คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #51 : its time to tell me your reason
48
ผมนั่งฟังไอ้ซีบ่นประมาณ15นาที ก่อนที่อยู่ๆมันจะเงียบลงซะเฉยๆ แถมยังเอาแต่จ้องหน้าผม มือก็ลูบปอยๆบริเวณที่ผมกัด เห็นแล้วรู้สึกผิดอยู่ลึกๆเหมือนกัน ก็ผมกัดจนเลือดซึม แถมยังบวมสุดๆ ช่วยไม่ได้นี้ว้า มึงก็กัดกูเหมือนกัน ผมเลิกคิ้วใส่ซีเพื่อถามว่ามีอะไร แต่มันก็ยังคงมองหน้าผมอยู่แบบนั้น
“ไรมึง”
“หิว”
“กูบอกให้แดกก็ไม่แดก”
“ตอนนั้นไม่หิวไง ตอนนี้หิวแล้ว” พูดจบมันก็ลุกมาคว้ามือผมไปจับและจัดการเดินลงไปด้านล่าง
เออๆจะทำอะไรก็ทำ กูยอมล่ะ
ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะนั่งรอมันกิน แต่พอเห็นมันต้มมาม่าและใส่ท็อปปิ้งแบบไม่มีงก (แน่ล่ะ ของบ้านผมนี้) ผมก็อดที่จะน้ำลายสอขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายผมก็มานั่งกินมาม่ากับซีจนได้
เรานั่งกินมาม่ากันแบบไม่พูดอะไรกันสักคำ ผมกินข้าวไปรอบหนึ่งแล้วเลยปล่อยให้ซีมันกินมากกว่า (นิดหนึ่ง) ระหว่างที่นั่งมองมันกินอยู่ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“จะทำแผลป่ะวะ”
“ทำดิ เดี๋ยวไม่หล่อ” จ้าๆ
“ทำเอง?” มันส่ายหน้า เลิกสนใจมาม่าสองวิ
“เดี๋ยวเมียทำให้” กวนตีน แล้วนี้สรุปผมยอมรับแล้วเหรอวะว่าผมเป็นเมียมันเนี่ย
อะไรนะ ผมควรยอมรับนานแล้วเหรอ
แต่จะว่าไป มันก็ยังไม่ได้ผมป่ะวะ จะเรียกว่าเมียก็ไม่ได้เหอะ
“แล้วทำไมอยู่ๆถอดเขี้ยวแล้วไปต่อยกับหนูวะ” ผมจิ้มลูกชิ้นในจานใส่ปากหนึ่งชิ้นและหันไปถามมัน
“ไปเป็นเพื่อนเป้”
“สรุปคือไอ้เป้มันหาเรื่องให้มึงสินะ กูบอกมึงแล้วไงว่าไอ้เพื่อนแบบนี้ให้เลิกคบไป” ซีส่ายหัวหน่ายๆใส่ความอคติของผม
“จริงๆแล้ว กูต่างหากที่หาเรื่องให้เป้”
“ยังไง”
“ก็กูปฏิเสธงานของบ.ค.ไปงานหนึ่ง เพราะกูไม่ค่อยมีกะจิตกะใจรับงานเท่าไหร่ กลัวมันออกมาไม่ดี พอกูปฏิเสธปุ๊บ ไอ้พวกนั้นก็เอาไปใส่สีกันใหญ่ กูก็เฉยๆนะ แต่ไอ้เป้มันไม่ยอม โพสต์ด่าฝั่งนั้นกลับไป โพสต์ด่ากันไปมา เป้มันก็โทรไปเคลียร์ แต่ฝ่ายนั้นก็กวนตีนอ่ะ เป้มันเลยนับตัวต่อตัว” ผมก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ถ้าซีมันไม่มีเป้มันคงขี้กากกว่านี้เยอะเลยอ่ะ ก็ดูดิแม่งยอมคนซะขนาดนี้
ข้อดีหนึ่งในล้านของเป้เลยนะ
“มึงก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีคำว่าตัวต่อตัวในพจนานุกรมของไอ้พวกนั้นอยู่แล้ว”
“ก็รู้ แต่จะปล่อยให้เป้ไปคนเดียวมันก็ไม่ใช่ป่ะวะ”
“ไม่ดิ จริงๆแล้วมึงไม่ควรไป ก็เรื่องมันเริ่มจากมึง พอมึงไปก็โดนรุมดิว่ะ” ผมยังจำภาพมันวิ่งหนีไอ้พวกนั้นได้อยู่เลย ซีตักน้ำซุปคำสุดท้ายเข้าปากและหันมามองหน้าผม
“วิ่งหนีคนเยอะขนาดนั้น เสือกวิ่งเข้าป่า นี้โง่หรือโง่วะ มึงจะไปวิ่งทันไหม” คือถ้าเป็นป่าโล่งๆต้นไม้สูงๆผมว่ามันก็น่าสนนะ แต่นี้มันป่าโครตรก รกแบบแทรกตัวเองเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำอ่ะ ซีกินมาม่าในจานจนหมดและหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม
อะไรวะ ไอ้รอยยิ้มนี้
“ไม่เห็นเป็นไร กูมีฮีโร่มาช่วยนี้ไง” หมายถึงกูสินะ
“มึงก็ต้องคิดเผื่อกรณีที่กูไม่อยู่บ้างป่ะ” ซีส่ายหัว
“ไม่คิด เพราะยังไงมึงก็ต้องอยู่” พูดจบมันก็เลื่อนมือมาจับมือผม แถมยังผสานกับมือมันแบบไม่ถามผมสักคำ
“มึงโอเคใช่ไหมเนี่ย” แม่งหวานจนกูรับไม่ทันแล้ว ซีไม่ได้ตอบ มันแค่ยักไหล่และเอาจานไปล้าง ผมก็ได้รับหน้าที่เช็ดจานไปตามปกติ ซียื่นจานใบสุดท้ายให้ผมและยืนมองผมเช็ดจานอยู่อย่างนั้น
“เคียว”
“ว่า” ผมนำจานไปเก็บและหันมามองซี ซีมันเลื่อนมือมาจับมือผมอีกครั้งก่อนที่จะจูงมือผมกลับไปชั้นบน ว่าแต่เมื่อกี้มันเรียกชื่อผมทำไมวะ
“มึงเรียกกูทำไม” ผมทักขึ้นมา ก็มันไม่พูดอะไรออกมาซะที ซีหันกลับมามองผม เหมือนมันชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่จะพูดออกมา
“บอสจีบมึงเหรอวะ” ผมสะลักน้ำลายทันที หันไปมองหน้าซีแบบอึ้งๆ อยู่ๆก็เลิกลั่กขึ้นมาซะอย่างนั้น แล้วผมจะเลิกลั่กทำไมเนี่ย มีพิรุธชิบหาย
“หรือไม่ใช่แค่จีบ” ซีหรี่ตาใส่ผม พอดีกับที่เราเดินมาถึงห้องผม
“มึงรู้ได้ไง” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่ถามกลับไปแทน ซียังคงจ้องหน้าผมอย่างจับผิด
“ข่าวออกจะดัง ใครๆเขาก็จิ้นมึงกับบอสกันทั้งนั้น” ผมโครตงงตอนเห็นน้องในโรงเรียนเอาผมกับบอสไปจิ้นกัน ไปๆมาๆกระแสมันก็แผ่ไปทั่วโรงเรียน ว่าผมกับบอสเนี่ยไม่ธรรมดา อะไรประมาณนั้นแหละ แต่ผมก็ไม่นึกว่ามันจะดังขนาดที่ไอ้ซีก็รู้เรื่องด้วย
“น้องๆเขาก็จิ้นกันสนุกๆ”
“จะจิ้นมันก็ต้องมีมูลเหตุป่ะ” ผมมองซ้ายมองขวา เกลียดความเลิกลั่กของตัวเองขึ้นมาแล้วตอนนี้
“บอสมันชอบมึงสินะ” น้ำเสียงจริงจังของซีทำให้ผมเลิกคิดที่จะหาอะไรมาอ้าง และยอมหันกลับมาสบตากับซีแต่โดยดี สายตาของซีไม่ได้สื่ออะไรออกมา นั้นแหละที่ทำให้ผมกลัว ก็สายตามัน... ว่างเปล่ามากๆ
“อืม” ซีจับมือผมแน่นขึ้นและดึงผมเข้าไปกอด ผมไม่รู้ว่าซีมันมาอารมณ์ไหน รู้แต่ว่าผมก็กอดตอบมันอย่างไม่ลังเลเหมือนกัน
“แล้วมึงชอบมันไหม” ผมพยายามจะผละออกเพื่อมองหน้ามัน แต่ซียังคงกระชับกอดผมไว้ ผมเลยทำได้แค่ตอบมันทั้งๆที่ยังกอดมันอยู่อย่างนั้น
“กูจะไปชอบมันได้ยังไง กูรักมึงอยู่นะ” คราวนี้ซียอมผละออกมาให้ผมเห็นหน้าแต่โดยดี ผมเลื่อนมือข้างที่ว่างไปบีบแก้มซีเบาๆ สายตาที่โครตเป็นกังวลนี้กลับมาอีกล่ะ
“เชื่อใจกูหน่อยซีรัส” ซีมันส่งเสียง อื้ออออ ออกมาจากลำคอ เหมือนจะค้านประโยคนั้นของผม
“กูเชื่อใจมึง แต่กูก็หวงมึง” จบประโยคนั้นผมก็ดึงแก้มมันแรงๆอย่างหมั้นเขี้ยว ซีมันถึงกับโวยวายออกมาเลย ก็ดูมันพูดเข้าดิ
น่ารักชิบหาย
“กูเลือกมึงแล้วซี และกูก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจ” ซีส่งยิ้มคืนมาให้ผม ก่อนที่มันจะกดจูบที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง
นี้มึงตั้งใจจะจูบให้คุ้มเลยใช่ไหมเนี่ย
ผมพึ่งรู้ว่าเวลามันผ่านมานานจนดึกขนาดข้ามวันแล้วก็ตอนที่ทิ้งตัวลงนอนเนี่ยแหละ
“กูปิดไฟนะ”
“อืม” ซีกดเปิดไฟนอกระเบียงไว้ ปิดไฟในห้อง และเดินมาทิ้งตัวลงนอนข้างๆผม ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งคู่ มีเพียงเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่เบาแสนเบาเท่านั้น ปกติผมเป็นคนหลับง่ายมาก หัวถึงหมอนก็หลับเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะมีคนมานอนด้วยรึเปล่า ผมถึงนอนไม่หลับ ผมนอนมองซีที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซีกลับมาแล้ว มันอยู่ตรงนี้แล้ว
ผมขยับเข้าไปใกล้มันมากขึ้น ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้เสียงดัง และมันตื่น แต่ซีนี้มันก็หลับง่ายจริงๆแหะ ผมขยับเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของมันผมถึงได้หยุด ขนตามันยาวขนาดนี้เลยเหรอวะ ถึงว่าทำไมมีแต่สาวๆคลั่งไคล จมูกโด่งตามแบบของมัน ติดตรงใต้ตาคล้ำกว่าปกติจนผมอยากจะจับมันมาร์คแตงกวาหรืออะไรแบบนั้นสักทีสองที ริมฝีปากอิ่มสีชมพูติดคล้ำนิดๆตามแบบของคนที่ไม่ได้ดูแลตัวเองมากอะไร
ทุกๆอย่างของซี เป็นของผมทั้งหมด
ผมกลายเป็นเด็กหวงของไปแล้ว
ผมพินิจพิจารณาใบหน้าซีอยู่แบบนั้น ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวเมื่อดวงตาที่ผมจ้องมองอยู่ลืมตาขึ้นมาซะอย่างนั้น ซีนอนมองผมบ้าง ริมฝีปากของมันก็ยกยิ้มขึ้นมานิดหน่อย
“อะไร” ผมทัก ซีหลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม เลื่อนมือมาเกี่ยวเอวผมไปกอดไว้
“นอนมองหน้ากูนี้ยังไง”
“กูนอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับแล้วต้องมามองหน้ากูด้วยเหรอ”
“ก็มึงเบียดอ่ะ กูเลยนอนไม่หลับ” แถไปอีก... ซีขำในลำคอเบาๆและดึงผมให้เข้าไปใกล้มันมากขึ้น แน่นอนครับ ผมขืนตัวไว้ ซีเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอย่างไม่พอใจ แต่ผมก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สุดท้ายซีมันก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ผมเองและซุกหน้าลงกับหน้าอกผม ผมยกมือไปลูบหัวมัน และกอดมันไว้ ค้างอยู่แบบนั้นสักพักก่อนที่ผมจะจรดริมฝีปากที่ขมับของซี
“ซี”
“หืม” ซีตอบกลับโดยที่มันยังไม่ผละไปไหน
“เล่าให้กูฟังได้ป่ะวะ” ซีนิ่งไป นิ่งจนผมรู้สึกผิดที่พูดออกไปเลย ผมกอดมันแน่นขึ้นและอ้าปากพูดต่อ
“ไม่ก็ได้ กูเข้าใจ” เมื่อผมพูดจบ ซีก็ผละออกมามองหน้าผม และยิ้มบางๆให้ผม
“ไม่เล่าให้มึงฟังจะเล่าให้ใครฟังล่ะ”
“แต่ถ้ามึงลำบากใจ...”
“ไม่เป็นไรเคียว กูอยากเล่าให้มึงฟัง” ซียืนยันและกดจูบที่หน้าผากผม ผมหลับตารับสัมผัสนั้น ซึมซับความอบอุ่นของซีเข้าไปจนเต็มเปี่ยมก่อนที่ซีจะผละออก
“กูขอถามอะไรอย่าง” ซีพูดขึ้นมา
“ว่า”
“มึงรู้ได้ยังไงว่าเรื่องเทียนเป็นเรื่องโกหก”
“มึงเคยบอกกูเองว่าเทียนเป็นเพื่อนมึง กูก็แค่รู้สึกว่าไม่มีทางที่เรื่องเทียนจะทำให้มึงอยากห่างกู มึงรักเทียนจะแย่ไม่ใช่เหรอซี มึงไม่น่าจะดึงเทียนมาเกี่ยว ที่ต้องดึงมาก็เพื่ออ้างเท่านั้น... ใช่ป่ะ” ซีพยักหน้ารับ
“เก่งจัง” ซียีหัวผมนิดหน่อย
“ต้องเริ่มเล่าจาก... มึงจำเรื่องพ่อที่กูเคยเล่าให้ฟังได้ไหม” ก่อนที่จะเริ่มเล่าออกมา
“เรื่องที่พ่อเสียตั้งแต่มึงเด็กๆอ่ะเหรอ” ซีพยักหน้ารับรัวๆ
“จริงๆก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อกับแม่เลิกกันก่อน” ผมเลือกที่จะนอนฟังมันเล่าเงียบๆโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก อาจจะมีพยักหน้ารับบ้างบางครั้ง
“กูไม่เคยรู้ว่าพ่อกับแม่เลิกกันเพราะอะไร และกูก็ไม่ได้สนใจด้วย ยังไงตอนนี้พ่อก็ไม่อยู่แล้วนี้เนอะ จนเมื่อเดือนสองเดือนที่แล้ว กูบังเอิญเจอกับทนายของพ่อ เขาจำกูได้ทันทีเลย เขาบอกว่าเพราะกูหน้าคล้ายพ่อมาก กูกับลุงได้คุยกันนิดหน่อย เรื่องที่คุยส่วนมากก็เป็นเรื่องของพ่อก่อนที่พ่อจะเสีย เรื่องธุรกิจของท่าน อะไรประมาณนี้ และอยู่ๆลุงก็ถามกูว่าตอนนี้ย้ายไปอยู่พังงาแล้วสินะ กูงงไปเลยว่าทำไมกูต้องไปอยู่พังงาด้วย พอเห็นหน้ากูงงๆลุงเขาก็พูดต่อว่าบ้านพักต่างอากาศไง แต่บ้านกูมีหลังเดียวเว้ย คือที่เชียงราย ไม่มีบ้านพักต่างอากาศอะไรทั้งนั้น ถึงตรงนี้กูก็ตงิดๆล่ะ”
“และลุงก็พูดต่อว่ามรดกที่พ่อให้ไง เคียว... กู แม่ หรือกัส ไม่เคยได้มรดกอะไรจากพ่อเลย นอกจากเงินในบัญชีจำนวนหนึ่งเท่านั้น” ผมขมวดคิ้วเมื่อซีเล่ามาถึงตรงนี้ นี้มันแปลกมากๆ
“ลุงยังพูดต่ออีกเว้ยว่ามีบ้าน เครื่องประดับของแม่ แล้วก็รถอีกหนึ่งคัน ยังไม่รวมเงินที่ประมูลค่าไม่ได้อีก กูไม่เคยได้สิ่งเหล่านั้นเลย... สิ่งที่พ่อให้ครอบครัวเรา ลุงบอกกูว่าพ่อไหว้วานให้เพื่อนสนิทนำของเหล่านั้นไปให้แม่ ลุงก็เลยไม่ได้เห็นว่าของถึงมือแม่ไหม แต่เพื่อนคนนั้นสนิทกับพ่อมาก เขาไม่คิดว่าจะทำแบบนี้”
“สรุปคือ พ่อทิ้งมรดกไว้ให้ที่บ้านกู แต่กูไม่ได้รับ ด้วยความบ้าบิ่นอะไรก็ไม่รู้ล่ะ กูบินไปพังงา ที่ที่พ่อสร้างบ้านไว้ เพื่อดูบ้านหลังนั้นกับตาตัวเอง มึงรู้ไหมเคียว กูเจออะไร... กูไม่เจออะไรเลยด้วยซ้ำ” ผมกระชับกอดซีให้แน่นขึ้น รู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ ไม่ได้อยู่กับมันในตอนนั้น...
“เจอแต่พื้นที่โล่งๆ คาดว่าบ้านน่าจะถูกทุบหลังจากพ่อเสียไม่ถึงปี ขนาดบ้านยังหายวับ กูก็ไม่หวังว่าจะเจอเครื่องประดับ รถ หรือว่าเงินหรอกนะ” น้ำเสียงที่เจ็บปวดของซีทำให้ผมกดจูบที่หน้าผากมัน มอบกำลังใจให้กับมัน ซีหยุดพูดเหมือนมันกำลังรับความรู้สึกของผม จนผมผละออก ซีถึงได้พูดต่อ
“ตอนนั้นกูหยุดไม่ได้แล้วอ่ะ กูอยากให้คนที่ทำแบบนี้ได้รับผิด แต่กูไม่อยากให้ใครต้องซวยไปด้วย กูไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนั้น... กูเลยขอห่างกับมึง” ผมช่วงชิงเสียงของซีด้วยริมฝีปากของผม มันไม่เชิงจูบเพราะเราแค่ประกบริมฝีปากด้วยกันค้างไว้สักพักก่อนที่ซีจะผละออก
“กูโอเค” ซีบอกผม และส่งยิ้มให้ผม แม้มันจะฝืนก็ตาม
“แต่พอกูเริ่มสืบประวัติของคนๆนั้นไปเรื่อยๆ กูก็ยิ่งรู้สึกว่าคนรอบข้างกูไม่ปลอดภียขึ้นเรื่อยๆ กัสบ่นเรื่อยเหมือนมีคนเดินตามเธอประมาณสี่รอบในหนึ่งอาทิตย์ แม่ก็บอกว่ามีลูกค้าแปลกๆเข้ามา ตอนแรกกูก็นึกว่ากูคิดไปเอง ยังคงสืบต่อไป จนไปถึงที่บ้านของเขาแล้วด้วย อยู่ๆกูก็ได้รับข้อความให้ระวังตัว ตัวกูคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี้กูมีครอบครัวที่ต้องดูแล” ผมประคองหน้าซีไว้ น้ำเสียงที่โครตสั่นมันทำให้ผมรู้สึกแย่ไปด้วยจริงๆ
“มึงโอเคนะ” ซีพยักหน้ารับ มันเลื่อนมือมาจับซ้อนมือผมไว้
“โอเคแล้ว มันจบแล้วอ่ะ กูไม่อยากเอาครอบครัวไปเสี่ยงว่ะ กูว่ากูจะยอมแพ้แล้ว”
“มึงน่าจะบอกกู” ถ้าเป็นผมคงทำอะไรได้มากกว่าซี ไม่ได้หมายถึงว่าซีทำไม่ดีหรอกนะ ซีทำได้ดี แต่มันมีข้อจำกัดเยอะเกินไป มันต้องคอยห่วงคนนู้น คอยดูแลคนนี้ แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่มีข้อจำกัดนั้น ผมเดินหน้าเต็มที่แน่
“ไม่เป็นไรหรอก มันจบแล้ว” ซีพูดซ้ำประโยคเดิมและซุกเข้ากับหน้าอกผมอีกครั้ง
“กูไม่รู้ว่าเหตุผลของกูมันพอไหม กับการที่กูทำร้ายมึง แต่เคียว... ถ้ามีใครที่กูอยากให้เขาปลอดภัย หนึ่งในนั้นคือมึงนะ แค่คิดว่ามึงจะเป็นอันตรายเพราะกู มันก็โครตแย่แล้วสำหรับกู” ผมลูบหัวซีไปเรื่อยๆ มืออีกข้างก็จับมือซีให้แน่นขึ้น
“พอดิว่ะ แค่วันนี้มึงกลับมา ก็มากพอแล้วสำหรับกู”
ใครก็ตามที่มันคิดจะทำร้ายซี ผมบอกเลยว่ามันคนนั้นไม่ใช่คนดีแน่นอน
Special Part : Cirrus
ผมตื่นขึ้นมาเพราะแม่โทรมาเช็คว่าผมยังไม่ตายใช่ไหม หลังจากสนทนาประสาแม่ลูกกันไม่ถึงห้านาที ผมก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีก แม้เมื่อคืนจะเสียเวลาคุยกับเคียวจนถึงตี5ก็ตาม ผมตั้งใจจะเล่าให้เคียวฟังอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ถ้าผมสามารถเล่าให้ใครฟังได้แค่คนเดียว คนๆนั้นก็จะเป็นเคียว
คงเพราะว่าผมไว้ใจมันมากมั้ง
ผมเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงข้างเพื่อที่จะได้มองคนที่นอนอยู่ข้างๆผมได้ถนัดขึ้น เคียวหลับปุ๋ยอยู่แบบเดิม ตอนแรกผมเคืองแม่อยู่นิดๆนะ ก็แม่ดันโทรมาซะเช้าเลย แต่ตอนนี้ผมหายเคืองแม่ล่ะ เพราะถ้าแม่โทรมาช้ากว่านี้แล้วเคียวมันตื่นไปแล้วล่ะก็ผมคงอดนอนมองมันแบบนี้
ผมเลื่อนมือไปลูบหัวเคียวเบาๆอย่างไม่รู้ตัว ผมรู้สึกอยากลูบหัว จับมือ กอด หรือว่าจูบมันอยู่ตลอดเวลา จริงๆแล้วอะไรก็ได้ที่ได้สัมผัสตัวเคียว อาจจะเพราะผมอยากจะทำสิ่งเหล่านี้มากๆตอนที่เราห่างกัน พอมันอยู่ตรงนี้แล้ว ผมก็อดใจไม่ไหวจริงๆ
ผมนอนมองหน้ามันอย่างนั้นสักพักใหญ่ๆจนได้ยินเสียงนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้านตีบอกเวลาขึ้นมาผมถึงได้เลือกที่จะลุก
ปล่อยมันนอนไปล่ะกัน เมื่อคืนก็นอนซะเช้าเลยนี้หนา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณซี”
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่แก้ม” ผมตอบพี่แก้มกลับไป และเดินไปช่วยเธอถือตะกร้าผักอะไรสักอย่าง
“ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” พี่แก้มดื้อที่จะไม่ให้ตะกร้าผมนิดหน่อย แต่จนแล้วจนรอด เธอก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่ดี
“แม่โทรมานะครับ แล้วก็นอนต่อไม่ได้แล้ว”
“อ้อ คุณเคียวยังหลับสินะคะ”
“หลับปุ๋ยเลยล่ะครับ” พี่แก้มขำออกมานิดหน่อย ก่อนที่จะเดินตรงไปยังห้องครัว
“คุณซีอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“ไม่ครับ อะไรก็ได้” พี่แก้มทำปากยื่นใส่ผม แต่ก็หันไปเตรียมอาหารแต่โดยดี
“ผมช่วยนะ” ผมไม่ได้รอให้พี่แก้มตอบ เพราะเธอจะต้องตอบว่า ไม่เป็นไรค่ะ อย่างแน่นอน ผมเลยชิงหยิบผักมาล้างให้เธอก่อนที่เธอจะปฏิเสธ
“คุณซีค่ะ”
“ครับ” ผมหันกลับไปมองพี่แก้ม เธอกำลังวุ่นกับการหยิบอะไรสักอย่างในตู้แต่ผมรู้ว่าเธอคุยกับผมอยู่
“มาง้อคุณเคียวเหรอคะ” ผมหลุดขำกับประโยคนั้นของพี่แก้ม
“มาง้อนี้หมายความว่าไง พี่คิดว่าผมกับเคียวเป็นอะไรกัน” ผมล้างผักจนเสร็จและหันไปจ้องหน้าพี่แก้ม เธอยังคงแสร้งทำเป็นวุ่นอยู่เหมือนเดิม
“ก็... คุณคิมเคยบอกว่าคุณซีเป็นแฟนคุณเคียว” ตอนที่ผมนั่งกินข้าวกับพี่คิว พี่คิมสินะ
“แล้วพี่แก้มเชื่อไหม” เธอทำหน้าคิดนิดหน่อย ก่อนที่จะยอมหันมามองหน้าผม
“ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ แต่พอเห็นคุณเคียวซึมตอนที่คุณซีไม่อยู่ก็เริ่มเชื่อขึ้นมานิดๆ”
“นิดเดียวนี้มาถามผมเลยเหรอ”
“คุณซีอ่ะ” เธอย่นปากใส่ผม ผมขำกับท่าทางนั้น และหันไปหยิบผักมาหั่นแทนเธอ
“พี่แก้มไม่ต้องห่วงนะครับ เราดีกันแล้ว”
“จริงเหรอคะ” เธอโพล่งออกมาอย่างดีใจทันที ผมพยักหน้ายืนยันไปอีกครั้ง
“แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องสถานะของผมกับเคียวด้วย รู้แค่ว่า...” ผมแกล้งขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ
“ผมรักเคียวก็พอ” จบประโยคของผมพี่แก้มก็หน้าแดงฉ่าเหมือนผมบอกว่ารักพี่แก้มซะอย่างนั้น เพราะผมรู้ไงว่าเธอต้องเขิน ผมเลยตั้งใจแหย่เธอโดยเฉพาะ ฮ่าๆ
“ขอโทษนะ แต่ไม่ได้ตั้งใจมาขัดจังหวะ” ผมชะงักไปกับน้ำเสียงที่คุ้นแสนคุ้น ก่อนที่จะหันกลับไปตามที่มาของเสียง
“เทียน...” เทียนยืนกอดอกอยู่ที่ประตู หน้าตาเธอแสดงออกชัดเจนว่าเมื่อกี้คงจะเห็นฉากที่ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่นัก
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะคุณเทียน” พี่แก้มรีบแย้งออกมาทันที จะติดก็แต่เทียนที่ยกมือขึ้นมาห้าม
“ไม่ต้องอธิบายค่ะพี่แก้ม เทียนไม่ได้อยากฟัง” แม้เธอจะตอบพี่แก้ม แต่เทียนก็ยังไม่ละสายตาไปจากผม ผมก็ไม่อยากจะยอมรับเหมือนกันแต่สายตาที่เทียนใช้มองผม
เป็นสายตาเดียวกับที่เธอใช้มองวันวาน
“ถ้าอยากจะอธิบายอะไรสักอย่าง ก็อธิบายว่าบ้านนี้อนุญาตให้คนเลวๆเข้ามาได้ยังไงจะดีกว่า” ผมหลุบสายตาลงต่ำ ขนาดเธอไม่เอ่ยชื่อยังรู้เลยว่า คนเลวๆ คนนั้นมันคือผมอ่ะ
“เคียวอยู่บนห้องใช่ไหมคะ” เทียนไม่ได้รอคำตอบจากใครทั้งนั้น เพราะเธอผละออกไปทันที ผมพ่นลมหายใจออกมายาวๆ อึดอัดโครตๆ เหมือนโดนบีบด้วยสายตาเลยอ่ะ
“โอเคนะคะ” พี่แก้มหันมาถามผมด้วยสายตาเป็นห่วง
“ก็ต้องโอเคแหละครับ นี้พึ่งเริ่มต้นด้วยซ้ำ... ไปทำร้ายดวงใจเขานี้นะ” ถ้าจะตบก็อย่าตบซ้ำรอยแผลเดิมเลยนะ ขอร้อง
Special Part : The End
“เคียว! ตื่นขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“เคียว!!” ไม่เรียกเปล่าเพราะเธอกำลังระดมฟาดแขนผมแล้ว ผมที่ตั้งใจจะนอนจนกว่าจะเย็น ถึงกับต้องตื่นมาก่อนกำหนดเลย
“ตื่นแล้วก็ลุกมาคุยกันเลยนะ!” เทียนยังคงบ่นและฟาดแขนผมต่อ จนผมนี้ปวดจนชาไปแล้ว รู้ตัวอีกทีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็ทำให้ผมลุกขึ้นมานั่งทำหน้าเมาขี้ตาใส่เธอแล้ว แต่เธอก็ยังฟาดแขนผมต่อ จนผมต้องตอบกลับมา
“ลุกแล้ว หยุดฟาดสักที” เทียนยอมหยุดฟาดผม ผมลูบแขนข้างที่โดนฟาดปอยๆ แดงเถือกไปหมดเลยเนี่ย ก็เธอเล่นฟาดที่เดิมซ้ำๆหลายทีนี้ครับ ต้องตัดแขนไหมเนี่ย
“เล่ามาเลย!” เทียนบุ้ยปากใส่ผมและกอดอกเหมือนรอฟังผมอธิบาย แต่เดี๋ยว... เล่าอะไร
“เล่าอะไร”
“อ้อ มีหลายเรื่องใช่ป่ะ”
เพี๊ยะๆ
“โอ้ยๆไม่ใช่ ไม่ได้มีหลายเรื่องแต่งงไงว่าเรื่องไหน” ผมขยับหนีจากบริเวณที่ฝ่ามืออรหันต์ของเทียนจะฟาดถึง
“มันก็หมายความว่ามีหลายเรื่องใช่ไหม เคียวววว!” แต่ผมคงลืมไปว่าเทียนนี้นางพญาเรื่องนี้ขนาดไหน เพราะเธอเข้าประชิดตัวผมและจัดการตีแขนผมไปอีกสองที
“พอแล้วววว แขนช้ำหมดแล้ว” ผมแสร้งแอคติ้งเจ็บปานตายใส่เทียน ก็ไม่ได้แอคติ้งนะ มันเจ็บจริงๆเลยแหละ!
“งั้นก็เล่ามา”
“เล่าแน่นอนครับ แต่ให้เล่าเรื่องอะไรล่ะ” เทียนบุ้ยปากหนักกว่าเดิม เธอคงไม่พอใจที่ผมไม่รู้นั้นแหละ แต่ผมไม่รู้จริงๆนี้ครับ จะให้ทำไงอ่ะ
“เมื่อคืนเอาใครมานอนกกล่ะ” จบประโยคนั้นของเทียน ผมก็นึกขึ้นมาได้ทันที ตวัดสายตาไปมองหาคนที่ควรจะนอนอยู่ข้างๆ แต่ว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว
“เจอแล้วเหรอ” ผมลำดับเหตุการณ์เองว่าซีมันคงลงไปข้างล่างแล้วนั้นแหละ จึงได้หันมาถามเทียน เทียนพยักหน้าแรงๆคืนมาให้ผม
“ก็ไม่มีไร”
“ไม่มีอะไรได้ไงเล่า” เทียนตั้งท่าจะฟาดแขนผมอีกแล้ว ดีนะที่ผมยกหมอนมาบังก่อน
“เล่ามา!”
“เมื่อวานบังเอิญเจออ่ะ แล้วก็เคลียร์กันแล้ว”
“เพราะแบบนี้ถึงไม่ไปหาเทียนสินะ” เธอจะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอกครับ เพราะผมยกเลิกนัดทุกคนเพราะซีจริงๆ
“แล้วมันใช้วิธีไหนล่ะ ได้ใจไปเต็มๆเลยดิ” สายตากระแหนะกระแหนจากเทียนนี้มันน่ากลัวมากจริงๆนะ
“เหตุผลฟังขึ้น” ขึ้นโครตๆอ่ะ ถึงแม้ถ้าเป็นผมคงเลือกทำอีกอย่างก็เถอะ แต่นั้นมันซีนี้ครับ การที่มันเลือกทำแบบนั้นก็เป็นปกติของมันนั้นแหละ
“จะลองฟังดู” ผมขำออกมานิดหน่อยแต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อเทียนหันมามองค้อนผม ก็ดูเทียนดิ ทำเป็นพูดอ้อมไปอ้อมมา จริงๆก็อยากรู้ไม่ใช่รึไง
“เล่าไม่ได้อ่ะ โทษที” มันเป็นเรื่องของครอบครัวซีนี้นะ เทียนหงอลงไปเลยเมื่อผมพูดแบบนั้น จนผมต้องเลื่อนมือไปลูบหัวเธอนิดหน่อย
“ทำไมมมมม” เธองอแงของจริงแล้ว
“อยากรู้ก็ขอให้ซีเล่าให้ฟังดิ” เทียนจิ๊ปากอย่างขัดใจ
“ไม่อยากจะเสวนากับคนแบบนั้นหรอก” ดูจะแค้นซีฝังหุ่นจริงๆแหะ
“แต่เมื่อกี้เราเห็นนายนั้นจีบพี่แก้มด้วยแหละ” ไอ้สรรพนาม นายนั้น นี้มันอะไรวะเนี่ยยย เทียนตอนนี้เหมือนเด็กเล็กๆที่พยายามจะฟ้องอะไรสักอย่างเพื่อลบเครดิตอีกคนเลยอ่ะ
“ซีเนี่ยนะจีบพี่แก้ม” ผมระเบิดเสียงฮาออกมาทันที ผมมองซีอยู่กับพี่แก้มนี้เห็นเป็นซีอยู่กับเจ้กัสอ่ะ อย่างกับพี่น้องกันไม่มีผิด
“จริงๆนะเคียว ไม่เชื่อเราเหรอ!”
“โอ๋ๆ เชื่อๆ” ผมพยายามที่จะกลั้นขำ พอเห็นผมไม่คล้อยตามเทียนก็ทำหน้าคิด เธอคงกำลังคิดจะหาเรื่องอื่นมาลบเครดิตซีอีกนั้นแหละ
“แล้วเคียวจะทำยังไงกับบอส” ผมชะงักและเลิกคิ้วใส่เทียน เทียนพ่นลมหายใจยาวๆออกมา
“เคียวกับบอสจีบกันอยู่ไม่ใช่รึไง”
“จริงๆแล้วไม่ได้จีบกัน...”
“แต่บอสจีบเคียว เคียวก็รู้นิ แล้วเคียวก็เปิดโอกาสให้บอสแล้วด้วย ตอนนี้มันก็กำลังไปได้ด้วยดีไม่ใช่เหรอเคียว จะทิ้งบอสจริงๆเหรอ” ผมไม่ได้คิดเรื่องทิ้งหรือไม่ทิ้งบอสอย่างที่เทียนบอก แต่ผมกำลังคิดว่าผมจะทำยังไงที่จะไม่ทำร้ายความรู้สึกบอสดี
“บอสมันก็คงเผื่อใจไว้แล้วแหละ... มั้ง” ผมนี้มันเห็นแก่ตัวจริงๆ
“อาจจะเผื่อใจไว้บ้าง แต่มันก็ต้องหวังบ้างป่ะ มันเดินมาถึงขนาดนี้แล้วนะเฮ้ย” ผมถอนหายใจออกมา พอมาคิดๆก็เริ่มเครียดแล้วเนี่ย
“พูดกันตรงๆเลยนะเทียน มันก็มีบ้างที่เรารู้สึกดีกับสิ่งที่บอสทำให้ แต่มันเทียบไม่ได้กับซีเลย... สักนิดเดียว” แค่ซีมันนั่งอยู่ข้างๆผม ความรู้สึกมันก็มากมายแล้วจริงๆ
“เคียวใจร้าย” ผมลูบหัวเทียนอีกครั้ง
“แล้วนี้อะไร ไหนบอกว่าไม่อยู่ทีมบอสไง” เทียนส่ายหัวรัวๆคืนมาทันที
“ก็ไม่ได้ทีมบอส ใครจะไปทีมหมอนั้นวะ” เมื่อกี้ นายนั้น ตอนนี้ หมอนั้น แหะ
“แล้วไอ้ที่เถียงแทนนี้มันอะไร”
“ถ้ามันมีแค่ทีมบอสกับทีมซี เราก็เลือกเข้าข้างบอสดีกว่า” ผมหลิ่วตาใส่เทียน แล้วทำมาเป็นปฏิเสธ สุดท้ายก็ทีมบอสอยู่ดีป่ะ
“อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะเคียว เราพูดอยู่ว่าไม่ได้ทีมบอส!” บ่นเฉยๆก็ยังโอเคอ่ะนะแต่นี้เธอตีแขนผมด้วยไง
“เราทีมเทียนหอมเว้ย”
ไม่ค่อยเลยคนเรา
“กินข้าวสิเฮ้ย” ผมพูดประโยคนี้รอบที่สามแล้วนับตั้งแต่ที่ผมไปอาบน้ำและลากเทียนลงมากินข้าวได้ ผมก็พึ่งรู้ว่าเทียนตั้งใจจะมากินข้าวที่นี้อยู่แล้ว เธอเลยยังไม่ได้กินอะไรเลย แต่นอกจากผมและเทียนก็ยังมีอีกคนที่ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน
ซีคนเดิมนั้นแหละจะใครล่ะ
จากนั้นมื้ออาหารที่ควรจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่นก็หายวับไปทันที ก็ขนาดผมแยกเทียนกับซีไว้คนล่ะฝั่ง เทียนก็ยังจิกซีแบบกระจุยเลยแหละ
จิกจนไม่กินข้าวแล้วเนี่ย
ไอ้ซีก็พลอยกินไม่ลงไปด้วย
“เป็นไก่เหรอเทียน” ปล่อยให้ผมกินคนเดียวจนพุงจะแตก เทียนหันมาจิกผมแทนซี จนผมต้องยกมือขอโทษขึ้นมา กลับไปจิกซีต่อเถอะ อย่ามาทำผมมม
“ไม่หิวรึไงเล่า” ผมเปลี่ยนเรื่องถามเทียน เทียนมองข้าวในจานและหันมามองผม
“หิว แต่ถ้าบรรยากาศมันไม่ดี ก็กินไม่ลงหรอก” พี่แก้มที่ยืนอยู่ห่างๆถึงกับสะดุ้งเลย ผมปลายตาไปมองไอ้ซีที่ตั้งหน้าตั้งตากิน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามามองหน้าผมด้วยซ้ำ แน่ล่ะ ขืนซีส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากผม เทียนยิงทิ้งแน่
“บรรยากาศก็ดีนะ อากาศเย็นสบาย” เทียนกลอกตากับประโยคนั้นของผม ไม่ช่วยสินะ
“กินไปเงียบๆเถอะเคียว ไม่ช่วยอะไรเลย” เจ็บเหมือนโดนถีบเลยอ่ะ
“คร้าบบบ” เรากลับมาเงียบใส่กันอีกครั้ง และมีออร่าอาฆาตของเทียนที่ยังแรงกล้าเหมือนเดิมเป็นพื้นหลัง
“อย่าให้มีอีกนะ” เทียนนี้มันเทียนจริงๆ ผมส่ายหัวใส่เธอนิดหน่อย แต่เธอก็ยังจ้องไปยังซีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ เพื่อช่วยชีวิตมัน ผมเลยเตะขาซีใต้โต๊ะไปหนึ่งที ซีชะงักและหันมามองผม นี้มึงไม่ได้ฟังเรอะ
“สติหลุดไปไหนแล้วล่ะ หรือลอยไปหาใครอีก” ดียังไม่ถึง5นาทีเลย ผมกุมขมับทันทีเมื่อเทียนยิงเข้าไปอีกนัดแล้ว
“ไม่มีคนอื่นคนไหนทั้งนั้นแหละ” ซีตอบ มันกล้าจ้องหน้าเทียนตอบแล้ว
“คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ” เทียนยกมือขึ้นมาเท้าคาง
“ต้องเชื่อดิ ก็ความจริงนี้”
“อย่าให้จับได้ล่ะกัน” เทียนพูดขึ้นมาอีก เธอคงคิดไปเองแหละว่าเหตุผลที่ซีขอห่างจากผมเป็นเรื่อง มือที่สาม
“จับให้ได้ล่ะกัน” ง่อววววว มึงนี้สู้แหะซี ผมเหมือนเห็นคนต่อยกันคนล่ะหมัดเลย
“ระวังไว้เถอะซี ถ้าเราจับได้... ไม่มีทางที่เคียวจะอยู่ตรงนี้แน่” นี้ยังไม่ลืมเหรอว่าผมก็อยู่ด้วย ซีระบายยิ้มออกมาและยกมือขึ้นมาเท้าคางเลียนแบบเทียน
“ให้เคียวเป็นคนเลือกเถอะ” ผมสาบานได้ว่าเทียนกัดฟันกรอดเลย เธอคงรู้สึกขัดใจมากๆ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด (ที่มามากมายรึเกินในตัวผม) ทำให้ผมเบือนสายตามากินข้าวต่อ ทำเหมือนไม่ได้อยู่ในบทสนทนาทันที
แต่มึงนี้ก็กวนตีนจริงนะซี กะว่าถ้าโดนฆ่าตายก็ไม่ต้องตายตามลำพังสินะ
คราวหน้าผมทีมเทียนดีกว่า
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่ถือว่าช้าหรอกเนอะ 555555
คอมเม้นนนนนนนต์หน่อยเนอะเนอะเนอะ
ความคิดเห็น