ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #14 : ย้อนยุค 12 : ความหวังดีที่ (ไม่) ต้องการ (Rewrite)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.81K
      569
      10 เม.ย. 64


     

     

    ย้อนยุค 12

    ความหวังดีที่ (ไม่) ต้องการ

     

     

    เเม้ว่าข้างนอกรถม้าจะส่งเสียงดังมากเเค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้โจวเจว่ยรู้สึกเดือดร้อนใจอะไร ชายหนุ่มประคองสือโถวที่สลบไปเเล้วให้นอนบนฟูกเตี้ยเนื้อนุ่ม ดึงมีดสั้นที่ซ่อนเอาไว้ออกมาจากพัดใบโปรด ค่อยๆ ลงมือตัดเสื้อเนื้อหยาบของอีกฝ่าย

     

    "พี่สือโถว! "

     

    ร่างเล็กของเด็กน้อยวัยสิบขวบพุ่งตามเข้ามาในรถม้า โจวเจว่ยชะงักมือ นึกหงุดหงิดหน่วยอินทรีโลหิตที่ปล่อยให้เด็กเวรอย่างมู่หลี่หลงเข้ามาง่ายๆ

     

    กลับไปต้องฝึกให้เชื่องซะหน่อยเเล้ว

     

    "เขาโดนอะไรมา!! " มู่หลี่หลงเเผดเสียงดัง โจวเจว่ยอมยิ้มดั่งเช่นปกติ "ถ้าตาเจ้ายังปกติดีก็น่าจะเห็นว่าเขาโดนอะไรนะ"

     

    "เจ้า! "

     

    "ข้ากำลังจะทำเเผลให้สือโถว เชิญ 'ตัวเกะกะ' ลงไปได้เเล้ว"

     

    ชายหนุ่มขยับมือต่อ เด็กน้อยโมโหจนหน้าดำสลับเเดง เเต่พอเห็นสือโถวนอนไม่ได้สติเเบบนี้ เขาจึงได้เเต่ฮึดฮัดนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง ดวงตาดอกท้อคู่สวยเหลือบมองมู่หลี่หลงด้วยหางตาก่อนเบนออกอย่างไม่สนใจ

     

    ไม่นานนักเสื้อตัวหยาบก็หลุดออกจากเเผ่นหลัง เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งเรียบเนียนชวนสัมผัส โจว่เจว่ยขมวดคิ้วเเน่น "เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว สือโสวพึ่งโดนโบยไปไม่ใช่รึ ทำไมเเผลถึงหายเร็วเช่นนี้? "

     

    "ปกติเขาก็เป็นเเบบนี้อยู่เเล้ว เก็บสายตาน่ารังเกียจของเจ้ากลับไปเลยนะ! "

     

    "หืมมมมมม" คุณชายเเห่งหุบเขาเหม่ยลี้ลากเสียงยาวในลำคอ นิ้วเรียวยาวลากวนเเถวบั้นเอวของคนที่ยังนอนสลบไม่รู้เรื่อง "สัตว์เลี้ยงของข้า ข้าจะทำอะไรกับมันก็ได้ เจ้าต่างหากที่ควรเเทงลูกตาตัวเองให้บอดไปซะ"

     

    ชิ้งงงงงงงงงงงง

     

    กระเเสไฟเเล่นเปรี้ยะๆ ระหว่างมู่หลี่หลงกับโจว่ยเจว่ย สือโถวครางเเผ่วเบาทั้งที่ยังสลบ รู้สึกเสียวเเผ่นหลังของตัวเองชอบกล

     

    ทั้งสองคนสะบัดหน้าหนีไปคนละทาง โจวเจว่ยข่มอารมณ์หงุดหงิดของตนลงท้อง "ในเมื่อจะหน้าด้านอยู่ต่อก็ไปหยิบน้ำร้อนมาซะ"

     

    "ชิ" มู่หลี่หลงเองก็หงุดหงิดไม่เเตกต่างกัน เด็กน้อยยื่นหม้อน้ำเดือดที่ต้มไว้สำหรับชงชาข้างโต๊ะเตี้ยส่งให้

     

    ในเมื่อใครอีกคนยังสลบอยู่ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเเสดงภาพสร้างเเสนดีอีกต่อไป ต่างฝ่ายต่างเผยตัวตนที่เเท้จริงออกมาเต็มที่

     

    นายน้อยลำดับสามหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำร้อนเพื่อเป็นฆ่าเชื้อ บิดให้พอหมาดๆ ก่อนเช็ดบริเวณที่มีลูกธนูปักอยู่ โจว่ยเจว่ยเอาผ้าสะอาดอีกผืนมากดไว้ ออกเเรงดึงลูกธนูออกจากหลังสือโถวภายในครั้งเดียว

     

    "อุ๊ก! "

     

    สือโถวกระตุกร่างเฮือก ดวงตาเปิดฉับ ไม่รอช้าโจว่เจว่ยรีบโบะสมุนไพรห้ามเลือด กดผ้าสีขาวที่เริ่มย้อมไปด้วยโลหิต

     

    "ไม่เป็นไรเเล้วนะเด็กดี"

     

    "พี่สือโถว เจ็บมากมั้ยขอรับ"

     

    พอลืมตาขึ้นมาเจอคนงามล่มเมืองตั้งสองคน เขาเกือบจะนึกว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์ ดีที่สำนึกได้ว่าตัวเองก็เลวพอสมควร ไม่น่าจะได้ไปอยู่เเดนสึขาวดีกับใครเขา

     

    ดวงตาสีดำสนิทภายใต้ผมหยักศกเบนไปยังมู่หลี่หลง ครางเสียงเเผ่วเบา

     

    "ภูมิ...? " ฉับพลันภาพเลือนรางตรงหน้าเริ่มชัดเจนจนเห็นเค้าโครงของเด็กน้อย สือโถวหรี่ตาลง "อ่ะ ไม่ใช่... มู่หลี่หลง นาย... เจ้า ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่? "

     

    "ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะอาบยาพิษไว้บนลูกธนูด้วยสินะ" โจวเจว่ยใช้มืออีกข้างยกลูกธนูขึ้นมาพิจารณา สีม่วงเเวววาวตรงปลายดอกเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี

     

    "ร้ายเเรงหรือไม่? "

     

    "หือ? ไม่หรอก เเค่มีฤทธิ์หลอนประสาทกับร่างกายอ่อนเเรงเท่านั้น" โจว่ยเจว่ยวางลูกธนูลง "ยาเเก้พิษอยู่ในหีบ ขวดสีขาว เจ้าไปเอามาที ข้าจะทำเเผลให้สือโถว"

     

    มู่หลี่หลงพยักหน้า ยอมลุกขึ้นไปหยิบให้ที่โจว่ยเจว่ยสั่ง

     

    ความเจ็บปวดรวดร้าวที่เเผ่นหลังดึงสมองที่กำลังสับสนมึนงงให้เเจ่มชัดกว่าเดิม พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นพี่ชายกำลังนั่งคุกเข่าทำเเผลให้ตนเองอย่างใกล้ชิด ฉับพลันร่างกายก็สะท้านเฮือก

     

    หน้าดุดันของตงฉินปรากฏขึ้นในหัว ท่านรองหัวหน้าอ้าปากเเผดเสียงดังลั่น

     

    กฎข้อที่สามสิบเอ็ด ห้ามตีตนเสมอเจ้านาย!!

     

    "จ้ากกกก ขออภัยขอรับคุณชาย! "

     

    "อ๊ะ อย่าขยับสิ"

     

    เพราะรีบลุกจนเกินไป เลือดที่ยังไหลเวียนไม่ดีส่งผลให้ทั้งร่างทรุดลงไปอีกครั้ง โจวเจว่ยรีบคว้าเอวของสือโถวไว้ จึงกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มหน้าหนวดโดนคนงามกอดไว้เต็มอ้อมเเขน

     

    ปึก!

     

    "เเอ้ก!! " จมูกของสือโถวกระเเทกเข้ากับเเผงอกของโจวเจว่ยดังลั่น เขายกมือกุมจมูกพลางร้องซี้ด

     

    เจ็บโว้ยยยยยยยย!

     

    ทำไมอกคนงามมันถึงได้เเน่นขนาดนี้วะ เเละถ้ารู้สึกไม่ผิด เหมือนช่วงท้องของพี่ชายคนงามจะมีอะไรขึ้นมาเป็นลูกๆ ด้วย

     

    เเอบไล้มือขึ้นลง อื้อฮือ หกอัน ไม่จริงใช่มั้ย!?

     

    โจวเจว่ยยกยิ้ม กระชับอ้อมเเขนให้เเน่นกว่าเดิม พลางเคลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบเสียงเเหบพร่าที่ข้างหูเด็กซน "จะลูบเล่นก็ไม่ว่าหรอกนะ เเต่ถ้าอะไรมัน 'ตื่น' ขึ้นมา ข้าเกรงว่าร่างกายเจ้าตอนนี้คงจะรับผิดชอบไม่ไหว"

     

    "?? " สือโถวเงยหน้ามองโจวเจว่ยอย่างงงงวย นายน้อยหุบเขาเหม่ยลี้ส่ายหัวยิ้มๆ ลูบเอวคอดเกินชายของสือโถว "อืมมม ไม่คิดว่าเจ้าจะผอมขนาดนี้ คงต้องขุนอีกเยอะ"

     

    "หะ? " เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ความสยองบางอย่างไล่ขึ้นตามเเนวสันหลัง ขนเเขนพลันลุกพึ่บ เพราะสมองยังคงมึนงงจากพิษจึงไม่สามารถตีความหมายของการกระทำนั้นได้

     

    "พี่สือโถว! "

     

    ทันใดนั้นขวดยาสีขาวก็พุ่งมาจากอีกฟาก โจวเจว่ยเบี่ยงตัวหลบอย่างงดงาม เจ้าอาวุธขนาดเล็กจึงกระเเทกหน้าสือโถวจนหน้าหงายเเทน

     

    สือโถวกุมหน้าร้องไห้กับพื้นพรม คราวนี้อะไรอีกวะ! คราวนี้ตูโดนอะไรอี๊กกกก!

     

    "โอะโอ๋" โจวเจว่ยอุทาน

     

    "ออกห่างจากพี่สือโถวนะ! " น้องน้อยตะโกนชี้หน้าคนโตกว่า เเต่สือโถวอยากจะตอบกลับไปว่าคนที่ต้องออกไกลๆ น่ะ มันเจ้าต่างหาก ไอ้เด็กบ้า!

     

    อูย เจ็บโว้ยยยยยยย

    ...................

     

    ตกกลางคืน ณ ใจกลางป่าดงดิบ

     

    ด้วยฝีมือบัญชาการในการต่อสู้ของตงฉิน ใช้เวลาเพียงไม่นาน ฝ่ายอธรรมหรือพรรคมารก็พ่ายเเพ้ไม่เป็นท่า วิ่งหนีหางจุกตูดไปคนละทิศละทาง โชคดีที่หน่วยอินทรีโลหิตไม่มีใครเสียชีวิตให้ต้องมานั่งจุดธูปฝังร่างเล่น อย่างมากเเค่บาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง

     

    หลังจากศัตรูล่าถอย ตงฉินก็สั่งให้เดินทางต่ออีกนิดเพื่อหาที่พักเเรม ซึ่งสือโถวดีใจมากที่พี่เเกยังไม่อินดี้สั่งถึงขั้นสั่งให้ตั้งเต็นท์นอนท่ามกลางซากศพ

     

    "เอ้า นี่ส่วนของเจ้า" ไอ้หนุ่มหน่วยอินทรีที่ถีบเขาเข้าสู่สมรภูมิรบส่งข้าวปั้นกับเนื้อตากเเห้งให้ ดวงตาฉายเเววเห็นใจบ่าวคนใหม่

     

    "ขอบคุณ"

     

    สือโถวกำลังจะยื่นข้าวปั้นลูกนั้นให้มู่หลี่หลงเหมือนทุกที เเต่พอนึกถึงคำพูดพี่ชายคนงามเมื่อยามบ่าย เขาเลยตัดสินใจเก็บไว้กินเอง

     

    ต่อไปนี้เขาจะต้องกลับมาบึกบึนดั่งเช่นกาลก่อน ไม่ยอมให้ใครมาบอกว่าผอมเเห้งกระโดดตบตีเป็นลูกวอลเล่อีกเเล้ว!

    "นายน้อย"

     

    อีกฟากของกลุ่มคนที่นั่งเรียงราย ตงฉินยื่นจานข้าวให้โจวเจว่ยอย่างนอบน้อม คนงามอมยิ้มตอบรับ เอ่ยขอบคุณเสียงเบา

     

    สือโถวเเอบเบ้ปากมองบน ทีกับข้านี่ทั้งถีบ ตะคอก ตบหัว โยนลงรถม้า พอเป็นคนงามเเล้วมุ้งมิ้งสดใสอ่อนโยนเชียวนะ ไอ้คนสองมาตรฐาน

     

    "กร้วม! กร้วม! " เคี้ยวเนื้อเเห้งในมืออย่างหงุดหงิด มโนว่ามันเป็นเนื้อพ่อหล่อหน้าตาย เพราะเจ้าเลยข้าถึงบาดเจ็บเเบบนี้!

     

    เขาเลื่อนสายตาไปยังโจวเจว่ยกำลังละเลียดกินอาหารอย่างเรียบร้อย เเสงไฟจากกองเพลิงลั่นเปรี้ยะ เงาสีทองน้ำตาลตกกระทบลงบนใบหน้างดงามเกินคนของนายน้อย

     

    สือโถวเผลอมองอย่างเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ สมกับเป็นคนสวยอันดับหนึ่งของยุทธภพ ช่างงดงามจริงๆ

     

    งั่ม!

     

    "จ้ากกกกกกกกกก" ความเจ็บเเปลบลั่นขึ้นที่เเขนข้างซ้ายฉุดสติที่กำลังลอยไปไกลกลับมา สือโถวก้มมองเเขนของตัวเองขวับ

     

    ดวงตากวางมองเขาอย่างเคืองๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มยังเเนบสนิทอยู่กับท้องเเขนเป็นหลักฐานว่าต้นตอของความเจ็บปวดมากจากที่ใด

     

    "โอ้ย! " หมาน้อยตัวกระเป๋าเพิ่มเเรงกัดมากกว่าเดิม คราวนี้โลหิตสีเเดงเข้มเริ่มซึมผ่านร่องปากเล็ก สือโถวร้องลั่นยกมือสากดันหัวทุยรัวๆ "เฮ้ย! เเขนขาไม่ใช่ก้อนข้าวปั้นนะ ถ้าหิวมากก็กินนี่ไปซะสิ! "

     

    พอร่างเล็กหลุดออก สือโถวก็คว้ามู่หลี่หลงนั่งตัก ยัดข้าวปั้นคำโตใส่ปากจิ้มลิ้มเเต่เสือกมีฟันโคตรคมนั่นไว้ทันที!

     

    เเม่งเอ๊ย นี่คนหรือสุนัขวะ เลือดพุ่งเป็นน้ำตกเเองการ่าเลย!

     

    "อู้อี้ๆ อื้อ อื้อ ง่ำๆๆ " เด็กน้อยพยายามเปิดปากด่า เเต่ติดตรงที่สือโถวคอยยัดข้าวเข้าปากเรื่อยๆ เเบบไม่เว้นสักเสี้ยววินาที มู่หลี่หลงจำเป็นต้องหยุดคำด่า รีบเคี้ยวข้าวที่กำลังจะติดคอจากฝีมือพี่ชายร่วมจวนในอีกไม่ช้า

     

    "ดี ดีมาก กินเข้าไปอีก! " สือโถวเเสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมอย่างคนชั่ว สองมือยัดข้าวเพิ่มไปอีกเท่าตัว ไม่สนว่าตอนนี้มู่หลี่หลงจะเริ่มหน้าเขียวสลับเทาเเล้ว

     

    ในเมื่อตัดใจลงมือตีเด็กน้อยไม่ลง เขาก็ขอลงโทษด้วยความรัก (?) ตามเเบบฉบับคุณเเม่ที่บ้านนอกเเล้วกัน!

     

    จงรับความรักอันล้นหลามของพี่สาว (?) ไปซะดีๆ ไอ้หนู ฮ่าๆๆ!!

     

    "เจ้าไม่กินข้าวรึ? "

     

    "เฮือก"

     

    เสียงเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ขององครักษ์พ่วงตำเเหน่งสามีของคนงามดังขึ้นเหนือหัว ดวงตาสีดำสนิทฉายเเววอย่างตำหนิอย่างเห็นได้ชัด

     

    สือโถวหยุดมือที่กำลังฆาตกรรมน้องน้อย ส่งยิ้มเห่ยไปขัดตาทัพ "เอ่อ พอดีข้าอิ่มเเล้วขอรับ"

     

    "เเผลยังไม่หาย ทำไมไม่ฝืนตนเองให้กินเยอะกว่านี้" น้ำเสียงโทนเดิมเเต่ไอสังหารไม่คงเดิม สือโถวที่โดนพี่เเกฟาดเล่นมาเเบบสดๆ ร้อนๆ ได้รู้ซึ่งถึงความเถื่อนจนไม่กล้าอวดดีใส่อีกแล้ว

     

    เขาหดคอจนเเทบฝังเข้าไปที่หลังของมู่หลี่หลง ได้เเต่ร้องไห้ในใจว่าเค้าทำอะไรผิดหนักหนา เเค่ไม่กินข้าวเอง ทำไมต้องมาโหดใส่กันด้วยอ่ะ!

     

    "อย่ามาดุใส่พี่สือโถวนะ คนของข้า ข้าดูเเลเอง! "

     

    "..." สือโถวหรี่ตาใส่เด็กน้อยที่กำลังเเยกเขี้ยวขู่ฟ่อเเฟ่ในอ้อมเเขน

     

    เเหม เเล้วเมื่อกี้หมาที่ไหนพึ่งกัดเเขนเขาเลือดออกวะ?

     

    ตงฉินมองมู่หลี่หลงนิ่ง ซึ่งเด็กน้อยก็เชิดหน้าสูงที่ถลึงตาสู้อย่างท้าทายเช่นกัน

     

    จ้องตากันไปมาสักพักจนคนตรงกลางเเทบจะหลับกลางอากาศ พ่อเสือดำก็เเค่นคอดังหึ ทรุดตัวนั่งด้านข้างสือโถว

     

    ตาที่กำลังจะปิดพลันเบิกโพลง สือโถวอ้าปากค้างเเมบจะดีดตัวหนี ไอ้สัส ที่ก็มีตั้งเยอะ มาตั้งรกรากอะไรตรงนี้วะ!!

     

    "มัวเเต่กอดกันอยู่ได้ รีบกินสิ! " ตงฉินตวาดก้อง

     

    สือโถวขว้างก้อนเต้าหู้น้อยออกจากตักเเทบไม่ทัน เเม้ว่าจะโดนดวงตากลมโตหันตัดพ้อใส่ เเต่เขาก็ได้เเต่บุ้ยปากให้น้องน้อยอยู่นิ่งๆ อย่าก่อเรื่อง

     

    พุธโธ ธัมโม สังโฆ ข้าเจ้าจะมีชีวิตรอดก่อนถึงหุบเขามั้ยเหน๊อออออออ

     

    "เจ้าต้องบำรุงร่างกายให้ดี หลังจากนี้พวกเราจะเร่งเดินทางโดยไม่มีการพักเเล้ว ขืนผอมเเห้งเเรงน้อยเช่นนี้ มีเเต่จะเป็นภาระเสียเปล่าๆ "

     

    "..."

     

    เอะอะก็ผอมเเห้ง ได้โปรดช่วยเกรงใจฉายาบุรุษฆ่าหมีด้วยมือเปล่าของข้าด้วย นี่สือโถวเลยนะโว้ย สือโถวสุดโหดประจำจวนเศรษฐีน่ะ!

     

    เเต่ถามว่าบ่นออกไปได้มั้ย? ก็ไม่ได้ไง เวรเอ๊ย!!

     

    สือโถวกระเเอมเสียงเบา เเอบเปลี่ยนเรื่องอย่างเนียนๆ "ที่จะเร่งเดินทาง เอ่อ เพราะพรรคมารวันนี้หรือขอรับ? "

     

    คนถูกถามพยักหน้า "อืม พวกมันรู้เเล้วว่าเราอยู่ตรงไหน ทางที่ดีควรรีบเดินทางจะดีกว่า"

     

    โดนตบขนาดนั้นยังจะกล้ามาหาเรื่องอีกหรอวะ นี่ฝ่ายอธรรมหรือคณะมาโซ* หัดเจ็บเเล้วจำเเละนำไปใช้หน่อยสิโว้ย

     

    ดูเหมือนว่าหุบเขาหมื่นลี้ เเฮ่ม เหม่ยลี้จะยิ่งใหญ่น่าดูถึงขั้นมีคนไล่ตามมาเป็นพรวนเลยวุ้ย คิดถูกคิดผิดวะที่ตามมาด้วย

     

    ว่าเเต่ฝ่ายอธรรมที่ว่านี่มันคืออะไร? ตัวโกงเเบบในหนังกำลังภายในหรือว่าก็เเค่โจรป่าทั่วไปหรอ??

     

    ร่างนี้ก็ไม่มีความทรงจำส่งต่ออะไรให้เขาเลยสักนิด สือโถวสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าตัวเองไม่รู้เลยว่าตนเองอยู่ยุคไหน เเคว้นอะไร หรือเป็นเซตติ้งโลกเเบบไหน ครั้นจะไปถามคนอื่นก็กลัวจะโดนมองเป็นตัวประหลาดอีก

     

    ไม่มีคำพูดระหว่างเขากับตงฉินอีกต่อไป ต่างฝ่ายต่างนั่งกินอาหารในมือกันไปเงียบๆ คล้ายกำลังตกอยูในภวังค์ของตนเอง

     

    หลังจากข้าวปั้นคำสุดท้ายถูกกลืนลงคอ มู่หลี่หลงก็ลุกขึ้นเพื่อไปตักน้ำใส่กระบอก ส่วนสือโถวล้มตัวลงเตรียมนอนหลับใต้ต้นไม้อย่างที่ทำมาตลอดสองอาทิตย์ เเต่สิ่งน่าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อคือพ่อเสือดำดันล้มตัวลงตามนี่สิ!

     

    เขาเด้งตัวขึ้นราวกับโดนน้ำร้อน สองตาเบิกตากว้างเเทบถลน "ท่านจะนอนตรงนี้รึ!? "

     

    ตงฉินเลิกคิ้ว "ทำไม? เจ้าเป็นเจ้าของที่ดินตรงนี้รึ? "

     

    เเหน่ะ มีเเอบกวนตีนกลับ

     

    ได้ ได้เลยพี่ชาย ถ้าท่านอยากนอนตรงนี้ คนที่มาจับจองก่อนอย่างข้าจะเป็นฝ่ายย้ายเองก็ได้!

     

    "จะไปไหน"

     

    ตงฉินเอ่ยเสียงเข้ม คว้าข้อมือคนที่กำลังจะลุกไว้เเน่น สือโถวเเทบจะปล่อยโฮกลางป่า วันนี้มันวันซวยอะไรของข้าวะเนี่ยยยย เเล้วอีกอย่างใครจะไปนอนข้างคนที่ทำให้ต้องมีธนูปักหลังเป็นอนุสรณ์ความหลังด้วยหะ

     

    "ข้าถามว่าจะ-ไป-ไหน"

     

    "มะ ไม่ได้จะไปไหนขอรับ" เลิกขู่กันสักทีสิโว้ย

     

    สือโถวส่ายหัวเเทบหลุด ในใจได้เเต่กรีดร้อง ท่านจะเอาอะไรกับข้านักหน๊าาาาาาา

     

     

    "ถ้างั้นก็นอนสิ"

     

     

    "...ขอรับ"

     

     

    พอเด็กน้อยเดินกลับมาก็ต้องขมวดคิ้วฉับ จ้องตงฉินที่นอนเคียงข้างพี่ชายหน้าหนวดอย่างไม่สบอารมณ์ เเม้ว่าอยากจะโวยวายเเค่ไหน เเต่ก็ทำได้เเค่ถอนหายใจ ล้มตัวนอนอีกฝั่งด้วยความหงุดหงิด

     

    สือโถวเองก็ปลงตก พลิกตัวนอนตะเเคงถอนหายใจเฮือก

     

     

    เอาว่ะ เเค่คืนเดียว นอนให้จบๆ ไปก็พอ

    .............

     

    "สือโถว" คนในหน่วยอินทรีร้องเรียกอย่างลังเล

     

     

    เด็กหนุ่มหน้าหนวดตัวสูงหยุดมือที่เก็บสัมภาระขึ้นหลังม้า หมุนตัวเลิกคิ้ว "ว่าไงพี่ชาย? "

     

     

    "เจ้าขี่ม้าไหวหรือ? ถ้าไม่ไหวก็บอกได้นะ ข้าจะขออนุญาตให้เจ้าไปนั่งข้างคนขับรถม้าเเทน"

     

     

    สือโถวลองขยับเเขน ความเจ็บตึงที่เเผ่นหลังทำให้ต้องเบ้หน้า "อืม ไม่เป็นไรหรอกมั้ง? ขืนข้านั่งรถม้า น้องหลี่หลงจะนั่งกับใครล่ะ"

     

     

    "อ้อ เรื่องนั้น..." คู่สนทนาชี้ไปยังรถม้าของโจวเจว่ยที่จอดอยู่กลางขบวน "คุณชายลากหนูน้อยขึ้นไปนั่งด้วยกันเรียบร้อยเเล้วล่ะ"

     

     

    "หะ? " ไปสนิทกันตอนไหน?!

     

     

    ...เเต่เป็นเเบบนี้ก็ดี

     

     

    "งั้นข้าขอนั่งกับคนขับร-"

     

     

    "ไม่ต้อง" ตงฉินเดินเเทรกเข้ามากลางวง คนในหน่วยอินทรีโลหิตรีบทำความเคารพ ส่วนสือโถวได้เเต่มองคนตัวโตกว่าอย่างหวาดๆ

     

     

    เเค่เรื่องเมื่อคืนยังทรมานกันไม่พอรึ กว่าเขาจะหลับลงก็เเทบใช้เวลาค่อนคืนเเล้วนะ โชคดีที่ตื่นมาไม่เจอหน้าตงฉินหลับอยู่ข้างๆ ไม่งั้นคงได้มีการกรี๊ดอัดหน้ากันบ้างเเหละ!

     

     

    ถึงจะหน้าหล่อ หุ่นก็ผ่าน เเต่นิสัยนี่อยากขอให้เดินผ่านเลยไป อย่าได้มารู้จักกันในทั้งชาตินี้เเละชาติหน้าอีก!

     

     

    ตงฉินยกนิ้วโป้งชี้ไปด้านหลัง "เจ้าไปขึ้นม้าตัวเดียวกับข้า"

     

     

    "อะไรนะขอรับ!! " พวกเขาตะโกนขึ้นพร้อมกัน พอได้สติสือโถวรีบโบกไม้โบกมือ

     

     

    “รบกวนท่านเปล่าๆ ข้าไปนั่งรถม้าดีกว่าขอรับ”

     

     

    “ท่านเป็นถึงรองหัวหน้าหน่วย จะให้คนอย่างสือโถวไปซ้อนม้าด้วยมัน...” ชายหนุ่มหน่วยอินทรีโลหิตเว้นจังหวะ

     

     

    สือโถวแอบถลึงตาใส่ เออ! ข้าไม่ใช่สตรีแถมยังหน้าโหดเกินคน เจ้ากลัวจะเกิดข่าวลือแปลกๆ ว่าท่านตงฉินพกโจรขึ้นหลังม้าก็บอกมาเถอะ

     

    “เขาเป็นคนเอาตัวมารับธนูแทนข้าจนต้องบาดเจ็บ ข้าไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นไม่ยอมตอบแทนบุญคุณหรอกนะ”

     

    "คือว่า เอิ่ม เรื่องนั้น"

     

    เอาจริงๆ เลยนะ คือข้าสะดุดก้อนหินว่ะท่าน ในหัวไม่เคยคิดจะเอาตัวไปบังธนูให้ท่านซักกระตี๊ด เเม้เเต่เสี้ยววิก็ไม่มีโว้ย!

     

    ไม่ให้รอพวกเขาได้ค้าน ตงฉินก็คว้าต้นแขนสือโถวไปยังม้าตัวใหญ่ที่มีขนสีดำเงางามเป็นประกายบ่งบอกตัวตนความเถื่อนสัสของตงฉินได้เป็นอย่างดี

     

    รองหัวหน้าหน่วยตสัดขายาวขึ้นหลังม้า ดวงตาคมกริบเลื่อนลงเป็นเชิงข่มขู่สือโถวที่ยังยืนนิ่ง

     

    “ขึ้นมาสิ”

     

    “...”

     

    ทั้งเจ้านายกับลูกน้องนิสัยไม่ต่างกันสักนิด เอาแต่ใจกันสุดๆ เเม่งเห็นเขาเป็นตุ๊กตาหน้ารถประจำรถม้ารึไง!

     

    สือโถวปลงตก ข่มความเจ็บไว้ในใจ ตวัดร่างขึ้นหลังม้า

     

    เอาว่ะ พยายามคิดในแง่ดี อย่างน้อยเขาได้ซ้อนท้ายบุรุษที่ว่าแข็งแกร่งที่สุดในหน่วยอินทรีโลหิต ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาทำร้ายให้เลือดตกอย่างออกเเน่นอน!

    .............

     

    “รองหัวหน้าาาาาา!!!”

     

    หนึ่งในหน่วยอินทรีโลหิตร้องลั่นอย่างตกใจ ตงฉินกระชากม้าที่กำลังห้อตะบึงอย่างแรง หันไปตวัดสายตาใส่อย่างตำหนิ “อะไร!”

     

    “สะ สะ สือโถวตายแล้วขอรับ!”

     

    “ว่าไงนะ?” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปมองคนที่นั่งนิ่งพิงหลังตนเองตั้งแต่ออกเดินทาง พอเห็นสภาพของเพื่อนร่วมทาง เขามีอันต้องสะดุ้ง เมื่อเด็กหนุ่มหน้าหนวดได้ตาเหลือกขาว สลบเหมือดคาที่ไปเรียบร้อย

     

    “นี่มัน...?” เกิดอะไรขึ้น

     

    เหล่าคนในหน่วยอินทรีโลหิตต่างทำหน้าไม่ถูก ท่านตงฉินเล่นห้อตะบึงไม่สนใจผีสางนางไม้ เป็นธรรมดาที่คนซ้อนท้ายต้องเกิดอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลมเป็นธรรมดา

     

    แต่กรณีของบ่าวคนใหม่เรียกได้ว่าโดนสองเด้ง เลือดไปเลี้ยงหัวไม่พอทำให้มึนหัวง่ายแล้ว แผลที่หลังก็ยังไม่สมาน เจอกระทบกระเทือนแบบนี้แผลย่อมปริแตกกว่าเดิม ส่งผลให้เสียชีวิต (?) ได้โดยสดุจดี

     

    สรุปเเล้ว สาเหตุทั้งหมดมาจากท่านนั่นแหละ!!

     

    “แฮ่ม ท่านรอง คือ ถ้าท่านอยากตอบแทนจริงๆ ... ข้าแนะนำให้ปล่อยเขาไปนั่งรถม้าเถอะขอรับ” ผู้อาวุโสที่สุดในหน่วยกล่าวขึ้น แอบเห็นใจไอ้หนุ่มหน้าหนวดไม่น้อย เฮ้อ อายุยังน้อยแท้ๆ ไม่น่าตายเร็วเลย (?)

     

    โชคดีที่ตงฉินเป็นคนรับฟังความคิดเห็นลูกน้อง ในเมื่อหลายคนว่าอย่างนั้น เขาก็ยอมปล่อยคนสลบได้ไปนอนในรถม้า แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม

     

    สือโถวจึงชักเท้ากลับจากยมโลกด้วยเหตุประการฉะนี้

    ..........

     

    หลังจากใช้เวลาเดินทางโดยไม่มีการหยุดพักเป็นเวลาสามวันสามคืน ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงหุบเขาเหม่ยลี้

     

     

    สือโถวแทบจะวิ่งลงไปกอดพื้นธรณีทั้งน้ำตา เพราะเขาสลบไสลไม่ได้สติหนึ่งวันเต็มจากการกระทำเเสนหวังดี (กัดฟัน) ของตงฉิน เลยถูกย้ายไปอยู่รถม้าของนายน้อย ไม่คาดคิดว่าลืมตาตื่นขึ้นมาจะเจอคนงามล่มเมืองต่างวัยที่นั่งอมยิ้มอยู่เบื้องหน้า

     

    เเต่สิ่งทำให้เขาอยากจะสลบยาวต่อไปอีกสามวัน นั่นก็เพราะหลังจากอมยิ้มสวยเป็นการต้อนรับเสร็จ คนงามทั้งสองดันเล่นสงครามดุเดือดตลอดทั้งวันทั้งคืน จนคนกลางอย่างเขาแทบจะกระโดดหนีลงรถม้าวันละสิบหนยังไงล่ะ!

     

    “ยินดีต้อนรับขอรับ/เจ้าค่ะ”

     

    บ่าวทั้งหญิงและชายมากมายโค้งตัวต้อนรับโจวเจว่ยอย่างพร้อมเพรียง สือโถวที่อยู่ด้านหลังแอบชื่นชมบ่าวของที่นี่ในใจ

     

    สำนักหุบเขาเหม่ยลี้มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งภูเขา ด้านล่างเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไปที่ยิ่งใหญ่จนสามารถเรียกได้ว่าเมืองท่า ส่วนตัวจวนเเละตึกสำนึก โจว่ยเจว่ยเคยเล่าให้ฟังตอนอยู่บนรถม้าว่ามันตั้งอยู่บนยอดเขา

     

    ภูเขาที่สูงเสียดฟ้าลูกนี้ถูกปกคลุมด้วยต้นเมเปิ้ลสีส้มเเดง ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิพอดี ต้นไม้สูงใหญ่จึงต่างพากันผลัดดอกออกใบเเข่งกันอย่างเริงร่า นอกจากนี้อีกฟากของภูเขายังมีน้ำตกขนาดใหญ่สร้างความร่มรื่นเย็นสบายไม่ขาดสาย

     

    เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่งดงามอลังการราวกับอยู่ในเเดนเซียน!

     

    กลับมาที่ปัจจุบัน พวกเขาทั้งหมดกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าสำนัก สือโถวกับมู่หลี่หลงเปลี่ยนจากนั่งรถม้าเป็นเดินเท้าตั้งแต่ตีนเขาเพื่อป้องกันข้อครหาว่าเล่นหัวเจ้านาย

     

    ถึงน้องน้อยจะเลยคำว่าเล่นหัวไปตั้งแต่อยู่ในรถม้าไปแล้วก็ตาม...

     

    ขนาดทางเข้ายังเป็นกำแพงอิฐสีขาวแกะสลักลวดลายของดอกไม้ ไม่อยากคิดเลยว่าด้านในจะอลังการแค่ไหน ไม่เเน่อาจจะมีน้ำพุลอยฟ้าเลยก็ได้

     

    โจวเจว่ยหุบพัด ยิ้มให้กับเหล่าบ่าวในเรือนที่อุตส่าห์ออกมาต้อนรับกันเหนืองเเน่น

     

    “ทุกคนลุกเถอะ”

     

    “ขอรับ/เจ้าค่ะ”

     

    บ่าวทั้งหมดลุกขึ้นยืนตามคำสั่ง เเต่ทั้งนี้ก็ยังคงโค้งตัวอย่างเคารพ บุรุษวัยเกือบห้าสิบปีท่าทางเหมือนอาจารย์ห้องปกครองก้าวเข้ามาหาโจวเจว่ย “ท่านเจ้าสำนักกำลังรอนายน้อยอยู่ที่ห้องโถงขอรับ”

     

    “งั้นหรือ” โจวเจว่ยสะบัดพัด “รบกวนท่านอาถังช่วยดูแลคนของข้าให้ทีแล้วกันนะ”

     

    ว่าแล้วก็สะบัดชายเสื้อจากไปไม่รั้งริคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น ตงฉินทำหน้าที่ผั- แฮ่ม องครักษ์ที่ดี หมุนตัวเดินตามตูดพี่ชายคนงามไปติดๆ ไม่เเม้เเต่จะทักทายพ่อบ้านถังอะไรนั่น

     

    ลับร่างของคนทั้งสอง บ่าวที่เหลือก็พลันสลายตัวไปทำหน้าที่ของคนต่อ ถังเสวี่ยไป๋ยืนนิ่งอยู่สักครู่ ก่อนจะหันมาหาหน่วยอินทรีโลหิตที่กำลังยืนรอฟังคำสั่ง

     

    พ่อบ้านวัยห้าสิบชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสมาชิกเเปลกหน้าที่เพิ่มมาสองคน

     

    “พวกเจ้า?”

     

    คนหน่วยอินทรีโลหิตรีบขึ้นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูถังเสวี่ยไป๋ คิ้วเรียวเข้มขมวดแน่นหลังจากฟังจบ ท่านพ่อบ้านถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนในความเอาแต่ใจของนายน้อย

     

    “พาเด็กคนนี้ไปหานายหญิง ส่วนเจ้า...” ดวงตาคมปลาบที่ดูคุ้นเคยเเปลกๆ ตวัดใส่สือโถวจนเผลอสะดุ้งเฮือก “ไปเรือนคนงานหาสตรีที่ชื่อถังเจียอิง นางจะช่วยจัดการธุระให้เจ้า”

     

    “ขอรับ” สือโถวประสานมือทำความเคารพ พ่อบ้านถังพยักหน้าสั่งให้คนหน่วยอินทรีโลหิตไปพักผ่อน พอเสร็จเรื่องทุกอย่างก็ยกมือไขว้หลัง หมุนตัวเดินทางเดียวกับที่ทั้งสองคนพึ่งจากไปเมื่อครู่

     

    มู่หลี่หลงโดนคุณป้าใจดีคนหนี่งพาไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่ยังคงยืนงงอยู่กลางทาง เนื่องจากบ่าวที่รับหน้าที่นำทางได้วิ่งหนีไปทันทีหลังจากพาเขามาส่งกลางทาง

     

    แหม ความรู้สึกที่เเสนคุ้นเคย... ไม่ได้โดนชาวบ้านเขาหวาดกลัวใส่มานานจนลืมไปเเล้วเนี่ยว่าตอนนี้อยู่ในสภาพไหน

     

    สือโถวยักไหล่ตัดสินใจไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ เดินตามทางที่บ่าวในจวนชี้บอก สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีส้มเเซมเขียว อ่งก้านขนาดใหญ่เเผ่กิ่งก้านคอยให้ความร่มเย็นเเก่ผู้สัญจร เขาได้เเต่ตื่นตาตื่นใจ ขนาดนอกบริเวณยังงดงามขนาดนี้ ภายในสำนึกจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันนะ

     

    “จะยืนชมนกชมไม้อีกนานหรือไม่?” เสียงใสดังขึ้นจากด้านหลัง สือโถวกะพริบตาปริบๆ หมุนตัวไปทางต้นเสียง

     

    ที่หน้าบานประตูของเรือนไม้สามชั้นมีสตรีวัยประมาณยี่สิบปียืนอยู่ นางสวมกระโปรงสีเทา เสื้อท่อนบนเป็นเสื้อแขนกุดสีดำ ผูกผ้าคาดเอวสีแดงเลือดหมู ผมสีน้ำตาลอ่อนมัดรวบอย่างหลวกๆ ใบหน้าน่ารักชวนมองคล้ายมีเค้าโครงของใครบางคนเเฝงอยู่

     

    ขณะกำลังครุ่นคิดว่าเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหน แม่นางชุดเทาก็ร้องกรี๊ดให้สะดุ้งเล่น อะไร มีงูอยู่เเถวนี้หรอ!

     

    “เจ้า เจ้า! เจ้า!!” นางชี้มายังเส้นผม ใบหน้า และชุดของเขาตามลำดับ ท่าทางรับไม่ได้สุดขีด “ทุเรศสิ้นดี!!”

     

    ไม่มีงูเเต่มีคนปากเสียว่ะ พูดงี้ก็สวยสิอิเจ้ปากเเดง!

     

    “เรารู้จักกันรึไงถึงมาวะ- เฮ้ย!!” สือโถวกำลังจะอ้าปากด่าสักรอบ ร่างบางก็พุ่งลงมาจากบันได มือขาวคว้าแขนเขาดังหมับ

     

    “คนของหุบเขาเหม่ยลี้ไปเคยมีคนสภาพทุเรศ! มานี่เลย ข้าจะโกนหนวดล้างคราบโทรมๆ ของเจ้าออกให้หมดเอง!!”

     

    “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนพี่สาว ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับท่านนะ ข้าหาคนอยู่!” สือโถวสะบัดแขนหญิงสาวทิ้งอย่างไม่ไยดี อีกอย่างเรื่องอะไรต้องโกนหนวดด้วยตามที่เจ้าสั่งด้วยไม่ทราบ นี่มันเอกลักษณ์ประจำเลยนะ!

     

    “ข้าคือถังเจียอิงคนที่เจ้าหาอยู่นั่นแหละ!” หญิงสาวไม่สนสือโถวที่อ้าปากเหวอร้องหะ นางลากเขาเข้าไปด้านในของเรือนไม้ “ข้ามีหน้าที่ดูแลคัดเลือกคนที่จะเข้าเป็นศิษย์ของสำนัก สภาพเจ้าอย่าว่าเป็นศิษย์เลยแค่บ่าวยังยาก!”

     

    “โอ๊ยๆๆๆ พี่สาวใจเย็นก่อนโว้ย คุณชาย-”

     

    “เรียกเขาว่านายน้อย!!”

     

    มันต่างกันไงวะ!

     

    ด้วยความที่ไม่อยากทะเลาะให้มากความ สือโถวจึงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสนทนาอย่างสันติ “นายน้อยรับข้ามาเป็นบ่าวไม่ใช่ศิษย์ในสำนึกนะ” เจ้าลากมาผิดคนเเล้วเฮ้ย!

     

    เเต่เเม่นางกลับไม่สนเลยเเม้เเต่น้อย มือขาวเปิดประตูเข้าห้องสี่เหลี่ยม เจียอิงปล่อยมือจากต้นแขนของเขา เปิดหีบค้นหาอะไรบางอย่าง ปากก็อธิบายไป “นายน้อยแจ้งต่อทางสำนักแล้วว่าจะให้เจ้ามาเป็นศิษย์ อ่ะ เจอแล้ว!”

     

    “ว่าไงนะ?” เขาฟังผิดไปรึเปล่า เมื่อกี้นางว่าโจวเจว่ยรับเขาเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักเหม่ยลี้หรอ?

     

    สือโถวรับเสื้อในมือของนางมาอย่างงุนงง ถังเจียอิงดันหลังให้เข้าไปในห้องอาบน้ำด้านในสุด

     

    “ล้างคราบสกปรกพวกนั้นออกซะ ถ้าไม่สะอาดก็ห้ามออกมา!”

     

    ปึง!

     

    สือโถวยืนกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลังบานประตูพลางคิดในใจว่าสตรีของหุบเขาเหม่ยลี้เเม่งไม่ฟังชาวบ้านเขาเเบบนี้กันทุกคนรึเปล่า?

     

    ร่างสูงหน้าหนวดส่ายหัว เอาเหอะ ได้อาบน้ำก็ดีแล้ว เขาเริ่มเหม็นตัวเองเเล้วเหมือนกัน

     

    ใช้เวลาไม่นานสือโถวก็อาบน้ำเสร็จ เสียเวลาตรงเช็ดผมหยักศกที่ยาวจรดถึงปั้นเอวไปไม่น้อย เพราะปกติเขาจะม้วนไว้ตรงท้ายทอยอย่างหลวกๆ ไม่ให้มันตกลงมาเกะกะเลยไม่ค่อยจะได้สนใจเท่าไรนัก

     

    มือสากคลี่ชุดออก หลังจากพิจารณาเสื้อผ้าของหุบเขาเหม่ยลี้ก็ต้องผิวปากหวือ ชุดของศิษย์สำนักคล้ายชุดกี่เพ้ามีกระบอกเเขน เสื้อสีดำตัวยาวผ่าข้างทั้งซ้ายขวาลากขึ้นถึงต้นขา ลวดลายของดอกเหมยสีแดงเปล่งประกายตรงชายผ้า คอปกกริบด้วยสีทอง คาดเอวด้วยผ้าสีแดงเลือดหมูเช่นเดียวกับกางเกงขายาวตัวใน

     

    โคตรเท่!!

     

    สือโถวเปิดประตูห้องน้ำพลางเอียงคอเช็ดผมของตนเองไปด้วย แต่พอเห็นพี่สาวเจียอิงนั่งรออยู่พร้อมกับใบมีดในมือ เขาก็สลัดผ้าเช็ดตัวทิ้งเตรียมวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำทันที

     

    หมับ!

     

    “จะหนีไปไหน!!” ชั่วพริบตาเดียว มือนุ่มก็คว้าคอเสื้อของว่าที่ศิษย์คนใหม่ไว้

     

    สือโถวเเทบตาเหลือกขาว ร่างสูงดีดดิ้น “เล่นมีวรยุทธแบบนี้ขี้โกงนี่พี่สาว!”

     

    เป็นแบบนี้แล้วเขาจะสู้ได้ไงเล่า!

     

    “แหมๆ ตัวบางกว่าที่คิดนะเนี่ย มาๆ เดี๋ยวพี่สาวจะโกนหนวดให้นะจ๊ะ”

     

    “ไม่เอา!!”

     

    มีหรือที่เจียอิงจะฟัง นางลากคนที่เอะอะโวยวายไม่หยุดไปยังเก้าอี้ ฉีกยิ้มสยองลงมือเชือดเหยื่อตัวน้อยในอุ้งมือ

     

    “เริ่มละนะ!”

     

    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

    ……………..

     

    เเถม

    เหตุการณ์หลังจากที่สือโถวหลับไปแล้ว

     

    "อึก! อือออ ฮึ่ม" เสียงกัดฟันกรอดทำให้คนประสาทหูดีอย่างตงฉินต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด เเต่เป็นอันต้องชะงักเมื่อเห็นคนที่นอนตะเเคงอยู่ข้างๆ มีท่าทางทรมาน

     

    เด็กหนุ่มหน้าหนวดกัดฟันเเน่น เเขนทั้งสองข้างยกกอดอก ลำตัวคู้เข้าหากันเหมือนเด็กทารกเเรกเกิด

     

    สงสัยยาเเก้ปวดจะหมดฤทธิ์

     

    ในใจพลันรู้สึกผิดขึ้นมาสามส่วน ตงฉินสอดสายตาไปทั่วบริเวณ คนส่วนมากหลับไปแล้ว ที่เหลือต่างนั่งเฝ้ายามอย่างขันเเข็ง หลังจากพิจารณาชั่วครู่ว่าน่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น ท่อนเเขนเเข็งเเกร่งก็สอดเข้าใต้เเผ่นหลังเด็กหนุ่มให้นอนซบอกของตน

     

    เขาเดินกำลังภายในปรับอุณหภูมิของร่างกายให้สูงขึ้นเพื่อคลายหนาวให้คนในอ้อมกอด สือโถวคลายคิ้วที่ขมวดเเน่นลง เบียดเสียดหาความอบอุ่นเหมือนเเมวตัวน้อย พอได้มุมที่สบายก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเป็นสุข

     

    ตงฉินไม่รู้จะขำหรือโกรธที่อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นหมอนดี เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย ยิ่งผู้ชายหน้าหนวดเหมือนโจรเขายิ่งไม่ชอบ ที่ทำเเบบนี้เเค่รู้สึกติดค้างเพียงเท่านั้น

     

    เเต่ท่าทางเเบบนี้

     

    ...ก็เเอบน่ารักดี

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×