ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17 เจ็บใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.2K
      5
      20 ส.ค. 54

     

    Chapter 17

    เจ็บใจ

     

                ซองมินพูดคุยอะไรบางอย่างกับร่างสูงโปร่งของชายคนนั้นอยู่ไม่นานนัก ร่างอวบเดินอ้อมโต๊ะกลับมาหาคยูฮยอนที่เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่ถึงนาที ก่อนจะโน้มลงมากระซิบถาม

     

                “เราจะกลับบ้านแล้ว คยูฮยอนจะกลับด้วยกันไหม?”

     

                คยูฮยอนหันไปหาซองมิน ก่อนจะมองไปยังผู้ชายคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาย้อนถามเพื่อนด้วยความสงสัย

     

                “กลับยังไง ให้พี่คนนั้นไปส่งเหรอ?” ริมฝีปากบางยื่นออกไปทางหนุ่มหล่อคนนั้นแทนที่จะใช้นิ้วชี้ออกไป ซองมินพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง

     

                “ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่เขามีหน้าที่ขับรถให้เราอยู่แล้ว”

     

                “ไม่เป็นไร เรารอซีวอนมารับดีกว่า ซีวอนอาจจะออกมาแล้วก็ได้”

     

                คยูฮยอนบอกเพื่อนสนิทด้วยความเกรงใจ เขาไม่อยากรบกวนซองมินไปมากกว่านี้ รู้ดีว่าซองมินเป็นห่วงและไม่อยากให้เขาทนนั่งฟังเพื่อนๆ เม้าท์เรื่องของตัวเอง ซองมินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะโบกมือร่ำลาเพื่อนๆ ทุกคน ทว่าเมื่อกำลังจะก้าวออกไปหาหนุ่มร่างสูงคนนั้น ซองมินก็ตัดสินใจเดินกลับมาหาคยูฮยอนอีกรอบ

     

                “คยูฮยอนลองโทรไปถามซีวอนดูสิว่าออกมาหรือยัง ถ้าซีวอนไม่สะดวกมารับ คยูฮยอนจะกลับบ้านลำบากนะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย”

     

                สีหน้าของซองมินฉายแววความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน คยูฮยอนทอดถอนหายใจ เขาไม่อยากโทรไปหาซีวอนเลย เพราะปกติเวลาที่ซีวอนทำงาน ซีวอนจะเครียดและจริงจังมากจนบางครั้งก็พูดจาไม่ดีกับเขา คยูฮยอนไม่เคยนึกโกรธซีวอน เขาเข้าใจคนรัก คยูฮยอนเข้าใจความรู้สึกของซีวอนเสมอมา

     

    “รีบๆ โทรเข้าสิ เรารอคยูฮยอนอยู่นะ” ซองมินเร่งเร้า คยูฮยอนจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปหาคนรักอย่างเสียไม่ได้

     

    เสียงสัญญาณดังหลายครั้ง ทว่า...ไม่มีคนรับสาย

     

                เมื่อลองโทรไปอีกที ก็พบว่า...ไม่มีคนรับสายเช่นเดิม คยูฮยอนเริ่มร้อนใจ การผ่าตัดไม่น่าจะนานขนาดนั้น แต่เขาเองก็ไม่ได้ถามซีวอนก่อนออกไปเสียด้วยว่าเคสใหญ่น้อยมากแค่ไหน บางทีซีวอนอาจจะยังผ่าตัดไม่เสร็จจริงๆ ก็ได้

     

                หากแต่นิ้วเรียวก็ลองกดโทรออกไปอีกครั้งอยู่ดี หวังว่าซีวอนหรือใครสักคนจะรับสายของเขาแล้วบอกว่าซีวอนกำลังยุ่งอยู่ แต่ครั้งนี้โทรศัพท์กลับถูกปิดเครื่องไปแล้ว

     

                “โทรไม่ติดเหรอ?” ซองมินเลิกคิ้วถาม คยูฮยอนได้แต่ขยับใบหน้าหวานขึ้นลงช้าๆ อย่างทุกข์ใจ ร่างโปร่งยืนขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนให้เพื่อน แล้วเอ่ยคำ

     

                “รบกวนซองมินด้วยนะ”

               

                “ไม่เป็นไร เราเพื่อนกันนี่” ซองมินตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะโบกมือลาเพื่อนๆ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกจากร้านไป ร่างสูงโปร่งที่ยืนรออยู่รีบรับกระเป๋าจากมืออวบๆ ไปถือไว้ ทว่าแทนที่เขาจะเดินนำทางไปยังรถยนต์ของตัวเอง ใบหน้าคมคายกลับหันมาหาคยูฮยอนเสียก่อน

     

                “ให้พี่ช่วยถือกระเป๋านะครับ” เขาพูดจาอย่างสุภาพ คยูฮยอนมัวแต่คิดถึงเรื่องซีวอนจนมือหนาฉวยกระเป๋าใบเล็กจากมือคยูฮยอนไปถือให้ คยูฮยอนยืนนิ่ง สัมผัสที่แตะเบาๆ ที่หลังมือทำให้ดวงตาคู่กลมมองตามร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มออกไป

     

                เขาดูเป็นคนดี...

     

                ซองมินโชคดีเหลือเกินที่มีผู้ชายคนนี้คอยดูแล

     

     

                “เดี๋ยวเราลงบ้านซองมินแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองดีกว่า ถ้าต้องไปส่งเราที่บ้าน เราเกรงใจซองมินกับแฟนแย่เลย”

     

                คยูฮยอนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังคนขับเอ่ยขึ้นเบาๆ บ้านของซองมินอยู่ใกล้ที่สุด ส่วนบ้านของคยูฮยอนอยู่ไกลจากบ้านของซองมินอีกหลายกิโลเมตร แม้ว่าตลอดทางซองมินจะย้ำนักย้ำหนาว่าทางกลับบ้านของ ชิม ชางมิน ต้องผ่านบ้านคยูฮยอนก็ตาม

     

                “พี่ชางมินไม่ใช่แฟนเรานะ” ซองมินรีบมาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ คยูฮยอนจึงแกล้งส่งยิ้มราวกับคำพูดของเพื่อนไม่น่าเชื่อถือ รอยยิ้มนั้นทำให้คนขับอดที่จะมองผ่านกระจกมองหลังไม่ได้

     

                เวลาที่คยูฮยอนยิ้ม ดูเหมือนแสงไฟตามข้างทางจะริบหรี่ลงไปเหลือเกิน รอยยิ้มของร่างโปร่งทำให้รถทั้งคันสว่างไสวจนชางมินอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

     

                “ปฏิเสธแบบนี้ เดี๋ยวคนรักก็น้อยใจหรอก” คยูฮยอนยังแซวไม่เลิก

     

                “ไม่น้อยใจหรอกครับ พี่กับซองมินไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ แม่ของเราเป็นเพื่อนกัน ท่านเลยพยายามจับคู่ให้เรา ที่พี่ต้องเป็นสารถีให้ซองมินแบบนี้ก็เพราะโดนแม่บังคับ อีกอย่างซองมินก็ไม่ใช่สเป็คพี่ด้วย พี่ชอบคนตัวสูงๆ แบบคยูฮยอนมากกว่า”

     

                ชางมินอธิบายเสียยืดยาวราวกับกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังจะเข้าใจผิดไป แต่ประโยคที่พูดสองแง่สองง่ามกลับทำให้ใบหน้าของคยูฮยอนขึ้นสีเรื่อ ในขณะที่ซองมินหันไปส่งค้อนวงใหญ่ให้กับคนที่กำลังขับรถอย่างเอาเรื่อง

     

                “พูดแบบนี้แปลว่าซองมินเตี้ยเหรอ?”

     

                “ก็เราเตี้ยจริงๆ นี่” คำพูดที่มาพร้อมกับอารมณ์ขันของชางมินทำให้มืออวบๆ ฟาดที่ต้นแขนแกร่งอย่างแรง คยูฮยอนหัวเราะร่วนไปกับท่าทางของคนทั้งสอง ดูเผินๆ ทั้งคู่คล้ายกับคนรักกันก็จริง แต่สายตาที่มองกันและกันไม่ใช่สายตาที่คนรักใช้มองกันเลย คยูฮยอนกำลังจะหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อคิดอะไรเพลินๆ แต่เสียงของชางมินก็ดังแทรกขึ้น

     

                “รู้สึกดีจังที่ทำให้เพื่อนของซองมินยิ้มได้”

     

                คยูฮยอนจ้องมองใบหน้าคมคายผ่านกระจกมองหลัง พอดีกับชางมินที่ลอบมองใบหน้าของคยูฮยอนผ่านกระจกบานนั้นพอดี ทั้งคู่สบตากันในกระจก คยูฮยอนกำลังจะหลบสายตาหนี หากแต่เห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งผ่านมาให้

     

                มันเป็นรอยยิ้มที่ซีวอนไม่ได้มอบให้เขามานานมากแล้ว

     

                คยูฮยอนยิ้มตอบบางเบากับรอยยิ้มของอีกฝ่าย อยากขอบคุณที่ชางมินยิ้มให้กับเขา ขอบคุณที่ยังมองว่าโจ คยูฮยอนเป็นคนที่มีค่าในสายตาของใคร

     

                “พี่ชางมินอย่าชอบคยูฮยอนนะ คยูฮยอนแต่งงานมีสามีแล้ว แล้วถ้าคยูฮยอนเป็นผู้หญิงก็คงมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองไปแล้วด้วย”

     

                ซองมินพูดอย่างนึกหวงเพื่อน ดวงตาคู่คมของคนขับรถจึงหลุบต่ำอย่างผิดหวังทันที คยูฮยอนไม่ได้เป็นคนโง่จนไม่รู้ว่าชางมินกำลังสนใจเขา สายตาที่มองมาอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่สายตาที่จาบจ้วง แต่มันเป็นสายตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใย

     

                คงจะดีไม่น้อยถ้าหากซีวอนมองเขาด้วยสายตาแบบนี้บ้าง

     

                ใบหน้าหวานส่ายไปมาเบาๆ เพื่อสลัดความคิดนั้นออกไป เขาไม่อยากทำผิดกับซีวอนแม้แต่ในความคิด

     

    ซีวอนเป็นซีวอน และพี่ชางมินก็เป็นพี่ชางมิน

     

                ชเว ซีวอนเป็นคนรักของเขา และไม่มีใครจะสามารถเข้ามาแทนผู้ชายคนนี้ได้

     

                ชางมินขับรถไปส่งซองมินที่บ้าน ก่อนจะขับเลยไปส่งคยูฮยอน ซองมินกำชับหลายครั้งว่าให้ชางมินส่งเพื่อนสนิทของตัวเองให้ถึงบ้าน รวมทั้งให้คยูฮยอนโทรมาบอกเขาด้วยถ้าถึงบ้านแล้ว คยูฮยอนรับคำ ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งเบาะด้านข้างคนขับแทนซองมินที่เพิ่งลงไป

     

    แต่แทนที่พวกเขาจะพูดคุยอะไรกันมากขึ้น ทั้งคู่เอาแต่เงียบกันไปตลอดทาง จะมีก็แต่เสียงเล็กๆ ของคยูฮยอนที่คอยบอกทางกลับบ้านเป็นระยะ

     

                คยูฮยอนหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่ให้ลองเช็คโทรศัพท์มือถือของซีวอนดู ยิ่งช่วงนี้ซีวอนไม่อยากให้เขาใกล้โทรศัพท์ คยูฮยอนก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก กลุ่มคิ้วดกดำขมวดมุ่นจนปวดหัวคิ้วไปหมด ชางมินเห็นท่าทางนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยทัก

     

                ชางมินจะอยากรู้เหลือเกินว่าคยูฮยอนมีอะไรให้ต้องขบคิดหนักหนาถึงได้ทำหน้ายุ่งขนาดนั้น แต่ชางมินก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่สมควร พวกเขาเพิ่งพบกันไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

     

                จนกระทั่งรถยนต์จอดลงที่หน้าบ้านของคยูฮยอน

     

                คยูฮยอนขอบคุณพร้อมกับโค้งศีรษะให้อย่างอ่อนน้อม มือบางเอื้อมไปเปิดประตูรถออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อ...

     

                “ถ้าต้องทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้แบบนั้น คยูฮยอนแบ่งมันมาให้พี่บ้างก็ได้นะครับ”

     

                คยูฮยอนช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย แววตาของเขาจริงจังเหลือเกิน จริงจังจนคยูฮยอนอดหวั่นใจไม่ได้ ดวงตากลมโตหลุบต่ำ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

     

                “ขอบคุณมากครับ แต่ไม่เป็นไร”

     

                คยูฮยอนเดินลงมาจากรถยนต์ของชางมิน ปิดประตูลงอย่างเบามือ ไม่ลืมที่จะโค้งอำลาอีกครั้ง เขายืนรอจนกระทั่งรถยนต์เคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว ร่างโปร่งจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน

     

                คยูฮยอนเพิ่งสังเกตเห็นว่ารถยนต์ของซีวอนก็จอดอยู่หน้าบ้านเช่นกัน

     

                หัวใจของคยูฮยอนเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวว่าคนรักจะเห็นว่าใครมาส่งตนเองที่บ้าน กลัวว่าซีวอนจะคิดมาก กลัวสารพัดว่าซีวอนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเขานอกใจ

     

                 มือบางทาบหน้าอกของตัวเองเพื่อปรับลดความตื่นเต้นลง บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เขาแค่คิดมากไปเท่านั้นเอง และในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แค่อธิบายความจริงให้ซีวอนฟัง ซีวอนก็น่าจะเข้าใจแล้ว

     

                คยูฮยอนพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมซีวอนกลับมาถึงบ้านแล้วโดยที่ไม่โทรไปบอกเขา ถ้ารู้ว่าเขายังไม่กลับ ทำไมถึงไม่คิดเป็นห่วงหรือขับรถออกไปรับกันบ้างเลย

     

                ความน้อยใจเล็กๆ น้อยๆ เข้าเกาะกุมจนหัวใจเริ่มปวดหนึบ ตั้งแต่ซีวอนเข้าทำงานเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล ซีวอนก็เปลี่ยนแปลงจากเด็กหนุ่มที่สนใจในเรื่องความรักมาเป็นชายหนุ่มที่เอาแต่สนใจเรื่องหน้าที่การงาน มันก็ดีอยู่หรอกที่หน้าที่การงานของเขาสำคัญต่อการเลี้ยงดูครอบครัว

     

                แต่บางครั้งความรู้สึกเพียงเล็กน้อยนี่แหละที่มันเริ่มกลายเป็นรอยร้าวที่นับวันจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นจนแก้ไขอะไรไม่ได้

     

                คยูฮยอนเดินผ่านส่วนของห้องโถงเข้าไปในห้องนอน เสียงน้ำที่ดังซ่าลอดบานประตูห้องน้ำออกมาทำให้คยูฮยอนรู้ว่าซีวอนอยู่ในนั้น มือเรียววางกระเป๋าที่ปลายเตียง เก็บเสื้อผ้าที่ซีวอนถอดกองทิ้งไว้บนพื้นไปใส่ในตระกร้าพลางเอ่ยถาม

     

                “เพิ่งกลับมาเหรอซีวอน?”

     

                หลังจากเอ่ยถามไปสักพักหนึ่ง เหมือนซีวอนจะเพิ่งได้ยินเสียงที่ลอดผ่านประตูเข้าไป เสียงน้ำค่อยๆ เบาลงจนแทบจะหยุดสนิท ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยตอบขึ้น

     

                “อื้อ...เพิ่งผ่าตัดเสร็จน่ะ”

     

                “นายน่าจะโทรมาบอกก่อน ฉันเกือบนั่งรอนายอยู่ที่ร้านแล้ว โชคดีที่ซองมินชวนกลับบ้านด้วยกัน”

     

                น้ำเสียงของคยูฮยอนไม่ได้ตำหนิคนรัก หากแต่บอกเล่าถึงน้ำใจของซองมินและความโชคดีของตัวเองก็เท่านั้น คยูฮยอนค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกให้สบายตัว คิดว่าจะไม่มีบทสนทนาใดๆ อีกแล้วเพราะซีวอนเงียบไปนาน แต่สุดท้ายเสียงทุ้มก็ดังขึ้น

     

                “โทรศัพท์ผมแบตฯหมดน่ะ”

     

                คยูฮยอนหันไปมองโทรศัพท์ที่วางแน่นิ่งข้างๆ กับกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถยนต์ ไฟสีฟ้าที่กระพริบเป็นระยะบ่งบอกว่าโทรศัพท์นั้นยังคงใช้งานได้อยู่ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าแบตเตอรี่ยังเหลืออยู่เต็ม

     

                ทำไมซีวอนต้องโกหก?

     

                คำถามมากมายที่ก่อตัวขึ้นมาทำให้คยูฮยอนไม่สบายใจเลย ถ้าโทรศัพท์ไม่ได้แบตฯหมด ซีวอนก็น่าจะรู้ว่าเขาโทรไปหา แต่...ทำไมถึงต้องปิดเครื่องหนีเขาด้วย คิดในแง่ดีโทรศัพท์เครื่องนี้อาจจะเกิดความขัดข้อง แต่ยังไงซีวอนไม่ใช่คนสะเพร่าขนาดนั้นแน่

     

    “ถ้าอยากรู้ว่าซีวอนมีคนอื่นหรือเปล่า ก็ลองเช็คโทรศัพท์ดูสิ ความลับทุกอย่างมันก็อยู่ในโทรศัพท์นี่แหละ”

     

                คำแนะนำของเพื่อนที่งานเลี้ยงรุ่นทำให้คยูฮยอนหันไปมองโทรศัพท์อีกครั้ง ร่างโปร่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เสียงน้ำในห้องน้ำยังคงดังอยู่ แสดงว่าซีวอนคงยังอาบน้ำไม่เสร็จ

     

                จะลองเปิดดูดีไหมนะ

     

                ถ้าดูแล้วไม่เจออะไร...เท่ากับว่าเขาไม่เชื่อใจคนรัก

     

                แต่ถ้าดูแล้วเจอ...โจ คยูฮยอนต้องเสียใจเป็นแน่

     

                ริมฝีปากบางเม้มลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด ดวงตาคู่สวยสั่นระริก แต่มือเรียวกลับยื่นออกไปด้านหน้าแล้ว เขากำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทว่า...

     

                ไม่...คยูฮยอนทำแบบนั้นไม่ได้ เขาต้องเชื่อใจคนรัก ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนรักกัน

     

                หากแต่คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจว่าทำไมซีวอนต้องโกหกก็ทำให้คยูฮยอนลังเล ในที่สุดมือเรียวก็กลั้นใจคว้าโทรศัพท์ของซีวอนขึ้นมา จัดการปลดล็อกด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

     

                “คุณจะทำอะไร...คยูฮยอน?!” คยูฮยอนสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงของซีวอนดังอยู่ในระยะที่ใกล้จนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ มาจากตัวของเขา มือหนาฉวยโทรศัพท์ของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว สายตาคาดโทษส่งมาให้จนคยูฮยอนทำตัวไม่ถูก

     

                “ฉันแค่...”

     

                “อย่ามายุ่งกับของส่วนตัวของผม”

     

                คยูฮยอนเม้มปากแน่นเมื่อถูกซีวอนพูดสวนกลับมาทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันได้อธิบายอะไรออกไปเลยด้วยซ้ำ ความผิดที่คยูฮยอนก่อไว้แล่นขึ้นไปสู่สมอง ใบหน้าหวานซีดเผือด นึกโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

                นี่เขาไม่เชื่อใจคนรักแล้วใช่ไหม?

     

     

    Loading-------------40%

     

                หลังจากเที่ยวตระเวนสมัครงานมาทั้งวัน ฮยอกแจก็เดินคอตกกลับมาที่บ้าน ใบหน้าที่แสนดีของโจ คยูฮยอนทำให้ฮยอกแจนึกสะท้อนใจตัวเอง เขาเป็นคนน่าสงสารขนาดนั้นเชียวเหรอ น่าสงสารเสียจนคนอื่นต้องหยิบยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

     

                แต่ฮยอกแจไม่ต้องการโอกาสนั้น

     

                การกระทำของคยูฮยอนทำให้เขารู้สึกเสียหน้า ละอายใจ สมเพชตัวเอง และนึกเจ็บใจที่เขาไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปทำงานในบริษัทได้ ฮยอกแจดึงนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ขยำและโยนทิ้งจนมันไปตกอยู่กระถางต้นไม้ใกล้ประตู เขาจะไม่ทำงานแบบนั้นเด็ดขาด

     

                ทงเฮไม่อยากมีพ่อขายตัว ทงเฮก็คงไม่อยากมีพ่อทำงานเป็นคนทำความสะอาดเช่นเดียวกัน

     

                ฮยอกแจเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ก่อนจะพบว่าทงเฮยังไม่หลับ ลูกชายของเขานอนราบไปกับโซฟาตัวยาว มือข้างหนึ่งกำรีโมทไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่ง ฮยอกแจไม่แน่ใจว่าทงเฮกำลังทำอะไรอยู่ เพราะมันซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ทงเฮนำออกมาจากห้องนอน

               

                “ยังไม่นอนอีกเหรอทงเฮ” เสียงทักของพ่อทำให้ลูกชายหน้าหวานสะดุ้งโหยง ทงเฮเด้งตัวขึ้นนั่ง จัดผมเผ้าให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยตอบ

               

                “ทงเฮดูละครรอบดึกอยู่ครับ”

     

                “แต่พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้านะ”

     

                ฮยอกแจเอ่ยเตือนเพราะไม่อยากให้ทงเฮรู้สึกเพลียเวลาเรียน ร่างโปร่งย่อตัวนั่งลงบนโซฟาเบียดชิดกับคนเป็นลูก ทงเฮขยับตัวถอยพ่อนิดหน่อย ก่อนจะเอนศีรษะได้รูปมาซบอย่างออดอ้อน

     

                “ทงเฮรู้ครับ แต่วันนี้ทงเฮอยากให้ป๊ากล่อมนอน”

     

                “วันนี้เป็นอะไร ทำไมอ้อนเก่งจัง?”

     

                เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะหลังจากวันที่เขาป่วย ทงเฮก็เป็นเด็กดีและออดอ้อนมาตลอด แต่ดูเหมือนวันนี้จะอ้อนหนักกว่าทุกวัน ฮยอกแจรู้สึกได้ถึงความสุขที่มีอยู่ในหัวใจของลูก

     

                “ทงเฮอ้อนแล้วเหมือนลูกแมวน้อยไหมครับ?”

     

                “เหมือนลูกหมาน้อยของป๊าล่ะสิไม่ว่า” ฮยอกแจบีบจมูกรั้นอย่างมันเขี้ยว ทงเฮยื่นปากออกมาอย่างงอนๆ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีพ่อไปทางอื่น

     

                “ทงเฮเหมือนลูกแมวมากกว่าอีก”

     

                “จะลูกแมวหรือลูกหมา ทงเฮก็เป็นลูกชายของป๊าอยู่ดี”

     

                “ใช่แล้วครับ ทงเฮคนนี้คือลูกชายของป๊า...” เรียวแขนบางสอดเข้าข้างลำตัวของผู้ที่ชุบเลี้ยงมาตลอดเหมือนพ่อแท้ๆ แก้มใสแนบชิดไปกับอกแกร่งของฮยอกแจ เล่นเอาหัวใจของคนเป็นพ่อเต้นไม่เป็นจังหวะ มันคับพองอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดออกมา

     

                รู้สึกคล้ายกับตอนที่คบกับแม่ของทงเฮใหม่ๆ

     

                ทว่าครั้งนี้ใจมันเต้นแรงกว่านั้น แรงเสียจน...ควบคุมไม่ได้เลย

     

                “วันนี้ต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับลูกชายของป๊าแน่เลยใช่ไหม อยากเล่าให้ป๊าฟังหรือเปล่า?” ฮยอกแจผละออกแล้วเอ่ยถาม คนถูกถามหน้าแดงราวกับผลมะเขือเทศสุก ก้มหน้างุดเอียงอาย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบออกมา

     

                “ทงเฮมีแฟนแล้วนะครับ”

     

                หัวใจที่เคยรู้สึกว่ามันเต้นแรงอยู่เมื่อครู่หล่นวูบไปกับพื้นแทบจะในทันที หากแต่ฮยอกแจไม่อยากแสดงสีหน้าผิดหวังออกไปให้ทงเฮรู้ เขาจึงทำได้เพียงแค่ยิ้ม...ยิ้มอย่างยินดีกับความสุขของลูกชายเท่านั้นเอง

     

                “งั้นทงเฮก็กดเครื่องนับก้าวของป๊าไปแล้วสิ” ฮยอกแจถาม

     

                “ยังหรอกครับ เพราะตั้งแต่ผิดหวังมาจากพี่ยูชอน ทงเฮเองก็ไม่แน่ใจว่าครั้งนี้มันเรียกว่าความรักได้หรือเปล่า แต่ทงเฮอยากเจอหน้าเขาทุกวัน อยากอยู่กับเขา อยากพูดคุยกับเขา”

     

                เวลาที่ทงเฮเล่าถึงผู้ชายคนนั้น ดวงตาคู่สวยก็เป็นประกายระยิบระยับเหมือนดวงดาวไม่มีผิด ฮยอกแจลูบเรือนผมนุ่มของลูก ก่อนจะเลื่อนลงมายังแก้มเนียนใส ตาสีนิลจ้องมองที่ริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในวันก่อนขึ้นมาอีกครั้ง

     

                “ป๊าว่า...เราเข้าไปนอนคุยกันในห้องดีไหม คืนนี้ป๊าจะกล่อมทงเฮเอง” ฮยอกแจดึงมือออก รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ทงเฮสังเกตเห็นความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของเขา

     

                “ดีครับ” ทงเฮพยักหน้ารัวเพราะเขาเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน ฮยอกแจบอกให้ลูกเข้าไปรอในห้องก่อน เดี๋ยวเขาจะเก็บผ้าห่มบนโซฟา และเปลี่ยนเสื้อผ้าสักพักถึงจะตามเข้าไป

     

                เมื่อลูกชายเดินไปแล้ว ฮยอกแจก็ยกผ้าห่มขึ้นมาถือเอาไว้ เขากำลังจะเดินตามลูกชายเข้าไปในห้องนอน หากแต่หางตาดันเหลือบไปเห็นคราบสีขาวที่แห้งเกรอะกรังอยู่บนโซฟาหนังเสียก่อน ฮยอกแจผ่านอะไรแบบนั้นมาเยอะ ประสบการณ์ที่คุ้น...แต่ไม่ชินทำให้ฮยอกแจลองใช้นิ้วสะกิดคราบนั้นขึ้นมาดมกลิ่น

     

                ไม่ผิดแน่...

     

                รอยยิ้มที่สดใสของทงเฮคงจะมาจากการเพิ่งร่วมเพศกับใครสักคนมาก่อนหน้านี้ เพราะครั้งแรกที่ฮยอกแจมีอะไรกับรุ่นพี่ซง จีฮโย เขาก็ละเมอเพ้อพกไปอยู่หลายวัน มันเป็นความรู้สึกที่ขจัดออกไปยากเหลือเกิน

     

                ฮยอกแจพยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจ เขาเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน หยิบหมอนและผ้าห่มผืนหนาแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของลูก

     

                “ป๊าต้องลูบผมทงเฮจนกว่าทงเฮจะหลับนะครับ”

     

                ทงเฮนอนคอยอยู่บนเตียงก่อนแล้ว ฮยอกแจพยักหน้าและยิ้มบางๆ ส่งกลับไป เขาห่มผ้าห่มของตัวเองให้กับลูกชาย จนทงเฮต้องย่นคิ้วถาม

     

                “ทำไมไม่ใช้ผ้าห่มทงเฮล่ะครับ?”

     

                “ผ้าห่มนั้นไม่ได้ซักมาหลายอาทิตย์แล้ว ของป๊าหอมกว่า อุ่นกว่า ทงเฮห่มผืนนี้จะได้หลับสบาย”

     

                “แต่ว่า...”

     

                “นอนเถอะน่าทงเฮ!” ฮยอกแจเผลอตวาดลูกเสียงดังจนทงเฮสะดุ้ง ใบหน้าหวานหันมาหาคนเป็นพ่อด้วยน้ำตาที่เอ่อคลออย่างตกใจ จนฮยอกแจต้องรีบสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วดึงศีรษะของลูกชายเข้ามากอดไว้แน่น

     

                “ป๊าขอโทษ นอนเถอะนะคนดีของป๊า”

     

                ริมฝีปากอุ่นจูบลงบนขมับของลูกชายอย่างแผ่วเบา มือหนาลูบเรือนผมนุ่มอย่างปลอบประโลม ทงเฮกอดเอวหนาของพ่อไว้แน่น กลัวว่าอ้อมกอดนี้จะเกลียดชังเขาและไม่รักเขาอีกแล้ว แม้ว่าทงเฮจะอยากได้ความรักจากใครต่อใครมากมาย

     

                แต่ความรักที่ทงเฮอยากได้มากที่สุดก็คือความรักจากผู้ชายคนนี้

     

                ฮยอกแจเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง ทำให้ห้องนอนทั้งห้องมืดสนิท สองพ่อลูกไม่ได้คุยอะไรกันอีก มีเพียงลมหายใจที่ดังขึ้นเบาๆ ให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ

     

                ฮยอกแจยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องคราบน้ำรักนั่น คนในอ้อมกอดของเขาจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเสพสมกับคนอื่น จะร้องเสียงดังแค่ไหน จะมีความสุขมากหรือเปล่า มือที่กำลังกอดเขาอยู่ตอนนี้จะเคยโอบรอบคอของคนอื่นมาแล้วกี่ครั้ง ฮยอกแจอยากรู้ไปเสียหมด เขากำลังคิดอกุศลกับลูกชายของตัวเอง สักวันสวรรค์จะต้องลงโทษคนอย่างเขาแน่ๆ

     

                ในขณะเดียวกันนั้น ทงเฮอยากจะถอนหายใจหลายๆ ครั้ง แต่ก็เกรงใจฮยอกแจที่นอนอยู่ข้างๆ เขาจึงระวัดระวังในการผ่อนลมหายใจออกไป สัมผัสวาบหวามที่ซีวอนมอบให้ก็ยังติดตรึงอยู่ในร่างกาย กลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่ซีวอนใช้ยังตอกย้ำอยู่ในความรู้สึก หวามไหวเสียจนอยากเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าห้องน้ำที่คุณหมอหนุ่มใช้เป็นอย่างไร ใช้สบู่ยี่ห้อไหน ทำไมร่างกายถึงได้มีกลิ่นหอมน่าหลงใหลขนาดนี้

     

                “ทงเฮ...”

     

                เสียงของฮยอกแจดังขึ้นท่ามกลางความมืด ทงเฮช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าคมคายของพ่อ คิ้วหนาของฮยอกแจขมวดมุ่นราวกับเครียดเรื่องอะไรบางอย่าง จนทงเฮต้องเอ่ยถาม

     

                “มีอะไรเหรอครับ?”

     

                “ที่ทงเฮบอกป๊า...ว่าทงเฮไม่แน่ใจว่ามันใช่ความรักหรือเปล่า ตอนที่อยู่กับคนๆ นั้น ทงเฮรู้สึกยังไงบ้างเหรอ?”

     

                แขนเรียวค่อยๆ คลายออกจากเอวแกร่งของฮยอกแจ นึกถึงความรู้สึกที่คุณหมอใจดีมาหาเขาที่บ้านด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย ทงเฮรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ เขาทั้งดีใจ ปลื้มใจ และก็มีความสุขที่ใครบางคนที่เขาปรารถนายอมทำตามใจเขามากขนาดนี้

     

                “ตอนที่ทงเฮอยู่กับเขา ทงเฮรู้สึกพองๆ ในอกตลอดเวลา”

     

    ฮยอกแจก็รู้สึกแบบนั้นเวลาที่อยู่กับลูก มันดูคล้ายกันมาก แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันใช่ความรู้สึกเดียวกันหรือเปล่า

     

                “แล้วเขาทำให้ทงเฮรู้สึกอบอุ่นไหม?”

     

                “อืม ไม่อบอุ่นนะครับ เขาออกจะ...เร่าร้อนเสียมากกว่า”

     

                ทงเฮยิ้มขำกับท่าทางของคุณหมอหนุ่มที่ดูเหมือนทุรนทุรายเวลาที่อยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว มันทั้งเร่าร้อนและชวนให้หลงใหล ฮยอกแจเหลือบมองแววตาของลูกชายก็เดาใจความคิดนั้นออกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

     

                มือหนายังคงลูบไล้เรือนผมนุ่มของลูกชายอยู่ไม่ห่าง ไม่อยากถาม ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว อี ฮยอกแจไม่อยากทำให้หัวใจของตัวเองเจ็บปวดรวดร้าวไปมากกว่านี้

     

                ยิ่งทงเฮทำท่าจะวิ่งหนีเขาไป ฮยอกแจก็ยิ่งอยากรั้งร่างเล็กของลูกชายเข้ามากอดไว้ให้แน่นขึ้นมากเหลือเกิน ทำไมเขาถึงหักห้ามใจตัวเองไม่ได้...ไม่ได้เลย

     

                “ป๊าหวังว่าความรักที่ทงเฮเลือกจะไม่ทำให้ลูกเสียใจ” แม้ฮยอกแจจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่สิ่งที่คนเป็นพ่อหวังก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขอเพียงลูกชายมีความสุขแค่นั้นก็พอแล้ว

     

                “ทงเฮจะไม่ยอมเสียใจแน่ครับ ทงเฮจะทำทุกวิถีทางเพื่อมัดใจเขาให้อยู่กับทงเฮไปนานๆ”

     

                “ถ้าอยากมัดใจ ก็ต้องใช้หัวใจมัดนะลูก เพราะเมื่อไรที่ลูกใช้ร่างกายผูดมัดเขา ทงเฮก็จะได้แค่ร่างกายของเขากลับมาเท่านั้น”

     

     

                ร่างผอมบางเดินขึ้นบันไดเลี้ยวกลับเข้าไปในห้องหลังจากลงไปดื่มน้ำใต้ตึกเรียน สีหน้าที่เรียบเฉยบอกบุญไม่รับทำให้ไม่มีใครกล้าทักทาย นอกจากคำทักทายจะไม่มีแล้ว ยังมีคำนินทาดังเข้ามาในหูตลอดทางที่เดินผ่านมา ทงเฮรู้ว่ามันเกิดจากเรื่องที่เขาก่อไว้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนนั่นเอง

     

                ทงเฮถูกอาจารย์และนักเรียนหลายๆ คนมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าว แต่เขาจะไม่ยอมก้มหน้าให้คนอื่นเด็ดขาด ผู้ชายที่ชื่อว่าอี  ทงเฮไม่ใช่คนขี้ขลาดขนาดนั้น

     

                “ทงเฮ” เสียงนุ่มเอ่ยทักทายก่อนที่เขาจะก้าวผ่านประตูเข้าไปด้านใน เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าคิม จงอุนเดินตามมาจากด้านหลัง ใบหน้าที่เรียบเฉยเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที

     

                “มีอะไร?” ทงเฮเลิกคิ้วถาม คำพูดไม่ได้แสดงความเคารพอีกฝ่ายเท่าใดนัก แม้ว่าจงอุนจะอายุมากกว่าเขาถึงสองปีก็ตาม

     

                “วันนี้จะไปกินข้าวเย็นที่บ้านพี่ไหม น้าจองซูบอกว่าป๊าของทงเฮอยู่บ้านพี่ด้วยนะ บางทีป๊าทงเฮอาจจะ...”

     

                “ไม่หรอก” ทงเฮรีบพูดตัดบท “วันนี้เราจะไม่กินข้าวที่นั่น ทงเฮกับป๊านัดกันไปกินข้าวเย็นที่อื่นแล้ว”

     

                ทงเฮไม่ได้โกหก แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูเหมือนโกหกเพราะไม่อยากเจอจงอุน แต่ครั้งนี้ทงเฮนัดกับฮยอกแจไว้จริงๆ

     

                “งั้นเลิกเรียนไปที่บ้านพี่ก่อนนะ จะได้กลับพร้อมบ้านพร้อมป๊าเลยไง เดี๋ยวพี่โทรไปบอกให้” จงอุนแนะนำ เขาก็แค่อยากเดินเคียงข้างทงเฮบ้าง อยากถามไถ่ทุกข์สุขในช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน แต่ดูเหมือนว่าทงเฮจะไม่เคยเปิดใจให้เขาเลย

     

                “เลิกเรียนแล้วทงเฮจะรีบกลับบ้านเลย”

     

                จงอุนเงียบลงไปเพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม ทงเฮก็ดักทางเอาไว้เสมอ มันไม่เหลือทางให้เขาเดินเคียงข้างทงเฮอีกแล้ว เมื่ออีกฝ่ายไม่พูด ทงเฮก็ไม่ได้อยากอยู่สนทนาเช่นเดียวกัน ร่างเล็กจึงหมุนตัวกลับไปทางห้องเรียนโดยไม่มีคำอำลาใดๆ ให้กับจงอุนเลย

     

                “มายืนทำหน้าแดงอะไรตรงนี้...รยออุค”

     

                ทงเฮสะบัดปลายเสียงเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่มีเพียงคนเดียวของตัวเอง รยออุคไม่ตอบ หากแต่แก้มเนียนใสที่สุกปลั่งเหมือนเด็กก็ยิ่งทำให้ทงเฮย่นคิ้วสงสัย

     

                “ก่อนออกจากบ้านไม่ได้กินยาระงับประสาทหรือไง” ทงเฮว่าประชดเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าเพ้อๆ เหมือนคนบ้า เขาเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ แต่เสียงรยออุคก็เรียกขึ้น

     

                “ทงเฮ”

     

                “ทำไม?”

     

                “พี่จงอุนน่ะ...เขา...เขาสนิทกับทงเฮมากไหม?” ดวงตาของรยออุคแวววาวขึ้นมาทันทีเมื่อถามถึงชายหนุ่มอีกคน ทงเฮเอียงคอ เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วจ้องหน้าหวานที่ขึ้นสีเรื่อของรยออุคอีกครั้ง

     

                “ถามไปทำไม?”

     

                “ฉันก็แค่อยากรู้...” สำหรับรยออุคแล้ว คงไม่ใช่แค่อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นแน่ๆ ยิ่งท่าทางที่บิดไปบิดมาอย่างเขินอายเช่นนั้น ทำให้ทงเฮเดาความรู้สึกของเพื่อนสนิทได้ไม่ยากเลย

     

                “เขาพยายามจะสนิทกับฉัน แต่ฉันไม่ได้สนิทกับเขา” ทงเฮตอบตามความเป็นจริง แต่มันดูกำกวมในความคิดของรยออุคเหลือเกิน

     

                “แล้ว...พี่จงอุนเขามีคนที่ชอบหรือยัง?”

     

                “ห๊ะ?!” ทงเฮอ้าปากค้างกับคำถามของเพื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรยออุคแกล้งโง่หรือปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริงกันแน่ ในเมื่อทุกๆ คนในโรงเรียนต่างก็เข้าใจว่าจงอุนเป็นคนที่คอยตามเทียวไล้เทียวขื่อเขามาตลอด แต่แววตาของคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่ก็แสดงให้เห็นว่า...ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

     

                “ว่าไง? มีคนที่ชอบแล้ว หรือยังไม่มี?”

     

                “ไม่รู้” ทงเฮตอบสั้นๆ ก่อนจะยกแขนเรียวขึ้นกอดอกรอดูปฏิกิริยาของเพื่อน

     

                “จะไม่รู้ได้ยังไง นายสนิทกับพี่จงอุนที่สุดในโรงเรียนนะ”

     

                “บอกแล้วไงว่าไม่ได้สนิท” ทงเฮพูดย้ำคำเดิมที่บอกกับรยออุคไปในตอนแรก ถึงจะไม่ค่อยสนิทกันในอย่างที่ทงเฮบอก แต่ในโรงเรียนแห่งนี้ คิม จงอุนก็พูดคุยกับทงเฮบ่อยที่สุดแล้ว

     

                “ที่ถามเนี่ยเพราะชอบพี่จงอุนใช่ไหม?”

     

                “บ้าเหรอ? ไม่ใช่!” ปฏิเสธยกใหญ่ แต่ใบหน้าหวานกลับเห่อแดงจากแก้มใสลามไปถึงใบหู ทงเฮส่ายหน้าไปมาช้าๆ ยักไหล่พร้อมกับเบะปาก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง เสียงหวานเอ่ยขึ้นบอกเพื่อนที่ยังยืนเขินอยู่ด้านหลัง

     

                “ตามใจนายแล้วกัน ถ้าไม่ยอมรับว่าชอบ ฉันก็ไม่บอกเหมือนกันว่าพี่จงอุนมีคนที่ชอบหรือยัง”

     

                “ก็ได้ๆ ฉันยอมรับ ทงเฮ...บอกหน่อยน้า” รยออุควิ่งถลาเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อน คว้าแขนเรียวของทงเฮมาเขย่าอย่างขอร้อง ทงเฮเหยียดยิ้มมุมปาก นึกขันกับความรู้สึกของรยออุค เขาไม่รู้ว่ารยออุคคิดอะไรอยู่ถึงไปชื่นชอบคนที่ทำตัวหน้าเบื่ออย่างจงอุนได้

     

                แต่มันก็ดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่รยออุคอาจจะเป็นคนดึงจงอุนออกห่างจากชีวิตของเขา

     

                “พี่จงอุน...ยังไม่มีคนที่ชอบหรอกมั้ง” ปลายเสียงบางเบาราวกับไม่แน่ใจ แต่แค่นั้นก็ทำให้รยออุคตัวลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เพราะขนาดทงเฮซึ่งเป็นคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับจงอุนมากที่สุดยังไม่รู้เลยว่าจงอุนชอบใคร แสดงว่าในหัวใจของคิม จงอุนก็อาจจะยังไม่มีใครเลยจริงๆ

     

                ทงเฮเห็นเพื่อนนั่งตาลอยราวกับคนตกอยู่ในห้วงแห่งรักก็ส่ายหน้าอย่างระอา มือเรียวหยิบหนังสือนิยายออกมาจากใต้โต๊ะ ก่อนจะเปิดอ่านฆ่าเวลารออาจารย์เข้าสอน สักพักรยออุคก็หันมาหาราวกับนึกอะไรบางอย่างได้

     

                “จริงสิ วันศุกร์นี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของคุณน้าฉัน  นายไปช่วยเลือกซื้อของขวัญหน่อยนะ”

     

                “น้าของนายเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?” ทงเฮมองอย่างไม่ไว้ใจ เพราะถ้าเขาต้องออกไปซื้อของกับรยออุคจริงๆ จงอุนก็อาจจะขอตามไปด้วย ถ้าจะปฏิเสธรยออุคคงคัดค้านแน่

     

                “ก็ฉันไม่รู้จะซื้ออะไรให้คุณน้าดีนี่ มีทงเฮไปด้วยจะต้องซื้อของขวัญดีๆ ได้แน่ๆ” รยออุคพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาออดอ้อนให้ทงเฮไปเป็นเพื่อน เพราะเขารู้ว่าทงเฮจะต้องเปิดทางให้ตัวเองกับจงอุนอย่างแน่นอน

     

    “โอเคๆ ไปด้วยก็ได้ เห็นแก่ที่นายให้ฉันลอกการบ้านหรอกนะ”

     

    “ทงเฮใจดีที่สุดเลย” รยออุคยิ้มหวานให้เพื่อนอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงวันที่จะได้ไปเดินเลือกซื้อของขวัญกับคนที่ตัวเองแอบชอบ แม้จะไม่ได้ไปกันสองต่อสอง แต่แค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับจงอุน รยออุคก็พึงพอใจกับระยะห่างแค่นั้นแล้ว

     

     

                หลังจากนำเจ้ารถกระป๋องสีเหลืองที่เคยซื้อไว้ตั้งแต่ทงเฮยังเป็นเด็กๆ ออกมาจากอู่ เขาก็ขับมันไปหาจองซูที่บ้าน รถคันนั้นทำท่าจะพังแหล่ไม่พังแหล่ กระตุกบ้าง ดับบ้างเกือบตลอดทางชนิดที่ว่าหากนำไปขายเป็นเศษเหล็กก็ไม่รู้จะได้สักกี่วอน แต่ในที่สุดก็ถึงจุดหมาย

     

                หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายของร้านเดินออกไป ช่วงบ่ายก็ไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการร้านทำผมอีก จองซูจึงได้มานั่งจับเข่าคุยกับฮยอกแจอย่างเป็นจริงเป็นจัง

     

                “มีอะไรหรือเปล่าฮยอกแจ ทำไมทำหน้าหนักอกหนักใจขนาดนั้น มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้เลยนะ”

     

                ฮยอกแจทอดถอนหายใจยาว เขาไม่รู้จะเริ่มเล่าเรื่องไหนให้จองซูฟังก่อน หลายวันที่ผ่านมามีปัญหารุมเร้าเข้ามามากมายเหลือเกิน บางปัญหาคลี่คลายแล้วแต่ก็ไม่สบายใจ ในขณะที่บางปัญหา...แม้จะหาทางแก้ไขยังมองไม่เห็นแสงสว่างเลย

     

                “พี่จองซู ทงเฮรู้ความจริงหมดแล้วครับ” ฮยอกแจเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงที่สั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ แม้วันที่เขาไม่สบาย จองซูจะเข้าไปพูดคุยด้วย แต่ฮยอกแจก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้จองซูฟัง เขายังไม่พร้อมที่จะบอกใคร

     

                แต่ในวันนี้...ฮยอกแจทนเก็บมันเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว

     

                “เรื่อง...ที่นายทำงานแบบนั้น?”

     

                “ครับ ตอนแรกทงเฮแค่สงสัยเพราะมีคนในโรงเรียนเห็นผมตอนทำงาน แต่สุดท้ายทงเฮก็เห็นกับตาตัวเอง ผม...ผมไม่รู้ว่าลูกไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง แต่ทงเฮรู้หมดแล้ว ผมไม่เหลือความภาคภูมิใจให้ลูกอีกแล้ว”

     

                จองซูดึงน้องชายที่เขารักใคร่เสมือนญาติเข้ามากอดปลอบใจ จองซูเห็นฮยอกแจตั้งแต่เล็กจนโต ฮยอกแจเป็นเด็กหนุ่มที่เข้มแข็งและสู้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้มาโดยตลอด ต่อให้ท้อใจแค่ไหนก็ไม่เคยร้องไห้

     

                จนกระทั่ง...มีทงเฮเข้ามา

     

                แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ฮยอกแจก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฮยอกแจไม่เข้มแข็งเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เขาเข้มแข็งมากเกินไป มากเสียจนสิ่งที่อัดอั้นเอาไว้มันถูกพังทลายออกมาจนหมด ชีวิตของฮยอกแจทุ่มเทให้กับลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น

     

                “ไม่เป็นไรนะฮยอกแจ ความลับไม่มีในโลก ถึงทงเฮไม่รู้วันนี้ สักวันลูกก็ต้องรู้อยู่ดี”

     

                “ครับ ผมทราบข้อนี้ดี”

     

                ฮยอกแจบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงปนสะอื้น จองซูจึงดึงกระดาษทิชชูออกมายื่นให้ ผ่านไปสักพักกว่าน้ำเสียงของฮยอกแจจะกลับมาเป็นปกติ

     

                “คืนที่ผมไม่สบาย ผมกับทงเฮทะเลาะกันหนักมาก ตอนแรกคิดว่าลูกจะไม่เข้าใจแล้ว แต่สุดท้ายทงเฮก็เป็นคนเดียวที่ยังอยู่ข้างๆ ผม”

     

                “พี่เข้าใจ มันเป็นความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของพ่อกับลูกไงล่ะ” ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมอง เขาเพิ่งฉุกคิดได้ว่ายังไม่ได้บอกความจริงที่ปกปิดมาไว้เป็นสิบปีให้จองซูฟังเลย บางทีฮยอกแจอาจจะเก็บความลับนี้ไว้กับตัวเองไปตลอดชีวิตก็ได้

     

                “ผมคิดว่าจะหางานทำ แต่ผมจบแค่เกรดเก้า ไปทำงานที่ไหนคงไม่มีใครรับ”

     

                “อ้าว...แล้วนังคุณนายคิมปล่อยตัวนายออกมาแล้วเหรอ?” จองซูเอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย เพราะเหตุผลเดียวที่ทำให้ฮยอกแจเลิกทำงานในที่สกปรกแบบนั้นไม่ได้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่คิดจะหนี ก็จะถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักหนาสาหัสแทบทุกครั้ง เคยปางตายจนไปทำงานไม่ได้เป็นอาทิตย์เลยก็มี

     

                “เอ่อ...” ฮยอกแจอึกอัก ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเล่าอะไรบางอย่างให้กับจองซูฟัง “จริงๆ แล้วมีคนเขาซื้อตัวผมออกมาจากที่นั่นได้เกือบสองเดือนแล้ว”

     

                “ทำไมนายไม่บอกข่าวดีกับพี่ เอ๊ะ! หรือว่า...” จองซูยกมือขึ้นปิดปาก เขาตระหนักได้ว่าในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ยิ่งสีหน้าของฮยอกแจที่แสดงถึงความเจ็บปวดรวดร้าวผ่านออกมาทางแววตาด้วยแล้ว จองซูก็อดที่จะสงสารคนตรงหน้าไม่ได้

     

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็ดีกว่าที่ต้องโดนวันละหลายๆ คน แล้วแต่ละวันก็ไม่เคยซ้ำหน้ากัน ดีแล้วที่เรื่องราวมันเป็นแบบนี้”

     

                ฮยอกแจพยายามพูดในแง่บวก แต่เปล่าเลย ความคิดของเขาไม่ได้ไปทางเดียวกันกับคำพูด เพราะถึงแม้จะต้องร่วมรักกับคนแค่คนเดียว แต่มันเป็นการร่วมรักที่วิปริต ชายคนนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะจำกัดความว่าวิตถาร เขาชอบความรุนแรง ชอบความเจ็บปวด ชอบที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนทรมานของคนอื่น แค่นึกถึงเรียวขนก็ลุกตั้งชูชันไปทั้งตัวแล้ว

     

                “ช่างมันเถอะครับ” ฮยอกแจสลัดหัวไล่ความคิด ที่เขาตั้งใจจะมาหาจองซูวันนี้ก็เพื่อจะปรึกษาหาลู่ทางทำมาหากินเท่านั้น แต่สุดท้ายก็คุยกันเพลินจนล่วงเลยเวลาไปมาก

     

                “พี่ว่านายไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างคนอื่นหรอก เอาเงินเก็บที่ตัวเองพอมีอยู่มาเปิดร้านทำผมสิ นายเป็นคนฝีมือดีนะ ถึงจะไม่ได้ทำงานกับพี่มาเป็นสิบปีแล้ว แต่แค่เดือนเดียวพี่ว่านายก็น่าจะเรียนรู้ได้”

     

                “จะให้ผมเปิดร้านทำผมเหรอครับ?” ฮยอกแจถามซ้ำ จองซูจึงพยักหน้าช้าๆ เพราะตั้งแต่เด็กลูกค้าก็เอ่ยปากชมฝีมือของฮยอกแจตลอดว่าตัดผมดี ตัดได้ตรงใจลูกค้า แถมยังมือเบาต่างกับจองซูลิบลับ

     

                “ทำผมได้กำไรดีนะฮยอกแจ ลูกค้าไม่ต้องเยอะมากหรอก เราเน้นดัดผมยืดผม แค่นี้ก็พอมีพอเก็บแล้ว"

     

                “ผมจะกลับไปปรึกษาทงเฮดูนะครับ”

     

                ฮยอกแจบอก ก่อนจะกล่าวลาเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่ทงเฮจะกลับบ้านแล้ว เขานัดลูกชายไว้ว่าจะพาไปกินข้าวเย็นข้างนอก แต่ทงเฮไม่อยากให้ไปรับที่โรงเรียน ฮยอกแจจึงนัดพบทงเฮที่บ้านแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน

     

     

                เสียงเครื่องยนต์เก่าๆ ดับลงพร้อมกับขาเรียวยาวที่ก้าวลงมาจากรถ อี ฮยอกแจหยุดกึกเมื่อเห็นผู้ชายสองคนยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของเขา คนหนึ่งฮยอกแจจำได้แม่นแม้ว่าจะสวมแว่นตากันแดด ส่วนร่างโปร่งอีกคนที่กำลังยืนหัวร่อต่อกระซิกกันกำลังหันหลังให้เขา ทว่าเมื่อคนที่ใส่แว่นกันแดดมองเห็นฮยอกแจ ก็สะกิดอีกฝ่ายให้หันมา

     

                “ฮันกยอง ฮีชอล” ฮยอกแจเรียกชื่อทั้งคนเสียงเรียบ

     

                “ปล่อยให้แขกยืนรอนานๆ แบบนี้ไม่ดีนะเจ้าของบ้าน ทำไมไม่เชิญพวกเราเข้าบ้านล่ะ?”

     

                ฮันกยองดึงแว่นตากันแดดออก ชี้ขาแว่นเข้าไปในบ้านพร้อมกับเอียงคอให้ ฮยอกแจกัดฟันกรอด มือแกร่งค่อยๆ กำแน่นจนมันสั่นสะท้านไปทั่วทั้งแขน

     

                “กลับไปซะ!” ฮยอกแจพูดรอดไรฟัน แต่ฮีชอลกับฮันกยองกลับหัวเราะลั่น

     

                “ว่าไงนะ? ไล่พวกเราเหรอ...นายกล้าไล่ฉันเหรออี ฮยอกแจ”

     

                ฮีชอลเดินเข้ามาใกล้จนฮยอกแจถอยกรูดอย่างตกใจ เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ดูเหมือนฮีชอลจะเป็นคนรักของฮันกยอง แต่แววตาของฮันกยองไม่เคยมีความรู้สึกเลย วันนั้นฮีชอลก็ทำท่าหึงหวงและไม่พอใจเขา  แต่วันนี้กลับมาหาเขาถึงบ้าน

     

                “อย่าพี่ฮีชอล เดี๋ยวผมจัดการเอง!

     

                ฮันกยองแตะไหล่บางของร่างโปร่งที่ยืนแสยะยิ้ม ฮยอกแจกวาดตามองหาลูกน้องที่ฮันกยองมักจะมาด้วยเสมอ แต่วันนี้กลับไร้วี่แววของคนพวกนั้น เขาน่าจะพอมีลู่ทางให้หลบหนีได้บ้าง แต่แล้วปืนสั้นกระบอกสีดำขลับก็ถูกยกขึ้นมาจี้กลางหน้าอกด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว

     

                “เข้าไปในบ้าน แล้วก็อย่าทำให้ฉันโมโห” ระหว่างเสียงของฮันกยองกับปืนกระบอกนั้น ฮยอกแจไม่แน่ใจว่าอะไรมันเยือกเย็นมากกว่า ดวงตาของฮยอกแจวูบไหว ภาวนาให้ทงเฮยังไม่กลับบ้านในตอนนี้ ขาเรียวเดินนำเข้าไปในบ้านด้วยตัวที่สั่นเทา

     

                เมื่อมาถึงด้านใน ฮันกยองก็ผลักฮยอกแจให้ล้มลงกับพื้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูด้วยเสียงทุ้มต่ำน่ากลัว

     

                “วันนี้ฉันจะไม่ทำอะไรแกหรอก แต่ฉันมีอะไรสนุกๆ ให้แกเล่น”

     

                “พวกคุณมันโรคจิต!” ฮยอกแจสบถด่าออกไปอย่างโกรธแค้น นึกเจ็บใจที่เขาไม่มีความสามารถพอจะสู้คนแค่สองคนได้ ฮันกยองกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะฟาดกระบอกปืนมาเต็มโหนกแก้มของฮยอกแจอย่างแรง

     

                ผัวะ!

     

                ใบหน้าคมคายหันขวับตามแรงตบของปืน เหลือสีแดงฉานไหลซึมออกจากหางคิ้วข้างขวา ฮันกยองหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่ชวนขนลุกขนพอง ขายาวถอยออกห่าง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ฮีชอลมาจัดการคนตรงหน้า

     

                “ฉันทำได้เต็มที่เลยใช่ไหม?” ใบหน้าสวยงามหันไปเอ่ยถามคู่ขาของตัวเอง ฮันกยองรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ กดจูบที่กกหูอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะปรายตามองฮยอกแจและกระซิบบอก

     

                “ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะทนไม่ไหว”

     

                ฮีชอลยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ร่างโปร่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ฮยอกแจ ก่อนจะถอดกางเกงขายาวของอีกฝ่ายออกอย่างช่ำชอง ฮยอกแจพยายามกระเถิบตัวถอยหนี เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ

     

                “คุณจะทำอะไรน่ะ?”

     

                “อยู่นิ่งๆ เถอะน่าฮยอกแจ ฉันจะทำให้นายมีความสุขเอง” ฮีชอลบอกเสียงหวานพลางโน้มลงไปซุกไซ้ปรนเปรอสวาทให้กับร่างหนาตรงหน้า ฮยอกแจพยายามจะต้านทานความต้องการของร่างกายที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา แต่ลีลาของฮีชอลเด็ดเหลือเกิน นิ้วซุกซนลากไล้ไปทั่วแผงอกของเขา

     

                ใจของฮยอกแจไม่อยากทำแบบนี้ หากแต่ร่างกายของเขาค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาแล้ว

     

                “เอาเลยที่รัก!” เสียงของฮันกยองออกคำสั่งในขณะที่มองดูฮีชอลกำลังร่วมเพศกับฮยอกแจ ร่างโปร่งจับท่อนเนื้อแข็งแรงของฮยอกแจสอดใส่ในช่องทางลึกลับของตัวเองอย่างไม่นึกรังเกียจ ซ้ำยังขยับตัวอย่างเป็นจังหวะ ทั้งเร่าร้อนและชวนปรารถนา แต่ฮยอกแจไม่ได้ต้องการเลย สมองของเขายังคงนึกถึงแต่หน้าลูกชายเท่านั้น

     

                ฮันกยองหัวเราะลั่นราวกับคนบ้า นึกไม่ถึงว่าฮีชอลจะยั่วยวนเขาได้เก่งกาจขนาดนี้ เพียงแค่ท่าทางตอนที่กำลังจะถอดกางเกงให้กับฮยอกแจ แค่นั้นก็ทำฮันกยองแทบคลั่งแล้ว ยิ่งตอนขยับเรือนร่างโยกย้ายไปมาอยู่บนตัวของฮยอกแจ ทำให้ฮยอกแจกำมือแน่นด้วยความเกร็ง เขาปรารถนาเหลือเกิน เหมือนดูหนังโป๊แบบสดๆ เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรักครั้งนี้ด้วย

     

                “ปะป๊า...” เสียงเรียกของใครบางคนที่ดังขึ้นอยู่หน้าประตูทำให้ทุกคนต่างหันไปมอง ทงเฮยืนน้ำตาคลอหน่วยตาทั้งสองข้าง มือบางที่ถือกระเป๋านักเรียนอ่อนแรงจนปล่อยให้กระเป๋าร่วงหล่นลงสู่พื้น ฮันกยองหันไปมองทงเฮด้วยรอยยิ้มที่ส่อความกระหายอย่างเต็มสายตา เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างน่ากลัวจนสร้างความหนาวเย็นพัดพาเข้ามาทั่วบริเวณ

     

                “มาให้เล่นทั้งพ่อทั้งลูกแบบนี้ คงจะสนุกขึ้นเป็นเท่าตัวเลยว่าไหม...อี ทงเฮ?”

     

     

    Talk with Lee Seen

                โอวววว 23 หน้า A4 บ้าไปแล้วลีซีนอ่ะ

    วันนี้วันเกิดซีนนะคะ ตอนแรกจะอัพให้เร็วกว่านี้ แต่คุณแฟนที่แสนดีบุกมาเซอร์ไพรส์ถึงที่บ้าน พอกลับบ้านไปแล้ว ยังโทรมาคุยโทรศัพท์ถึงตีสอง กว่าจะอัพให้ได้ ต้องชวนทะเลาะให้วางสายกันไปก่อน

    เป็นวันมหาซวยต้อนรับวันเกิดดีจริงจริ๊งงงงงง

    ก่อน 20 ปี : อ๊า...เมื่อไรฉันจะบรรลุนิติภาวะนะ อยากเข้าผับแบบไม่ผิดกฎหมาย

    หลัง 20 ปี : วันเกิดมาถึงอีกแล้วเหรอเนี่ย ยังไม่พร้อมแก่เลย(โว้ยยยยยยย)

     

    ปล.ตอนต่อไปมีความจริงบางอย่างจะปรากฏนะคะ รับรองมีคนเสียใจชัวร์

    ช่วยติดตามด้วยนะค้า...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×