ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 16 สงสัย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.11K
      6
      17 มี.ค. 63

     

    Chapter 16

    สงสัย

     

                อย่าพยายามยึดติดกับความสุขว่ามันเป็นของเรา

     

    เพราะถ้ายิ่งยึดติดมาก เราก็ยิ่งทุกข์มาก...

     

                เปลือกตาบางปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกระพริบถี่ให้ชินกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน ร่างโปร่งถูกกดทับด้วยท่อนแขนแกร่งของใครบางคน ไม่ได้อึดอัด แต่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

     

                หากแต่เป็นความอบอุ่นที่เหน็บหนาวจนถึงขั้วหัวใจ

     

                “อื้อ...”

     

                เสียงครางดังลอดออกมาจากลำคอของร่างสูงข้างๆ ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มจะกดจูบเบาๆ ที่ขมับสวย คยูฮยอนนอนขยับกายถอยหลังไปแนบชิดเรือนร่างของอีกฝ่าย เช้าวันนี้เขามีความสุขมากเหลือเกิน

     

                เพราะซีวอนไม่ได้ออกไปข้างนอกสองสามวันแล้ว คยูฮยอนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจึงมีรอยยิ้มเช่นเดียวกัน แต่โบราณเคยกล่าวเอาไว้ ช่วงที่พายุสงบนั่นแหละที่น่ากลัวนัก เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า บางทีหินโสโครกหรือคนที่จิตใจโสโครกอาจจะคอยลอบทำร้ายเราอยู่ก็ได้

     

                เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอยู่ข้างเตียงทำให้ซีวอนยอมปล่อยอ้อมแขนอุ่นของตัวเองออก คยูฮยอนลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะกระถดไปไปกดรับสาย

     

                เบอร์โทรที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย...

     

                “สวัสดีครับ”

     

                [คยูฮยอนใช่ไหม? จำเราได้หรือเปล่า?] น้ำเสียงตื่นเต้นดังมาออกมาจากเครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋ว คยูฮยอนย่นคิ้ว ก่อนจะหันไปสบตากับคนรักอย่างแปลกใจ

     

                “เอ่อ...”

     

                [คยูฮยอน...ดีใจจริงๆ ที่นายยังใช้เบอร์เดิม] เสียงขึ้นจมูกแบบนี้ โทนเสียงประมาณนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่นิสัยการพูดของผู้ชายคนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

     

                “ซองมินเหรอ? กลับมาเกาหลีตั้งแต่เมื่อไร?”

     

                คยูฮยอนเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะหลังจากจบมัธยมปลายซองมินก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทำให้พวกเขาไม่ได้มาพบปะสังสรรค์กันอีก จนกระทั่งวันนี้

     

                [เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยถามเถอะ สัปดาห์หน้ามีงานเลี้ยงรุ่น นายอย่าลืมไปให้ได้นะ]

     

                “เราไม่พลาดอยู่แล้ว” คยูฮยอนตอบออกไป ความสดใสเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายเหมือนจะหวนกลับมาสู่คยูฮยอนอีกครั้ง คยูฮยอนอยากรู้ว่าเพื่อนๆ จะเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหนแล้ว แต่ละคนจะทำงานอะไรกันบ้าง แต่งงานแล้วหรือยัง มีคำถามมากมายที่คยูฮยอนอยากจะพูดคุยกับเพื่อนเก่าๆ ที่เคยเรียนมาด้วยกัน

     

                [เดี๋ยวเราต้องโทรไปหาคนอื่นๆ ก่อน ยังไงคยูฮยอนอย่าลืมพาซีวอนมาด้วยนะ ถือว่าบอกไปทีเดียวเลยแล้วกัน]

     

                “อื้อ” คยูฮยอนรับคำเสียงแผ่วเบา ซองมินคงคิดไปว่าเขาและซีวอนยังคงรักกันหวานชื่นเช่นแต่ก่อน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เมื่อเวลาเปลี่ยน ใจคนเราก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาหรือซีวอนเพียงคนเดียว

     

                สารเคมีที่เคยเข้ากันเมื่อนานมาแล้ว เมื่อทิ้งไว้นานๆ มันก็อาจจะแยกตัวออกจากกันก็ได้ ไม่มีใครสามารถคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้หรอก

     

                “ซองมินโทรมาเหรอ?” เสียงทุ้มหวานหูเอ่ยถาม ก่อนจะรั้งเอวบางของคยูฮยอนเข้าไปกอดแล้วกดสันจมูกโด่งสูดกลิ่นหอมจากแผ่นหลังบางฟอดใหญ่

     

                “อืม ซ...ซองมินชวนไปงานเลี้ยงรุ่นน่ะ” คยูฮยอนตอบคนรักด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ซีวอนก็ยังเป็นคนที่ทำให้คยูฮยอนหวั่นไหวได้เสมอ

     

                “สงสัยผมคงต้องเคลียร์คิวแล้ว เดี๋ยวเพื่อนๆ จะหาว่ารักเราไม่หวานเหมือนเดิม”

     

                ซีวอนบอกว่าจะไปงานเลี้ยงรุ่นเองโดยที่คยูฮยอนยังไม่ทันได้เอ่ยชวนเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่นี้ก็ทำให้คยูฮยอนยิ้มกว้าง ชเว ซีวอนสามีที่น่ารักของเขาคงกลับมาเป็นคนเดิมแล้วจริงๆ

     

                “จริงๆ แล้วเราไม่ต้องไปงานเลี้ยงรุ่นด้วยกันเพื่อโชว์ให้เพื่อนเห็นความรักของพวกเราหรอกนะ ถ้าซีวอนอยากทำให้ฉันรู้ แสดงออกกับฉันมากๆ ก็ได้”

     

                คยูฮยอนก็แค่พูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพูดอะไรผิดไปเสียแล้ว สีหน้าหงุดหงิดถูกระบายออกมาจากใบหน้าคมคายของซีวอน ร่างสูงชันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะจ้องหน้าคนรัก

     

                “อย่าทำให้ผมอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า” เขาพูดนิ่งๆ แต่แววตาดุดันราวกับคนไม่เคยรักกันมาก่อน

     

                “ฉันก็แค่...”

     

                “อย่าพูดแบบนี้อีก อย่าพูดว่าผมไม่รักคยูฮยอน”

     

                คยูฮยอนไม่ได้พูดอะไรต่อตามที่ซีวอนออกคำสั่ง ดวงตากลมโตค่อยๆ ปิดลงช้าๆ เมื่อริมฝีปากอุ่นของซีวอนทาบทับมา คยูฮยอนอยากจะปฏิเสธ อยากจะใช้มือทั้งสองข้างที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงของตัวเองดันแผ่นอกกำยำของคนรักออกห่าง

     

                แต่เขารู้ดี ถ้าหากทำเช่นนั้น ซีวอนจะต้องโมโหอย่างแน่นอน

     

                ร่างโปร่งค่อยๆ เอนกายนอนลงบนเตียงนุ่มอีกครั้ง ซีวอนทาบทับร่างหนาลงมา เขาปลุกเร้าอารมณ์ของคยูฮยอนได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ใช่เพราะมีความเชี่ยวชาญมาจากที่ไหน แต่เพราะความรักที่บ่มเพาะกันมายาวนานมากกว่าสิบปี ซีวอนจึงรู้ว่าจุดไหนที่จะทำให้คยูฮยอนเสียวซ่าน จุดไหนที่จะทำให้คยูฮยอนเจ็บปวด

     

                และจุดไหนที่จะทำให้คยูฮยอนต้องการร่างกายของเขาจนทนไม่ไหว

     

                “อื้อ...”

     

                เสียงครางอื้ออึงดังออกมาจากริมฝีปากแดงฉ่ำของคยูฮยอน เล็บยาวจิกลงบนแผ่นหลังกว้างจนเกิดรอยแดงเป็นริ้วๆ ฟันซี่ขาวขบกัดไหล่หนาจนเลือดซิบ ซีวอนไม่เคยเร้าร้อนขนาดนี้มาก่อน มันจึงไม่แปลกเลยที่คยูฮยอนจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

                ความปรารถนาที่ส่งผ่านออกมาจากดวงตาของซีวอนกำลังสื่อให้คยูฮยอนรู้ว่า...

     

                ซีวอนต้องการเขามากเพียงใด

     

     

                เสียงครางหวีดหวิวดังลั่นออกมาจากห้องทำงานชั้นสามของบ้านหลังใหญ่ ลูกน้องหลายคนต่างเบนหน้าหนีกับเสียงนั่น มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลกีย์

     

                เจ้านายของพวกเขากำลังเล่นบทรักร้อนแรงกับคนโปรดอยู่ในห้องทำงาน เสียงครางกระเส่าที่ลอดออกมาจากประตูบานใหญ่อยู่บ่อยครั้งทำให้คนที่ได้ยินเสียงอดที่จะจินตนาการไม่ได้ว่าคิม ฮีชอลมีลีลาเร่าร้อนมากเพียงใด

     

                ผิวที่ขาวเนียนดั่งน้ำนม รอยยิ้มมุมปากที่งดงามดั่งพญามารที่ต้องการคร่าชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ หากแต่ทุกคนไม่มีสิทธิ์ในเรือนร่างนั้น

     

                กรรมสิทธิ์ในร่างกายของคิม ฮีชอล...เป็นของฮันกยองแต่เพียงผู้เดียว

     

                แต่กรรมสิทธิ์ในร่างกายและหัวใจของฮันกยอง ไม่ใช่ของใคร

     

                “อึก...อึก...”

     

                เสียงขบกรามและเสียงครางต่ำของร่างสง่างามกำลังขยับกายอยู่บนร่างของคิม ฮีชอลอย่างสุดเกร็ง มือบางของฮีชอลกำผ้าปูที่นอนแน่น เปลือกตาปรือจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ น้ำสีขาวขุ่นพวยพุ่งออกมาจากท่อนเนื้ออ่อนไหว ทว่าฮันกยองยังไม่ได้ปลดปล่อยความทรมานของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

     

                “พะ...พอก่อน...พอแล้ว...” ฮีชอลหอบหายใจถี่ พยายามขยับกายถอยออกห่างจากอีกฝ่ายที่ยังไม่สุขสม แต่เมื่อกระเถิบหนี ฮันกยองกลับกระแทกกระทั้นร่างกายจนใบหน้าสวยของฮีชอลบิดเบี้ยว

     

                ความเจ็บปวดทรมานที่มาพร้อมกับความสุขทางเพศรส

     

                คิม ฮีชอลยิ้มเยาะให้กับตัวเองอย่างดูแคลน

     

                นี่หรือ...ชีวิตที่เขาต้องการ

     

                “อา...” เสียงฮันกยองดังลั่นเมื่อได้ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของตัวเองเข้าไปในร่างกายของคนตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มชาวจีนสัญชาติเกาหลีเชิดขึ้น ก่อนจะบีบสะโพกมนของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว

     

                “วันนี้พี่ไม่ฟิตเลย” ฮันกยองกล่าวต่อว่า ก่อนจะถอนความแข็งแกร่งออกมาจากตัวของฮีชอล เจ้าของร่างกายขาวเนียนค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเบะปากแล้วเอ่ยอย่างประชดประชัน

     

                “ใครจะไปฟิตเหมือนฮยอกแจ ของเล่นชิ้นใหม่ของนายล่ะ”

     

                “ผมไม่ได้บอกว่าฮยอกแจฟิต มันแค่...ทนมือทนตีนผมได้ก็เท่านั้น แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ได้ส่งเสียงโหยหวนเหมือนโดนเชือดอย่างพี่”

     

                ฮันกยองว่าพลางลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องน้ำ ทว่ายังไม่ทันก้าวหายเข้าไป เสียงของฮีชอลก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน มันเป็นน้ำเสียงที่เศร้า แต่ก็ดูมีความริษยาเล็กๆ ปะปนอยู่ด้วย

     

                “นายไม่คิดจะหยุดอยู่ที่ใครสักคนบ้างเหรอ?”

     

                ฮันกยองหยุดกึก เขารู้ดีว่าคำพูดของฮีชอลหมายความว่าอย่างไร ใบหน้าคมคายหันกลับมากระตุกยิ้ม ก่อนจะแกล้งตอบราวกับไม่รู้เรื่อง

     

                “หยุดเหรอ? เพื่ออะไร?”

     

                “ก็...มอบหัวใจให้ใครสักคนไง”

     

                “แล้วพี่ฮีชอลหมายถึงฮยอกแจหรือว่าตัวเองล่ะ?”

     

                คำถามของฮันกยองทำให้แก้มเนียนของฮีชอลแดงเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ฮีชอลมั่นใจว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับฮันกยองไปมากกว่าคู่นอนแก้เหงา แต่การถูกถามซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ทำให้ฮีชอลหาคำตอบให้กับอีกฝ่ายไม่ได้

     

                ทว่าสิ่งที่ฮันกยองพูดในประโยคถัดมามันบาดลึกยิ่งกว่าใบมีดที่แสนคมเสียอีก

     

                “อย่าผูกมัดหรืออย่าแสดงความรู้สึกที่สวยงามกับผม เพราะมันจะทำให้พี่ดูเป็นคนน่ารังเกียจ”

     

                ปัง!

     

                ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างแรง ฮีชอลกัดฟันกรอดเมื่อมองผ่านกระจกขุ่นที่มีร่างเปล่าเปลือยกำลังชำระล้างร่างกายอยู่ด้านใน น่ารังเกียจอย่างนั้นเหรอ...?

     

                ความรักมันน่ารังเกียจ หรือคิม ฮีชอลเป็นคนน่ารังเกียจกันแน่?

     

                ฮีชอลได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเองด้วยความสมเพช ทั้งๆ ที่ฮันกยองไม่ได้มีหัวใจให้เขาเลยสักนิด แต่อย่างน้อยคนที่ฮันกยองต้องการร่างกายมากที่สุดก็ยังเป็นคิม ฮีชอลอยู่ดี

     

                แบบนี้...ยังจะเรียกว่าน่ารังเกียจอยู่อีกงั้นเหรอ?

     

     

    Loading-------------30%

     

                สัปดาห์ต่อมา...

     

                หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงในเย็นวันนั้น ฮยอกแจและทงเฮเลือกที่จะลืมมันลงไป ความจริงแล้วภาพในวันนั้นอาจจะถูกลืมเลือนไปได้ง่ายๆ

     

                แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งเดียวที่ไม่สามารถขจัดออกไปจากความคิดของสองพ่อลูกได้เลย

     

                แทนที่จะลืม...ก็ทำเป็นแกล้งหลงลืม และไม่พูดถึงเรื่องราวในเย็นวันนั้นอีก

     

                “ป๊าจะออกไปข้างนอกเหรอครับ?”

     

                ทงเฮเงยหน้าขึ้นไปถามเมื่อเห็นฮยอกแจหยิบเสื้อเชิ้ตสุดแสนจะเชยออกมาใส่ ทงเฮเคยต่อว่าคนเป็นพ่อหลายครั้งเมื่อพ่อมักจะใส่เสื้อตัวนี้ไปงานสำคัญๆ ของโรงเรียน จนเพื่อนๆ ต่างพากันร้องแซวว่าพ่อของเขามีเสื้อเพียงแค่ตัวเดียว

     

                แต่ฮยอกแจก็สามารถยกเหตุผลขึ้นมาอ้างได้เสมอ

     

                เสื้อตัวนี้...ปาร์ค จองซูเป็นคนซื้อให้เขาในวันที่มีทงเฮเข้ามาในชีวิตใหม่ๆ มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด แต่ฮยอกแจก็มีความสุขที่นึกถึงเรื่องเก่าๆ เขามีความสุขทุกครั้งเมื่อความทรงจำทั้งหมดเหล่านั้นเป็นเรื่องของทงเฮ

     

                “ป๊าคิดว่า...ป๊าจะออกไปหางานทำ”

     

                “แต่ว่าตอนนี้เรามีไม่ได้ขัดสนนี่ครับ เงิน...พวกนั้น...ยังมีอยู่เต็มบัญชีของป๊า”

     

                ทงเฮเลือกที่จะละเว้นคำว่าเงินสกปรกออกไปจากประโยค แม้ว่ามันจะเป็นเงินที่ได้มาโดยวิธีต่ำๆ แค่ไหน แต่เงินก็มีกลิ่นเดียวกันทั้งหมด และมันก็สามารถทำให้ใครต่อใครอยากได้อะไรอย่างที่ใจต้องการ

     

                “ถ้าป๊าไม่หางานทำ สักวันเงินพวกนั้นมันก็จะหมดลง ตอนนี้เราอาจจะมีกินมีใช้ แต่ถ้าทงเฮต้องเข้ามหาลัยล่ะ”

     

                “ทงเฮไม่เรียนต่อก็ได้ ทงเฮไม่ชอบเรียนหนังสืออยู่แล้ว”

     

                ทงเฮเอ่ยความในใจกับผู้เป็นพ่อ เขาขาดเรียนมาหลายวันโดยที่ไม่รู้สึกกังวลใดๆ หากเป็นคนอื่นคงนั่งไม่ติดเพราะว่าเรียนตามเพื่อนไม่ทันแล้ว แต่ทงเฮกลับไม่เคยคิดมากกับเรื่องเล็กๆ แบบนี้เลย การเรียนหนังสือมันไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลยด้วยซ้ำ

     

                ก็แค่เรียนๆ ไปตามที่พ่อส่งให้เรียน

     

                “การศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นนะทงเฮ” ฮยอกแจเดินกลับมานั่งข้างๆ ลูกชาย เขาเหลือบมองสมุดสองเล่มที่ทงเฮยืมเพื่อนมาลอกการบ้านและยังไม่ได้นำไปคืน มือหนาวางบนศีรษะกลมได้รูปของลูกชาย ก่อนจะเอ่ยสอน

     

                “มีคนมากมายที่เขาอยากเรียนแล้วไม่ได้เรียน ทำไมทงเฮถึงทิ้งโอกาสของตัวเองง่ายๆ แบบนั้น”

     

                “คนมากมาย? ป๊าหมายถึงใครล่ะครับ?” ทงเฮเอียงคอถาม ฮยอกแจจึงเลื่อนมือหนามากุมมือของคนเป็นลูกเอาไว้

     

                “ป๊าไง อยากเรียนแค่ไหนก็เรียนไม่ได้ เพราะป๊าต้องเลี้ยงดูทงเฮ”

     

                ทงเฮเงียบลง อยากจะถามออกไปว่าทำไมพ่อถึงได้ให้กำเนิดเขาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่คำถามเหล่านั้นก็ถูกกลืนลงคอไปจนหมดสิ้นเมื่อเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของพ่อ

     

                ทงเฮอยากรู้...อยากถาม

     

                ...แต่ไม่กล้าถาม

     

                “ทงเฮจะพยายามตั้งใจเรียนครับ” เสียงของทงเฮแผ่วเบาลงไป ฮยอกแจรู้ดีว่าการเรียนมันยากสำหรับลูกชายของเขามากแค่ไหน ทงเฮไม่ใช่เด็กหัวกะทิ ทำให้ในบางครั้งก็เกิดความท้อใจขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าคอยประคับประคองกันไปแบบนี้ ทงเฮจะต้องเรียนจบอย่างแน่นอน

     

                ฮยอกแจไม่อยากให้ลูกไร้อนาคตเหมือนกับเขา

     

                อีกอย่าง...ฮยอกแจอยากเห็นทงเฮในงานวันจบการศึกษาของโรงเรียน วันนั้นมันเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนภูมิใจมากที่สุด

     

                “แล้วป๊าจะไปสมัครงานที่ไหนล่ะครับ วุฒิแค่มัธยมต้น เงินเดือนคงจะ...”

     

                ทงเฮไม่อยากจะพูดต่อ ยิ่งพูดก็เหมือนกับยิ่งดูถูกคนเป็นพ่อ

     

                “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ป๊าคนนี้เก่งที่สุดอยู่แล้ว ขอแค่ทงเฮเชื่อใจป๊า...”

     

                “ทงเฮก็ต้องเชื่อใจปะป๊าอยู่แล้วสิครับ”

     

                ลูกชายโผเข้ากอดเอวแกร่งของผู้เป็นพ่ออย่างเคยชิน นานมากแล้วที่ไม่ได้อ้อนพ่อแบบนี้ ทว่าภาพวันก่อนกลับฉายชัดเข้ามาในความรู้สึก ไม่ใช่เพียงแค่ทงเฮเท่านั้น ฮยอกแจที่ถูกลูกกอดก็นั่งนิ่งไปด้วยเช่นกัน

     

                สำหรับฮยอกแจ...เขาลืมไม่ได้ ยังไงก็ลืมไม่ได้ว่าสัมผัสแรกที่ได้จุมพิตริมฝีปากอุ่นของทงเฮมันเป็นอย่างไร หอมหวานแค่ไหน มีความสุขล้นมากแค่ไหน

     

                แต่สำหรับทงเฮ ร่างบางทั้งสับสน ทั้งไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง หัวใจของทงเฮเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ มันกำลังทรยศกับคำสั่งของสมอง เขาไม่รู้เลยว่าความรู้สึกวูบไหวที่ว่านี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

     

                “เอ่อ...ป๊ารีบๆ กลับมานะครับ ทงเฮจะรอ...”

     

    ทงเฮผละออก ก่อนจะหยิบสมุดการบ้านของเพื่อนมาลอกอย่างลนลาน ฮยอกแจส่งเสียงอืออออยู่ในลำคอ ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน ทว่าก่อนจะปิดประตูหน้าบ้านลง ฮยอกแจก็ยังหันกลับมาดูลูกชายอีกครั้ง

     

                ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเริ่มหลงรักใบหน้าหวานของเด็กชายคนนี้

     

                ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ฮยอกแจเริ่มอ่อนไหวให้กับลูกชายนอกสายเลือดที่เขาเลี้ยงดูมาเองกับมือ

     

     

                หลังจากฮยอกแจออกไปได้เกือบสองชั่วโมง ทงเฮยังลอกการบ้านได้ไม่ถึงครึ่งหน้าเลยด้วยซ้ำ เขาเอาแต่คิดวนเวียนเรื่องรอยจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

                เย็นวันนั้นพ่อรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรกับลูกชายอย่างเขา

     

                พ่ออาจจะไม่รู้ตัว

     

                แต่ถ้าพ่อไม่รู้ตัว ในตอนสุดท้ายพ่อจะพูดขอโทษออกมาได้อย่างไร ทงเฮส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านออก ตอนนี้พ่ออาจจะลืมเรื่องราวในเย็นวันนั้นไปแล้วก็ได้ เพราะท่าทางของพ่อก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาอีกเลย

     

                แต่กับทงเฮ...เขาพยายามที่จะลืมแล้ว

     

                แต่หัวใจมันช่างทรยศเหลือเกิน

     

                ปิ๊บ!

               

                เสียงเตือนข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทงเฮหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่าน มันไม่ใช่ข้อความแรกที่ทงเฮได้รับจากคุณหมอหนุ่ม แต่เมื่อไรก็ตามที่ทงเฮได้อ่านข้อความคุณหมอ หัวใจของเขาก็พองโตได้ทุกครั้ง

     

                นี่ล่ะมั้งที่เรียกว่าความรักที่แท้จริง

     

                ทว่าเมื่อสายตาไล่ไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏบนหน้าจอขนาดเล็ก ใบหน้าหวานกลับนิ่วลงอย่างไม่พอใจในทันที

     

                วันนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงรุ่นของโรงเรียน คงไปหาทงเฮตามนัดไม่ได้แล้ว ขอโทษนะ

     

                ทงเฮไม่ชอบใจมากๆ ที่คุณหมอใจดีมาผิดนัดกับเขา อุตส่าห์อดใจไม่พบหน้ากันตั้งเป็นอาทิตย์เพราะเขาต้องการอยู่เฝ้าไข้พ่อ แต่พอนัดแล้วกลับไม่มาตามนัดแบบนี้ หมายความว่าอย่างไรกันแน่

     

                ทงเฮไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเข้าใจและรับฟังเหตุผลของผู้อื่น

     

                เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ระงับความต้องการของตัวเองไม่ได้ ถ้าทงเฮอยากได้อะไร เขาก็จะต้องได้ และจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงมันมาให้ได้ด้วย

     

     

                 สองสามีภรรยากำลังเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงที่กำลังจะเกิดขึ้นในเย็นวันนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงการรับประทานอาหารร่วมกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน แต่คยูฮยอนก็อยากให้สามีของเขาดูดีที่สุดในสายตาของคนอื่น

     

                อยากให้ทุกคนมองว่าคยูฮยอนเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉา

     

                “ซีวอนใส่เสื้อสีฟ้าสิ ใส่เสื้อสีขาวแบบนั้นเหมือนกำลังจะไปโรงพยาบาลเลย”

     

                เสียงหวานเอ่ยทักเมื่อซีวอนหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวมาสวมใส่ ปกติซีวอนก็มักจะใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่แล้ว แม้ซีวอนจะเป็นคนที่ใส่อะไรก็ดูดีไปหมด แต่วันนี้...สีฟ้าย่อมดีกว่า

     

                “เจ้ากี้เจ้าการ!” เสียงทุ้มบ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ ถอดเสื้อสีขาวออก แล้วหยิบเสื้อสีฟ้าที่ถูกรีดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจากในตู้เสื้อผ้าออกมาสวมใส่

     

                คยูฮยอนอมยิ้มกับความปากแข็งของสามี อยากจะทำตามคำแนะนำก็ไม่เห็นจะต้องมาบ่นเขาเลยนี่นา

     

                “ใส่สีฟ้าแล้วหล่อจริงๆ ด้วย” คยูฮยอนเดินเข้าไปหาร่างสูงโปร่ง จับปกเสื้อที่พับอยู่ให้เรียบร้อยมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ติดกระดุมเม็ดเล็กให้กับคนรักไล่จากด้านล่างขึ้นไปด้านบน ก่อนจะเหลือสองเม็ดสุดท้าย เผยให้เห็นกล้ามอกมัดแน่นที่โผล่พ้นออกมาแต่พองาม

     

                “คุณรักผมเพราะว่าผมหล่อไม่ใช่เหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับมือหนาที่ตวัดพลิกคลอเคลียอยู่บนใบหน้าหวานไม่ห่าง

     

                “ฉันรัก...เพราะว่าผู้ชายคนนี้เป็นซีวอน และจะรัก...ก็ต่อเมื่อผู้ชายคนนี้คือซีวอนเท่านั้น”

     

                “ต้องการพูดเอาใจผมหรือไง?” ซีวอนก้มลงถามเสียงทุ้มต่ำ ลมร้อนพ่นออกมาจนคยูฮยอนขนลุกไล่ตั้งแต่ปลายคางจนถึงใบหู มือบางผลักอกกำยำออกห่างอย่างอัตโนมัติ

     

                “รีบไปกันเถอะ ช้ากว่านี้รถอาจจะติด”

     

                ซีวอนยิ้มขำกับท่าทางสั่นกลัวเหมือนลูกนกของคนรัก เขายอมถอยออกไปแต่โดยดี เห็นด้วยกับเหตุผลที่คยูฮยอนหยิบยกขึ้นมาอ้าง ร่างสูงโปร่งเดินไปหน้ากระจก หยิบน้ำหอมขึ้นมาฉีด หยิบนาฬิกาเรือนแพงขึ้นมาสวมใส่ ก่อนที่จะขับขวับมาตามเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น

     

                คยูฮยอนกำลังจะช่วยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้ แต่ซีวอนรีบก้าวฉับๆ ไปฉวยโทรศัพท์ของตัวเองออกมาก่อน

     

                “เดี๋ยวผมรับสายเอง!” ตาคมตวัดมองคยูฮยอนตาเขียวปัด ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปรับสายจากเด็กหนุ่ม...อี ทงเฮ

     

                “ยอโบเซ...”

     

                [อึก...ค..คุณหม...หมอ...ฮึก...]

     

                ตุ้บ!

     

                เสียงราวกับสิ่งของที่มีน้ำหนักเป็นร้อยปอนด์หล่นตุ้บลงไปบนพื้น ก่อนที่โทรศัพท์จะถูกตัดสายไป ซีวอนโทรกลับไปหาทงเฮ แต่ไม่มีใครรับสายเลย เขาเริ่มใจไม่ดี มือหนาคว้ากุญแจรถมาถือเอาไว้ คยูฮยอนที่เดินตามออกมาจากห้องนอนจึงส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงตระหนก

     

                “จะรีบไปไหนเหรอซีวอน เราต้องไปงานเลี้ยงรุ่นนะ”

     

                “มีคนไข้ด่วน ผมต้องรีบไปผ่าตัดน่ะ คุณ...ไปเองได้ใช่ไหม?” ซีวอนกลอกตาไปมาอย่างมีพิรุธ แต่คยูฮยอนคิดเพียงว่าคนรักกำลังร้อนรนเสียมากกว่า สำหรับหมอที่มีจรรยาบรรณแล้ว คนไข้ย่อมสำคัญที่สุด คยูฮยอนรู้ถึงจรรยาบรรณข้อนั้นเป็นอย่างดี

     

                “ฉันไปเองได้ แต่ถ้าผ่าตัดเสร็จเร็ว ซีวอนขับรถมารับฉันด้วยนะ”

     

                “อืม” ร่างสูงใส่รองเท้าในขณะที่รับคำจากคยูฮยอน ก่อนจะรีบขับรถออกไปแทบจะในทันที คยูฮยอนแทบจะไม่อยากไปงานเลี้ยงรุ่นอะไรนั่นแล้ว ไม่มีซีวอน...เขาก็ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น

     

                เพื่อนคงจะพากันถามว่าซีวอนหายไปไหน และคยูฮยอนเบื่อที่จะต้องตอบคำถามที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ โจ คยูฮยอนไม่รู้เลย

     

     

                ซีวอนไปหาทงเฮที่คอนโดมาแล้ว แต่เขาไม่พบทงเฮอยู่ที่นั่น ทงเฮคงจะอยู่ที่บ้าน ในตอนแรกซีวอนก็ไม่กล้าไป แต่เมื่อคิดว่าทงเฮอาจจะเป็นอะไรจริงๆ เขาก็รีบเร่งความเร็วรถยนต์มุ่งไปสู่บ้านของทงเฮทันที

     

                กว่าจะถึง...ฟ้าก็มืดสนิทไปหมดแล้ว

     

                ไฟที่บ้านของทงเฮก็มืดสนิทเช่นเดียวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ราวกับ...ไม่มีใครอยู่ในบ้าน

     

                “ทงเฮ!” ซีวอนตะโกนเรียกเด็กหนุ่มเจ้าของบ้าน เขาเห็นรั้วที่เปิดอ้าออกราวกับจงใจต้อนรับการมาเยือนของเขา ประตูบานใหญ่ที่ปิดอยู่ก็ไม่ได้ล็อกจากด้านใน ซีวอนเดินเข้าไปเรื่อยๆ เสียงทุ้มเรียกหาคนตัวเล็กที่ควรจะอยู่ในบ้านหลังนี้ซ้ำหลายครั้ง

     

                “ทงเฮ...คุณอยู่ที่ไหน อี ทงเฮ!

     

                “คุณหมอ!” น้ำเสียงดีใจดังลั่นอยู่ด้านหลังของซีวอน ก่อนจะตามมาด้วยร่างเล็กๆ ที่กระโดดขี่หลังขึ้นมา ซีวอนรีบกางแขนไปคล้องขาเรียวอย่างอัตโนมัติ ทำให้คนขึ้นขี่หลังของเขาอ้อมใบหน้าหวานมาชิงหอมแก้มของคุณหมอเต็มความคิดถึง

     

                “คิดถึงจังเลยครับ” ทงเฮเอียงคอบอกอย่างน่ารักน่าชัง ซีวอนปล่อยให้ร่างบางลงจากหลังไปยืนที่พื้น ก่อนจะดันแผ่นหลังของทงเฮไปจนติดประตูบ้านที่เขาดึงมาปิดและลงกลอนอย่างพอดิบพอดี

     

                “ร้ายนักนะ กล้าหลอกให้ผมมาหาที่นี่”

     

                “ก็ทงเฮคิดถึงคุณหมอจริงๆ นี่ครับ ไม่ได้เจอกันตั้งอาทิตย์นึง คุณหมอไม่คิดถึงผู้ชายคนนี้บ้างหรือไง” ไม่ใช่แค่เสียงหวานที่ต้องการจะยั่วยวนคนตรงหน้า ทั้งสายตา ทั้งมือบางที่ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของซีวอนต่างก็ร่วมใจกันยั่วยวนจนซีวอนอดใจไม่ไหว

     

                “ทำไมผมจะไม่คิดถึงทงเฮล่ะ...หืม?”

     

                เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเย้า ใบหน้าคมคายก้มลงซุกไซ้ซอกคอนวลเนียนอย่างมันเขียว ขบกัดเบาๆ จนสร้างรอยที่แสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ ทงเฮไม่ได้เบี่ยงตัวหนีเหมือนกับคยูฮยอน เมื่อทงเฮกำลังวูบไหว ทงเฮก็จะเชิดหน้าขึ้นแล้วคล้องคอซีวอนไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะตกจากหน้าผาสูงชัน

     

                “คุณหมออย่าทิ้งทงเฮไปไหนนะครับ” เสียงหวานครางกระเส่า ก่อนจะซุกซบใบหน้าขาวใสที่ตัดกับความมืดมนยามค่ำคืน มือเรียวเลื่อนลงต่ำไปปลุกปั่นและเร่งเร้าให้ซีวอนมีความต้องการในตัวเขามากยิ่งขึ้น

     

                “ยั่วขนาดนี้จะให้ผมทิ้งไปได้ยังไง”

     

                ซีวอนรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกภายในไม่กี่วินาที ทงเฮเองก็เช่นกัน พวกเขาหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข เสียงครางหฤหรรษ์ดังขึ้นมาเป็นระยะ

     

    หากแต่ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ บนโลกใบนี้อาจจะมีคนที่กำลังร้องไห้อยู่อีกคนก็ได้

     

     

                คยูฮยอนนั่งแท็กซี่มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ซองมินเป็นคนนัดเอาไว้ มีเพื่อนเก่าสิบกว่าคนนั่งรออยู่ด้านใน ทุกคนต่างแสดงสีหน้าดีใจที่ได้พบกับคยูฮยอน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าบอร์ดี้การ์ดที่เป็นเหมือนเงาตามตัวของคยูฮยอนเสมอ วันนี้หายไปไหน

     

                “คยูฮยอน ทางนี้!” ซองมินกวักมือเรียกร่างโปร่งให้เดินไปนั่งข้างๆ กับเขา ความจริงแล้วที่นั่งตรงนั้นมันถูกเว้นไว้ถึงสองที่ แต่เมื่อซีวอนไม่มา มันจึงกลายเป็นความว่างเปล่า

     

                ความว่างเปล่าที่น่าอึดอัดเหลือเกิน

     

                “ช่วงนี้คยูฮยอนหน้าตาหมองๆ นะ ซีวอนเขา...แสดงความรักบ่อยเหรอ?”

     

                เพื่อนคนหนึ่งตะโกนถามมาจากมุมหนึ่งของโต๊ะ แต่แทนที่ใบหน้าหวานจะแดงก่ำไปด้วยความขวยเขิน คยูฮยอนกลับส่งยิ้มเจื่อนไปให้ อีกทั้งใบหน้านั้นยังดูหมองหม่นลงมากกว่าเดิมเสียอีก

     

                “ไม่ใช่สักหน่อย ซีวอนไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยซ้ำ พวกนายก็รู้ว่างานที่โรงพยาบาลมันหนักแค่ไหน”

     

                คยูฮยอนพยายามแก้ตัวกับเพื่อนๆ ไม่ใช่แก้ตัวแทนซีวอน หากแต่เป็นการแก้ตัวแทนหัวใจที่มันเต้นแผ่วเบาลงต่างหาก อยากบอกให้สมองรับรู้ว่าหัวใจของซีวอนยังอยู่ที่เขาไม่ได้เปลี่ยนไปไหน

     

    คยูฮยอนก็แค่...คิดมากไปเองเท่านั้น

     

                “ถึงจะงานหนัก แต่ครอบครัวก็สำคัญที่สุดนะ” เพื่อนอีกคนหนึ่งแสดงความคิดเห็น ทำให้ถูกสายตาคาดโทษจากคนอื่นๆ ส่งไปให้

     

                “พวกนายต้องการจะพูดอะไรกันแน่ เราก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าซีวอนรักคยูฮยอนมากแค่ไหน ซีวอนน่ะ...ไม่เปลี่ยนใจไปจากคนดีๆ อย่างคยูฮยอนง่ายๆ หรอกนะ”

     

                ซองมินว่า ก่อนจะดึงมือที่วางอยู่บนตักของคยูฮยอนมากุมไว้อย่างปลอบใจ มือนั้นกำลังสั่นเทาเพราะความไม่มั่นคงในจิตใจของตัวเองและคนรัก พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมากแบบนี้ ความคิดมากและความไม่เชื่อใจจะเป็นสิ่งที่ทำลายครอบครัวของพวกเขา

     

                “แต่มันก็น่าคิดนะ ใครจะไปทำงานได้ตลอดเวลา อย่างน้อยมันก็ต้องมีอารมณ์อยากกอดเมียบ้างแหละ” ยังมีคนที่ยังพูดจาอย่างสนุกปาก คยูฮยอนไม่ได้โกรธเพื่อน พวกเขามีปากและต่างก็ต้องการแสดงความคิดเห็นออกมา

     

                เพียงแต่ความคิดเห็นพวกนั้นมันกำลังบั่นทอนจิตใจของเขาเท่านั้นเอง

     

                “เลิกพูดให้คยูฮยอนคิดมากสักทีเถอะน่า” ซองมินปรามเพื่อนๆ แต่ก็ยังมีคนพูดขึ้นมาอีกจนได้

     

                “ถ้าอยากรู้ว่าซีวอนมีคนอื่นหรือเปล่า ก็ลองเช็คโทรศัพท์ดูสิ ความลับทุกอย่างมันก็อยู่ในโทรศัพท์นี่แหละ”

     

                “ถ้าไม่เลิกพูด ฉันจะล้มโต๊ะแล้วนะ”

     

                ซองมินต่อว่าเพื่อนๆ อย่างทนไม่ไหว คยูฮยอนได้แต่นั่งนิ่งเงียบ พยายามจะหัวเราะร่วมไปกับเพื่อนๆ เมื่อพวกเขาเล่าเรื่องวีรกรรมเก่าๆ กัน พยายามจะทำตัวให้สนุก แต่ความรู้สึกข้างในจิตใจก็เป็นสิ่งที่ปกปิดกันไม่ได้ง่ายๆ

     

                ต่อให้ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า แววตาที่สั่นไหวก็ฟ้องอยู่ดี

     

                “เพราะความอบอุ่นที่มากเกินไปของซีวอนนี่แหละที่อยากทำให้มือที่สามแทรกกลางเข้ามา”

     

                “มันเป็นข้ออ้างของคนมักมากหลายใจต่างหากล่ะ”

                “แต่ซีวอนรักคยูฮยอนจะตาย เขาคงไม่ทำแบบนั้นกับคยูฮยอนแน่ๆ ฉันมั่นใจ”

     

                ทางปลายโต๊ะอีกด้านยังมีเพื่อนจับกลุ่มซุบซิบนินทาเรื่องของคยูฮยอนดังเป็นระยะ ซองมินหันมาหาเพื่อน ลอบมองใบหน้าหวานที่สลดลงไปเมื่อได้ยินคำพูดร้ายๆ ต่างๆ ก่อนจะแตะไหล่บางอย่างเป็นห่วง

     

                “ไม่เป็นไรนะคยูฮยอน”

     

                “ฉันไม่เป็นไรอยู่แล้ว” คยูฮยอนส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อน ก่อนจะหันไปร่วมวงพูดคุยกับเพื่อนคนอื่น เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

     

                “มีตำแหน่งว่างบ้างไหมครับ เป็นพนักงานเสิร์ฟหรือพนักงานต้อนรับก็ได้”

     

                เสียงที่ดังมาจากเคาน์เตอร์ด้านหลังของคยูฮยอนทำให้ใบหน้าหวานหันไปมอง ร่างโปร่งที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มอซอ ดูเป็นคนเฉิ่มๆ เชยๆ แต่หน้าตากลับดูดีกว่าคนทั่วไป ผิวขาวนวลทั้งใบหน้าและลำตัว ผมที่ตัดสั้นถูกเซ็ทขึ้นไปจนเผยให้เห็นหน้าผากมนสวย ริมฝีปากหยักชัดเจนแต่ก็ยังบางเฉียบอย่างน่ามอง จมูกโด่งเป็นสันได้รูป โดยเฉพาะดวงตาเรียวเล็กที่รับกับคิ้วหนาดกดำ

     

                เขาดูเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าหวาน แต่ก็มีความคมคายที่ซ่อนอยู่ไว้มากโขทีเดียว

     

                “มองอะไรเหรอคยูฮยอน?” ซองมินเอียงมากระซิบถามเมื่อเห็นดวงตากลมโตของเพื่อนมองชายคนหนึ่งอยู่นานแล้ว

     

                “มองผู้ชายคนนั้นน่ะ เขาดูน่าสงสารจัง”

     

                “อย่าไปสนใจเขาเลย กลับมาสนุกกันต่อเถอะ” ซองมินบอก ทว่าคยูฮยอนก็ยังละสายตาจากชายคนนั้นไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

                “ตอนนี้เหลือแค่งานล้างจาน จะทำไหมล่ะ?”

     

                “เอ่อ...ล้างจานเหรอครับ?” เสียงทุ้มลดเบาลงไปในทันที ไหล่กว้างลู่ลงอย่างผิดหวัง แถมดวงตาเรียวเล็กนั่นก็แสดงออกชัดเจนว่าต้องการทำงานมากเพียงใด

     

                “คุณครับ กำลังหางานอยู่เหรอ?” คยูฮยอนตัดสินใจเดินเข้าไปถาม ชายคนนั้นหันหน้ามาก่อนจะโค้งศีรษะให้

     

                “คะ...ครับ”

     

                “ไม่ต้องโค้งให้ผมหรอกครับ เราน่าอายุพอๆ กัน” คยูฮยอนบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นนามบัตรส่งไปให้

     

                “ให้ผมเหรอ?” เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวแล้วเอ่ยถาม

     

                “นั่นเป็นนามบัตรของผม ผม...โจ คยูฮยอน ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมอาจจะจ้างคุณมาทำความสะอาดบ้านแบบชั่วคราว...ได้ไหมครับ?”

     

                “ขอบคุณมากๆ เลยครับ ขอบคุณจริงๆ” เขาโค้งศีรษะให้คยูฮยอนอย่างนอบน้อม ทำราวกับคยูฮยอนเป็นเทวดาที่มาโปรดมนุษย์ธรรมดาอย่างเขา มือหนาเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตเอาไว้ ก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ทว่าคยูฮยอนกลับเรียกขึ้น

     

                “คุณ...ชื่ออะไรเหรอครับ?”

     

                “ผม...อี ฮยอกแจ” เขาหันกลับมาบอก ก่อนจะเดินก้มหน้าจากไป คยูฮยอนทำท่าจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ทว่าเสียงเพื่อนคนหนึ่งกลับตะโกนดังขึ้นมาเสียก่อน

     

                “ซองมิน แฟนมารอรับแล้ว” คยูฮยอนหันไปตามคำพูดของเพื่อนคนนั้น ที่ประตูทางเข้าปรากฏชายหนุ่มร่างสูงโปร่งมากกว่าหกฟุตสี่นิ้ว เขาสูงแต่ไม่ได้เก้งก้างผอมแห้ง ตรงกันข้ามกลับมีกล้ามเนื้อเคร่งขึงที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยด้วยความเคอะเขิน

     

                ซองมินลุกออกจากเก้าอี้ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ไปทางร่างสูงใหญ่ที่ยืนรออยู่ แต่ก็ยังไม่วายหันไปแก้ตัวกับเพื่อนๆ

     

                “พี่ชางมินไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย”

     

     

    Talk with Lee Seen

                โอ้ววววว เป็นสี่สิบเปอร์เซอร์ที่ยาวจริงๆ หรือเปล่า?

    คนอ่านอ่านจะคิดว่าไม่ยาวก็ได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ

    เปิดตัวชางมินแล้วจ้า...

    ตอนนี้มีมินคยูด้วยแหละ ใครรอชู้...เอ้ย! รอผู้ชายคนนี้ของคยูฮยอนอยู่

    เจอกันตอนหน้านะคะ มียาว.......

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×