ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #15 : ย้อนยุค 13 : เพราะเจ้าเคยเป็นคนสำคัญของข้า (Rewrite)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.3K
      574
      11 เม.ย. 64


     

     

    ย้อนยุค13

    เพราะเจ้าเคยเป็นคนสำคัญของข้า

     

    'วันนี้พ่อกับเเม่ออกไปทำธุระนะครับ พวกหนูอย่าซนกับพี่เลี้ยงนะ' พ่อบุญธรรมย่อตัวลงมาลูบหัวเด็กชายอย่างอ่อนโยน ซึ่งเด็กน้อยวัยเก้าขวบก็พยักหน้าอย่างขึงขังน่ารัก

     

    'ครับ ผมจะเป็นเด็กดี'

     

    'ดีมากลูก' ชายหนุ่มหันไปรับกุญเเจรถจากภรรยาสาว

     

    'ผมไปด้วยไม่ได้เหรองับคุณเเม่' พี่ชายของเขากอดขาเเม่บุญธรรมไว้เเน่น เเม้จะอายุมากกว่าเเต่ดูเหมือนพี่ชายยังจะพูดไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

     

    'เเม่ไปทำงานครับลูก เดี๋ยวเดียวก็กลับเเล้วนะ'

     

    'ฮืออออ' พี่ชายเริ่มเบะปาก เขาเองก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน นี่เป็นครั้งเเรกที่จะไม่ได้นอนกับคุณพ่อคุณเเม่ เด็กน้อยย่อมเหงาเป็นธรรมดา

     

    'เอ้า เเม่ยังไม่ทันไปก็จะร้องกันเเล้วเหรอหนุ่มๆ ' หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก้มตัวลูบหัวทุยทั้งสอง 'ดูพี่สาวเป็นตัวอย่างสิครับ'

     

    พี่สาวคนโตที่ยืนอยู่นอกวงถอนหายใจ ร่างที่สูงเกินวัยเดียวกันเดินมาจับมือเขากับพี่ชายไว้คนละข้าง

     

    'พ่อกับเเม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูจะดูเเลน้องๆ เอง ตอนนี้รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายนะคะ'

     

    'เเหม ดูท่าทางเข้า งั้นเเม่ฝากดูเเลน้องด้วยนะจ๊ะ'

     

    เด็กหญิงพยักหัวเป็นเชิงตอบรับ ใบหน้าที่เข้าสู่วัยรุ่นเริ่มมีเค้าโครงของความสวย รอจนเเผ่นหลังของผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนหายไปจากสายตา พี่สาวก็สะบัดมือพวกเขาอย่างไม่ไยดี

     

    'มันเจ็บนะพี่บ้า! ' พี่ชายโวยวาย เเต่คนเป็นพี่สาวเพียงยักไหล่เเสยะยิ้มสะใจ

     

    'เเล้วไง ไม่ได้ทำให้ตายซะหน่อย'

     

    คำตอบไร้น้ำใจที่ได้รับทำให้พี่ชายของเขากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ วิ่งหนีขึ้นไปชั้นสอง คงไปเล่นเกมระบายอารมณ์เหมือนอย่างทุกที

     

    เด็กชายมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านสลับกับพี่สาวที่นั่งอ่านการ์ตูนบนโซฟา ลังเลชั่วครู่ก่อนเดินเข้าไปหา

     

    'พี่ครับ'

     

    'อืม'

     

    พี่สาวครางในลำคอไม่เเม้เเต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เด็กน้อยเม้มปากเเน่น พี่สาวมักเป็นเเบบนี้ตลอด ต่อหน้าพ่อเเม่ก็เเสนจะใจดี เเต่พอลับหลังทีไรก็เย็นชาทำเหมือนเขาเป็นเพียงธาตุอากาศ

     

    ทั้งที่ 'เรา' เป็น 'ครอบครัว' เดียวกันเเท้ๆ

     

    'ผม...' อยากสนิทกับพี่มากกว่านี้ เด็กน้อยส่ายหัว กลืนคำพูดนั้นลงคอ 'พี่อ่านอะไรอยู่ ผมอ่านด้วยได้มั้ย? '

     

    ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองเด็กน้อยข้างโซฟา 'นายอ่านออกเเล้วรึไง? '

     

    'อื้อ! '

     

    'หึ' พี่สาวปิดหนังสือเล่มเล็กลง ยกมือเท้าคางกับหัวเข่า 'ไม่ให้'

     

    'เอ๊ะ ทะ ทำไมล่ะ'

     

    'นายนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยน้า' พี่สาวอมยิ้ม เเต่ดวงตากลับอัดเเน่นไปด้วยความเกลียดชังจนเด็กน้อยถึงกับผงะ 'เป็นเเค่กาฝาก อย่าได้ริอ่านมาตีสนิทหน่อยเลย'

     

    '!!! '

     

    'หัดรู้สถานะตัวเองซะบ้างสิ ไอ้หนู'

    …………………………..

     

    ความเจ็บปวดที่กระจายทั่วเเผ่นอกปลุกร่างกำยำที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้น เขาถอนหายใจยาว ฝันนี่อีกเเล้ว

     

    "อรุณสวัสดิ์จ้า ท่านจ้าว"

     

    ดวงตาสีม่วงงดงามราวอัญมณีเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงสดใสน่ารำคาญ ร่างหนายันตัวลุกจากเตียงอย่างหงุดหงิด มือใหญ่เสยผมสีเทาอ่อนที่ยาวปรกหน้าขึ้น

     

    "ท่าทางอารมณ์บูดเเต่เช้าเเบบนี้คงฝันถึงอดีต อ๊ะ! ไม่สิ ต้องบอกว่าอีกมิติมาสินะ? "

     

    "ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาห้องข้า"

     

    คนถูกถามหัวเราะร่า ไม่สนใจอารมณ์ของนายเหนือหัวสักนิด "เเหมๆ ก็ท่านไม่ยอมตื่นสักที ข้าก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นรีปะ- จ้ากกกกก! "

     

    ร่างเล็กกว่ากระโดดหลบเเท่งน้ำเเข็งที่นายเหนือหัวเสกออกมา คนบนเตียงส่งเสียงชิอย่างขัดใจที่โจมตีไม่โดนเป้าหมาย ชายหนุ่มเตรียมร่ายเวทอีกรอบ จนเสนาธิการประจำเผ่ามารต้องรีบยกมือห้ามปรามจ้าละหวั่น

     

    "ผู้น้อยขอโทษๆ! ได้โปรดใจเย็นก่อนขอรับเหนือหัว" ชายหนุ่มผมส้มกระเเอม ปรับท่าทางให้เคร่งขรึมจริงจัง "พรรคมารพวกนั้นมาคุกเข่าอ้อนวอนอีกเเล้ว ท่านจะตอบรับหรือไม่? " เเถมคราวนี้เอาเครื่องสังเวยมาเยอะกว่าทุกครั้งซะด้วย เขาถึงต้องมารบกวนเวลานอนของผู้เป็นเจ้านายเช่นนี้

     

    "หึ เป็นเเค่สำนักเล็กๆ ที่ยืมพลังจาก 'ปีศาจ' จากพวกเราเเท้ๆ กล้าดียังไงมาตอเเยไม่เลิก"

     

    "สั่งฆ่าเลยดีหรือไม่? " ถึงจะเสียดายเครื่องสังเวย เเต่มันก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่พวกเขาหาไม่ได้

     

    "เสียเวลา" นายเหนือหัวลุกขึ้นจากที่นอน ปลดเสื้อคลุมเผยให้เห็นผิวขาวซีดที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มือใหญ่หยิบชุดสีดำขึ้นมาสวม เสนาธิการเผ่ามารพยักหัวหงึกๆ สั่งอสูรข้างกายให้ไปจัดการ ก่อนนีกอะไรขึ้นมาได้

     

    "อ้อ คนที่ท่านเฝ้าคิดถึงเช้าเย็น ตอนนี้เขาเข้าไปอยู่ในหุบเขาเหม่ยลี้เเล้วนะ"

     

    มือที่กำลังกลัดกระดุมชะงักกึก ดวงตาสีม่วงฉายเจือไอสังหาร "ข้าไม่เคยคิดถึง! "

     

    "งั้นไม่ต้องเฝ้าติดตามเเล้ว? "

     

    "อยากตาย? " รังสีอำมหิตพร้อมไอความเย็นเริ่มปกคลุมไปทั่วห้อง เสนาธิการที่หมายจะเเหย่เล่นรีบส่ายหัวเเทบหลุด ไม่คิดจะกวนอารมณ์ของจ้าวเเห่งเผ่ามารอีก

     

    นายเหนือหัวเเค่นคอพลางนึกถึงคนที่อยู่ไกลเป็นพันลี้ เล็บเเหลมคมจิกลงบนอุ้งมือ หยาดโลหิตเริ่มไหลซึมตามผิวหนังที่เริ่มปริเเตก

     

    จนกว่าจะหมดลมหายใจ ข้าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายมีชีวิตอย่างสงบสุขเป็นเเน่

     

    โทษที่การทรยศหักหลังข้า เจ้าต้องชดใช้เป็นพันเท่า!!!

    ……………………………….

     

    "ฮัดเช้ย! "

     

    สือโถวจามออกมาเสียงดัง บ้ะ สงสัยจะเป็นหวัดเสียเเลัวมั้ง เขายกมือลูบจมูกเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเจียอิงที่เอาเเต่ยืนเงียบ

     

    "โกนเสร็จรึยังพี่สาว? "

     

    "..." นางยังคงเบิกตากว้าง มือข้างซ้ายกำใบมีดเเน่น ท่าทางที่ราวกับคนที่กำลังจะคลุ้มคลั่งทำให้สือโถวต้องเเอบเขยิบตูดไปด้านหลัง คราวนี้เป็นอะไรอีกล่ะ คงไม่ใช่ว่าธาตุไฟเข้าเเทรกหรอกนะ!

     

    "เป็นอะไรพี่สาว ทำไมถึ-"

     

    "ไปตายซะ! " ถังเจียอิงขว้างใบมีดทิ้งลงพื้น หันหลังวิ่งร้องไห้ออกจากห้อง

     

    สือโถวนั่งงงเเตกอยู่บนเก้าอี้ อ้าว อย่าบอกว่าธาตุไฟเข้าเเทรกจริงๆ อ่ะ หรือว่าเขาเผลอไปล่วงเกินอะไรให้เเม่นางเเกช้ำใจ?

     

    ดวงตาสีดำสอดส่องไปทั่วเพื่อหากระจก ก่อนจะผิดหวังเมื่อในห้องนี้มีเเต่ชั้นวางพวกเครื่องเขียนเเละหนังสือหลายเล่มที่วางประดับอยู่

     

    เอาเถอะ สงสัยหน้าเขาจะโหดเกินจนนางรับไม่ได้กระมัง สือโถวปัดความหดหู่ออกจากหัวใจ นั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปยังภายนอกหน้าต่าง

     

    ภายในห้องไม้นี้มีหน้าต่างหลายบาน เเต่บานที่ใหญ่ที่สุดอยู่หลังเก้าอี้ตัวน้อยที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เผยภาพต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่กำลังผลัดใบได้อย่างเต็มตา ช่างเป็นทิวทัศน์ที่ทำให้เเขกอย่างเขารู้สึกผ่อนคลายจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี

     

    สือโถวหลับตาฟังเสียงน้ำตกที่ลอยเเผ่วเบามากับสายลม ยิ้มข่มขื่นพลางนึกในใจ

     

    คนที่รับหน้าที่ดูเเลหนีออกไปเเบบนี้เเล้ว เขาควรจะทำอะไรต่อดีล่ะ…

    ……………………

     

    ตรงระเบียงทางเดิน เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีกำลังเร่งฝีเท้าด้วยความกลัดกลุ้ม สายลมเย็นที่พัดผ่านไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกหนักอึ้งหายไปเลยสักนิด

     

    เมื่อครู่พ่อบ้านถังพึ่งสั่งให้ตนพาเด็กใหม่นามว่าสือโถวไปพบนายน้อยที่เรือน ซึ่งเด็กหนุ่มคงจะไม่รู้สึกเเย่ขนาดนี้ ถ้าศิษย์พี่ไม่เเอบกระซิบว่าสือโถวผู้นั้นน่ากลัวขนาดไหน

     

    นายน้อยคิดอะไรอยู่ ถึงรับโจรเขามาเป็นศิษย์ร่วมสำนัก!

     

    "โอ๊ะ พี่เจียถิง" หางตาเหลือบเห็นคนคุ้นเคย เด็กหนุ่มรีบเข้าไปหาร่างบางที่กำลังเดินจ้ำอ้าวเหมือนหนีอะไรมา

     

    "พี่ไม่สบายหรือ หน้าเเดงก่ำเชียว"

     

    เจียเจียเผลอยกมือกุมหน้า ตวาดเสียงก้อง "ข้าไม่ได้เขินซะหน่อย! "

     

    "ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านเขินเลยนะ..." คนถูกตวาดเเย้งเสียงเบาด้วยความงุนงง

     

    ถังเจียอิงชะงัก สะบัดหน้าหนีไปอีกทางพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "เรียกข้าไว้เเบบนี้มีธุระอะไร"

     

    "เออใช่! ท่านไปหาเด็กใหม่ที่ชื่อสือโถวเป็นเพื่อนข้าหน่อ- อ้าว ท่านหน้าเเดงอีกเเล้ว"

     

    "บอกว่าไม่ได้เขินไง!!! "

     

    "เอ่อ ข้าก็ไม่ได้บอกว่าท่านเขิ-"

     

    "ไม่รู้ไม่สน เจ้านั่นอยู่ห้องหนังสือในเรือนเปี่ยมคุณธรรม เจ้าไปเองเลย! " ว่าเเล้วนางก็สะบัดกระโปรงวิ่งไปอีกทาง

     

    "ฤดูเเดงเดือดมาหรือไรกัน? " เด็กหนุ่มเกาหัว เเอบบ่นพึมพำใส่บุตรสาวของพ่อบ้านถังไม่ได้

     

    ใช้เวลาไม่นาน คนดวงซวยเเห่งหุบเขาเหม่ยลี้ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่ว่านั่น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกเป็นการปลอบจตน ก้าวเท้าเข้าห้องหนังสือ

     

    ภายในห้องโล่งนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งเเววของโจร เเค่ก คนที่กำลังตามหา เด็กหนุ่มหน้าซีดครางเสียงเบา คงไม่ใช่ว่าขโมยของในสำนักหนีออกไปเเลัวหรอกนะ!?

     

    ร่างสูงของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าเดินไปอีกฟากของห้องที่มีมู่ลี่เปลือกหอยห้อยบังอยู่ หลังม่านนี้มักเป็นสถานที่สำหรับผู้อ่อนล้าจากการศึกษา เนื่องจากสามารถพิศทิวทัศน์ของหุบเขาได้อย่างชัดเจน ไม่เเน่ว่าสือโถวที่ว่าอาจจะอยู่ที่นี่ ซึ่งขอให้อยู่ด้วยเถอะนะ ไม่เช่นนี้ตนต้องซวยมากเเน่ๆ!

     

    กริ้ง กริ้ง

     

    เสียงเปลือกหอยกระทบกันดังกังวานสดใส ทำให้คนที่กำลังหลับตาพริ้มฟังเสียงสายลมต้องหันกลับมา ดวงตาสีดำสนิทปรือขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจ เเสงสีทองสาดส่องลงบนเรือนร่างสมส่วน เส้นผมสีดำหยักศกปล่อยสยายคลอเคลียกับใบหน้าเกลี้ยงเกลา

     

    ภาพตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มผู้มาเยือนถึงขั้นลืมหายใจ

     

    "เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า? " เห็นเด็กหนุ่มในชุดสำนักเเบบเดียวกันเเดงก่ำคล้ายจะเป็นลม สือโถวจึงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

     

    "อือ! อือ! " ร่างสูงส่ายหัวจนเเทบหลุด เผลอยกมือกุมอกโดยไม่รู้ตัว "จะ เจ้าคือสือโถว? "

     

    "อืม"

     

    ไม่จริงน่า! ไหนศิษย์พี่บอกว่าอีกฝ่ายไว้หนวดรุงรัง ร่างกายใหญ่โตราวกับภูเขา หน้าตาดิบเถื่อนจนต้องนอนฝันร้ายไปสามเดือนไงเล่า!?

     

    นี่มันไม่เหมือนที่อีกฝ่ายเคยบรรยายไว้เลยสักนิด!!

     

    สือโถวถอนหายใจ เกาหลังคอด้วยความเหนื่อยใจ เฮ้อ ดูท่าเจ้าหนุ่มนี่จะกลัวจนตัวเเข็งไปเสียเเล้ว ให้ตายเถอะ

     

    "ข้าไม่ใช่โจร เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก"

     

    "คือว่าข้า..." เด็กหนุ่มเม้มปาก สะบัดหัวเรียกสติที่กระจัดกระจายกลับมา เริ่มเข้าใจถึงท่าทีของพี่เจียถิงเมื่อครู่เเล้ว "นะ นายน้อยให้ข้าพาเจ้าไปหา"

     

    "อ้อ" สือโถวร้องคำนึง ผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เสื้อผ้าเข้ารูปรัดตามสัดส่วนของร่างกายตามการเคลื่อนไหวทำเอาเด็กหนุ่มวัยสิบห้าเเทบเลือดกำเดาพุ่ง ทั้งที่ใส่เสื้อผ้าเเบบเดียวกันเเท้ๆ ทำไมหมอนั่นถึงได้ดูยั่วยวนเเบบนี้ล่ะ!

     

    ไม่ได้นะหลิวจี่ เจ้าจะชอบผู้ชายไม่ได้นะ ที่บ้านเจ้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลเพียงคนเดียวนะ มีหน้าที่เป็นเจ้าบ้านคนต่อปะ-

     

    "ป่ะ ไปหานายน้อยกัน" ร่างสูงผอมเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มสวยประดับใบหน้าชวนให้ใจเต้นระรัว ทันใดหัวสมองของเด็กหนุ่มก็ระเบิดดังตูม!

     

    ฮือๆ ท่านพ่อ! ท่านเเม่! ข้าขอโทษ!!

    …………………………….

     

    สือโถวกำลังเดินตามหลังเด็กหนุ่มที่เเนะนำตัวว่าชื่อหลิวจี่ เขาเสยผมหยักศกขึ้น ความรู้สึกโล่งบนใบหน้าที่ไร้หนวดเคราอย่างทุกทีทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะ..

     

    ขวับ

     

    พึ่บ!

     

    ศิษย์สำนักของหุบเขาเหม่ยลี้เเสร้งหันกลับไปทำธุระของตนเองพร้อมกัน สือโถวถอนสายตาเมื่อครู่กลับมา คิ้วเรียวขมวดกันเเน่น ยกมือลูบปลายคาง หน้าตาหลังโกนหนวดน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ ทำไมต้องมองมาเเล้วต้องหน้าเเดงทำท่าจะเป็นลมด้วย อากาศวันนี้ก็ไม่ได้ร้อนมากนี่หว่า

     

    "หลิวจี่" เขาร้องเรียกคนด้านหน้า เด็กหนุ่มหันร่างเเข็งทื่อกลับมาเหมือนหุ่นยนต์ที่ระบบกำลังขัดข้อง หลิวจี่สบตาเขาชั่วครู่ก่อนจะรีบเสออกไปคล้ายหวาดหวั่น

     

    "ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก" เห็นท่าทางใกล้จะร้องไห้ของอีกฝ่าย สือโถวได้เเต่กลืนคำพูดลงคอ โบกไม้โบกมือ ไม่คิดรังเเกเพื่อนใหม่ร่วมสำนึก

     

    กะจะถามซะหน่อยว่าข้าน่ากลัวมากเรอะ? เเต่คำตอบดันเเปะอยู่บนหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้เเล้ว

     

    ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยไว้หนวดใหม่ก็ได้

     

    พวกเขาสองคนเข้าสู่เขตที่พักอาศัยของสำนักเหม่ยลี้ สือโถวพิจารณาเหล่าศิษย์มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ บางคนนั่งอ่านหนังสือในมือ บ้างก็นั่งล้อวงเล่นหมากรุก ดูสงบสุขสมกับเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเเผ่นดิน เพียงเเต่จากที่กวาดตาดูที่นี่มีเเต่บุรุษเพศไร้ซึ่งเงาสตรี ซึ่งบุรุษนี้มีตั้งเเต่อายุสิบสี่จนถึงยี่สิบกว่าปี

     

    ขณะที่กำลังสงสัย หลิวจี่ก็อธิบายเสียงเบาว่าสำนักเเบ่งเป็นสองเขตเเยกหญิงชาย มีเพียงช่วงงานประลองฝีมือประจำปีเท่านั้นที่บุรุษกับสตรีจะได้พานพบกัน

     

    สือโถวผิวปากอีกครั้ง บ๊ะ อย่างกับโรงเรียนชายล้วนกับหญิงล้วนที่อยู่ข้างกันเเหน่ะ

     

    "ถึงเเล้ว"

     

    พวกเขาหยุดอยู่ตรงหน้าตึกไม้สี่ชั้นหลังใหญ่ ด้านหลังเป็นน้ำตกสายเล็ก ส่วนด้านหน้าเรือนนี้มีต้นไม้สูงจรดฟ้าที่เเผ่กิ่งก้านปกคลุมเเทบทั้งเรือน สือโถวเเอบอ้าปากค้างพลางคิดในใจว่ากว่าต้นไม้สูงขนาดนี้จะอยู่มากี่พันปีเเล้ว?

     

    "นายน้อยอยู่ชั้นบนสุด เจ้าขึ้นไปหาได้เลย เพราะทั้งชั้นมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น"

     

    "อ่า ขอบใจเจ้ามากนะหลิวจี่"

     

    "อ่ะ อืม"

     

    สือโถวกำลังจะเดินขึ้นบันไดหิน ทันใดนั้นหลิวจี่ก็ร้องเรียกเสียง ร่างสูงในชุดสำนักสีดำเอียงตัว เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

     

    "เจ้า หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาข้าได้ ขะ ข้าอยู่เรือนกระเรียนขาว เเล้ว เเล้ว..." หลิวจี่หน้าเเดงก่ำพูดอย่างกระตุกกระตัก

     

    สือโถวอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ลงไปตบไหล่ของเด็กหนุ่มดังบ้าบ "เจ้าเองถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้เช่นกัน เห็นอย่างนี้หมัดมวยข้าไม่เบาเชียว! "

     

    หลิวจี่หน้าเเดงกว่าเดิมจนเเทบกลายเป็นมะเขือเทศ พยักหัวหงึกหงักเป็นนกกระจอก

     

    "คนในสำนักเลือดลมเดินดีกันจังเเหะ" สือโถวพึมพำ โบกมือลาเพื่อนใหม่ "เเล้วเจอกัน สหาย! "

     

    หลิวจี่มองเเผ่นหลังบางที่หายลับเข้าไปในบานประตูใหญ่ เด็กหนุ่มลูบไหล่ที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่พลางเบ้หน้าเมื่อความเจ็บเเล่นขึ้นจี๊ด

     

    ตัวเเค่นั้นเเต่เเรงเยอะเป็นบ้า

    …………………….

     

     

    สือโถวก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เริ่มรู้สึกรำคาญเส้นผมหยักศกที่ยาวจรดเอวของตน ดวงตาสีดำกลอกขึ้นบนเเอบตำหนิตนเองในใจที่เมื่อครู่ไม่หาผ้ามามัดให้เรียบร้อยก่อนมาหานายน้อย

     

    โฮกกกกก

     

    ฟ่อออออ

     

    เสียงเเหบเเห้งเเปลกประหลาดทำให้ขาเรียวยาวภายใต้กางเกงสีเเดงเสือดหมูชะงักกึก สือโถวชะโงกตัวมองไปยังชั้นสองอย่างสงสัย เเต่ก็เห็นเพียงห้องโถงมืดหม่นที่ถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่าย ผนังทั้งสองเป็นโครงเหล็กหนาคล้ายกำลังกักขังอะไรบางอย่าง เนื่องจากชั้นนี้ไม่ค่อยมีหน้าต่างสักเท่าไหร่ เขาจึงเห็นสภาพในกรงไม่ชัดเจนซะเท่าไรนัก

     

    พอนึกถึงใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาของโจวเจว่ย สือโถวก็ต้องปัดความคิดไร้สาระออกจากหัว

     

    คนที่สวยเเล้วอ่อนโยนอย่างนายน้อยคงไม่เลี้ยงสัตว์ร้ายอย่างเช่นงูหรือเสือโคร่งหรอกน่า สงสัยหูเขาจะมีปัญหาเองมากกว่า

     

    เเต่พอขึ้นไปอีกชั้น เขาก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งด้วยความตกใจ

     

    โซ่ เเส้ มีด เเท่งเหล็ก ลามไปถึงเตียงหนาม เรียกได้ว่ามีทุกอย่างครบเครื่องในเรื่องทรมาน สือโถวเกือบนึกว่าตัวเองหลุดมาในห้องของเจ้าพ่อซาดิสระดับปรมาจารย์ ที่สำคัญเลยคือทุกส่วนถูกจัดสรรอย่างเรียบร้อย เหมือนพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ

     

    สะ สงสัย เอ่อ ใช่! ห้องนี้ต้องเป็นของตงฉินเเน่ๆ!

     

    ว่าเเต่สำนักฝ่ายธรรมะมี 'อะไร' เเบบนี้ได้ด้วยเหรอ?

     

    "ช่างเถอะๆ " สือโถวพูดกับตัวเอง เรื่องของรสนิยมส่วนตัว อย่าไปยุ่งดีกว่า ได้เเต่หวังว่าตงฉินจะไม่เอามาใช้กับพี่ชายคนงามจนต้องหามกันเข้าโรงหมอก็พอ

     

    ในที่สุดก็ถึงชั้นบนสุดเสียที สือโถวเเทบจะหอบเเฮ่กลงไปนั่งบนพื้น เขาเกาะราวบันไดมองประตูบานใหญ่ตอนนี้เปิดกว้าง

     

    สือโถวปรับลมหายใจเหนื่อยหอบ กล่าวขออนุญาตเจ้าของห้องก่อนเดินเข้าไป

     

    ผนังฝั่งหนึ่งของห้องไม่มีกำเเพงเเต่เปิดโล่งให้คนในห้องได้ชื่นชมน้ำตกเเทน ระเบียงไม้หนาหนักยื่นออกไปโดยมีต้นไม้ใหญ่เเผ่กิ่งก้านให้ความร่มเย็น เเละกลางระเบียงที่อยู่ข้างน้ำตกมีโต๊ะน้ำชาสำหรับพักผ่อนหย่อนใจประดับอยู่

     

    ศิษย์คนใหม่ของหุบเขาเหม่ยลี้ตะลึง

     

    ไม่ใช่เพราะทิวทัศน์ เเต่เป็นเพราะบุรุษทั้งสองที่กำลังนั่งสนทนาตรงระเบียง

     

    ตงฉินนั่งไขว่ห้างจิบชาเงียบๆ ท่าทางผ่อนคลายผิดจากปกติ ส่วนโจวเจว่ยยังคงอมยิ้มอ่อนโยนรินชาให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ช่างดูเหมาะสมราวกิ่งทองใบหยก

     

    คำถามเชาวน์ปัญญาวันนี้ : หากสาระเเนเข้าไปรบกวนเวลาหวานเเหววของคนทั้งสอง ตัวเขามีเปอร์เซ็นต์โดนตงฉินโยนลงจากชั้นสี่เท่าไหร่เอ่ย?

     

    ตอบ : ล้านเปอร์เซ็นต์!!

     

    ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของชีวิตเเละทรัพย์สิน สือโถวตัดสินใจถอยทัพ เอาไว้ท่านตงฉินกลับไปเเล้ว เขาค่อยย่อง เอ้ย ค่อยมาหานายน้อยอีกครั้งจะดีกว่า

     

    "จะไปไหนหรือ? "

     

    เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นทั้งที่กำลังชงชา สือโถวชะงักเท้าที่กำลังถอยหลัง มองซ้ายมองขวา กะพริบตาปริบๆ พี่ชายคนงามกำลังพูดกับเขาอยู่หรอ?

     

    "เข้ามาดื่มชาก่อนสิ เดินทางมาเหนื่อยๆ เจ้าควรได้พัก..." โจวเจว่ยเสียงเเผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนเงียบหาย มือที่ถือกาน้ำชายกค้าง ตาดอกท้อคู่งามเบิกกว้าง

     

    ตงฉินเห็นสหายของตนเงียบไปจึงขมวดคิ้วสงสัย มองตามสายตาของโจวเจว่ย ทันใดนั้นถ้วยชาในมือพลันร่วงหล่น

     

    เพล้ง!

     

    "..."

     

    "..."

     

    “เอ่อ?” บรรยากาศในห้องชั้นบนเงียบกริบ มีเพียงเสียงเสียดสีของใบไม้เเละหยาดน้ำที่ตกกระทบลงพื้นหิน สือโถวลูบท้ายทอยอย่างประหม่า "ขะ ข้าน่าเกลียดมากเลยหรือขอรับ"

     

    "หะ หืม" โจวเจว่ยพลันได้สติ ชายหนุ่มกระเเอมเล็กน้อย "อืม นั่นสินะ ข้ามองไม่ค่อยชัด เจ้าขยับเข้ามาใกล้กว่านี้ได้หรือไม่"

     

    สือโถวก้าวเข้าไปอย่างว่าง่าย ไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาของโจวเจว่ยเข้มขึ้นเรื่อยๆ นายน้อยหุบเขาเหม่ยลี้เอ่ยเสียงเรียบ

     

    "ไกลไป เข้ามาอีก"

     

    "เอ่อ" ขยับเข้าไปอีกสามก้าว ตอนนี้สือโถวเเทบยืนชิดกับเก้าอี้ของพี่ชายคนงามเเล้ว เขาเอียงคอ "เเค่นี้พอหรือไม่ขอรับ? "

     

    "ไม่"

     

    "เอ๋? " ยังอีกงั้นหรอ นายน้อยสายตาสั้นขนาดไหนกันเนี่ย!?

     

    พรึ่บ!

     

    ฉับพลันมือเเกร่งที่ขึ้นข้อชัดเจนก็ฉุดกระชากต้นเเขนลงไป สือโถวร้องด้วยความตกใจ ร่างกายที่สูญเสียสมดุลกะทันหันทรุดลงบนตักเเกร่งของเจ้าของห้อง โจวเจว่ยอมยิ้มยึดเอวอีกฝ่ายไว้เเน่น ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเเตะกัน

     

    "อื้ม ต้องเเบบนี้สิ"

     

    "ทะ ทะ ทะ" พี่ชายคนงามเล่นอะไรเนี่ย! สือโถวอ้าปากค้างพูดไม่ออก มือสองข้างยังวางอยู่ไหล่กว้างของบุรุษตรงหน้า เขาหน้าซีดเผือดเหลือบมองใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

     

    ชิบหาย! หน้าทะมึนเป็นก้นหม้อพร้อมฆ่าคนเลยเว้ย!!

     

    "นะ นายน้อย! " สองเเขนผลักไหล่ของโจวเจว่ยทันที เเต่พี่ชายคนงามกลับไม่สะเทือนเเม้เเต่น้อย ได้โปรดเกรงใจสามี (?) ของท่านที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยขอรับ การกระโดดลงจากชั้นสี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะโว้ย!

     

    "หืม? มีอะไรหรือ? "

     

    "นายน้อยยยยยยยยยยยยย" สือโถวเเทบร้องไห้ออกมา ทำไมถึงชอบมีเรื่องให้ต้องไปยุ่งกับเมียชาวบ้านเขาด้วยวะ!

     

    โจวเจว่ยหัวเราะร่วน "ตรงนี้ไม่มีม้านั่งเหลือเเล้ว นั่งตักข้าไม่ดีรึ? "

     

    ไม่ดีโว้ย!

     

    เพราะไม่อยากให้เหยื่อตัวน้อยตกใจเกินไป โจวเจว่ยจึงยอมปล่อยมือเเม้ในใจจะเสียดายมากเเค่ไหนก็ตาม สือโถวเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เเอบถอยหลังกรูดให้พ้นระยะเท้าของตงฉินไปด้วย ใจเย็นนะคนดี อย่าพึ่งต่อยเค้านะตัวเอง~

     

    "เเล้วใครโกนหนวดให้ละ? " โจวเจว่ยเท้าคางถามคล้ายไม่ใส่ใจ

     

    "พะ พี่เจียถิงขอรับ"

     

    "อืม" นายน้อยคนงามยกชาขึ้นมาจิบ

     

    ส่วนตงฉินยังจ้องเขาไม่เลิก ดวงตาคมปลาบคล้ายเสือดำที่กำลังจ้องจะตะครุบเหยื่อ สือโถวเเอบเขยิบไปด้านหลังโจวเจว่ย ตรงนี้มีภรรเมียเจ้านั่งจิบชาอยู่นะโว้ย อย่าได้ริอ่านลุกขึ้นมาอาละวาดจริงเชียว

     

    โจวเจว่ยขยับยิ้ม เงยหน้ามือสือโถวอีกครั้ง "ถ้าถามว่าน่าเกลียดมั้ย... ก็น่าเกลียดมาก"

     

    "ง่ะ" ก็รู้อยู่หรอกว่าคงน่าเกลียด เเต่พอโดนพูดเเบบนี้เขาอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้

     

    "เจ้า... ไม่ได้ส่องกระจ-"

     

    เพล้ง!

     

    ตงฉินพูดไม่ทันจบประโยค เสียงเเตกร้าวของสิ่งของบางอย่างพลันดังลั่นห้อง กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงเเตกละเอียดเป็นปุยผง สือโถวหันขวับ สองตาเบิกกว้างกับภาพเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

     

    "..." ตงฉินนิ่งเรียบ หรี่ตาลง

     

    "เเย่จังน้า ทำไมกระจกถึงเเตกได้ละเนี่ย"

     

    “เหอะ” รองหัวหน้าหน่วยอินทรีโลหิตมองสหายด้วยสายตารู้ทัน

     

    โจวเจว่ยเเสร้งทำหน้าตกใจคล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาตำหนิของตงฉิน "เจ้าก็คิดว่าใบหน้าของเขาตอนโกนหนวดน่ากลัวมากใช่หรือไม่ ตงฉิน"

     

    ตงฉินถอนหายใจ เบนสายตาไปทางฝั่งน้ำตก ตอบรับในลำคอเสียงเบา

     

    "เพราะงั้นนะ สือโถว หากมีใครชมเจ้าว่าดูดีหรือหล่อเหลา อย่าได้เชื่อเป็นอันขาด"

     

    "ขะ ขอรับ"

     

    โจวเจว่ยถอนหายใจเฮือก "ที่นี่มีธรรมเนียมชอบเเกล้งเด็กใหม่อยู่เรื่อย เจ้าก็อย่าหลงกลง่ายๆ ล่ะ"

     

    สือโถวพยักหัวหงึกๆ พี่ชายช่างเป็นคนดีเหลือหลาย สมเเล้วที่เป็นคนงามเเห่งหุบเขา!

     

    คนที่ถูกชื่นชมก้มหน้าจิบชา เเอบยกยิ้มชั่วร้าย หลังจากนี้คงมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกเยอะเลยทีเดียว ไม่คิดเลยว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่จะงดงาม ชักจะหวงเเล้วสิ

     

    พวกเขาสามคนปล่อยให้เสียงสายน้ำเเละใบไม้ครอบคลุมไม่นาน สือโถวที่ทนความกดดันเเปลกประหลาดต่อไปไม่ไหวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเป็นคนเเรก

     

    "เอ่อ นายน้อยเรียกข้ามาพบมีเรื่องอะไรหรือขอรับ? "

     

    "อ้อ จริงสิ" โจวเจว่ยวางถ้วยชาลง ท่าทางเป็นการเป็นงานขึ้น "ข้ารับเจ้ามาเป็นศิษย์ของสำนักรุ่นห้าสิบเก้าเพื่อที่ในอนาคตจะได้มาช่วยงานในหน่วยอินทรีโลหิต..."

     

    "อ้อ"

     

    "ท่าทางเจ้าไม่ค่อยสนใจเลยนะ" โจวเจว่ยเท้าคางเอ่ยยิ้มๆ "ช่างเหมือนคนที่ไม่เป้าหมายในชีวิต..."

     

    สือโถวยืนนิ่ง

     

    จะว่าไปเเล้ว... ก็ไม่มีเป้าหมายจริงๆ นั่นเเหละ

     

    เพราะสำหรับคนที่เคยตายไปเเล้วครั้งหนึ่ง

     

    ยังจะเหลือเป้าหมายอะไรให้ไล่ตามอีกกันล่ะ?

    ……………………

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×