ตอนที่ 10 : me and mymind
10
การมีเรียนคาบบ่ายทำให้ผมพอมีเวลาเหลือในการวางแปลนโมเดลบ้านที่อาจารย์สั่งไป dueส่งงานนี้คืออาทิตย์หน้าและมันก็ควรจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว จริงๆงานนี้ไม่ใช่งานหลักของพวกเราสถาปัตย์ปี3หรอกครับ มันเป็นเพียงงานชิ้นเล็กๆของคลาสพิเศษ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่ได้จะทิ้งขว้างหรือทำให้มันเสร็จๆไปหรอกนะครับ จารย์สอนวิชานี้โหดจะตาย ขืนทำส่งๆได้Dมานอนกอดแน่ และนั้นขัดต่อเกียรตินิยมของผมมาก
ผมไม่ได้ถึงขนาดจะขาดหวังเกียรตินิยมอะไรนะ แค่ทุกปีมันทำมาดีและผมก็เหลือเดินอีกแค่ครึ่งทาง ถ้าทำให้มันออกมาดีอย่างที่เคยได้ก็จะทำเท่านั้นเอง
ข้อดีของการได้เกียรตินิยมคือมันไม่ต้องรอไล่ตัวอักษรตอนรับปริญญานะครับ
ยิ่งคนตัวอักษร วอแหวน อย่างผมแล้วด้วย
‘มึงจะออกมากี่โมง’ เสียงไอ้พีทดังตามสายออกมา
‘เกือบบ่ายแหละ’
‘แดกข้าวไหนอ่ะ’
‘เดี๋ยวกินที่หอ’
‘เค งั้นกูแดกข้าวเลยนะ’ ผมเออออตอบมันไป หลังจากนั้นไม่นานพีทก็กดวางสาย
สายตาผมกลับมาที่งานแต่สติจริงๆแล้วแทบจะไม่อยู่ที่เรื่องนี้เลย
ให้ตายเหอะพี่ติณห์
ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องของพี่ติณห์กับน้องเนมากขนาดนั้น แต่พอพี่ติณห์ไม่บอกมันก็ทำให้ผมหงุดหงิดชะมัด ผมก็คงจะผิดเองที่เป็นคนบอกพี่ติณห์ว่าจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ มันทำให้พี่เขาเลือกไม่ตอบเลยเนี่ย แต่แบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้เรื่องพี่ติณห์กับน้องเนดูเป็นปัญหาระดับชาติที่ขนาดผมเองก็รู้ไม่ได้
มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ผมควรเลิกคิดเรื่องบ้านี้สักที
มันทำให้บ้านผมเบี้ยวไม่เห็นเหรอ
ผมรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ รู้ดีว่าอะไรทำให้ผมเป็นแบบนี้ และผมก็รู้จักตัวเองดีพอ
ผมรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรกับพี่ติณห์
ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเริ่มกับคนๆนี้ แต่ผมรู้ว่ามันเริ่มขึ้นแล้ว
ผมกำลังถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
ผมชอบที่มีแค่ผมที่ได้ฟังเรื่องต่างๆจากพี่ติณห์ ชอบที่ผมเคยมีช่วงเวลาในวัยเด็กกับพี่ติณห์ ชอบที่พี่เขานั่งฟังผมเล่าเรื่องต่างๆโดยไม่เคยบ่น ชอบที่เรานั่งทำโมเงียบๆด้วยกัน ชอบที่พี่เขาใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆโดยที่เขาเองอาจจะไม่รู้ตัว ชอบที่พี่ติณห์คอยช่วยเหลือผม
ผมชอบทุกอย่างเหล่านั้น
และมันคงแย่ถ้ามีใครแย่งสิ่งเหล่านั้นจากผมไป
ผมคงยังไม่กล้าพูดว่าผมชอบพี่ติณห์ แต่ผมแค่ชอบหลายๆสิ่งที่พี่เขาทำให้
มันอาจจะฟังดูเข้าข้างตัวเองนะ เพราะผมก็ยังหาข้อแตกต่างไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาทำให้ผมมันต่างจากที่เขาทำให้คนอื่นตรงไหน
ความรู้สึกของผมตอนนี้มันเป็นเพียงความรู้สึกดีๆที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ไม่สามารถหยิบจับขึ้นมาพูดได้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน แต่มันมีตัวตนอยู่แน่ๆ
ผมไม่ได้ต้องการครอบครอง ไม่ได้อยากให้พี่เขามองแค่ผมคนเดียว ไม่ได้จะขวางทางคนทุกคนไม่ให้เข้าใกล้พี่เขา ไม่ได้หึงหวงพี่เขาเป็นพิเศษ
อย่างที่บอกว่าตอนนี้มันเป็นเพียงความรู้สึกดีๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นเท่านั้น
ผมแค่ไม่อยากให้พี่เขามีใครสักคนมาแทนที่ผม ใครสักคนที่พี่ติณห์จะเล่าเรื่องให้เขาฟัง แชร์ความรู้สึกกับคนนั้น ชวนไปกินข้าว ขอให้ไปช่วยทำโม ซื้อน้ำให้ หรือให้คำปรึกษา
ใครที่ไม่ใช่ผม
อันนั้นผมยอมไม่ได้
ที่สำคัญ ผมไม่เคยชอบผู้ชาย
ผมยังยืนยันกับตัวเองไม่ได้ว่าพี่ติณห์จะเป็นผู้ชายคนแรกที่ผมชอบ
มันจะอะเมซิ่งไปหน่อยนะ
‘ว่า’ ผมกดรับสายโทรศัพท์โดยที่ไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ
‘อยู่ไหนนน’ เสียงใสๆของหลิวดังตามสายมา
‘หอ’
‘มามอแล้วอย่าลืมสมุดเลกเชอร์ฉัน’
‘อ่าๆ’ หลิวตัดสายไปแล้ว แต่หลิวช่วยดึงผมให้กลับมาที่โลกปัจจุบันได้สักที
ผมทอดสายตาไปยังร่างภาพบ้านบนกระดาษที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแต่ก็ยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ผมถอนหายใจและตัดสินใจเก็บกระดาษแปลนลงกระเป๋าก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ
สายน้ำเย็นๆจะช่วยให้ผมสงบลงได้
ผมหวังแบบนั้น
“เชดเข้ เริ่มเป็นบ้านแล้วว่ะ”
“ก็ทำบ้าน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้พีทที่พึ่งมาถึง มันจ้องภาพแปลนที่ผมวาดอยู่และทิ้งตัวลงนั่ง
“ดูดีนะ” พอนั่งเสร็จ มันก็ไม่จ้องเปล่า เพราะมันหยิบกระดาษไปดูเลยครับ
“นี้วรมินทร์ไง” นานๆจะอวดตัวเองน่า ยอมๆหน่อยเถอะ
“จ้าาาาา” แต่ไอ้พีทไม่น่ายอม มันเบ้ปากและจ้ายาวๆใส่ผมอย่างประชดสุดๆ
“เสร็จแล้วส่งให้ดูหน่อยดิว่ะ”
“เออ” ผมตอบมันกลับไป พีทมักจะขอให้ผมส่งรูปแปลนที่เสร็จแล้วให้มันดูเสมอ ไม่รู้เพื่ออะไรเหมือนกันครับ มันบอกว่ามองแปลนคนอื่นเยอะๆแล้วได้แรงบันดาลใจทำงานตัวเองดี
เรานั่งคุยกันไม่นานอาจารย์ก็เดินเข้ามา
ถึงสถาปัตย์จะproject basedแต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีคลาสเลกเชอร์เลยนะครับ ยิ่งปีนี้เรียนเลกเชอร์ติดกันสองวันเลยด้วย
คลาสเลกเชอร์ไม่ได้เกิดมาเพื่อผมเท่าไหร่ ขนาดที่ว่าถ้าสถาปัตย์มีคลาสนี้สัก5ตัว ผมคงโดนรีไทร์แน่ๆ (อาศัยยืมสมุดเพื่อนมาอ่านเอาครับ) ผมจึงเพียงแค่นั่งฟังอาจารย์พูดไปด้วยแต่มือก็ปั่นงานไปด้วย
“มึงว่าเราจะรู้ได้ไงวะ... ว่าเราชอบใครสักคน” ความคิดในหัวผมยังคงเวียนวนอยู่เรื่องนี้สินะ
“เชดดดด” ไอ้พีทเบิกตากว้างใส่ผม มันคงจะงงแหละที่อยู่ๆผมก็ถามแบบนั้น
“มึงน่าจะรู้ป่ะวะ” และพีทก็ตอบกลับมาเพียงเท่านั้น ผมก็ไม่ได้ไก่อ่อนเรื่องความรักอะไรขนาดนั้นอ่ะเนอะ
“กูแค่สงสัย มันไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัดเลยเหรอว่าเราชอบเขาแน่ๆ”
“ตอนที่มึงสงสัยนี้ไง” ผมชะงักมือและเงยหน้าไปมองไอ้พีทที่นั่งอยู่ข้างๆแทน
“เฮ้ย ตอนนั้นกูยังไม่รู้สึกอะไรเลย”
“มึงเริ่มรู้สึกตอนนั้นแหละ”
เหมือนโลกหยุดหมุนกับคำตอบของพีท ผมนิ่งไป ก่อนที่จะดึงสติตัวเองกลับมาและหันกลับมาวาดแปลนต่อ
เริ่มรู้สึกตอนนั้นเหรอ
“กับใครวะ” พีทถามออกมาอีกครั้ง มันยังคงทอดสายตาไปยังอาจารย์เบื้องหน้า
“กูแน่ใจแล้วจะบอก” ผมกับพีทไม่มีเรื่องปิดบังกันอยู่แล้ว ความจริงคือเราสนิทกันมากจนมักจะมองกันออก ดังนั้นเลยไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถปิดบังกันได้ซะมากกว่า
“เค” พีทตอบรับและมันก็หันไปฟังอาจารย์ต่อ ผมก็เริ่มเข้าด้ายเข้าเข็มกับการวางแปลน ไอเดียมันเริ่มมานะครับ
“เดี๋ยวนะ” ไอเดียกูเกือบหายแหนะ ก็อยู่ๆพีทมันก็หันขวับมามองหน้าผมเฉยเลย
“อะไร”
“น้องพิ้งค์เหรอ” จบประโยคนั้น ผมก็กลอกตาใส่ เสียเวลาที่เงยหน้ามาฟังจริงๆ ก่อนที่จะหันกลับมาวาดต่อ โดยไม่ลืมที่จะส่งนิ้วกลางไปให้ไอ้พีทแทนคำพูดทุกอย่าง
“ไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้พีททำหน้าเซ็งเมื่อทายไม่ถูก
ทายให้ตายมึงก็ไม่น่าจะทายถูกหรอก
“มึงใช้อะไรคิดว่าจะเป็น0043”
“จะไปรู้เหรอ เห็นช่วงนี้มึงก็มีข่าวแค่กับน้องพิ้งค์” ถึงกับใช้คำว่ามีข่าวเลยแหะ
“ข่าวนี้มาจากไหน หลิวเหรอ?” ก็รู้อยู่ว่ายัยหลิวบิ้วผมกับพิ้งค์จะตายยังจะเชื่ออีก
“เออๆไม่ใช่ก็ไม่ใช่ว่ะ” พีทบุ้ยปาก
“แน่ใจแล้วบอกกูด้วยล่ะกัน” โดยไม่ลืมที่จะย้ำผมส่งท้าย
“เออ”
แต่มันจะแน่ใจเมื่อไหร่เนี่ยสิ
"สวัสดีค่ะ/ครับ” ผมพยักหน้ารับเสียงไหว้อย่างแข็งขัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละวันนั้นที่ผมลงโทษไปมันทำให้ปีหนึ่งจำได้ดีเลยว่าต้องสวัสดีทุกครั้ง
“สวัสดีครับปีหนึ่ง ช่วงนี้พวกคุณคงวุ่นๆกับการเรียนเป็นพิเศษ” ถึงจะต้องเข้าห้องเชียร์แต่ก็ยังต้องเรียนนี้ครับ ผมจำได้เลยว่าช่วงนั้นค่อนข้างจะทรหดมาก ทั้งเรียน ทั้งรายงาน ทำโม ส่งแปลน ไหนจะเข้าเชียร์ และยังกิจกรรมที่ต้องทำสำหรับรับน้องที่พวกพี่สั่งอีก ยิ่งปรับตัวยังไม่ได้ด้วยแล้ว เป็นช่วงเวลาที่หนังหน่วงสุดๆ (ผมต้องทำงานให้มอด้วยครับ เกือบตาย)
ยืนยันคำพูดของผมจากปีหนึ่งหลายคนที่เผลอพยักหน้ารับอย่างแรง
“แต่คุณก็ต้องผ่านมันไปให้ได้นะครับ ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว” ปีหนึ่งบางคนหลุดชักสีหน้าออกมา คงจะหวังลึกๆว่าจะพักการเข้าเชียร์ไปสักพักล่ะมั้ง
ฝันไปเถอะ
“อีกไม่นานจะถึงงานเฟรชชี่เกมส์แล้ว” นี้แหละคือประเด็นหลักที่ผมต้องพูดวันนี้
“ผมหวังว่าพวกคุณจะทำให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเรื่องแสตนหรือกีฬา” ไอ้กิตหันไปทำหน้าหูยใส่ไอ้แจนที่นั่งข้างๆทันที ถ้ามันรู้ว่าไอ้เพื่อนที่นั่งข้างๆมันคือพี่รหัสมัน คงจะตกใจแย่
และคงจะช็อคไปเลยถ้ารู้ว่าผมเป็นลุงรหัสมัน
“สำหรับคณะสถาปัตย์ของเรา อย่างน้อยๆ... ผมหวังว่าเราจะติดtop 5” คราวนี้เสียงโหวกเหวกดังออกมาทันที ในมหาลัยมีคณะตั้งสิบยี่สิบคณะ การจะให้ปีหนึ่งทำให้ติดtop 5ให้ได้เนี่ยมันใช่เรื่องง่ายที่ไหน ยิ่งคณะสถาปัตย์จะต้องรวมทุกสาขาวิชาแล้วด้วย คนเยอะก็ยิ่งมากความ เป็นความจริงเสมอนะครับ
“ถ้าพวกคุณทำไม่ได้...” ปีหนึ่งยอมเงียบเสียงลงเมื่อผมพูดต่อ
“ก็ไม่ต้องปลดระเบียบ”
ปลดระเบียบคือการปลดเครื่องแบบนักเรียนที่ถูกเป๊ะของพวกปีหนึ่งนั้นเองครับ ตอนนี้น้องผู้หญิงปีหนึ่งทุกคนต้องใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมตาตุ่ม เสื้อตัวใหญ่กว่าตัวสักเบอร์หรือสองเบอร์ ต้องติดกระดุมเสื้อนิสิตจนครบ และยังต้องใส่รองเท้าหุ้มส้น ส่วนน้องผู้ชายก็ต้องใส่กางเกงสแล็คขายาวสีดำ เสื้อนิสิตที่ต้องติดกระดุมจนครบเหมือนกัน ร่วมด้วยรองเท้าคัชชู
ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่โครตจะไม่เมคเซ้นส์ที่สุดของการรับน้องที่ผมรู้จักมา ก็พวกเราคณะสถาปัตย์ปกติใส่ชุดนิสิตมามหาลัยก็บุญโขแล้วครับ ยิ่งพี่บางคนใส่ชุดธรรมดามาเลยด้วยซ้ำ (คณะเราไม่เคร่งครับ) การที่บังคับให้ปีหนึ่งแต่งตัวแบบนี้จึงทำให้พวกน้องๆไม่ชอบเป็นพิเศษ
และวิธีที่จะหลุดพ้นจากเครื่องแบบนี้ได้ก็คือคำสั่งปลดระเบียบ
จากปากเฮดว้ากอย่างผมเอง
“เข้าใจไหมครับ!”
“ครับ/ค่ะ” ปีหนึ่งรับคำ ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจแล้วล่ะนะ
ทุกคนคงอยากปลดระเบียบกันจะแย่แล้ว
“ฝนตกเนี่ยนะ!” เสียงไอ้พีทบ่นออกมาทันทีที่พวกเราปีสามเดินออกมาจากห้องเชียร์หลังจากประชุมเชียร์เสร็จ ห้องเชียร์มันก็มืดแสนมืดทำให้ไม่รู้นะสิว่าข้างนอกฝนตก
ใครมันจะไปคิดล่ะว่าฝนจะตกในฤดูร้อนที่อุณหภูมิเฉียดเข้าเลขสี่สิบทุกวันแบบนี้
“พายุฤดูร้อนแน่เลยว่ะ” หลิวพูดขึ้นมา ทุกคนมองไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ก็ฝนเทลงมาเหมือนฟ้าร่วง แล้วไหนจะลมแรงๆนั้นอีก
“แต่พายุฝนแบบนี้มักจะตกไม่นานนะ” positive thinkingสุดๆขนาดนี้คงหนีไม่พ้นปายนั้นแหละ
“รีบกลับก่อนที่มันจะตกแรงกว่านี้ดีกว่าว่ะ” ไอ้พีทหันมาบอกผมก่อนที่มันจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก ซึ่งผมแน่ใจมากๆว่ามันกำลังโทรหาไอ้พาร์ท
“ไปก่อนนะแก” หลิวหันมาบอกผม และเดินหลบฝนออกไปกับปาย
“ไปล่ะมึง” ผมโบกมือลาเพื่อนคนอื่นๆอีก ไอ้พีทที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยังคงบ่นไอ้พาร์ทอยู่แบบนั้น จนตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับพีทเท่านั้น
“พาร์ทกำลังมา มึงกลับยังไงเนี่ย ให้กูวนรถไปส่งเปล่า”
“มึงไปก่อนเลย กูลืมแฟ้มว่ะ” ผมชะงักขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบแฟ้มใส่งานมา พอบอกพีทจบ ผมก็เดินกลับไปที่ห้องเชียร์เพื่อหยิบงานทันที
“ให้รอไหมวา!” ผมหันกลับมาตามเสียงเรียก ก่อนที่จะเจอกับพาร์ทที่พึ่งมาถึง
“ไม่ต้องๆ พวกมึงกลับไปก่อนเลย” ผมยืนยันอีกครั้ง
ผมเดินกลับเข้ามาในห้องเชียร์ และก็เจอแฟ้มเจ้าปัญหาวางหลบมุมอยู่บนเก้าอี้ที่มุมห้อง ก็ว่าทำไมผมมองไม่เห็น เล่นมาอยู่ซะริมเลย ผมหยิบเจ้าแฟ้มนั้นมาและหันหลังออกมาจากห้องเชียร์
ฝนยังคงตกเหมือนเดิม และผมว่ามันตกหนักกว่าตอนแรกที่ผมจะวิ่งกลับเข้าไปในห้องเชียร์ด้วยซ้ำ ผมยืนมองสายฝนอยู่อย่างนั้น ในหัวกำลังคิดว่าจะกลับหอยังไงดี
“พี่วา” และความคิดของผมก็หยุดลงพร้อมกับเสียงใสๆที่เรียกชื่อผม
“...0043” พิ้งค์ยืนยิ้มกว้างส่งมาให้ผมเมื่อผมหันกลับไป
“ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะ” วันนี้ผมอุตสาห์ปล่อยน้องเร็วนะครับ เพราะแทนไทไม่ได้เข้าเชียร์ก็เลยเป็นไปโดยราบรื่นอีกวัน
“ทำรายงานกับเพื่อนนะคะ พึ่งเสร็จเลย” 0043นี้เป็นเจ้าแม่รวยยิ้มหรือยังไงกันนะ
“แล้วคุณกลับยังไง” คราวนี้พิ้งค์หุบยิ้มและหันไปมองสายฝนเบื้องหน้า
“นั้นสิค่ะ” ผมส่ายหัวหน่ายและหันมามองสายฝนอีกครั้ง ฝนก็ตกซะหนักเลยด้วยเนี่ย
“... รอฝนซามั้งค่ะ” พิ้งค์พูดออกมาอีก แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“หนูจะทำให้ได้นะคะ” ผมชะงักกับประโยคนั้นของพิ้งค์ แต่ยังคงนิ่งอยู่
“ทั้งเรื่องเรียน เรื่องรับน้อง และก็เรื่องเฟรชชี่เกมส์” คราวนี้ผมหันไปมองหน้าพิ้งค์
“หนูจะทำให้คณะเราติดtop 5ให้ได้ค่ะ!” สายตามุ่งมั่นบวกกับน้ำเสียงที่แสนมั่นคง ทำให้ผมพยักหน้ารับออกไป
“ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะกัน” แต่ยังไงก็มีตำแหน่งเฮดว้ากค้ำคออยู่จะให้ยิ้มกว้างให้กำลังใจออกไปมันก็ไม่ใช่เรื่องอ่ะเนอะ
“แน่นอนค่ะ พี่วาก็สู้ๆนะคะ” ผมขมวดคิ้ว
“เรื่อง?”
“ทุกเรื่องแหละค่ะ หนูรู้ว่าพี่ก็ไม่ได้สบายกว่าพวกเราเท่าไหร่หรอก เผลอๆจะหนักกว่าอีก” ผมผงกหัวรับคำให้กำลังใจนั้นอีกครั้ง
0043นี้มัน0043จริงๆ
เธอเป็นenergyของปีหนึ่งชัดๆ
“พี่วามีอะไรจะแนะนำไหมคะ” ช่างพูดช่างคุยและช่างยิ้ม เป็น3คำที่ผมคิดออกสำหรับ0043
“ไม่มี” จะให้แนะนำอะไรล่ะ
“มันน่าจะมีนะคะ ทริคอะไรก็ได้ค่ะ” ตอนนี้เธอมองหน้ากดดันผมแล้ว สุดท้ายผมก็พยายามนึกตามที่พิ้งค์ขอ
“แค่อย่าตึงเกินมั้ง” พิ้งค์ขมวดคิ้ว
“ลดอะไรได้ก็ลด เพิ่มอะไรได้ก็เพิ่ม ทำงานกับคนเยอะๆอ่ะ อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง” ผมไม่ได้แนะนำอะไรพิเศษนัก และก็เป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว แต่พิ้งค์ก็พยักหน้ารับอย่างตั้งใจฟังอยู่ดี
รู้สึกผิดเลยที่มันไม่น่าจะช่วยอะไรได้มาก
“เต็มที่นะคุณ” พิ้งค์ยังคงจ้องผมตาแป๋วเหมือนเดิม
“ครั้งหนึ่งในชีวิตอ่ะ”
เกือบหล่อแล้วแหละถ้าผมไม่ได้ขโมยประโยคนี้มาจากใครบางคน
คนที่ทำให้ผมไม่มีสมาธิทำงาน เรียน เข้าเชียร์ หรือแม้แต่คุยกับพิ้งค์ตอนนี้
ผมก็ยังนึกถึงเขา
“ค่ะ!!” ผมเกือบหลุดยิ้มออกมากับการรับคำของพิ้งค์แล้ว ดีนะหุบปากทัน
เกือบเสียงลุคแล้วไหมล่ะ
“พิ้งค์!” ผมกับพิ้งค์หันไปตามเสียงเรียก เป็นร่มสีแดงคันหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เมื่อมาถึงในระยะที่หลังคาตึกบังฝนได้ ร่มคันนั้นก็ลดลง
“หวัดดีครับพี่” เป็นแจนนั้นเอง แจนหันมาเห็นผมก่อนที่จะยกมือขึ้นไหว้อย่างกล้าๆกลัวๆ ตีบทแตกไปอีกกกก ผมเพียงแค่พยักหน้ารับไหว้นั้น
“ไปยังอ่ะ เนรออยู่” มันไหว้ผมเสร็จก็หันไปคุยกับพิ้งค์
“อ้อ ไปดิ” พิ้งค์ตอบ แต่ก็ยังคงไม่ก้าวออกไปตามที่แจนชวน
“พี่วากลับยังไงคะ”
“คุณกลับก่อนเลย” พิ้งค์ยังคงไม่ก้าวไปไหน
“แน่ใจนะคะ?”
“ผมบอกให้กลับไปก่อน คุณไม่ได้ฟังเหรอ0043” พิ้งค์บุ้ยปากเมื่อโดนผมดุ
“ก็ได้ค่ะ...” เธอยอมเดินไปกับแจนแต่โดยดี
“กลับดีๆนะคะพี่วา” แต่ก็ยังไม่วายหันมาส่งยิ้มหวานให้ผมอีกรอบ
แจนกับพิ้งค์เดินออกสู่สายฝนโดยมีร่มคันสีแดงช่วยบังสายฝนเอาไว้ ก่อนจะไกลกว่าสายตามองเห็น แจนก็หันกลับมายิ้มกว้างให้ผม ซึ่งผมก็ส่ายหัวหน่ายกลับไป ถ้าพิ้งค์เห็นนะ... มึงจะโดน
กลับมาสู่ตัวเองกับเสียงของสายฝนที่โปรยปราย ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับบรรยากาศอีกครั้ง
ผมชอบฤดูฝนที่สุดเลยนะ
ผมชอบไอเย็น เสียงฝน บวกกับเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าในบางช่วง ชอบที่ได้ขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา และจะยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ถ้าผมอยู่บ้าน เสียงของแม่กับวีรวมถึงลุงดนัยจะดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของผมเสมอ แม้ผมจะต้องโดนขุดออกจากผ้าห่มถ้าไฟดับ เพราะวีจะเริ่มงอแงตามประสา แม่จะเข้ามาตามให้ผมออกไปเล่นกับน้อง และกิจกรรมเล่นกับวีตอนไฟดับของผมก็คือเล่นเงานั้นเอง ผมถึงกับซื้อหนังสือวิธีทำรูปต่างๆมาเลยนะ
“วา!” ผมหยุดความคิดทุกอย่างไว้ เสียงที่ผมรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงโดยไม่ต้องหันไปมอง ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาทันที
“พี่ติณห์” ดูดีใจออกนอกหน้ามากเลยผม
“ทำไมยังอยู่อีกอ่ะ” พี่ติณห์เดินเข้ามาหาผม ก่อนที่ผมจะสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีเพียงพี่ติณห์คนเดียวเท่านั้น พี่ปี4ทั้งหมดก็กำลังทยอยลงมาจากตึกด้วยเหมือนกัน
“พึ่งประชุมเชียร์เสร็จนะครับ พี่พึ่งเลิกคลาสเหรอ” พี่ติณห์พยักหน้าเป็นคำตอบให้ผม
“ปี4โครตสุดๆ ถ้ามึงคิดว่าปี3โหดแล้วล่ะก็... เปลี่ยนความคิดได้เลย” พี่เมฆที่พึ่งเดินมาถึงเข้ามาร่วมวงสนทนาทันที
“มึงจะขู่น้องทำไมวะ แค่นี้น้องก็เหนื่อยจะแย่” พี่ติณห์หันไปบ่นพี่เมฆอย่างไม่จริงจังนัก
“กูเตือนเว้ย น้องมันจะได้รู้ว่าต้องเจอกับอะไร” ผมก็ไม่คิดว่าปี4จะเรียนชิลๆอยู่แล้วล่ะ แต่ยิ่งพวกพี่ย้ำขนาดนี้ก็เหนื่อยๆเลยแหะ
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถอยไม่ได้แล้วมั้ง” ประโยคนั้นพี่ติณห์หันมาพูดกับผม
“ผมไม่คิดจะถอยอยู่แล้วล่ะ” ถึงพวกพี่จะขู่ยังไงก็ตามที อีกนิดหนึ่งผมจะจบอยู่ล่ะนะ ใครจะถอยง่ายๆ
“เฮ้ยๆ เจ้มาล่ะ เจอกันเว้ยมึง” พี่เมฆโบกมือลาผมกับพี่ติณห์ ก่อนที่จะวิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถเบนซ์สีขาวมุก
“พี่มายมารับเหรอครับ”
“อืม แม่งโทรตามตั้งแต่จารย์ยังไม่ปล่อยเลยนะ” พี่ติณห์ตอบผมกลับมา
พี่มาย เป็นชื่อพี่สาวของพี่เมฆ ผมเคยเจอตอนรวมสายที่บ้านพี่เมฆอยู่ครั้งหนึ่ง เธอเรียนจบแล้วและก็กำลังทำงานอยู่ในบริษัทไฟฟ้าไม่ไกลจากมหาลัยเราเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าพี่เมฆไม่มีรถนะครับ มี แต่เจ้าตัวเป็นสายซิ่งมอเตอร์ไซต์อ่ะดิ ถ้าฝนตกก็จะรบกวนพี่มายมารับแบบนี้เป็นประจำ
“บายเว้ยติณห์ วา” ผมยกมือไหว้พี่ปี4อีกกลุ่มหนึ่งที่พึ่งผละออกไป และเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วด้วย
“แล้วเราจะกลับยังไงดีครับ” ผมหันไปถามพี่ติณห์
“นั้นดิ ผมก็ลืมไปเลยว่าฝนตก เมื่อกี้น่าจะวานพี่มายไปส่ง” แต่ก็ไม่ทันแล้วอ่ะเนอะ พี่ติณห์ทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า ก่อนที่เสียงเตือนข้อความเข้าจะทำให้พี่ติณห์หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดดู
ผมละสายตาจากพี่ติณห์ เพราะมันคงดูไร้มารยาทเกินไป ถ้าผมดูพี่เขาตอบข้อความ หลังจากเหม่อมองสายฝนอยู่สักพัก ผมก็ตกลงกับตัวเองว่าคงต้องรอให้ฝนซาหรือหยุดตกก่อนถึงจะกลับหอได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น มันคงอีกสักพักเลยแหละ
พี่ติณห์เห็นผมทิ้งตัวลงนั่ง ก็ทิ้งตัวลงนั่งตาม แต่ยังคงกดโทรศัพท์อยู่ ผมบุ้ยปาก สาบานได้ว่าถึงตอนนี้ผมเบ้ปากขนาดไหนพี่ติณห์ก็คงไม่หันมาเห็นหรอก
ผมไม่ชอบอยู่กับคนที่ติดโทรศัพท์เลย
ปกติพี่ติณห์ไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ จนตอนนี้เนี่ย
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดนั้น พี่ติณห์จะเล่นโทรศัพท์ คุยกับเพื่อน หรือกลับไปก่อนผมก็ยังได้ มันเป็นสิทธิ์ของพี่เขา ผมจะไปอะไรได้ล่ะ
สุดท้ายผมก็หยิบแปลนบ้านที่ยังไม่สมบูรณ์สักทีออกมาทำต่อ
“เจ๋งอยู่นะ” ผมหลุดเข้าไปในโลกที่มีแต่ผมและรูปแบบบ้านในหัว จนพี่ติณห์พูดขึ้นมา
“ขอบคุณครับ” ผมตอบกลับแต่ยังคงขีดเส้นนู้น ลบเส้นนี้อยู่
“ลายเส้นคุณนี้สุดยอด” พี่ติณห์ยื่นหน้าเข้ามาดูภาพที่ผมวาดใกล้ๆ
“พี่ก็ไม่แพ้หรอกครับ” ผมเคยเห็นงานพี่ติณห์ได้โชว์ในงานopen houseคณะผมด้วย ธรรมดาที่ไหนกันล่ะ
“แต่ลายเส้นคุณมันเจ๋งจริงๆนะ... มันดูมีเสน่ห์” ผมเลื่อนสายตาไปมองพี่ติณห์ เจ้าตัวยังคงมองภาพแปลนอย่างตั้งใจเหมือนเดิม
“พี่ชมผมเกินไปแล้วครับ” ผมโพล่งออกไป
“ผมพูดจริงๆนี้นา อันนี้ของคลาสพิเศษเหรอ” พี่ติณห์เงยหน้ามาคุยกับผมแล้วตอนนี้
“ใช่ครับ”
“ตอนทำคอนโดผมโครตเครียดเลยอ่ะ โครงสร้างมันใหญ่ขึ้น รายละเอียดก็เยอะขึ้น ตอนทำสเกล วางแปลน ทำโม ทุกอย่างเลยใหญ่และยากขึ้นไปอีกทวีคูณเลย” ผมยิ้มแหย่ๆส่งกลับไป หลังจากจบงานนี้ผมก็คงต้องทำคอนโดแล้วล่ะครับ มันต้องทำทั้งภาพวาดแปลน ภาพสามมิติ และทำโมด้วย วุ่นวายใช้ได้เลย
“แต่ผมว่าคุณต้องทำได้ดีอยู่แล้วแหละ”
“โหยยย พี่เชื่อฝีมือผมเกินไปล่ะนะ”
“เชื่อดิ ดูจากลายเส้นก็เชื่อแล้ว” ไม่พูดเปล่าพี่ติณห์ยังก้มหน้าลงไปมองลายเส้นอีกครั้ง
“พี่บอกว่าเชื่อมือผมขนาดนี้แล้วผมดีใจขึ้นมาเลยแหะ”
“ผมเชื่อฝีมือคุณมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ววา เชื่อ... จนคิดไว้ว่าถ้าสร้างบ้านจะจ้างคุณมาออกแบบเลย”
“จริงนะ!” ผมตาลุกวาวขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็ดูดีใจขึ้นตามความรู้สึก พี่ติณห์เลื่อนสายตามามองผม
“ลดราคาให้ผมด้วยล่ะ” ผมพยักหน้างึกงักรัวๆคืนไป ส่งผลให้พี่ติณห์ขำออกมานิดหน่อย ระยะห่างระหว่างเรามีน้อยมาก ผมไม่เคยเห็นหน้าพี่ติณห์ใกล้ๆขนาดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ผมเป็นนายจ้าง ผมโหดนะจะบอกให้”
“ผมยอมครับ” ความเงียบเข้าครอบงำเมื่อผมพูดจบ
ผมกับพี่ติณห์สบสายตากันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะไอเย็นจากสายฝน ละอองฝนที่โปรยมาถูกตัว กลิ่นดินอ่อนๆ หรือทุกๆอย่างตอนนี้รึเปล่าที่ทำให้เวลามันเชื่องช้าไปหมด ส่งผลผมได้มีเวลาสำรวจดวงตาสีดำขลับนั้นมากกว่าปกติ พี่ติณห์เป็นคนตาสองชั้น ต่างจากผมที่มีตาชั้นเดียว (แต่ผมตาโตนะครับ) ขนตาแพยาวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเรียงตัวอยู่บนเปลือกตาของผู้ชายทำให้ผมอดที่จะอิจฉาลึกๆไม่ได้
เหมือนลมหายใจถูกหยุดลง เมื่อพี่ติณห์เลื่อนสายตาจากดวงตาผมไล้ลงไปยังสันจมูก จมูก ริมฝีปากอย่างช้าๆ และหยุดสายตาอยู่ที่ริมฝีปากของผม ผมรู้สึกไม่มั่นใจกับริมฝีปากตัวเองขึ้นมาตอนนั้นเลย ความร้อนจากลมหายใจจากคนตรงหน้ายิ่งบวกให้ผมร้อนวูบวาบไปหมด
ให้ตายเหอะ
ผมไปถึงไหนแล้วเนี่ย
ตือตื่อดึ้ง
เราละสายตาจากกันเมื่อโทรศัพท์พี่ติณห์ที่วางอยู่ไม่ไกลแผดเสียงออกมาซะก่อน
ผมอดที่จะหงุดหงิดคนที่ส่งข้อความมาไม่ได้อยู่ลึกๆ
“ผมว่าเราวิ่งฝ่าไปไหมครับ” พี่ติณห์เพียงแค่หันหน้าจอโทรศัพท์มาดูและวางมันไว้ที่เดิมเท่านั้น ผมจึงได้เปิดบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็น่าสนใจนะ ถ้าผมไม่ได้สระผมไปเมื่อวาน” เพราะฝนเริ่มซาลงแล้วผมถึงได้เสนอแบบนั้น
“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ เดี๋ยวผมเช็ดผมให้” พี่ติณห์ละสายตาจากการอังมือให้น้ำฝนหยดใส่และหันมามองผม
“ตามใจคุณล่ะกัน”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เขินนนนนน (แต่งเองเขินเอง) วาเป็นคนมีโรคส่วนตัวสูงมากเลยนะ ถ้าไม่ใช่คนที่วาอยากให้เข้ามาในโลกจริงๆก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ นอกซะจากว่าเราไปอยู่ในหัวเขานั้นแหละ และพวกเราทุกคนก็เป็นอย่างหลัง 555 ต้องขอบคุณที่นิยายเรื่องนี้วาเป็นคนบรรยายเพราะถ้าคนบรรยายคือติณห์ เราจะไม่รู้เลยว่าไม่หัวของวามีความคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่ แต่วาก็เป็นคนที่อบอุ่นมากๆเลยนะ เรานี้อยากแต่งให้คู่กับเราแทน (เดี๋ยว)
ขอเรียกความรู้สึกของวาต่อติณห์ว่า ความรู้สึกที่ฟุ้งกระจาย ล่ะกัน คงต้องรอเวลาอีกหน่อยให้มันตกตะกอนเนอะ เราก็มารอเวลานั้นไปด้วยกันนะคะ
เรื่องกำหนดอัพ ขอบวกเพิ่มเป็นสองวันหนึ่งบทล่ะกันนะคะ
เจอกันค่าาาา
(แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลยนะ)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คะ=คะ/เสียงสูง