ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #19 : Chapter 18 เป็นแค่ชู้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.29K
      7
      2 พ.ย. 54

     

    Chapter 18

    เป็นแค่ชู้

     

                “ทงเฮ หนีไปลูก...วิ่งหนีไป!” ฮยอกแจตะโกนบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงตกใจ ทงเฮมองฮยอกแจสลับกับร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้ เขาจะทำอย่างไรดี ทงเฮเป็นห่วงพ่อ แต่แววตาดุดันของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาหวาดกลัวเหลือเกิน

     

                “อย่า...อย่าเข้ามานะ...” เสียงใสที่เอ่ยขึ้นมานั้นช่างสั่นเครือ รอยยิ้มราวกับเพชรฆาตของฮันกยองทำให้ขาเรียวของทงเฮก้าวไม่ออก ฮยอกแจพยายามจะอ้าปากบอกลูกชายให้วิ่งหนีไป ทว่าฮีชอลที่กำลังขยับเรือนกายอยู่บนตัวของเขากลับเอื้อมมือมาปิดปากไว้

     

                “ออกไปนะ!” ทงเฮร้องเสียงหลงเมื่อฮันกยองอยู่ห่างเพียงคืบเท่านั้น เขาค่อยๆ ถอยหลังหนี แต่ดูเหมือนว่าฮันกยองจะจู่โจมเหยื่อของตัวเองได้ว่องไวปานนักล่า

     

                “กลัวฉันเหรอเด็กน้อย อย่ากลัวไปเลย สวรรค์อยู่ตรงหน้านายแล้ว”

     

                “อึก...ไม่...ยะ...อื้อ!” คางมนถูกบีบอย่างแรง ฮันกยองมองดวงหน้าที่อ่อนหวานราวกับเด็กสาวของทงเฮด้วยความหลงใหล เป็นจังหวะกับฮีชอลที่หันมาตะโกนเรียกร่างสูงอย่างเดือดดาลพอดี

     

                “หยุดนะฮันกยอง!

     

                “พี่ไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม ทำต่อไป” เขาออกคำสั่ง ดวงตามืดสนิทแสดงความสยดสยองออกมาทางสายตาจนทงเฮขนลุกซู่ มือข้างหนึ่งที่ถือปืนไว้จับประคองแขนเรียวของทงเฮ ร่างเล็กยืนนิ่งตัวสั่นเทา ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ฮันกยองค่อยๆ โน้มใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

     

                ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนแรงรดรินอยู่เพียงปลายจมูกเท่านั้น

     

                “ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้!” ฮีชอลแผดเสียงพร้อมกับหยุดการกระทำของตัวเองทั้งหมด ฮยอกแจดิ้นเร่า พยายามจะผลักตัวของฮีชอลออก แต่ความร้อนแรงของฮีชอลยังแทรกซึมอยู่ภายในร่างกายของเขา แค่ฮีชอลกดฝ่ามือไว้กลางหน้าอกแกร่ง ฮยอกแจก็สิ้นเรี่ยวแรงแล้ว

     

                ฮันกยองถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย ใบหน้าบึ้งตึงหันขวับไปมองร่างเปล่าเปลือยของฮีชอลอย่างเอาเรื่อง นึกรำคาญใจกับคนที่มาขัดขวางความสุขของเขา ทงเฮจึงอาศัยจังหวะนั้นคว้าแจกันที่ตั้งโชว์อยู่มุมห้องมาฟาดท้ายทอยของฮันกยองเต็มแรง

     

                “แก!” ฮีชอลกำหมัดแน่นอย่างโกรธแค้นแทนคู่ขาของตัวเอง ฮันกยองไม่ได้ส่งเสียงร้อง และแจกันที่ฟาดศีรษะของเขาเมื่อครู่ก็ไม่ได้แตกด้วย แรงของทงเฮมีน้อยนิดเกินไป ฮันกยองเพียงแค่สะบัดหน้าไล่ความมึนออกไป ก่อนจะยิ้มมุมปากมาทางทงเฮที่จ้องมองเขาด้วยแววตาสั่นระริก

     

                “ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก ฉันเองก็ชอบความรุนแรงเหมือนกัน” เสียงทุ้มใหญ่ที่ดังก้องไปทั่วบริเวณเอ่ยบอก ก่อนจะดันร่างของทงเฮประชิดไปกับผนัง

     

                “โอ๊ย!

     

                “ทงเฮ...อี ทงเฮ!” ฮยอกแจพยายามจะลุกขึ้น แต่ฮีชอลกลับหันมาปลุกปั่นอารมณ์หวามของเขาให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ฮีชอลกำลังบำเรอกายให้กับผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่นึกรังเกียจ หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับจ้องมองแผ่นหลังของฮันกยองด้วยความผิดหวัง

     

                ยิ่งฮันกยองมองทงเฮด้วยสายตาที่หื่นกระหายมากเท่าใด ฮีชอลก็ขยับร่างกายของตัวเองแรงขึ้นเท่านั้น สะโพกกลมมนหมุนควงเป็นวงกลมจนส่วนแข็งแรงของฮยอกแจปวดร้าวไปหมด แต่ฮีชอลกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างหฤหรรษ์ ฮยอกแจกระถดกายถอยหนี ฮีชอลก็ตามเข้ามาเรื่อยๆ สะโพกขาวนวลขยับแรงขึ้น...แรงขึ้น

     

                “ทงเฮ...ป๊าขอโทษ...” น้ำตาของฮยอกแจไหลตกลงมาจากหางตาเมื่อมองดูลูก ดวงตาของทงเฮสั่นระริก มองคนเป็นพ่อผ่านม่านน้ำตาขนาดใหญ่ ขาเรียวไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวยืน แต่ฮันกยองกลับรวบข้อมือบางไว้เหนือศีรษะด้วยมือแกร่งเพียงข้างเดียวของเขา

     

                “แกมายุ่งกับคนของฉันก่อนเอง มันผิดตรงไหนถ้าฉันจะทำอะไรลูกชายที่น่ารักของแก” ฮันกยองหันมาบอกกับฮยอกแจเสียงเยือกเย็น เขาใช้สะโพกแกร่งดันกายของทงเฮให้แนบชิดผนังปูนเย็นเฉียบ มือข้างหนึ่งรวบแขนทั้งสองข้างของทงเฮเอาไว้ ส่วนอีกข้างจ่อปืนเข้าที่ขมับของคนตัวเล็ก

     

                “ปะป๊า...อึก...” ทงเฮพูดอะไรไม่ออก เขาเอาแต่เรียกหาคนเป็นพ่อราวกับตัวเองเป็นเด็กๆ ฮันกยองกระตุกยิ้ม ยิ่งได้เห็นน้ำตาของทงเฮเขายิ่งชอบ ยิ่งได้เห็นเสียงร้องทุรนทุรายจากฮยอกแจ ฮันกยองยิ่งมีความสุข

     

                “อย่า...อย่าทำลูกผม...อย่าทำลูกของผม...” ฮยอกแจขอร้องทั้งน้ำตาเมื่อเห็นฮันกยองลากลิ้นสากจากกกหูผ่านแนวสันกรามของทงเฮมาที่คางมน ไล้ต่ำมายังซอกคอขาว ทงเฮหลับตาแน่น ข้อมือเล็กๆ พยายามจะดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุม

     

                แต่ไม่ได้...ไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีกเลย

     

                “อย่าทำทงเฮ...อย่าทำเขา...ทงเฮเป็นลูกชายของผม ได้โปรด...อึก...อย่าทำ...” ฮยอกแจพูดแทบไม่เป็นภาษา ยิ่งเขาส่งเสียงมาขอร้อง ฮันกยองก็ยิ่งได้ใจ ฟันซี่คมกัดคอเสื้อนักเรียนของทงเฮแล้วฉีกออกจนเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนน่าสัมผัสลิ้มลอง

     

                “ลูกแกกำลังยั่วฉันอยู่ ดูสิ...บิดเร่าเชียว หึหึ”

     

                “ปล่อย...ปล่อยเถอะครับ”

     

                ฮันกยองไม่สนใจเสียงของฮยอกแจอีกต่อไปแล้ว เขาค่อยขบเม้มไหล่บางนั้นราวกับจะกลืนกิน จากขบด้วยริมฝีปากหยักก็เปลี่ยนเป็นฟันซี่คมที่จิกลึกลงบนเนื้อเนียนนุ่ม ทงเฮตัวเกร็งนิ่ง สติเริ่มหลุดลอยราวกับตกอยู่ในฝันร้าย ได้ยินเสียงพ่อเรียกชื่อของตัวเองดังขึ้นตลอดเวลา

     

                ฮันกยองค่อยๆ ขบกัดจนผิวที่ขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ ก่อนที่เลือดสีแดงสดจะค่อยๆ ไหลซึมออกมา

     

                “อึก...” ทงเฮเม้มปากแน่น พยายามจะเก็บกลั้นเสียงร้องที่น่ารังเกียจของตัวเอง เขากลัว กลัวว่าฮันกยองจะทำอะไรมากกว่านี้ กลัวว่าถ้าขัดขืน ปืนกระบอกนี้จะระเบิดสมองของเขาให้แตกกระจาย

     

                ฮันกยองยังสนุกอยู่กับการแกล้งสองพ่อลูก ฮีชอลเองก็ขยับร่างกายเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฮยอกแจดันสะโพกมนออกห่าง เขารู้สึกขยะแขยงคนตรงหน้า ภาพที่ทงเฮกำลังถูกฮันกยองกัดที่หัวไหล่ทำให้ฮยอกแจแทบจะขาดใจเสียเดี๋ยวนั้น

     

                “ปล่อยได้แล้ว...อย่าทำทงเฮอีกเลย...ฮึก...”

     

                จากแผลเล็กๆ ก็กลายเป็นแผลเหวอะหวะที่ไหล่เนียนสวย ฮันกยองหันมาส่งยิ้มสยดสยองให้กับฮยอกแจ ที่ฟันสีขาวมีคราบเลือดติดอยู่ ฮันกยองใช้ลิ้นเลียทำความสะอาด ใบหน้าคมหันกลับไปแสยะยิ้มให้กับทงเฮ กระบอกปืนลากต่ำจากหน้าอกบางที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ผ่านหน้าท้องแบนราบของทงเฮ ก่อนจะหยุดวนอยู่ที่ขอบกางเกงนักเรียน

     

                “ปะป๊า!” ทงเฮส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น ทำให้ฮยอกแจงัดเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายผลักฮีชอลกระเด็นออกไป เขาคว้าแจกันที่ทงเฮใช้ฟาดศีรษะฮันกยองก่อนหน้านี้มาฟาดกะโหลกของคนตัวสูงอย่างเต็มแรง

     

                เพล้ง!

     

                แจกันแตกกระจายพร้อมกับฮันกยอองที่หมดสติทรุดฮวบลงกับพื้น ทงเฮยืนแนบชิดกับกำแพงนิ่ง เขาอยากจะแทรกซึมหายตัวเข้าไปในผนังเย็นเฉียบนั้น อยากหายออกไปจากสถานการณ์ที่โหดร้ายตอนนี้

     

                ฮยอกแจไม่รอให้ฮีชอลได้ทันตั้งตัว เขารีบฉวยปืนสีดำออกมาจากมือของฮันกยองแล้วเล็งไปกลางลำตัวของฮีชอลด้วยมือที่สั่นเทา

     

                “เอามันออกไปจากที่นี่! ออกไป!” มือของฮยอกแจไม่ได้นิ่งสนิท มันสั่นเทาเสียจนฮีชอลยังรู้สึกได้ ร่างโปร่งลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะประคองร่างของฮันกยองที่หมดสติกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที

     

                ฮยอกแจลดปืนลง เขารีบวางปืนกระบอกนั้นลงบนพื้น เป็นครั้งแรกที่ฮยอกแจได้จับปืน ถ้าหากเขาควบคุมสติไม่ได้ ฮยอกแจคงจะเหนี่ยวไกปืนยิงฮีชอลและฮันกยองไปแล้ว

     

                “ทงเฮ...ป๊าขอโทษ ป๊า...พูดได้แค่ขอโทษนะลูก”

     

                ฮยอกแจวิ่งเข้าไปกอดลูกชายไว้แน่น ทงเฮโผเข้าหาคนเป็นพ่อ ซุกซบใบหน้าหวานกับอ้อมกอดอุ่นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่เอาอีกแล้ว ไม่อยากเจอคนป่าเถื่อนแบบนั้นอีกแล้ว

     

                “คนๆ นั้นเป็นปีศาจ เขาเป็นปีศาจร้าย” ทงเฮบอกกับฮยอกแจทั้งน้ำตา มันยังไม่หยุดไหลง่ายๆ ฮยอกแจก็เช่นกัน แค่เห็นสภาพของลูกก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกแล้ว หัวไหล่บางของลูกมีแผลกว้างเป็นรอยฟันของไอ้สัตว์นรกนั่น

     

                ฮยอกแจไม่มีวันให้อภัย

     

                ไม่มีวัน...

     

                “ไม่ต้องกลัวนะ ป๊าจะไม่ให้ใครมาทำอะไรทงเฮได้อีกแล้ว ไม่เป็นไรนะลูก”

     

                เขาโยกร่างของทงเฮเหมือนกำลังกล่อมเด็กน้อย ดวงตาของทงเฮหวาดระแวงทุกสิ่งรอบๆ กาย ฮยอกแจจึงช้อนตัวทงเฮขึ้นมาอุ้มแล้วพาไปนอนในห้องนอน เขาคว้าผ้าขนหนูมาคลุมส่วนล่างของตัวเองอย่างหมิ่นเหม่ ก่อนจะจับมือลูกชายเอาไว้แน่น

     

                “ทงเฮ...ทงเฮของป๊า...”

     

                ทงเฮไม่มีปฏิกิริยาใดๆ โต้ตอบคนเป็นพ่อเลย ดวงตาคู่สวยล่องลอยมองเพดานอย่างไม่มีจุดหมาย นึกถึงสัมผัสที่น่ากลัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งคืน

     

     

    Loading-------------30%

     

                เปลือกตาบางที่หนักอึ้งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าเขาหลับไปกี่ชั่วโมงแล้ว ทั้งปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดหลัง และยังเวียนศีรษะอีกด้วย

               

                เมื่อลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง แขนข้างขวาเท้าไปกับเตียงเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง แต่ความเจ็บปลาบก็แล่นจากหัวไหล่ลงไปถึงปลายนิ้วมือ

     

                “โอ๊ย!

     

                อี ทงเฮล้มไปนอนบนเตียงอีกครั้งอย่างทรมาน และเมื่อก้มลงมองไหล่บางของตัวเองก็พบว่ามันถูกปิดด้วยผ้าพันแผลสีขาว ความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ทำให้ทงเฮไม่กล้าขยับตัวไปไหน

     

                เสียงหัวเราะคำรามในลำคอยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของทงเฮ มันตราและตรึงให้เขาหวาดกลัวเหลือเกิน ไม่รู้ว่าพ่อหายไปไหน ไม่รู้ว่าถ้าหากปีศาจร้ายนั่นกลับมาอีก เขาจะต่อสู้ได้อย่างไร ทงเฮกำลังวิตกจริตอย่างรุนแรง

     

    มือบางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง กดหมายเลขหนึ่งอย่างผิดๆ ถูกๆ แล้วโทรออกไปหาใครบางคนด้วยมือที่สั่นเทา

     

                เสียงสัญญาณยังดังไม่ถึงครึ่งครั้งเลยด้วยซ้ำ เสียงทุ้มก็ดังขึ้น...

     

                [สวัสดีครับ]

     

    ชเว ซีวอนนั่นเองที่ทงเฮโทรไปหา เสียงของเขาเบาบางมาก ราวกับอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล ทงเฮกำโทรศัพท์ไว้แน่น ละล่ำละลักบอกความหวาดกลัวของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้

     

                “คุณหมอ...ฮึก...มาหาทงเฮหน่อย ทงเฮโดนคนทำร้าย...ฮือๆ”

     

                ทงเฮส่งเสียงสะอื้นให้อีกฝ่ายได้ยิน ครั้งนี้เขาไม่ได้โกหก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเงียบไปอย่างใช้ความคิดไตร่ตรอง

     

                ...เคยได้ยินนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะมาก่อนไหม จุดจบของเด็กเลี้ยงแกะที่สุดท้ายก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา

     

    จะมีใครเชื่อถือคำพูดของเด็กที่โกหกพกลมอย่างอี ทงเฮล่ะ...ไม่มีหรอก

     

    [เอาไว้อาทิตย์หน้านะทงเฮ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง]

     

                “แต่คุณหมอครับ...ฮึก...มีคนมาทำร้ายทงเฮจริงๆ คุณหมอ...ทงเฮกลัว...ทงเฮกลัวครับ...”

     

                [ผมรู้ว่าทงเฮคิดถึงผม เด็กน้อย...วันนี้ต้องไปโรงเรียนนะ ตั้งใจเรียนนะครับ เดี๋ยวหมอจะไปทำงานแล้ว เป็นเด็กดีนะครับลูกแมวน้อย]

     

                เขาพูดหยอดคำหวานเหมือนทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็กดตัดสายไป ทงเฮพยายามโทรไปอีกครั้ง แต่พบว่าซีวอนปิดเครื่องไปแล้ว น้ำเสียงที่เขาพูดคุยเมื่อครู่ก็แผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน ทงเฮหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาอุ่นรินไหลออกมาเป็นสายอีกครั้ง

     

                ทงเฮไม่ต้องการคำพูดหวานหูในตอนนี้

     

                ขอเพียงอ้อมกอดอุ่นๆ ที่ไม่ต้องแนบแน่นมากนัก ขอเพียงแค่ใครสักคนที่อยู่ข้างๆ กับอี ทงเฮก็พอ

     

                “ทงเฮ...ตื่นแล้วเหรอ?” ฮยอกแจเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับชามใบหนึ่ง ในนั้นมีโจ๊กหอมกรุ่นที่เขาทำเองกับมือ ฮยอกแจส่งยิ้มให้ลูก พยายามทำเป็นไม่นึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ แต่เมื่อวางชามนั้นลงบนโต๊ะ เขาก็หันมาเจอน้ำตาของทงเฮ

     

                “เขาจะทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเขามาอีก ป๊าจะฆ่าเขา” ฮยอกแจดึงมือของทงเฮเข้ามากุมเอาไว้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้ชายที่ฮยอกแจไปด้วยในคืนก่อนนั้นจะเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อนได้มากขนาดนี้ การกระทำของฮันกยองมันน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งได้

     

                “ทงเฮไม่อยากมีชีวิตอยู่”

     

                “ไม่เอาลูก อย่าพูดแบบนั้น ป๊าไม่เหลือใคร ป๊ามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะทงเฮ ทงเฮจะทิ้งป๊าไปง่ายๆ ได้ยังไง”

     

                “ฮึก...แต่ทงเฮไม่อยากเจอมันอีก ทงเฮ...”

     

                ฮยอกแจรู้ว่าตอนนี้ลูกชายของเขากำลังรู้สึกอย่างไร อ้อมกอดของพ่อที่อาจจะไม่อุ่น แต่ก็เป็นอ้อมกอดที่ไม่เคยห่างหายจากทงเฮไปที่ไหน อ้อมกอดนี้กำลังโอบกอดลูกชายเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

     

                มันเป็นความผิดของฮยอกแจเอง...

                เส้นทางชีวิตของเขามันเริ่มต้นมาจากการเข้าไปทำงานขายบริการที่ไนต์คลับ ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์นั่น แม้ว่าสุดท้ายจะดูเหมือนก้าวขาข้างหนึ่งออกมาได้ แต่ฮยอกแจก็ดึงทงเฮเข้าไปตกนรกกับเขาอยู่ดี

     

                เขามันเป็นพ่อที่ไม่ดี...

     

    เป็นพ่อที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อลูกชายของตัวเองได้เลย

     

                “ป๊าทำโจ๊กปลาที่ทงเฮชอบมาให้ กินสักหน่อยนะลูก”

     

                “ทงเฮไม่หิว...”

     

                ทงเฮพลิกตัวหนีเมื่อฮยอกแจเอื้อมหยิบชามโจ๊กมาไว้ในมือแล้วตักโจ๊กมาป้อนให้ ฮยอกแจชะงักมือไว้แค่นั้น มองดูทงเฮที่ร้องไห้อีกครั้ง...และอีกครั้ง

     

                ฮยอกแจคิดว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของทงเฮดี แต่เปล่าเลย ตอนนี้ฮยอกแจไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของลูกเลย ทงเฮร้องไห้เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็จริง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทงเฮต้องร้องไห้ สิ่งนั้นมาจากผู้ชายที่ชื่อว่า...ชเว ซีวอน

     

                เพราะเขาคิดว่าคำพูดของทงเฮเป็นเรื่องขันขำ เพราะซีวอนเข้าใจผิดว่าทงเฮโทรไปตามเขาเพียงเพราะเรียกให้มากอดจูบลูบคลำกันเหมือนทุกวัน แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...

     

                ทงเฮไม่ได้ต้องการสัมผัสหวาบหวิวจากใครทั้งนั้น เขาต้องการเพียงคำปลอบใจ ต้องการเพียงแค่ความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะทำให้ทงเฮสามารถใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ต่อไปได้

     

                “ป๊าจะวางโจ๊กไว้ตรงนี้นะ ถ้าทงเฮหิวก็ลุกขึ้นมากินนะลูก อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นโรคกระเพาะ ป๊ารักทงเฮนะ”

     

                ฮยอกแจจูบที่ขมับของทงเฮอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืน เตียงนอนที่ยุบยวบในตอนแรกค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ทงเฮตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง รีบลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามพ่อ

     

                “ป๊าจะไปไหน?!

     

                “ป๊าจะไปนั่งข้างนอก ทงเฮจะได้พักผ่อน” ฮยอกแจบอก เขาไม่ได้หมายความตามที่พูดเลยสักนิด ฮยอกแจแค่อยากจะทำตัวเหมือนเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กับลูกชาย ถ้าหากฮันกยองหวนกลับมาที่นี่อีกครั้ง

     

                ฮยอกแจนี่แหละที่จะใช้ปืนของฮันกยองยิงเจ้าของของมันเอง

     

                “ป๊าอย่าไปได้ไหม นอนกับทงเฮนะ...ทงเฮไม่อยากอยู่คนเดียว”

     

                “ป๊า...จะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ฮยอกแจเดินกลับมาหาลูกชาย นั่งลงที่ตำแหน่งเดิม แต่ครั้งนี้ขยับกายเข้าไปนั่งชิดหัวเตียงมากขึ้น ทงเฮเอนศีรษะมาซบกับต้นขาแกร่งของเขา ปล่อยให้น้ำตามากมายรินไหลออกมาเป็นทาง

     

                “หลับนะทงเฮ ป๊าจะอยู่กับทงเฮตรงนี้” มือหนาลูบผมนุ่มของลูกชายเบาๆ ทงเฮเอื้อมมือมาไขว่คว้ามือแกร่งของพ่อไปบีบไว้แน่น เสียงอู้อี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่นไม่จางหาย

     

                “มัน...จะกลับมาอีกไหม?”

     

                “ไม่กลับมาแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก...” ฮยอกแจตอบเพื่อให้ลูกสบายใจ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฮันกยองจะกลับมาอีกเมื่อไร และจะโหดมากกว่าเดิมสักแค่ไหน แต่สิ่งที่เป็นความจริงมากที่สุดคือ...อี ฮยอกแจจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกชายของเขาได้อีกแล้ว

     

     

                หลายวันต่อมา อาการหวาดระแวงของทงเฮเริ่มทุเลาลง แม้ว่าจะยอมกินข้าวบ้างแล้ว แต่พอกินได้ไม่เท่าไรก็บอกว่าอิ่ม ร่างบางจึงดูซูบผอมมากขึ้นไปอีก คนเป็นพ่อก็แทบไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าฮยอกแจจะฝืนใจกินอาหารเพื่อประทังชีวิต แต่เขาก็นอนไม่หลับ

     

                เผลอหลับเมื่อไรก็ผวาตื่นมาจากฝันร้ายแทบทุกครั้ง

     

                “ป๊า...ทงเฮอยากไปโรงเรียน” ทงเฮเอ่ยบอกในตอนเช้าตรู่ที่ฮยอกแจกำลังป้อนข้าว ฮยอกแจลดมือลง วางจานข้าวผัดไว้ข้างเตียง ก่อนจะจ้องมองใบหน้าของลูกด้วยแววตาจริงจัง

     

                “ไปไหวเหรอ?”

     

                “ทงเฮไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าคนๆ นั้นจะกลับมาอีกเมื่อไร” แววตาของทงเฮวูบไหวทันทีเมื่อนึกถึงหน้าตาโหดเหี้ยมของฮันกยอง ฮยอกแจแตะตามเนื้อตัวของลูกชาย มองดูสภาพที่ซูบโทรมของทงเฮแล้วถอนหายใจยาว

     

                “ป๊าไม่อยากให้ทงเฮออกไป”

     

                “แต่ทงเฮกลัว ทงเฮไม่อยากอยู่ที่นี่ อยากไปเจอคน ถ้ามีคนอยู่เยอะๆ มันจะได้ไม่กล้ามาทำร้ายทงเฮอีก”

     

                ทงเฮเชื่อแบบนั้น เชื่อว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด ที่นั่นมียามเฝ้าประตูแน่นหนา มีนักเรียนมากมายที่เดินขวักไขว่จนทำให้ทงเฮไม่เหงา ฮยอกแจชั่งใจคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยบอก

     

                “เดี๋ยวป๊าอาบน้ำแต่งตัวให้นะ แล้วป๊าจะขับรถไปส่งทงเฮที่โรงเรียนด้วย ตอนเย็นป๊าก็จะไปรับทงเฮกลับมา พอตอนกลางคืน...ป๊าก็จะนอนอยู่ข้างๆ ทงเฮ”

     

                ทงเฮพยักหน้า ดึงผ้าห่มที่คลุมจนถึงคอออก ฮยอกแจยื่นมือเข้ามาปลดกระดุมเสื้อตัวบางของทงเฮช้าๆ ปลดกระดุมเม็ดเล็กทีละเม็ด...ทีละเม็ด

     

                “ดะ...เดี๋ยวทงเฮอาบน้ำเองดีกว่าครับ” ทงเฮบอกเสียงสั่น ก่อนจะลุกขึ้นนั่งโดยมีฮยอกแจช่วยพยุง มือบางถอดสร้อยคอที่ซีวอนซื้อให้วางไว้ข้างเตียง ฮยอกแจมองตามสร้อยเส้นนั้น เขาเห็นทงเฮสวมใส่ติดตัวมาหลายวันแล้ว แต่ฮยอกแจไม่กล้าถาม

     

                ...เขาไม่กล้าฟังคำตอบเสียมากกว่า

     

                ทงเฮอาบน้ำไม่นานนักก็เดินออกมาแต่งตัว คนเป็นพ่อเตรียมชุดนักเรียนที่ซักรีดเรียบร้อยให้กับลูก ทงเฮรับมาสวมใส่ ก่อนจะติดกระดุมอย่างยากลำบาก หัวไหล่ของเขามันยังคงรั้งตึง แม้ว่าแผลจะเริ่มตกสะเก็ดแล้ว แต่มันก็เหวอะหวะน่ากลัวจนทงเฮไม่กล้ามอง

     

                “เดี๋ยวป๊าแต่งตัวให้นะ” ฮยอกแจไม่รอให้ลูกปฏิเสธ เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วติดกระดุมให้ลูกชายทีละนิด น้ำลายหนืดพร้อมใจกันไหลออกมาเต็มโพรงปาก แต่ฮยอกแจไม่กล้ากลืนน้ำลาย เขาไม่อยากกลืนน้ำลายของตัวเอง ไม่อยากเป็นพ่อที่ทำร้ายลูก

     

                แต่สิ่งเดียวที่มนุษย์ไม่เคยหักห้ามได้ สิ่งนั้นก็คือ...หัวใจของตัวเอง

     

                ฮยอกแจรีบๆ แต่งตัวให้ทงเฮอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะคิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้ ผมสั้นทรงนักเรียนของทงเฮยังเปียกชื้นอยู่ ฮยอกแจจึงหยิบไดร์เป่าผมมาเป่าให้แห้ง

     

                “เหมือนตอนเด็กๆ เลย” ทงเฮนั่งอยู่หน้ากระจก มองดูคนเป็นพ่อที่กำลังทำหน้าที่ช่างทำผมจำเป็น ทงเฮจำได้ลางๆ แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่าหลายครั้งที่พ่อคนนี้เซ็ทผมให้เขาก่อนไปเรียน

     

                ในวันนี้ก็เช่นกัน...

     

                หากแต่ใบหน้าของพ่อไม่ได้ยิ้ม แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ในเมื่อทงเฮไม่ยิ้มออกมาก่อน ที่พ่อไม่ยิ้ม...เพราะว่าพ่อไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขามาหลายวันแล้ว

     

                “ป๊าครับ” ทงเฮเอ่ยเรียก

     

                “หืม?” ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมองลูกชายที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงา ริมฝีปากของทงเฮค่อยๆ แย้มยิ้มกว้าง หากแต่ริมฝีปากเท่านั้นที่คลี่ยิ้ม ดวงตาของทงเฮไม่ได้ส่งรอยยิ้มใดๆ ออกมาด้วยเลย

     

                “เข้มแข็งนะทงเฮ เป็นลูกชายของป๊า...ทงเฮจะต้องเข้มแข็ง”

     

                บอกเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนมือที่จัดแต่งทรงผมให้ทงเฮมาแตะบ่าลูก ฝ่ามือที่สัมผัสโดนบาดแผลทำให้พ่อลูกชะงัก ทงเฮก้มหน้า พยายามจะไม่คิดถึงมันอีกแล้ว แต่เขารู้ดี หลังจากนี้บาดแผลนั่นก็จะกลายเป็นแผลเป็น และมันจะติดตรึงอยู่กับร่างกายของเขาตลอดไป

     

     

                หลังจากฮยอกแจขับรถมาส่งทงเฮที่โรงเรียน ทงเฮก็เดินเข้าไปในห้อง รยออุคนั่งก้มหน้าราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อมือบางของทงเฮแตะลงที่แขนเล็กๆ รยออุคก็หันยิ้มกว้างทันที

     

                “นึกว่าจะนายจะไม่มาแล้ว” รยออุคยิ้มทั้งตาทั้งปาก ยิ้มในแบบที่ทงเฮไม่เคยยิ้มได้ ทงเฮนั่งลงข้างๆ เพื่อน ก่อนจะหันไปเอ่ยถามอย่างสงสัย

     

                “ทำไมต้องรอฉัน?”

     

                “วันนี้วันศุกร์ เรานัดกันว่าเย็นนี้จะไปซื้อของขวัญให้คุณน้าของฉันไง”

     

                ทงเฮถอนหายใจ เขาไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เมื่อเรียนเสร็จเขาก็อยากกลับบ้านทันที อยากกลับไปหาพ่อ อยากกลับไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย

     

                “นายอย่าผิดสัญญากับฉันนะทงเฮ” รยออุครบเร้า เป็นครั้งแรกที่ทงเฮอยากปฏิเสธแต่เขาพูดออกไปไม่ได้ รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก ทงเฮทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบรับไปเท่านั้น

     

                ช่วงที่รออาจารย์เข้ามาสอนรยออุคก็อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ทงเฮคิดถึงเรื่องในวันนั้นอีกแล้ว เขาลบภาพความโหดร้ายของฮันกยองออกไปจากความคิดไม่ได้ พยายามนึกภาพดีๆ ให้เข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด ก็นึกถึงแต่ใบหน้ามีเสน่ห์ของคุณหมอเท่านั้น

     

                แต่ก็ต้องเจ็บปวดซ้ำสองเมื่อตั้งแต่วันนั้น ซีวอนยังไม่ติดต่อมาเลย

     

                ทงเฮยกมือขึ้นคลำสร้อยที่มีจี้รูปแมว ก่อนจะรู้สึกโหวงเหวงไร้ที่ยึดเหนี่ยวเมื่อพบว่าสร้อยที่เคยใส่ติดตัวตลอดเวลา เขาวางมันทิ้งไว้ข้างหัวเตียงในห้องนอน

     

                แต่ช่างเถอะ แค่วันเดียวเอง...

     

     

                หลังจากเลิกเรียนวันนั้น รยออุคและทงเฮก็ไปเดินเลือกซื้อของขวัญกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่ามีจงอุนตามไปด้วย ทงเฮไม่ได้พูดคุยกับจงอุนมากคำนัก มีแต่รยออุคเสียมากกว่าที่พยายามจะหาโอกาสคุยกับคนที่ตัวเองชอบ

     

                “พี่จงอุนว่าผม...เอ่อ...ควรจะซื้ออะไรให้กับคุณน้าดีครับ?”

     

    รยออุคท่าทางน่ารักเวลาที่เอ่ยถาม จงอุนเอาแต่จ้องมองใบหน้าหม่นหมองของทงเฮ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้ทงเฮกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่สบายหรือเปล่า เจ็บปวดตรงไหนบ้างไหม รยออุคสังเกตเห็นแววตาห่วงใยของจงอุนที่มีต่อทงเฮ แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่รับรู้

     

                ในเมื่อทงเฮบอกว่าคิม จงอุนยังไม่มีคนที่ชอบ รยออุคก็ยังมีความหวัง

     

                “อืม...วันครบรอบแต่งงานเหรอ?”

     

                “ใช่ครับ ปีที่สิบแล้วด้วย คุณน้าของผมแต่งงานตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยอยู่เลย แต่ไม่ได้จดทะเบียนหรอกนะครับ แฟนเขาเป็นผู้ชายน่ะ แค่ทำพิธีในโบสถ์เพื่อให้สวรรค์เป็นพยาน”

     

                รยออุคบอกเสียยืดยาว ในเมื่อเรื่องของครอบครัวที่เขากำลังเล่าอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียหาย คนตัวเล็กออกจะชื่นชมความรักของคุณน้าและน้าเขยของตัวเองด้วยซ้ำ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะมีความรักที่โรแมนติกแบบนี้บ้าง

     

                “ซื้ออะไรที่เป็นคู่ๆ สิ อาจจะเป็นผ้าปูที่นอน หรือชุดนอนคู่ลายน่ารักๆ”

     

                “จริงด้วยครับ ทำไมผมไม่ทันนึกนะ” รยออุคเอ่ยขึ้นอย่างดีใจเมื่อได้รับคำแนะนำดีๆ มาจากจงอุน ทงเฮที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน เขาอิจฉาที่จงอุนหันไปสนใจรยออุค ทงเฮก็แค่...เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาเท่านั้น

     

                “ชวนฉันมาช่วยเลือก แต่นายเอาแต่ถามพี่จงอุน”

     

                “โธ่! อย่างอนสิทงเฮ ก็ฉันเห็นนายดูเงียบๆ นี่นา ไปเลือกลายผ้าปูที่นอนด้วยกันเถอะ” รยออุคเดินมาคล้องแขนเพื่อนเอาไว้ ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงทงเฮเข้าไปในร้านขายชุดเครื่องนอนร้านหนึ่ง เลือกกันอยู่ไม่นานนักก็ได้สีและลายที่ถูกใจ

     

                “บอกแล้วว่าทงเฮน่ะเลือกของขวัญเก่ง พนักงานในร้านยังชมทงเฮเลย”

     

                รยออุคพูดยกยอปอปั้นเพื่อนสนิทอย่างจริงใจ แต่ทงเฮกลับเบือนหน้าหนีไปมองร้านเบเกอรี่ร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางออกของห้างสรรพสินค้า จงอุนเดินเข้ามาใกล้ แตะข้อศอกบางอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยถามขึ้น

     

                “อยากกินเค้กเหรอ แวะไปกินก่อนกลับบ้านกันดีไหม?” คำถามของจงอุนทำให้ทงเฮช้อนตาขึ้นไปมอง ใช่...เขาอยากกินเค้ก แต่ไม่อยากได้รับเค้กที่จงอุนเป็นคนซื้อให้ รยออุคที่ได้ยินคำพูดของจงอุนเมื่อครู่นี้จึงเดินอ้อมมาตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

     

                “ไปกินเค้กที่บ้านคุณน้าของผมกันเถอะครับ แม่ของผมซื้อเค้กมาให้คุณน้าด้วย รับรองอร่อยกว่าร้านนี้อีก”

     

                “ไม่เป็นไรหรอกรยออุค ทงเฮกับพี่จะกลับบ้านกันแล้ว” จงอุนเอ่ยบอกอย่างเกรงใจ ทำให้สีหน้าของคนตัวเล็กผิดหวังจนเกือบจะร้องไห้

     

                รยออุคไม่ได้ตั้งใจจะแสดงท่าทางแบบนั้นออกไปเลยสักนิด แต่การที่ถูกปฏิเสธจากคนที่ชอบแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้รยออุคกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ร่างบางหันหลังขวับ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา

     

                “ครับ ผมเข้าใจ” เสียงนั้นอู้อี้เสียจนคนฟังไม่สบายใจ  จงอุนเดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็ก จับใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามองเขาช้าๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง

     

                “ที่พี่ไม่ไป พี่ไม่ได้รังเกียจรยออุคนะ แต่ถ้ากลับบ้านช้า ป๊าของทงเฮจะเป็นห่วงพวกเรา”

     

                “ก็บอกแล้วไงครับว่าเข้าใจ” รยออุคเบะปาก ยิ่งเรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าได้อีกมาก จงอุนเลื่อนมือไปขยี้ผมนุ่มจนกลุ่มผมนั้นแตกกระจาย ร่างบางอยากจะถอยหนีกับการสัมผัสอ่อนโยนของเขา แต่ในใจก็ปรารถนาจะให้จงอุนขยี้ผมของตัวเองบ่อยๆ อย่างเอ็นดู

     

                เขาชอบความรู้สึกเล็กๆ แบบนี้ ความรู้สึกที่ได้ใกล้ชิดกันแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาหวั่นไหวเลยก็ตาม

     

                “อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นสิ พี่ไปก็ได้ ตกลงจะไปกินเค้กที่บ้านคุณน้าของรยออุคนะครับ” แค่คำพูดเดียวเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มสีสวยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันที

     

                เพราะสุภาพแบบนี้ไง...รยออุคถึงชอบ

     

                เพราะแสนดีแบบนี้ไง...รยออุคถึงอยากกระโดดลงไปในหลุมรักของคิม จงอุน

     

     

                เมื่อเข้ามาถึงในบ้านที่ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นทั้งหลังก็ทำให้ทงเฮมองไปรอบๆ อย่างนึกอิจฉา เพราะไม่ว่าจะเป็นบ้านของรยออุคที่ทงเฮเคยไปเที่ยวเล่นอยู่หลายครั้ง หรือแม้แต่บ้านญาติสนิทของรยออุคที่ทงเฮกำลังยืนอยู่ในตอนนี้ล้วนแต่บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นผู้มีอันจะกินทั้งสิ้น  บางครั้งทงเฮก็อดคิดไม่ได้ว่าที่รยออุคต้องการมาคบกับเขาเพราะต้องการอวดความร่ำรวยหรือเปล่า

     

                แต่ตั้งแต่คบกันมา รยออุคก็ไม่เคยแสดงท่าทางแบบนั้นให้ทงเฮเห็นเลยสักครั้ง

     

                มีญาติสนิทอยู่ห้าถึงหกคนนั่งล้อมวงอยู่ในนั้น และคู่แต่งงานสิบปีนั่งหันหลังอยู่ เก้าอี้ด้านหนึ่งว่างเว้นเตรียมให้สำหรับเด็กๆ ทั้งสามคน พอทงเฮเดินเข้าไปนั่ง รยออุคก็แนะนำให้รู้จักกับญาติๆ ของเขาทันที

     

                “นี่คุณแม่ของฉัน ทงเฮก็เคยเห็นบ่อยๆ แล้ว นี่คุณลุงกับคุณป้า คนนี้คุณยาย ส่วนนี่คุณน้ากับคุณน้าเขยของฉัน”

     

                ทงเฮกับจงอุนโค้งศีรษะทักทายทุกคนอย่างสุภาพ จนกระทั่งมาถึงสองคนสุดท้าย คู่แต่งงานที่กำลังฉลองชีวิตแต่งงานปีที่สิบของพวกเขา

     

                “ส...สวัสดีครับ” เสียงของทงเฮสั่นเครือ จ้องมองน้าเขยของรยออุคอย่างไม่กระพริบตา เขาคือคุณหมอหนุ่มใจดีที่ทงเฮหลงรัก เขาคือผู้ชายที่ร่วมหลับนอนกับทงเฮมานับครั้งไม่ถ้วน

     

                ทว่า...

     

                ข้างกายเขากลับมีผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย ผู้ชายที่รยออุคเพิ่งแนะนำว่าแต่งงานกันมาแล้วสิบปี ทงเฮมือสั่นเทา ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าริมฝีปากอ้าขยับเปล่งเสียงออกไปเป็นคำพูดตั้งแต่เมื่อใด แต่มันทำให้คนทั้งโต๊ะหันมามองเขาเป็นตาเดียว

     

                “คุณหมอ...”

     

                “ทงเฮรู้ได้ยังไงว่าคุณน้าเขยของเราเป็นหมอ”

     

                ซีวอนกับทงเฮจ้องมองหน้ากันและกันค้างนิ่งอยู่เช่นนั้น ดวงตาของซีวอนล่อกแล่กแอบมองคยูฮยอนบ่อยครั้งราวกับกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผยในอีกไม่ช้า ทงเฮคลำมือไปที่ลำคอของตน วันนี้เขาไม่ได้สวมใส่สร้อยคอที่ซีวอนมอบให้ เขาไม่มีสิทธิ์ยืนยันความเป็นเจ้าของในตัวซีวอนเลยสักนิดเดียว

     

                “เขาเป็นคนไข้ของน้าเมื่อเดือนก่อน ชื่ออี ทงเฮเหรอครับ บังเอิญจังเลยนะที่คนไข้ของผมเป็นเพื่อนของหลานชายด้วย”

     

                ซีวอนอธิบายให้รยออุคฟังในตอนแรก ก่อนจะหันมาถามทงเฮด้วยรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่างเหินกันเหลือเกิน แล้วสุดท้ายก็บอกกับทุกคนรอบโต๊ะด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

     

                ทุกคนพยักหน้ายิ้มๆ แต่ทงเฮยิ้มไม่ออก มันเป็นเรื่องโจ๊กที่เจ็บแสบมากเหลือเกิน คุณหมอหลอกเขา คุณหมอไม่ยอมมาหาเขาเพราะอยู่กับภรรยาของตัวเอง หลอกให้เขารักทั้งๆ ที่มีคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว

     

                หากทงเฮจะฉุกคิดสักนิดว่าซีวอนเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา และอายุของเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ เขาคงจะมีใครสักคนเคียงข้างกาย แต่เพราะความหลงใหล เพราะเสน่ห์ที่เย้ายวนใจทำให้ทงเฮเชื่อทุกๆ คำพูดของคนตรงหน้า

     

                แต่ในตอนนี้ ทงเฮได้เรียนรู้แล้วว่า...คำพูดของชเว ซีวอนไม่เคยมีอยู่อยู่จริงเลย

     

                ความรักของซีวอนก็ไม่มีอยู่จริง

     

                “ผมซื้อของขวัญมาให้คุณน้าด้วย ลองเปิดดูสิครับ ทงเฮเป็นคนช่วยเลือกลายเลยนะ”

     

                รยออุคส่งกล่องของขวัญให้กับคยูฮยอน คยูฮยอนแกะมันออก ผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มพร้อมกับปลอกหมอนที่พิมพ์ว่า Happy Wedding ทำให้คยูฮยอนคลี่ยิ้มกว้าง แต่ทงเฮอยากจะกระชากผ้าผืนนั้นมาฉีกทิ้งเป็นริ้วๆ อยากเหยียบย่ำให้มันเป็นรอยเท้าของเขา

     

                “ถูกใจน้ามากเลย ขอบคุณนะทงเฮ” คยูฮยอนหันมาบอกคนที่เลือกลายผ้าปูที่นอนผืนนี้ สีน้ำเงินเป็นสีที่ซีวอนชอบ คยูฮยอนชูผ้าปูที่นอนผืนใหม่อวดสามีเป็นการใหญ่ แต่ซีวอนทำได้แค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น

     

                “เราเปลี่ยนผ้าปูที่นอนตั้งแต่คืนนี้เลยนะ” ซีวอนบอกกับคนรักเบาๆ ทงเฮนั่งจิกเล็บตัวเองแน่นอย่างเจ็บปวด ยิ่งเห็นพวกเขาโอบไหล่แล้วหัวเราะไปด้วยกัน ทงเฮยิ่งทนมองไม่ได้

     

                ซีวอนเป็นของเขา ทงเฮรับรู้เพียงว่าชเว ซีวอนเป็นผู้ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น

     

                “คุณน้าซีวอนป้อนเค้กคุณน้าคยูฮยอนหน่อยสิครับ” รยออุคบอกขึ้นพร้อมกับญาติๆ ที่ส่งเสียงเชียร์ จงอุนนั่งอมยิ้มไปกับความน่ารักของคู่รักทั้งสอง แต่ทงเฮกลับเลื่อนเก้าอี้ออกอย่างเสียมารยาทแล้วยืนขึ้น

     

                “ฉันกลับบ้านก่อนนะ” เสียงหวานหันไปบอกเพื่อนสนิทท่ามกลางความตกใจของทุกคน ซีวอนที่ตักเค้กขึ้นมาเตรียมป้อนให้คยูฮยอนก็ชะงักมือค้างไว้

     

                “ทำไมรีบกลับล่ะ...อึดอัดเหรอ?” รยออุคเอ่ยถาม

     

                “ฉันปวดหัว!” ทงเฮกระชากเสียงบอก ก่อนจะวิ่งหนีออกมาจากบ้านหลังนั้น จงอุนรีบวิ่งตามทงเฮออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเพียงความตกตะลึงของครอบครัวรยออุคที่นั่งอยู่ด้านใน

     

                “รยออุคตามไปดูทงเฮก่อนนะครับ”

     

                “น้าไปด้วย!

     

                ซีวอนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาอยากรู้ว่าทงเฮเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ทำตัวเสียมารยาทอย่างนั้น แต่คยูฮยอนก็ช้อนตาขึ้นไปมองคนรักอย่างแปลกใจ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับซีวอนเลย ทำไมถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันขนาดนั้น

     

                “เพื่อนของรยออุคเป็นคนไข้ของผม เผื่อเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผมจะได้ช่วยเหลือทัน”

     

                ร่างสูงแตะไหล่บางของคนรักเบาๆ แล้ววิ่งตามหลานชายออกไป คยูฮยอนหันมากลับนั่งกินเค้กต่อ เขาไม่นึกสงสัย กลับชื่นชมด้วยซ้ำว่ามีสามีเป็นหมอที่ดีขนาดไหน คยูฮยอนภูมิใจในตัวของซีวอนมากเหลือเกิน

     

     

                “ทงเฮ...หยุด หยุดก่อน!” จงอุนคว้าข้อมือบางเอาไว้ ก่อนจะกระชากกลับมา ทงเฮหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยน้ำตาที่นองหน้า แผลเก่ายังไม่หาย ยังไม่กลายเป็นรอยแผลเป็นเลยด้วยซ้ำ แต่อี ทงเฮก็ได้แผลใหม่มาอีกแล้ว

     

                “เพราะพี่จงอุนคนเดียว ถ้าพี่จงอุนไม่พาทงเฮมาที่นี่ ทงเฮก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้”

     

                “ทงเฮหมายความว่าไง พี่ไม่เข้าใจ”

     

    จงอุนพยายามจับไหล่บางของทงเฮให้สงบสติลง แต่ทงเฮกลับทุบอกแกร่งของเขาเพื่อต้องการระบายความโกรธ เขาโกรธจงอุนที่ยอมรับคำชวนของรยออุคแล้วมาที่นี่ โกรธรยออุคที่หลอกให้เขาไปซื้อของขวัญ โกรธซีวอนที่ทำร้ายหัวใจของเขาให้แตกสลาย โกรธทุกๆ คนในครอบครัวนั้น

     

                “คุณหมอน่ะ เขาไม่ใช่แค่หมอ พี่จงอุนเข้าใจไหม เขาเป็นคนรักของทงเฮ เขาเป็นของทงเฮ!” ทงเฮตะโกนลั่นอย่างหมดความอดทน แต่จงอุนกลับย่นคิ้วพลางส่ายหน้าช้าๆ

     

                “เขาแต่งงานแล้วนะ”

     

                “ฮึก...ไม่จริง...เขาบอกว่ารักทงเฮ เขาเป็นของทงเฮ สร้อยเส้นนั้นเขาก็ซื้อให้ทงเฮ พี่จงอุนก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาทำแบบนี้ได้ยังไง...ฮือๆ”

     

                ทงเฮยังคงทุบหน้าอกแกร่งของคนตรงหน้าอย่างเจ็บปวด แต่จงอุนไม่หลีกหนีไปไหน เขายืนนิ่งให้ทงเฮทำร้ายเท่านั้น รยออุคกับซีวอนวิ่งตามออกมา เมื่อทงเฮเหลือบมองเห็นสองคนนั้น ความคิดประชดประชันก็แวบเข้ามาในสมองทันที

     

                มือบางที่คอยทุบตีหน้าอกของจงอุนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระชากคอเสื้อนักเรียนของจงอุนเข้าหา ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นไปประกบริมฝีปากของตัวเองกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

     

                รยออุคเบิกตากว้างกับภาพตรงหน้า น้ำตาใสเอ่อคลอที่หน่วยตาทั้งสองข้าง ก่อนจะรินไหลออกมาช้าๆ ในขณะที่ซีวอนกำหมัดแน่นอย่างโมโห

     

                ทงเฮค่อยๆ ผละออก มองดูใบหน้าจงอุนที่ยังคงสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นไปแนบชิดใบหูของอีกฝ่าย มองดูจากที่ไกลๆ เหมือนทงเฮกำลังหอมแก้มจงอุน แต่เปล่าเลย เขาแค่กระซิบอะไรบางอย่าง...แค่คำเดียวเท่านั้น

     

                “พี่จงอุนก็เป็นได้แค่นี้แหละ”

     

                ...หากแต่มันสร้างความปวดร้าวให้ใครไปคนไปตลอดกาล

     

     

    Talk with Lee Seen

                เจอกันอีกทีวันศุกร์นี้นะคะ ขอบคุณทุกๆ กำลังใจค่ะ

    มีใครเชียร์ฮันชอล ยกมือขึ้น!

    แต่ถ้าใครเชียร์ฮันมินให้ยกสองมือนะคะ จะเช็คจำนวน...ฮ่าๆๆ

    เช็คไปแบบนั้นแหละ มีพล็อตในใจอยู่แล้ว!!!!

     

    ขอกำลังใจเบาๆ ด้วยค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×