คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #52 : all i want is you
49
เทียนเหมือนแผ่นดินไหวก่อนที่สึนามิจะมา
เพราะหลังจากเรากินข้าวกันเสร็จ บอสก็มาถึงพอดี ซึ่งบอสก็คงสเตปเดียวกับเทียนครับ คือมองข้ามผมไปเลยและหันไปมองไอ้ซีแทน ไอ้คนถูกจ้องก็ร้อนๆหนาวๆจนต้องหันมาขอความช่วยเหลือจากผม แต่บอสนี้จะดรอปกว่าเทียนหน่อยเพราะมันไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่บอกว่าเอาของมาให้ผม (ซึ่งก็คือหนังสือและขนมอีกนิดหน่อย) ก่อนที่จะขอแยกออกไป ผมพยายามรั้งมันไว้ ก็ผมยังไม่ได้อธิบายอะไรสักคำเลยนิครับ แต่บอสกลับปฏิเสธ พอเห็นมันปฏิเสธแบบจริงจังเบอร์นั้น ผมก็เลยยกเลิกที่จะคุยกับมัน
ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ เทียนบอกว่าจะไปส่งบอสเอง ทั้งๆที่เธอจะกลับทีหลังก็ได้ พอผมตั้งท่าจะถาม เธอก็หันมามองผมนิดๆ จากที่รู้จักกันมา ผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่อยากให้ผมขัด สุดท้ายผมก็เลยปล่อยให้เทียนไปส่งบอสอย่างที่เธอต้องการ
Special Part : Tianhom
บอสยังคงเงียบแม้เราจะเดินออกมากันสักพักแล้ว ฉันไม่รู้ว่าหมอนี้กำลังช็อค กำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับคนพูดจนต้องอ้อนวอนให้หยุดแบบฉันนะ การที่ต้องมาเดินเงียบๆกับหมอนี้สองคนมันไม่เห็นจะโอเลยสักนิด
“นี้... โอเคเปล่า” ฉันหันไปทัก บอสปลายตามามองหน้าฉันนิดหน่อย ก่อนที่จะหันกลับไป
แบบนี้ไงฉันถึงไม่ชอบหมอนี้
“ฉันชื่อบอส” ถึงกับกลอกตาออกมาเองโดยอัตโนมัติ โอ้ยยยยยพ่อคุณ ฉันรู้แล้วป่ะ
“แล้วแต่ล่ะกัน” ฉันตอบกลับไปส่งๆ ไม่คิดจะยกเรื่องอะไรมาพูดกับหมอนี้อีกแล้ว
“เธอรู้นานแล้วเหรอ” แต่หลังจากที่เราเงียบกันไปอีกสักพัก บอสก็ยอมพูดออกมาอีกครั้ง
“พึ่งรู้เมื่อเช้า”
“แล้วไม่เฮิร์ตหน่อยเหรอ”
“ก็เฮิร์ตนะ แต่ฉันก้าวผ่านคำนั้นมาแล้วอ่ะ” พูดจบก็เผลอถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
“เออนี้ ฉันสงสัยอ่ะ” ฉันเลิกคิ้วใส่ประโยคนั้นของบอส
“เธอชอบเคียวใช่ป่ะ แต่เธอก็รู้ว่าเคียวกับซีคบกัน แล้วทำไมเธอยังโอเคอ่ะ”
“จริงๆก็ไม่ได้โอเคนะ เราเฮิร์ตมากๆอยู่ช่วงหนึ่งเลยอ่ะ แต่ไม่รู้ดิ... เราแค่ไม่อยากเสียเคียวไป ถึงจะเป็นแค่เพื่อนก็ยังดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรในชีวิตเขาเลย” บอสยกมือขึ้นมาตบมือ ซึ่งมันดังเกินเบอร์จนฉันต้องหันไปจิกตาใส่เลยล่ะ
“แต่เธอก็ยังชอบมันอยู่ใช่ป่ะ”
“อื้ม ชอบ... แต่ก็ไม่ได้หวังให้เขาชอบตอบหรอกนะ มันอาจจะมีบางครั้งที่เราทำตัวไม่น่ารักกับเคียวไปบ้าง แต่เคียวก็ไม่เคยว่า แถมยังโอเคอีก ทั้งๆที่เราโครตงี่เง่า เอาแต่ใจเลยนะ” รู้... ว่าทำตัวไม่น่ารักกับเคียวบ่อย แต่ถึงยังไงมันก็ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่แรกฉันเข้าหาเคียวเพราะว่าชอบเคียว ถึงตอนนี้จะบอกว่าเป็นเพื่อน แต่ในใจมันก็เปลี่ยนไม่ได้สักหน่อย ถ้ามันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ คงเปลี่ยนให้เคียวมาชอบฉันไปแล้ว
แต่มันเปลี่ยนไม่ได้ไง
“บางทีสถานะที่เราหวังดีกับเขา ห่วงเขา หวงเขา คอยดูเขาอยู่ห่างๆ มันก็ไม่ได้แย่มากหรอกมั้ง” อย่างน้อยๆก็ยังได้อยู่ข้างๆเขานี้นะ
ฉันปล่อยให้ตัวเองเหม่อมองท้องฟ้าที่ไร้เมฆในวันนี้ และก็คงจะเหม่อไปอีกไกลเลย ถ้าคนข้างๆไม่วางมือบนหัวฉันซะก่อน
“ฉันนับถือเธอนะ” ต้องรีบกลืนคำแว้ดลงคอไปเลยเมื่อบอสพูดแบบนั้น
“ถ้าเป็นฉันคงทำไม่ได้ว่ะ อยู่อย่างไร้ความหวังและเอาแต่เป็นห่วงเขาเนี่ย มันยากมากๆเลยนะ”
“มันก็ยาก แต่เทียบกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา มันก็คุ้มนะ” หลายๆครั้งที่ฉันนั่งนึกกับตัวเองว่า ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เคียว ถ้าเป็นคนอื่น จะตวาดและต่อว่าฉันขนาดไหน แต่เคียวไม่เคยเป็นแบบนั้น เคียวโอเคและรับฟังความงี่เง่าของฉันเสมอ
แล้วอย่างนี้จะทิ้งเคียวไปได้ไง
“แต่ก็เป็นรองคนของเขาป่ะวะ” ฉันบุ้ยปากใส่บอส
“ก็เออสิว่ะ เขาก็ต้องเลือกคนรักเขาแหละ แต่คนๆนั้นมันก็ซีนะ” บอสเลิกคิ้วกลับมา จะว่าไปหมอนี้ยังไม่เอามือออกจากหัวฉันเลยอ่ะ
“ซีเป็นคนดีนะ” ฉันพยายามไม่สนใจมือหนักๆบนหัวและพูดต่อประโยคจนจบ
“อ้าว สรุปว่าเธอชอบซีด้วยเหรอ”
“ไม่ได้ชอบแบบนั้นนนน ก็แค่รู้สึกว่า... ถ้าจะปล่อยเคียวให้ใครสักคน ถ้าคนๆนั้นเป็นซีก็โอเคอยู่” บอสยักไหล่และผลักหัวฉันเบาๆ เดี๋ยวนะ... นี้สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ
“ก็รู้แหละว่าซีเป็นคนดี แต่ไม่อยากให้เคียวได้คนที่ดีไปอ่ะ อยากให้เคียวเลือกเรา” บอสพูดออกมา เจ้าตัวคงแค่พูดไปตามความรู้สึกเท่านั้น สายตาที่หม่นแสงลงทำให้ฉันเดินเข้าไปใกล้บอสและวางมือลงบนหัวบอสบ้าง
“ไม่เป็นไรนะ สักวันต้องมีคนชอบนายบ้างแหละ” บอสขำกับประโยคนั้นของฉัน
“แม้นายจะจู้จี้จุกจิก ปากร้าย เอาแต่ใจ โลกหมุนรอบตัวเอง แต่นายก็จริงใจดีนะ” บอสถึงกับกลอกตาเลยเมื่อฉันพูดจบ
“เกือบดีล่ะเจ้”
“เจ้? ฉันเหรอ?” บอสพยักหน้าย้ำก่อนที่จะดึงมือฉันลง
“ฝากดูแลเคียวด้วยนะ” สายตาจริงจังกับน้ำเสียงที่แน่วแน่นั้นทำให้ฉันไม่กล้าที่จะพูดแซวอะไรออกไป ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“สักวันเจ้ก็ต้องเจอคนที่รักเจ้เหมือนกัน” ฉันกำลังจะอ้าปากพูดตอบไปแต่บอสกลับพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“แม้เจ้จะงี่เง่า เอาแต่ใจ จุ้นจ้าน ขี้หึง ขี้หวง ขี้บ่น น่ารำคาญ” ถึงกับอ้าปากค้างเลยครับ
“แต่เธอก็เป็นคนที่จัดว่าคบได้แหละ” ประโยคสุดท้ายพอจะกู้หน้ากลับมาได้หน่อยนะไอ้บ้า ฉันส่ายหัวหน่ายๆให้บอสและออกเดินอีกครั้ง
“เทียนหอม”
“ว่าาา”
“เราทีมเดียวกันล่ะนะ”
“ทีมอะไร”
“ทีมเคียวไม่เอาไง” ฉันตวัดสายตากลับไปมองหน้าบอส
“เออ! ตอนนี้ยอมอยู่ด้วยก็ได้ สักวันฉันจะลาออก” บอสระเบิดเสียงหัวเราะออกมา อะไรล่ะเนี่ย อารมณ์แปรปรวนรึเกิน
“นี้บอส”
“ห้ะ” บอสถามกลับทั้งๆที่ยังขำอยู่เลย
“ไปหาหมอไหม ฉันว่าแกเป็นไบโพลาร์นะ” บอสหยุดขำ ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่และเดินนำไปเลย
“จริงๆนะบอส! มันเป็นโรคนะเว้ย ต้องไปรักษานะ” แต่พอเดินตามไม่ทัน ฉันก็หยุดเดินและตะโกนออกไปใหม่
“ไหนว่าทีมเดียวกันไง! ไม่รอเจ้เลยนะ” ทั้งๆที่ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่บอสกลับหยุดเดินและหันกลับมาทางฉัน
“รออยู่เนี่ย รีบเดินมาเลย”
เป็นเจ้หมอนี้บางทีอาจจะดีก็ได้แหะ
Special Part : The End
2-3 สัปดาห์ต่อมา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมกับซีกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
เทียนกับบอสดูสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีผมก็เห็นเธอไปช็อปปิ้งกับบอส2คนด้วย แต่พอผมแซวเข้าหน่อย เทียนก็จะสวดผมยาวถึงโลกหน้า และปิดท้ายด้วย เพื่อนกันเคียว เคลียร์นะ จบ! ก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนกันจริงรึเปล่า แต่ถ้าเทียนกับบอสคบกัน ผมก็คงดีใจแย่
ส่วนซีอาจจะไม่ได้เอาเรื่องคนพวกนั้นแต่มันก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ผมเห็นมันปรึกษาทนายและก็แจ้งเป็นบันทึกประจำวันเอาไว้บ้าง แต่ซีมันก็แค่ทำให้รู้ว่าถ้ามันจะสู้ มันก็สู้ได้มากกว่าที่จะหวังผล ก็รู้ๆกันครับว่าระยะเวลาคดีมันก็นานนับหลายปีมาแล้ว จะเอาอะไรกับกฎหมายบ้านเมืองเราล่ะจริงไหม และซีมันยังจ้างคนไปคอยเฝ้าที่บ้านมันแบบลับๆด้วย ผ่านมาสักสองสามอาทิตย์เรื่องทุกอย่างก็กลับมาเงียบเหมือนเดิม
สำหรับซีมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาสิ่งที่มันมีอยู่แล้วล่ะ
แต่ถ้าเป็นผมแน่นอนว่าผมไม่หยุดแค่นี้
ผมขอทำแทนซีแล้วนะครับ แต่ก็อย่างว่า ไอ้ซีมันอยากจบ มันไม่มีทางให้ผมทำแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อไม่มีอะไรที่ดูชอบมาพากลอีก ผมก็จะทำเป็นลืมๆให้ล่ะกัน
นอกจากเรื่องนี้ชีวิตของพวกผมก็คัมแบคสู่ความปกติสุขอีกครั้ง
อ้อ ยกเว้นเรื่องเรียนที่กดดันมากขึ้นไปอีก
เป็นมนุษย์ม.6นี้มันต้องแบกรับอะไรมากขนาดนี้เลยสินะ
ไหนๆก็ไหนๆ ผมเล่าย้อนเรื่องเมื่อไม่กี่วันนี้ก่อนล่ะกัน ซีได้คณะสถาปัตย์ตามที่มันหวังไว้ แถมมหาวิทยาลัยที่มันอยากเข้าซะด้วย เหลือแค่ไปสัมภาษณ์เท่านั้น ตอนนี้มันเลยง่วนกับการทำพอร์ตแบบจริงจังสุดๆ ส่วนผมนะเหรอ รอจนกว่าจะมีนานู้นถึงจะมีประกาศอะไรกับเขาบ้าง นี้ผมก็ปลงๆเอาไว้ล่ะว่าอาจจะต้องรอแอด ก็เอาเถอะ ขอให้ติดสักที่ล่ะกัน ไม่เกี่ยง
“เคียว เบาเสียงหน่อยได้ไหมวะ” เอาอีกล่ะ คำนี้อีกล่ะ ผมกลอกตาใส่อากาศและหันกลับไปมองไอ้คนรีเควสเมื่อกี้
“มึงก็แค่กลับไปทำที่ห้องครับซี” ซีเบ้ปากทันที ผมรู้เลยว่ามันจะพูดอะไรต่อ ตั้งแต่วันที่มันรู้ผล มันก็มักจะมานั่งทำพอร์ตที่ห้องผม อย่าถามว่าทำไมต้องห้องผม เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ไอ้การทำพอร์ตของคณะสถาปัตย์เนี่ยมันก็ไม่ได้หมูๆนะครับ นอกจากใส่กิจกรรมทั้งหมดที่เคยทำไป ก็ต้องใส่ผลงานที่ตัวเองทำออกมาด้วย เรื่องรูปผมไม่กลัวหรอกเพราะไอ้ซีมีเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเลือกใส่รูปไหนด้วยซ้ำ แต่เรื่องภาพวาดเนี่ยสิ
นี้เป็นความรู้ใหม่เกี่ยวกับซีที่ผมพึ่งรู้ มันวาดรูปสวยมากกกกก แต่เจ้าตัวบ้าการถ่ายรูปมากกว่า เลยหยิบกล้องมาถ่ายบ่อยกว่าหยิบดินสอมาวาด แต่การทำพอร์ตมันต้องมีหลายๆด้าน มันเลยต้องเริ่มนั่งวาดรูป และไอ้การวาดรูปของมันเนี่ย ก็อาศัยความเงียบสกิลเดียวกับวัดตอนเข้าพรรษานั้นแหละ ไอ้การจะให้ห้องผมเงียบขนาดนั้น
มันก็ไม่ใช่ป่ะ
จะว่าไปผมก็ไม่ได้รู้เรื่องของมันสักเท่าไหร่เลย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่อยๆเรียนรู้กันไป
ยังมีเวลาอีกเยอะต่อจากนี้
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ไป” เออรู้ แต่พูดบ่อยๆเผื่อมึงเคลิ้ม
“งั้นมึงก็ไม่ควรมาบ่นกูนะ เพราะมึงอาศัยห้องกูอยู่” ซีเบ้ปากหนักเข้าไปอีก ผมไม่รู้ว่ามันไปเอาไอ้ท่าทางงอแงแบบนี้มาจากไหน ตอนเห็นตอนแรกผมก็อี๋ๆนะ แต่พอนานๆเข้า ก็ต้องยอมรับว่าไอ้หน้าลูกหมานี้มันทำให้ผมใจอ่อนไปหลายครั้งล่ะ
“แค่เบาเสียงเอง... นะ” นั้นไง มันมาล่ะไอ้คำว่า นะ ผมหันกลับมามองทีวี ไม่ได้สนใจจะลดเสียงตามที่ซีขอด้วยซ้ำ
“เคียวววว”
“มึงกลับไปทำห้องมึงเลย” ผมตะโกนสู้มันกลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้หันไปมอง จนไอ้ซีมันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมและชกรีโมทไปเบาเสียง
“ซีรัส” ต้องให้กดเสียงใส่
“เอาน่า ไม่ได้เบาอะไรมากเลย”
“กูก็ไม่เข้าใจว่าไอ้การอยู่ห้องมึงเงียบๆ มันมีปัญหาอะไรมากจนมึงต้องถ่อมานั่งทำในห้องกู”
“ห้องกูไม่มีมึงไง” กูไม่หลงกลครับบอกเลย
“กูกับมึงเป็นอินจันที่ยังไม่ได้ผ่าตัดรึไง กูก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะรบกวนเนี่ย” ไม่ได้ตั้งใจจะตัดพ้อนะแต่ทำไมมันออกมาดูตัดพ้อยังไงไม่รู้
“ไม่ได้รบกวน แค่ขอเบานิดหนึ่ง” ก็รบกวนไม่ใช่เหรอวะ ผมกดปิดทีวีและลุกขึ้น
“กูไปนอนในห้องนะ” ยังไม่ทันได้เดินไปซีมันก็ดึงแขนผมไว้และฉุดให้นั่งดังเดิม แถมยังกดเปิดทีวีให้อีกตั้งหาก
“พูดอยู่ว่าห้องกูไม่มีมึง มึงจะหนีกูไปได้ไง” ผมจิ๊ปากใส่มัน
ผมว่าจะไม่คิดล่ะนะ แต่ตั้งแต่ที่เราทะเลาะกัน ซีมันก็ติดผมมากขึ้น ไม่ได้มากถึงขนาดไม่มีเวลาของตัวเองเลย แต่ก็นับว่ามากขึ้นกว่าเก่าสุดๆ แต่ถ้าถามว่าผมอึดอัดไหม
ก็ไม่นะ
แค่บางทีก็เซ็งๆกับมันบ้าง
แบบครั้งนี้
“กูเสียงดังไม่รู้ด้วยนะ” ผมเป็นฝ่ายหลบสายตามันอีกล่ะ ผมไม่ชินไอ้สายตาจริงจังแบบนั้นของมันเลย มันทำให้ผมเขวๆยังไงไม่รู้
“โอเค” ซีตอบรับและกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง
ผมกดเปลี่ยนช่องรายการไปเรื่อยๆ จะว่าไปตอนนี้own labelออกอากาศครบทุกอีพีล่ะนะ ถึงมันจะไม่ดังตูมตามแต่ก็มีกระแส #ซีเคียว ผุดขึ้นมาเยอะเหมือนกัน ด้วยความที่ตอนรายการฉายเป็นตอนที่ผมทะเลาะกับซี ผมเลยไม่ได้ติดตามข่าวสารหรือเล่นโซเชี่ยลเท่าไหร่ พอกลับมาเล่นก็ชะงักไปนิดหนึ่ง จะอัพอะไร จะทวีตอะไร ก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนกว่าเมื่อก่อน เดี๋ยวคนเขาเอาไปตีความผิดๆมันจะไม่ดีครับ
แม้ความจริงผมกับซีจะคบกันก็ตาม
บางครั้งผมก็อดนึกไม่ได้ว่าถ้าพวกน้องๆที่จิ้นรู้ว่าผมกับซีคบกันจริงๆ เขาจะดีใจหรือเสียใจ
“มึงเตรียมชุดงานปัจฉิมยัง” ซีทักขึ้นมา
“ยังอ่ะ รอพวกไอ้รูทอยู่” อีกไม่ถึงเดือน พวกผมก็จะจบม.6กันแล้ว แน่นอนว่าสามโรงเรียนของเรา งานปัจฉิมก็ต้องจัดรวมกันอยู่แล้ว จัดที่หอประชุมโรงเรียนผมนี้แหละครับ เวียนวนมาถึงศ.ล.สักที
“ธีมสีเทามันไม่ยากไปหน่อยเหรอวะ” ไอ้ซียังคงบ่นต่อไป
“เท่ดีออก” สำหรับคนชอบสีดาร์กๆอย่างผมแม่งโครตเข้าทางอ่ะ
งานปัจฉิมเป็นที่รู้กันว่าเป็นงานควงสาวมาอวด นี้เพื่อนๆในห้องผมก็เริ่มข่มๆกันบ้างแล้วว่าจะควงสาวสวยแอลลี่มา หรือบางคนก็ถึงขนาดจะพาแฟนที่คบกันตั้งแต่เด็กๆมาเปิดตัว หรือแม้แต่จะพาสาวสวยดีกรีดาราก็มีเหมือนกัน ผมคงเป็นหนึ่งในคนที่ขวานหาสาวสวยๆมาควงอวดเพื่อน ถ้าไอ้เวรนี้นั่งอยู่แถวนี้มันไม่พูดดักคอผมเอาไว้ตั้งแต่เริ่มมีข่าวเรื่องงานปัจฉิมแรกๆว่า มึงไม่ต้องหาคู่นะ กูชวนมึงไปเอง ผมเลยต้องยุติการหาสาวและเป็นคู่ควงให้ไอ้ซีแทน
ไม่ได้ถึงกับควงกันไปงานหรอกครับ แค่ต่างคนไม่ควงคนอื่นไปก็เท่านั้น
ผมตั้งใจจะควงเทียนไปสักหน่อยนะตอนแรก
“ชุดสูทเหรอวะ กูใส่แล้วต้องบวมแน่เลย”
“หยุดแดกสิครับ” ไอ้ซีพึ่งไปตัดผมทรงใหม่มา ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ดูดีแหละ แต่มันกินเยอะรึเกินช่วงนี้ ก็เลยออกแก้ม พอมาเข้ากับทรงผมใหม่ก็ยิ่งบวมเข้าไปใหญ่
“ก็อย่าชวนแดกสิว่ะ” คนแดกแล้วไม่ออกหน้าอย่างผมก็สบายไป
“ไม่บวมมากหรอก” เทียนถึงกับทักเลยครับว่าให้ซีกินน้อยๆหน่อย เดี๋ยวงานปัจฉิมไม่หล่อ แต่ถึงเธอจะแซวแบบนั้นแต่ผมว่ามันก็ไม่ได้ดูพองอะไรมาก แค่มีน้ำมีนวลเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ตอนดึงแก้มมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนดึงชีสสติ๊กออกจากกันดีนะ
“ลองมึงบอกว่ากูบวมดิ กูจะไปฉีดโบท็อก” ผมเบ้ปากใส่มัน ถึงจะรู้ว่ามันล้อเล่นแต่นึกภาพตามก็สยองเหมือนกันนะ
เออ จะว่าไปผมยังไม่ได้บอกใช่ไหม ว่าผมกลับมาอยู่หอแล้วนะครับ พ่อกับแม่พึ่งบินกลับไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คราวนี้ไปแลนดิ้งกันที่ปรากด้วยเหตุผลที่ใกล้เดือนแห่งความรักแล้วต้องไปสวีตกันหน่อย
ก็แล้วแต่นะ อย่าเอาน้องมาฝากผมก็พอ
“แล้วเจ้กัสจะขึ้นมาเมื่อไหร่” นึกถึงที่บ้านก็นึกขึ้นมาได้เลย
“วันพุธอ่ะ” ผมพยักหน้ารับ เจ้กัสตัดสินใจจะทำร้านขนมจริงๆจังๆแล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็จะขึ้นมาหาซื้อวัสดุอุปกรณ์เตรียมพร้อมที่กรุงเทพด้วยตัวเองเลย
“ชวนพี่แก้มไปด้วยดีป่ะ” จากการที่พี่แก้มก็บ้าขนม เจ้กัสก็บ้าขนม แถมยังอายุใกล้ๆกันด้วย
“เอาดิ” ซีตอบรับ
“กูจะได้ไม่ต้องโดนงอนตอนตอบคำถามกัสไม่ได้ว่าจะเอาอันไหน” ผมขำ แค่คิดภาพพี่แก้มกับเจ้กัสอยู่ด้วยกัน ก็ฟังไม่ทันแล้วววว
“เอ้อเคียว”
“หืม” ผมเลื่อนสายตาจากทีวีไปมองซี มันยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อเห็นผมหันไปมอง
“เสาร์นี้ไปดูหนังกันเปล่า” เรื่องแค่นี้ต้องทำตาวาวแบบนั้นด้วยเหรอวะ
“เอาดิ เรื่องไรอ่ะ”
“ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวไปดูเอาหน้าโรงล่ะกัน”
“อ้าว ไม่มีเรื่องที่อยากดูแล้วจะชวนทำไมวะ”
“ก็อยากไปดูหนัง ไปเที่ยว ไปซื้อของ ไปเดินเล่นกับมึงบ้าง” ผมเลิกคิ้ว
“เพื่อ?”
“ไปเดทกันแบบคู่อื่นๆไง” จบประโยคนั้นของซีผมก็เบือนหน้ากลับมาที่ทีวีทันที ไอ้ที่มึงชวนกูไปดูหนังนี้คือชวนกูไปเดทเหรอวะ
“ที่มึงนั่งอยู่ในห้องกูเนี่ย มันแอดวานส์กว่าเดทอีกป่ะ”
“ใช่ แต่กูก็อยากไปเดทกับมึงบ้างไง”
“แล้วมีใครที่ไหน เขาคบกันก่อนไปเดทบ้าง” ผมหันกลับไปมองหน้ามัน
“ก็คู่เรานี้ไง” พูดจบมันก็ส่งยิ้มกลับมาพร้อมกับลักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย
สนุกมากล่ะสิมึง
ถึงจะเรียกว่าชวนมาเดทแต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกับการมานั่งดูหนัง ซื้อของ และหาอะไรกินสักเท่าไหร่ ความพีคคือพวกผมพึ่งจ่ายค่าห้องของเดือนที่แล้วไป เดือนนี้เลยจนกันแบบสุดฤทธิ์ไอ้การจะหาของในห้างกินมันก็ดูจะลำบากไปหน่อย เราเลยออกมาเดินหาของกินที่ถนนคนเดินแถวนั้นแทน ในช่วงเวลา5โมงเย็นกว่าๆ คนมันก็เยอะจนผมรู้สึกว่าตัวเองไหลมากกว่าที่จะเดินแล้ว
ผมยังคงไหลตามผู้คนไปเรื่อยๆจนมีคนๆหนึ่งคว้าข้อมือผมไปจับและลากไปอีกทาง
“จะไหลไปไหนเล่า” พอลากพ้นผู้คนออกมาบ้าง ซีมันก็หันมาบ่นผม
“ก็คนมันเยอะ” ผมตอบมันกลับไป เราไม่มีจุดมุ่งหมายชี้ชัดว่าจะไปร้านไหนด้วย ผมเลยไหลๆไปก่อน
ซีไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มันอาจจะคิดได้แล้วก็ได้ว่าอยากกินอะไร ถึงได้เปลี่ยนมาจูงมือผมและเดินนำไป แต่จูงมือ... ในที่ที่คนเป็นล้านขนาดนี้ก็...
“กูเดินได้” ผมพยายามบิดข้อมือออกจากมือซี แต่เมื่อผมตั้งท่าจะดึงมือออก ซีมันก็เปลี่ยนจากจับข้อมือผมไว้เป็นจับมือผมไว้แทน แถมยังผสานมือเราไว้อีก
“อะไรของเมิง” ผมประชิดตัวมันได้ก็แว้ดใส่ทันที
“เดี๋ยวมึงหลง”
“มึงเห็นกูกี่ขวบเนี่ย” ว่าแล้วผมก็พยายามจะแงะมือออกจากมือมันอีกครั้ง
“โอเค กูอยากจับ และกูก็จะจับด้วย” ซีดึงผมเข้าไปใกล้และก้มลงมากระซิบแบบนั้น ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะมากจนทุกคนอยู่ในสภาพจะสิงกันอยู่แล้ว ผมคงจะบ่นและเดินหนีมันไปไกลๆ แต่อย่าว่าแต่เดินหนีเลยครับ เดินออกจากตรงนี้ยังยากเลย
เมื่อปฏิเสธไม่ได้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย คนเยอะขนาดนี้ คงไม่มีใครสังเกตหรอกมั้ง
กว่าเราจะฝ่ามรสุมคนมาได้ก็เล่นเอาคนเหงื่อท่วมเลยครับ และเราก็มาจบที่ร้านไอติมโบราณร้านหนึ่ง ที่เป็นร้านไม้ทั้งร้านเลย ซีมันคงตั้งใจจะลากผมมาที่ร้านนี้แหละ เห็นแก่ไอติม ผมจะไม่บ่นมันล่ะกัน
เราเข้าไปจับจองที่ในร้านและผมก็จัดการสั่งไอติมรสที่อยากกินทันที
“บรรยากาศดีจริงๆด้วยว่ะ” ซีไม่ได้สนใจจะดูเมนูด้วยซ้ำ มันยังกวาดสายตาดูรอบๆร้าน ดูการตบแต่ง ดูบรรยากาศไปเรื่อยๆ
“มึงกินรสไร” จนผมต้องออกปากถามมัน
“กินกับมึง” มาแย่งกูแดกอีก ผมก้มลงไปเขียนเพิ่มอีกสองสคูปก่อนที่จะส่งใบรายการอาหารให้พี่พนักงาน
“ไม่ได้เอากล้องมาเหรอวะ” ผมก็พึ่งสังเกตว่าซีไม่ได้แบกกล้องมาก็ตอนที่มันหยิบไอโฟนขึ้นมาถ่ายเนี่ยแหละ
“อื้ม ช่วงนี้ต้องอยู่ห่างกล้องหน่อย ต้องใช้มือให้มากๆ” หมายถึงวาดรูปสินะ
“วาดได้กี่รูปแล้วอ่ะ” ผมไม่รู้รายละเอียดว่ามันต้องวาดกี่รูปหรอกครับ รู้แค่ต้องวาดประมาณหนึ่ง
“เรื่อยๆอ่ะ เดี๋ยววันนี้กลับไปวาดร้านนี้”
“ที่มึงลากกูมาเนี่ย เพราะจะมาหาinspirationวาดรูปว่างั้นเถอะ” ไอ้ซีหันมาพยักหน้ารัวๆใส่ผม ยอมใจมันจริงๆ
“ไม่บ่นหน่อยเหรอ” มันคงเห็นผมเงียบๆถึงได้ทักขึ้น ผมไม่ได้ตอบซีทันที เพราะพี่พนักงานเอาไอติมที่ผมสั่งมาเสิร์ฟซะก่อน ทำเร็วเหมือนกันแหะ
“ไม่บ่นหรอก พอร์ตนี้มันชีวิตมึงเลยนิ” ผมตักไอติมเข้าปากและหันไปตอบซี
“ถ้าสมมติกูตกสัมภาษณ์ ปลอบกูด้วยนะ” ตอนประกาศผลมีสิทธิ์สัมภาษณ์ไอ้ซีมันก็ไม่กล้าดูครับ ให้ผมเป็นคนดูให้ แล้วก็เอาแต่พูดว่า เคียวๆ เดี๋ยวๆ ขอทำใจแปบหนึ่ง อยู่นั้นแหละ
“อย่าคิดว่าจะตกดิว่ะ มึงต้องคิดภาพตัวเองในชุดนักศึกษา กำลังเรียนอยู่ในคณะนั้น มองภาพให้มันชัดๆ เดี๋ยวมันก็เป็นจริงเองแหละ” จากการโดยแม่บังคับอ่าน The Power มา ผมเลยได้ทริกนี้มาครับ ทุกวันนี้ก็นั่งนึกภาพตัวเองเรียนสัตวแพทย์อยู่เนี่ย ฮือออออ
“โอเค” ซีตอบและตักไอติมถ้วยเดียวกับผมเข้าปาก
“เฉยๆใช่ป่ะ” ผมตักไอติมเข้าปากอีกคำและเงยหน้าไปมองหน้ามัน
“อร่อยดี” ไอติมโบราณรสชาติเจ้มจ้นมากเลยเหอะ ซีมันส่ายหัว
“ไม่ใช่ไอติม หมายถึงเดท” ผมเกือบปล่อยมือที่ถือช้อนอยู่แล้วเนี่ย ทำไมมึงพูดได้ธรรมดาอะไรขนาดนี้วะ แล้วทำไมกูเขินอ่ะ
“เหมือนไอติม” ผมดึงสติกลับมาและตอบกลับไป
“หมายถึงอร่อยเหรอ” กวนตีนสินะ ผมหรี่ตาใส่มันและยอมพูดออกไป
“หมายถึงดี”
“จริงๆแล้ว นี้เหมือนตอนที่เราทำมิชชั่นในown labelเลยนะ” ผมขมวดคิ้ว
“ตอนไหน”
“ตอนที่เราต้องหาspyด้วยกัน ที่เราคู่กันแล้วก็ไปโกงคู่อื่นอ่ะ”
“อ้ออออ ที่ป้าเจ้าของร้านจีบมึงให้ลูกเขาใช่ป่ะ”
“เออ จะว่าไปกูควรแวะไปบอกเขานะว่าคงไม่ได้แล้ว” ผมกับซีขำขึ้นมาพร้อมกัน มันผ่านมาสักพักแล้วสินะช่วงเวลานั้น
“ตอนแรกกูนึกว่ามึงจะหยิ่งๆ ขี้เกียจ ไม่ค่อยทำอะไร ไม่เข้าสังคม เป็นintrovertนิดๆซะอีก” introvertคือพวกปลีกวิเวก ไม่ค่อยเข้าสังคม หรือพวกที่คิดแต่เรื่องของตัวเองนะครับ ผมหลุดขำพรืดออกมากับคำพูดนั้นของซี
“หน้ากูมันดูไม่รับแขกใช่ป่ะ” ซีพยักหน้ารัวๆคืนมาให้
“แม่กูก็บอกเหมือนกัน” แม่ถึงกับบอกว่าหน้าผมไม่รับแขกอ่ะ ผมเฟลมากเลยตอนนั้น
“ตอนแรกกูคิดว่ามึงจะเป็นพวกติสท์ๆ พวกเข้าใจยาก แบบว่าพูดเหี้ยอะไรเข้าใจอยู่คนเดียวแบบนั้นเว้ย” ผมตอบกลับไปบ้าง
“แล้วจริงๆกูเป็นยังไง” ซีขำสักพักก่อนที่จะถามต่อ
“ก็เป็นแบบที่คิดตอนแรกนั้นแหละ” ไอ้ซีตบหัวผมไปหนึ่งที
“กูหมายถึงมึงก็เป็นคนติสท์ๆ แต่ไม่ถึงกับเข้าถึงไม่ได้อะไรขนาดนั้นนนน เอาจริงๆนะ มึงเป็นคนมองเห็นคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ รักครอบครัว รักทุกคนที่รักมึง กูนึกว่าเป็นนางสาวไทย ไอ้สัส” ผมอดจะด่ามันส่งท้ายไม่ได้จริงๆ
“ถึงกูจะมองเห็นคนอื่นก่อนตัวเอง แต่กูมองเห็นมึงก่อนคนอื่นนะ” ผมถึงกับโก่งคอทำท่าจะอ้วกทันที
“แต่มึงก็ผิดจากที่กูคาดเยอะเหมือนกันนะ” และซีก็พูดต่อ
“ยังไง”
“มึงกวนตีนอ่ะ เป็นคนมีเสน่ห์ชิบหาย ใช้เสน่ห์ฟุ่มเฟือยโครตๆ เป็นคนเพื่อนเยอะ เฮไหนเฮนั้น กล้าได้กล้าเสีย แต่กลับเป็นคนที่ครอบครัวห่วงที่สุด”
“ก็กูเป็นลูกคนเล็กนี้ว้า” ผมยักไหล่ตอบกลับไป
“กูก็ลูกคนเล็ก” เออลืมไป... ผมกำลังคิดจะหาอะไรมาเถียงไอ้ซีแต่เสียงใสๆเสียงหนึ่งก็ดังมาขัดไว้ก่อน
“พี่ซีใช่ไหมคะ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยได้ไหม” ผมกับซีหันไปตามต้นเสียงก่อนที่จะเจอกับน้องผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ที่ผมคาดว่าไม่น่าจะเกินม.ต้น
“มา พี่ถ่ายให้” ผมยื่นมือไปรับไอโฟนมาจากน้องและถ่ายรูปน้องกับซีให้
“หนูชอบพี่มากเลยนะคะ พี่เป็นไอดอลหนูเลย” ไอ้ซีถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกเลยตอนนี้ ตลกแหะ ฮ่าๆ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” มึงนั้นแหละที่ใช้เสน่ห์ฟุ่มเฟือยมาก
“ชอบพี่เคียวด้วยเหมือนกันนะคะ! พี่สองคนมาด้วยกันด้วยอ่ะ ฟินนนน” พูดจบน้องก็บิดไปบิดมา เล่นเอาผมกับซีถึงกับสตั้นไปเลย
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” น้องคงจะเรียกสติกลับมาได้แล้วจึงหันมาถามผมกับซี แน่นอนว่าผมกับซีก็พยักหน้ารับ
“พี่สองคนมีแฟนรึยังอ่ะคะ”
“มีแล้วครับ” ผมกับซีตอบขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่จะต่อประโยคต่อไปในใจ
นั่งอยู่ตรงข้ามนี้เอง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีเรื่องจะสารภาพ ตัดพลอตออกไปประมาณนึงเลยแหละ เหตุผลคือ ถ้าจะขึ้นพลอตใหม่มันจะเป็นการผูกปมใหม่ขึ้นมา แต่หลังจากที่เรานั่งคิดนอนคิดมายาวนานก็พบว่าปมที่มีตอนนี้มันก็ถูกแก้ออกอย่างสวยงามแล้ว ถ้ายัดปมใหม่เข้าไปอีก เรื่องมันอาจจะมีแต่น้ำก็ได้ ก็เลยตัดสินใจว่าตัดออกเลยล่ะกัน ดังนั้น! ตอนต่อไปจะเป็นบทสุดท้ายล่ะนะ
ต่อจากตอนจบเขาก็จะมีตอนพิเศษกันใช่ไหมล่ะ อยากให้มีไหมอ่ะ
ความคิดเห็น