คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2/3
วัยต่อต้าน
Sunggyu x Woohyun
ตอนที่ 2/3
ใจจริงผมหวังไว้ว่าจะได้พบกับสีหน้ากลัดกลุ้มและการดิ้นรนเอาตัวรอดของอูฮยอนมากกว่าไอ้ที่นั่งลั้นลากดมือถือไม่สนใจใคร แล้วดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรสักนิดเลยแบบนี้
“ หยุดเล่นมือถือ แล้วมาซ้อมเต้นซะ ฉันจะสอนท่าให้ ” พูดจาใจร้ายไปสารพัด แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ทิ้งเด็กนี่ไม่ลงอยู่ดีนั่นแหละ
“ ผมจำท่าได้หมดแล้ว ” เขาตอบกลับมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
“ แล้วไอ้ที่เต้นเป๋ไปเป๋มา เหมือนคนเต้นไม่เป็น แถมยังเหยียบเท้าคนนู้นคนนี้เขาไปทั่วตอนซ้อมเมื่อกี้นี่มันจำได้ตรงไหน ”
“ นั่นมันเพราะ.... ”
“ หุบปาก หยุดแก้ตัว แล้วมาซ้อมเต้นสักที ” ผมรีบขัดเพราะไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวของคนชอบทำอะไรตามอารมณ์อย่างเขา
“ ไม่เอา!! ผมเต้นไม่ไหวแล้ว ” อูฮยอนชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ
“ นัมอูฮยอน!!! ” เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเข้มเพื่อเตือนให้รู้ว่าความอดทนของผมกำลังจะหมดลงในไม่ช้า
“ ผมไม่ซ้อมแล้ว จะกลับหอ ได้ยินมั้ย!! ” ยิ่งรู้ว่าผมไม่ตามใจ อีกฝ่ายก็ยิ่งอยากเอาแต่ใจ อูฮยอนเก็บสัมภาระลงกระเป๋าแล้วยกขึ้นพาดบ่าทำท่าว่าจะกลับตามที่บอก ไม่สนเมมเบอร์ที่ยืนมองมาตาปริบๆเลยสักนิด
“ ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่านายเอาอภิสิทธิ์จากใครมาตัดสินว่าตัวเองจะซ้อม หรือเลิกซ้อมเมื่อไหร่ก็ได้ ”
“ ก็ผมบอกว่าเต้นไม่ไหวแล้วไง ขามันเจ็บ ” อูฮยอนโพล่งออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ เราจะคัมแบ็คแล้ว อย่ามาทำงอแง ฉันไม่ชอบ ” ผมยกมือขึ้นกอดอกวางมาดดุ ไม่ไยดีในอาการบาดเจ็บของเขา เพราะคิดว่าอีกฝ่ายก็แค่ทำตัว ‘เยอะ’ ไปเอง
“ ก็ไม่ได้ขอให้ชอบนี่ ” เขาย้อนทันควัน
“ ลุกขึ้นมาซ้อมเดี๋ยวนี้ ”
“ ก็บอกว่าเจ็บขาไง ฮยองหูตึงเหรอ ”
ผมส่ายหน้าอย่างระอาใจ แต่ก็ยอมเดินไปคุ้ยสเปรย์แก้ปวดเมื่อยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อจากในเป้ของตัวเองมาส่งให้เจ้าจอมยุ่งอย่างเสียไม่ได้ “ ขาเจ็บก็เอายานี่พ่นซะ ปากยังดีอยู่แบบนี้ คงไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกมั้ง ”
“ ตัวเองไม่เป็นก็พูดได้ ” อีกฝ่ายพึมพำ
“ ถ้าเป็นฉัน ต่อให้ขาหัก ฉันก็จะซ้อม ”
“ ก็ผมไม่อยาก ” นัมอูฮยอนก็แบบนี้ ต่อปากต่อคำอย่างได้ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
“ แต่ฉันสั่ง ”
“ ทำไม เป็นลีดเดอร์แล้วมันใหญ่คับฟ้านักรึไง ทุกทีก็เห็นดีแต่ปาก ”
“ เพี้ยะ!!!! ” ตัดสินใจยุติความเกเรของอูฮยอนด้วยฝ่ามือของตัวเองที่ปะทะลงกับซีกแก้มของเขา ด้วยความแรงที่ไม่น้อย ทำเอาผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคนอยู่ในความตกตะลึงไปชั่วขณะ
ยอมรับว่าคำพูดหยามเหยียดของเขาทำให้ผมเลือดขึ้นหน้า หากนี่ไม่ใช่การพลั้งมือ แต่มันอยู่ในการคาดการณ์ของผม
หลังๆคำพูดแดกดัน ประชดประชันชักมีมาให้ได้ยินถี่ขึ้นจากปากของนัมอูฮยอน ยิ่งทีก็ยิ่งรุนแรงและดูจะเกินขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัวจะกู่ไม่กลับ
คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น มันเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้สั่งสอนให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสมควร
แต่ผมไม่ได้หวังเอาไว้หรอกว่าจะต้องมาจัดการเอาในวันเกิดของเขา และต่อหน้าเมมเบอร์ทุกคนแบบนี้ ...คิดว่ามันเกินไปหน่อยแต่ก็ช่วยไม่ได้
“ ทีหลังอย่าทำตัวก้าวร้าวกับฉันอีก ” ผมทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ ไหนฮยองบอกไม่ให้ใช้ความรุนแรงไง ทำไมทำขนาดนี้ ” ซองยอลรี่เข้ามาประชิดตัวผมพร้อมกับป้องปากกระซิบถาม
“ เฉยไว้เถอะ ” รู้ดีว่าผิดแผนมาไกลชนิดเลี้ยวกลับไม่ถูก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ดีไปกว่าการเดินหน้าต่อไป
ผมลอบมองใบหน้าแดงก่ำที่กดต่ำลงจนคางแทบชิดกับอก และมือที่กำขวดสเปรย์เอาไว้แน่นจนสั่นของอูฮยอนด้วยความรู้สึกเจ็บหน่วงในใจ
ผมอยากให้อูฮยอนสำนึกได้ พอๆกับที่ไม่อยากเห็นน้ำตาของเขา
แต่ก็เปล่าเลย เพราะนอกจากจะไม่สลดแล้ว อีกฝ่ายยังลุกขึ้นมาอาละวาดใส่ผมต่อได้อีกยก
“ ฮึ่ย ” สิ้นเสียง ‘ฮึ่ย’ ของเขา ขวดสเปรย์ก็ลอยเข้ามาปะทะกลางกะหม่อมของผมอย่างจัง
เดชะบุญ!! สเปรย์ที่ผมพกมาวันนี้เป็นขวดพลาสติก ไม่งั้นคงได้มีหัวแบะกันบ้างล่ะ
“ ฮยองบ้า ขนาดพ่อแม่ยังไม่เคยตีผมเลยนะ แล้วฮยองเป็นใคร ทำไมทำกับผมแบบนี้ ” อูฮยอนโวยวาย ทำท่าจะลุกขึ้นมาฉะกับผมอีกรอบ แต่ดงอูก็รีบปรี่เอาตัวเองเข้ามากันไว้ก่อน
“ อย่า อูฮยอน นายต้องขอโทษฮยองเขานะ ไม่ใช่ทำแบบนี้ ”
“ ฮึก..ดงอู..ฮึก...ตาแก่กยู..แย่..ฮึก....แย่ที่สุด...ฮื่ออ ....จะสาป...ฮือๆ ” เจ้าตัวดีโผไปซบอกแรพเปอร์ประจำวงที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย สะอึกสะอื้นจนตัวโยนแต่ไม่วายจิกกัดผม
“ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมตีตั้งแต่เด็กๆไง นายถึงได้โตมาเป็นคนเอาแต่ใจแบบนี้ ” ผมว่าออกไปแบบนั้นแต่ก็ไม่วายเดินไปดูอาการอีกฝ่ายด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “ ไหนเอาขามาดูซิ ”
“ ฮือ อย่ามายุ่งนะ ” อูฮยอนสะบัดขาใส่จนเกือบเสยเอาปลายคางผม
“ เออ ไม่ยุ่งก็ได้ งั้นทนเจ็บไปแล้วกัน ” ผมกระแทกเสียงใส่เขา ก่อนหันไปพูดกับเมมเบอร์ที่เหลือในห้องด้วยน้ำเสียงเริงร่า “ พวกเราไปกินมื้อกลางวันกันเหอะ ฉันเลี้ยงเอง ”
“ ส่วนคนที่มาสายวันนี้ ไม่ต้องให้ข้าวเขากินหรอก เป็นการทำโทษ ”
……………………………***……………………………
มองขนมปังโฮมเมดหน้าตาน่ากินที่บรรจุใส่ซองใสในมือแล้วอยากจิกกบาลตัวเองโขกกับกำแพงจวนจะบ้า ทั้งๆที่พูดไปว่าจะลงโทษเด็กดื้อโดยให้งดอาหารกลางวัน แล้วสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่มันคืออะไร!?!
ทำไมผมไม่ปล่อยให้หมอนั่นอดๆไปนะ เผื่อความหิวโหยมันจะนำพาให้เขาระลึกชาติได้บ้างว่าใครกันที่คอยพาตัวเองไปกินอาหารหรูๆนอกบ้านอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่ไอ้ลีดเดอร์ที่ดีแต่ปากคนนี้น่ะ!!!
เจ็บใจก็เจ็บใจ แต่ทำไงได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษความใจอ่อนของตัวเองนี่แหละ
“ หัวหน้าวงนายใจดีจัง ”
ผมได้ยินเสียงอูฮยอนแว่วๆจากตรงบันไดหนีไฟ ที่ประจำที่เจ้าตัวดีชอบดอดมานั่งระบายอารมณ์เวลาที่มีเรื่องเครียดๆ หรือไม่สบายใจ ซึ่งตามปกติแล้วพื้นที่ข้างๆเขาตรงนั้นมักจะเป็นผม
“ ไม่เหมือนของฉัน... เฮ้อ อิจฉาจังเลยน้า คีย์กุน ” ท้ายประโยคบ่งบอกว่าปลายสายไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกเสียจาก คิมคิบอมแห่งชายนี่ วี่แววว่าชื่อนี้คงจะตามหลอกหลอนผมไปอีกนานแสนนาน
เปล่าเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบคีย์ แค่รู้สึกไม่พอใจที่พักหลังๆมาอูฮยอนเอาแต่คุยกับคีย์ตลอดเวลาก็แค่นั้นเอง
“ กำลังนินทาใครอยู่เหรอ? ” ผมซ่อนถุงขนมปังไว้ด้านหลังก่อนส่งคำถามกวนๆนำไปก่อนตัว
“ แค่นี้ก่อนนะคีย์ พอดีฉันต้องไปซ้อมต่อแล้วล่ะ ” อูฮยอนวางสาย ก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไปเฉย ไม่พูดไม่จาไม่ตอบโต้ราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ
ทิ้งให้ผมยืนเก้ออยู่คนเดียวพร้อมกับขนมปังในมือ ... ก็ดี!! เล่นตัวนักก็ไม่ต้องกิน!!
……………………………***……………………………
เดิมทีผมคิดว่านัมอูฮยอนเป็นเด็กมีปัญหา แต่หลังจากที่ฮีวอนฮยองนิมมาถึง ความคิดผมเริ่มเปลี่ยน
ผมว่าตัวผมเองนี่ล่ะที่มีปัญหาหนักกว่าใคร
ขึ้นชื่อว่าจอมโหด จะคนเจ็บไข้ หรือใกล้หมดแรงอะไรก็ไม่เคยได้รับการละเว้น ‘ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย ห้ามขาด’ คือคอนเซ็ปต์ประจำตัวครูสอนเต้นของพวกเรา
แต่ผมรู้ว่าตอนนี้ร่างกายของอูฮยอนใกล้ถึงลิมิตเต็มทีแล้ว เขาไม่ได้กินข้าวกลางวัน แน่นอนว่าตอนเช้าก็ไม่ได้กินมาเหมือนกัน แถมขาก็เจ็บจนดูเหมือนจะขยับไม่ไหวอยู่รอมร่อ แต่ก็ยังพยายามฝืนตามสเต็ปคนอื่นให้ทัน
“ ถ้าเป็นฉัน ต่อให้ขาหัก ฉันก็จะซ้อม ”
“ ส่วนคนที่มาสายวันนี้ ไม่ต้องให้ข้าวเขากินหรอก เป็นการทำโทษ ”
เป็นความผิดของผมเองที่ดูไม่ออกว่าอาการของอูฮยอนนั้นย่ำแย่แค่ไหน หลงคิดไปว่าคำพูดของเขาเป็นเพียงข้ออ้างที่จะทำให้ผมใจอ่อนอย่างทุกที ทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายแค่ทำเป็นสำออยเพื่อที่จะหลบเลี่ยงปัญหา
ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ เขาเจ็บจริงๆ สังเกตจากใบหน้าซีดเซียวชุ่มเหงื่อกับริมฝีปากที่เม้มแน่นระงับความเจ็บปวด กับการเคลื่อนไหวผิดท่าผิดทางนั่นก็เข้าใจได้ไม่ยากแล้ว
บางทีถ้าผมปล่อยให้อูฮยอนกลับหอตามที่เขาขอตั้งแต่แรก อะไรๆก็คงไม่แย่อย่างที่เห็น
ถ้าเป็นตอนนี้ ถึงจะอยากให้เขาได้กินได้พักเท่าไหร่ก็คงไม่มีทางอีกแล้ว เพราะคำประชดโง่ๆของผม อูฮยอนถึงต้องตกที่นั่งลำบากแบบนี้
“ รอบนี้ ถ้ามีใครผิดแม้แต่คนเดียว พวกนายต้องโดนทำโทษทุกคน ” ขาโหดฮยองนิมยืนกอดอกบอกเงื่อนไขด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากเห็นนักร้องนำของวงเต้นหลุดจังหวะรอบที่ร้อย
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆสิ พับผ่า!!
“ ไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อย ” ซองจงอุทธรณ์
“ นั่นสิ ทำไมแดนซ์แมทชีนอย่างผมต้องมาโดนหางเลขไปด้วย ”
“ แค่อูฮยอนฮยองคนเดียวไม่ใช่เหรอที่เต้นผิดน่ะ ทำคนอื่นเขาลำบากกันไปหมด ” แอลพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจ
ให้ตายเหอะเจ้าพวกนี้ อ่านบรรยากาศไม่ออกกันหรอกหรือ นี่มันไม่ใช่เวลาของแผนการ ‘บอยคอต’ อะไรนั่นแล้วไม่ใช่หรือไง ช่วยแหกตาดูสารรูปของนัมอูฮยอนกันบ้างเถอะ
“ ถ้าฉันเต้นผิดอีก ฉันจะรับผิดชอบบทลงโทษแทนพวกนายทุกคนเอง จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนใคร ”
เอากับเขาสิ นัมอูฮยอนใช่ธรรมดาที่ไหน บทจะดื้อก็ดื้อดึงแบบไม่เคยคำนึงถึงสังขารตัวเองเลยสักนิด ทำเหมือนตัวเองมีแรงเหลือพอจะรับบทลงโทษงั้นล่ะ ตอนนี้เอาแค่ยืนเฉยๆ ยังโงนเงนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่เลยเถอะ ไม่อยากจะพูด
“ บทลงโทษวันนี้คือให้วิ่งขึ้น-ลงบันได 1 รอบต่อการเต้นผิด 1 จังหวะ เข้าใจนะ แล้วถ้านายจะรับโทษแทนคนอื่นด้วย ก็เอา 7 คูณเข้าไปซะ ”
ตามปกติได้ยินแบบนี้คงฮาดีพิลึก แต่ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงขำไม่ออก ผมคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นต่อจากนี้คงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าคนรักของนัมอูฮยอนได้อีก
……………………………***……………………………
อูฮยอนถึงกับหน้าซีด หลังจากจบเพลง 1 รอบ ฮีวอนฮยองนิมก็โพล่งออกมาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดว่าเขาเต้นผิดไปทั้งหมด 52 จุด นั่นแปลว่าอีกฝ่ายต้องวิ่งขึ้นลงบันไดรวมๆแล้ว 364 รอบเลยทีเดียว
“ ผมขอตามไปดูอูฮยอนได้มั้ยครับ เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะวิ่งครบตามจำนวนหรือเปล่า ” ผมถามออกไปแบบนั้นเพราะมีแผนการช่วยเหลืออยู่ในใจ แต่อูฮยอนไม่เข้าใจเจตนา จึงหันมาเหวี่ยงค้อนใส่ผมแทบจะทันที
“ อืม ดี ” ฮีวอนฮยองนิมพยักหน้าอนุญาต
.
.
.
.
“ ทำไมต้องมาคอยคุม ผมมันไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ ” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของอูฮยอนลอยมากระแทกกลางหน้าผากทันทีที่ผมเดินมาถึงตัวเขา
“ ไม่ใช่แบบนั้น ”
“ ไม่ใช่แบบนั้น แล้วแบบไหน ”
“ จะพาหนี ” ผมโน้มตัวลงกระซิบบอกแผนการ
“ ห๊ะ!?! ”
“ รู้หรอกว่าไม่ไหวแล้ว เลยตั้งใจจะพากลับหอไง ” ผมบอกพลางใช้หลังมือซับเหงื่อจากหน้าผากของอีกฝ่ายออกพร้อมส่งยิ้มใจดีกลับไปให้
“ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก ถ้าฮีวอนฮยองนิมจับได้ ฮยองจะโดนลงโทษไปด้วย ” อูฮยอนบอกด้วยท่าทีที่อ่อนลงจากเดิมมาก
“ แล้วถ้าหนักกว่านี้ จะคัมแบ็คไหวได้ยังไง ” ผมพยักเพยิดไปที่ขาของเขาพร้อมตั้งคำถามชวนคิด
“ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องคัมแบ็คกัน 6 คนไปก่อน ” น้ำเสียงของอูฮยอนไม่มีวี่แววของการล้อเล่นหรือประชดประชันอยู่เลยแม้แต่น้อย แววตาวูบไหวของเขาสื่อได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างไรตอนพูดประโยคนี้ออกมา
“ บนเวทีที่ไม่มีอูฮยอนน่ะ ร้องเพลงไม่สนุกหรอก ฉันอยากคัมแบ็คพร้อมนายนะ ” ผมบอกเขาก่อนก้าวลงไปหยุดยืนตรงบันไดขั้นถัดไป “ เอ้า ขึ้นหลังมาสิ แวะไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนกลับกันซักหน่อย ”
อูฮยอนไม่ว่าอะไร เขาแค่ขึ้นมาอยู่บนหลังอย่างว่าง่าย ใช้แขนทั้งสองโอบรอบคอไว้หลวมๆก่อนวางหัวกลมๆลงตรงบ่าด้วยท่าทางเซื่องซึมจัด ดูหมดเรี่ยวหมดแรงจนไม่รู้จะว่าไง
ผมอมยิ้มอย่างเบาใจ ... ในที่สุดเด็กดื้อก็จนแต้มซะแล้ว
……………………………***……………………………
ก็คงจะเบาใจได้จนถึงชาติหน้าอยู่หรอก ถ้าไม่ได้คบอยู่กับไอ้คนที่ชื่อนัมอูฮยอนน่ะนะ
“ ห๊า!!! เอ็นข้อเท้าฉีก ล...แล้วต้องพักเป็นเดือนเลยเหรอครับ ” ผมอุทานเสียงดังด้วยความตกใจกับข้อมูลสุดเซอร์ไพรส์ที่เพิ่งได้รับจากคุณหมอ
ผมว่าแผนคัมแบ็คอัลบั้มใหม่ของอินฟินิทที่ตอนแรกทางบริษัทมีแผนจะปล่อยทีเซอร์ในวันวาเลนไทน์ ก็คงมีหวังต้องเลื่อนไปช่วงเชงเม้งนั่นแหละครับ
“ อย่าตระหนกไปเลยครับ ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร ตอนนี้ก็แค่ใส่เฝือกอ่อนที่ข้อเท้าไว้ก่อน แต่ที่สำคัญก็คือต้องให้คนไข้อยู่เฉยๆ อย่าเคลื่อนไหวมาก พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวก็หายแล้วครับ ”
ได้ยินแล้วก็อยากจะร้องไห้ คนธรรมดาให้นั่งๆนอนๆอยู่กับบ้านอย่างเดียวก็อึดอัดจะแย่แล้ว ประสาอะไรกับไอ้ทโมนอย่างนัมอูฮยอน มีหรือจะทนอยู่เฉยๆได้เป็นเดือนๆ
คนธรรมดาใช้เวลาเดือนครึ่งในการฟื้นตัว ลิงกังอย่างอูฮยอนผมให้เต็มที่คือ 2 เท่าของคนอื่น รวมฝึกซ้อมอีกอะไรอีก เบ็ดเสร็จเลยเชงเม้งไปอีกนั่นล่ะเผลอๆ
.
.
.
.
“ ได้ยินที่หมอพูดใช่มั้ย เขาบอกว่าห้ามซนน่ะ เข้าใจ๊? ” ผมส่งคำถามไปให้คนป่วยที่นั่งอยู่ข้างกันบนเบาะหลังของรถแท็กซี่ที่กำลังมุ่งหน้าสู่หอพักของพวกเรา
“ หมอไม่ได้พูดว่าห้ามซนซะหน่อย ” อูฮยอนย้อนกลับมาทันควัน
“ ไม่เถียงมั่งได้ป่ะครับ คนดี ” ริมฝีปากผมส่งยิ้มแต่น้ำเสียงกลับกดต่ำ
“ อย่าดุได้มั้ยล่ะ ”
“ ก็เราดื้อเองนี่ ” ผมเอ็ด พลางก้มลงดูท่อนขาที่ถูกหุ้มไว้ด้วยเฝือกอ่อนของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “ เจ้าซองยอลมันก็ทำเกินไปจริงๆ ” ผมเผลอหลุดพึมพำออกไปโดยไม่ทันคิด
“ อะไรนะ!! นี่แปลว่าฮยองเห็นใช่มั้ยว่าหมอนั่นเป็นคนขัดขาผมน่ะ แล้วทำไมไม่เข้าข้างผมตั้งแต่แรก ตอบมาซิ!!! ” อูฮยอนโวยวายพร้อมระดมฝ่ามือซัดหัวไหล่ผมไม่ยั้ง
“ โอ๊ยๆ ใจเย็นๆ คืองี้... พวกเราน่ะวางแผนเซอร์ไพรส์วันเกิดนายกัน เอิ่ม..ก็ด้วยการแกล้งบอยคอตน่ะนะ.. เราก็แกล้งกันจนเป็นประเพณีอยู่แล้วนี่ นายก็รู้... แล้วหลังจากนี้ ตอนค่ำๆเราก็จะมีปาร์ตี้วันเกิด...ให้นายกันไง ” ผมพูดติดๆขัดๆ เพราะรู้สึกได้ว่ายิ่งพยายามอธิบายเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งหน้าคว่ำลงเท่านั้น
“ แผนเซอร์ไพรส์บ้าอะไรล่ะ นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังกันชัดๆ โดนแบบนี้เข้าไป ถึงจะได้ของขวัญมาเท่าไหร่มันก็เรียกความรู้สึกที่เสียไปแล้วให้กลับคืนมาไม่ได้หรอก ทั้งโดนเมิน โดนแกล้ง แล้วยังโดนตบหน้าอีกน่ะ ...ฮึก..เป็นฮยองๆจะมีความสุขมั้ยล่ะ ..ฮึก ” เจ้าของวันเกิดตัดพ้อก่อนจะหลุดสะอื้นออกมาด้วยความน้อยใจ
ตามปกติผมควรจะใช้จังหวะนี้ตอกกลับแรงๆเพื่อกระตุ้นให้อูฮยอนได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่เป็นกฎแห่งกรรมที่เกิดจากการกระทำของตัวเองที่ผ่านมา จะโทษทัณฑ์เลวร้ายแค่ไหนก็เป็นเพียงผลกรรมที่เขามีหน้าที่ต้องแบกรับไว้เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์กล่าวโทษหรือโอนความผิดไปให้ใคร
แต่ปัญหาใหญ่คือผมพูดไม่ออก หนึ่งเพราะอูฮยอนกำลังป่วย และด้วยสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียมากกว่านั่นคือเหตุผลข้อสอง
ส่วนข้อสุดท้าย ว่ากันตามตรงอย่างไม่อายปาก คือผมแพ้น้ำตานัมอูฮยอนครับ
“ ขอโทษ ...ฮยองไม่ดีเองที่รุนแรงกับนาย ยังเจ็บอยู่มั้ย ” ที่ทำได้ก็มีแต่ต้องโอ๋แหละครับเวลานี้ ลองไม่โอ๋ดูสิ เผลอๆได้มีดราม่านายเอกกระโดดออกนอกรถฆ่าตัวตายกันบ้างล่ะ ก็อย่างที่พูดไปแล้วนั่นไง นัมอูฮยอนใช่ธรรมดาที่ไหนกันเล่า
“ เจ็บสิ เจ็บเข้าไปถึงในนี้เลย ” อูฮยอนทุบอกตัวเองรัวๆจนผมต้องรั้งข้อมือเขาไว้
“ ให้ฮยองทำยังไงถึงหายโกรธ ” ผมเอ่ยถามด้วยความรู้สึกปลดปลง เพราะไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด แต่คนง้อยืนพื้นก็คือไอ้กระผมคนนี้อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ
จากที่ร้องไห้งอแงตีอกชกหัว พอได้ยินคำถามโดนใจเข้าหน่อย อูฮยอนก็กลับมานั่งนิ่ง ยิ้มกริ่ม และเริ่มหรี่ตามองมาที่ผมอย่างมีเลศนัยโครตๆ
จะเอาอะไรก็เอาครับ ทุกอย่างของคิมซองกยูคนนี้ให้นัมอูฮยอนได้หมดอยู่แล้ว จะหัวใจ ร่างกาย หรือแม้แต่จิตวิญญาณก็ขอให้บอกมาเถอะ ให้หมดแล้วจริงๆ
“ หึหึหึ ” ไม่ยอมตอบมาเป็นภาษาคนดีๆ กลับมีแต่เสียงหัวเราะหึหึอย่างกับพวกจิตเสื่อมลอยมาให้ได้ยิน กวนตีนมั้ยล่ะครับ แฟนผม
TBC
◊ SQWEEZ
ความคิดเห็น