“ผมขอโทษครับ” ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้แล้วใช่ไหมวา
ทำไมถึงพูดได้แค่นี้นะ
“ผมจะรับผิดร่วมกับวาครับ” พี่ติณห์ละสายตาจากผมไปยังอาจารย์ต้นที่นั่งฟังอยู่
“ฟังนะเตชินท์ วรมินทร์ จารย์รู้ดีว่าพวกเธอก็ไม่ได้ผิดทั้งหมดหรอก แต่มันผิดที่เธอทำร้ายร่างกายน้อง ถ้าครอบครัวเขาเอาเรื่องและฟ้องร้องขึ้นมา มันจะเป็นเรื่องใหญ่โตเธอเข้าใจใช่ไหม” ผมเข้าใจดี ผมทำให้ทุกอย่างมันดูแย่ไปหมด ทำให้การรับน้องกลายเป็นการใช้ความรุนแรง ทำให้ผู้ปกครองหลายๆคนไม่ไว้ใจมหาลัย หรืออาจจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของมหาลัยเลยก็ได้
“อาจารย์จำเป็นต้องลงโทษ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และแสดงว่ามหาลัยไม่ได้เพิกเฉยต่อการกระทำผิดของนิสิตในครั้งนี้” ผมยังคงรับฟังเงียบๆ
“อาจารย์ก็ไม่อยากลงโทษอะไรพวกเธอหรอกนะ ถ้าใครพอจะเสนอได้ว่าจารย์ควรจะทำยังไง ก็ได้เลย” อาจารย์ต้นถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้ว อาจารย์ดูเป็นกังวลมากจริงๆ
“ผมขอลาออกครับ” อาจารย์ต้นและพี่ติณห์หันมามองหน้าผมทันที
“ผมขอลาออกจากตำแหน่งเฮดว้าก โดนหักคะแนน โดนบำเพ็ญประโยชน์ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการรับน้องอีก เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ผมทำไปครับ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทุกคนรู้ใช่มั้ยว่าเราจะพูดอะไร 55555555 เรื่องของเรื่องคือตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนประเด็นต่อยน้องให้จบไปเลยในบทเดียวแต่เขียนไปเขียนมา มันยาวแหะเลยตัดแบ่งไปไว้ตอนต่อไป ดังนั้นจะไถ่โทษที่อัพช้าด้วยการอัพตอนต่อไปเร็วกว่าเดิมนะคะ
ถ้าเราเป็นวา เราก็คงต่อยแทนไทอ่ะ 555555
เจอกันเร็วๆ (จริงๆ) นี้ค่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสารน้องงงง
เดี๋ยวแทนไทจะโดนมิใช่น้อย
สนุกมักๆเลย
มัวแต่วนอ่านซ้ำจนไม่ได้อัพเรื่องตัวเอง55555