คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ย้อนยุค 13 : เพราะเจ้าเคยเป็นคนสำคัญของข้า (Rewrite)
ย้อนยุค13
เพราะเจ้าเคยเป็นคนสำคัญของข้า
'วันนี้พ่อกับเเม่ออกไปทำธุระนะครับ พวกหนูอย่าซนกับพี่เลี้ยงนะ' พ่อบุญธรรมย่อตัวลงมาลูบหัวเด็กชายอย่างอ่อนโยน ซึ่งเด็กน้อยวัยเก้าขวบก็พยักหน้าอย่างขึงขังน่ารัก
'ครับ ผมจะเป็นเด็กดี'
'ดีมากลูก' ชายหนุ่มหันไปรับกุญเเจรถจากภรรยาสาว
'ผมไปด้วยไม่ได้เหรองับคุณเเม่' พี่ชายของเขากอดขาเเม่บุญธรรมไว้เเน่น เเม้จะอายุมากกว่าเเต่ดูเหมือนพี่ชายยังจะพูดไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
'เเม่ไปทำงานครับลูก เดี๋ยวเดียวก็กลับเเล้วนะ'
'ฮืออออ' พี่ชายเริ่มเบะปาก เขาเองก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน นี่เป็นครั้งเเรกที่จะไม่ได้นอนกับคุณพ่อคุณเเม่ เด็กน้อยย่อมเหงาเป็นธรรมดา
'เอ้า เเม่ยังไม่ทันไปก็จะร้องกันเเล้วเหรอหนุ่มๆ ' หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก้มตัวลูบหัวทุยทั้งสอง 'ดูพี่สาวเป็นตัวอย่างสิครับ'
พี่สาวคนโตที่ยืนอยู่นอกวงถอนหายใจ ร่างที่สูงเกินวัยเดียวกันเดินมาจับมือเขากับพี่ชายไว้คนละข้าง
'พ่อกับเเม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูจะดูเเลน้องๆ เอง ตอนนี้รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายนะคะ'
'เเหม ดูท่าทางเข้า งั้นเเม่ฝากดูเเลน้องด้วยนะจ๊ะ'
เด็กหญิงพยักหัวเป็นเชิงตอบรับ ใบหน้าที่เข้าสู่วัยรุ่นเริ่มมีเค้าโครงของความสวย รอจนเเผ่นหลังของผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนหายไปจากสายตา พี่สาวก็สะบัดมือพวกเขาอย่างไม่ไยดี
'มันเจ็บนะพี่บ้า! ' พี่ชายโวยวาย เเต่คนเป็นพี่สาวเพียงยักไหล่เเสยะยิ้มสะใจ
'เเล้วไง ไม่ได้ทำให้ตายซะหน่อย'
คำตอบไร้น้ำใจที่ได้รับทำให้พี่ชายของเขากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ วิ่งหนีขึ้นไปชั้นสอง คงไปเล่นเกมระบายอารมณ์เหมือนอย่างทุกที
เด็กชายมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านสลับกับพี่สาวที่นั่งอ่านการ์ตูนบนโซฟา ลังเลชั่วครู่ก่อนเดินเข้าไปหา
'พี่ครับ'
'อืม'
พี่สาวครางในลำคอไม่เเม้เเต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เด็กน้อยเม้มปากเเน่น พี่สาวมักเป็นเเบบนี้ตลอด ต่อหน้าพ่อเเม่ก็เเสนจะใจดี เเต่พอลับหลังทีไรก็เย็นชาทำเหมือนเขาเป็นเพียงธาตุอากาศ
ทั้งที่ 'เรา' เป็น 'ครอบครัว' เดียวกันเเท้ๆ
'ผม...' อยากสนิทกับพี่มากกว่านี้ เด็กน้อยส่ายหัว กลืนคำพูดนั้นลงคอ 'พี่อ่านอะไรอยู่ ผมอ่านด้วยได้มั้ย? '
ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองเด็กน้อยข้างโซฟา 'นายอ่านออกเเล้วรึไง? '
'อื้อ! '
'หึ' พี่สาวปิดหนังสือเล่มเล็กลง ยกมือเท้าคางกับหัวเข่า 'ไม่ให้'
'เอ๊ะ ทะ ทำไมล่ะ'
'นายนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยน้า' พี่สาวอมยิ้ม เเต่ดวงตากลับอัดเเน่นไปด้วยความเกลียดชังจนเด็กน้อยถึงกับผงะ 'เป็นเเค่กาฝาก อย่าได้ริอ่านมาตีสนิทหน่อยเลย'
'!!! '
'หัดรู้สถานะตัวเองซะบ้างสิ ไอ้หนู'
…………………………..
ความเจ็บปวดที่กระจายทั่วเเผ่นอกปลุกร่างกำยำที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้น เขาถอนหายใจยาว ฝันนี่อีกเเล้ว
"อรุณสวัสดิ์จ้า ท่านจ้าว"
ดวงตาสีม่วงงดงามราวอัญมณีเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงสดใสน่ารำคาญ ร่างหนายันตัวลุกจากเตียงอย่างหงุดหงิด มือใหญ่เสยผมสีเทาอ่อนที่ยาวปรกหน้าขึ้น
"ท่าทางอารมณ์บูดเเต่เช้าเเบบนี้คงฝันถึงอดีต อ๊ะ! ไม่สิ ต้องบอกว่าอีกมิติมาสินะ? "
"ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาห้องข้า"
คนถูกถามหัวเราะร่า ไม่สนใจอารมณ์ของนายเหนือหัวสักนิด "เเหมๆ ก็ท่านไม่ยอมตื่นสักที ข้าก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นรีปะ- จ้ากกกกก! "
ร่างเล็กกว่ากระโดดหลบเเท่งน้ำเเข็งที่นายเหนือหัวเสกออกมา คนบนเตียงส่งเสียงชิอย่างขัดใจที่โจมตีไม่โดนเป้าหมาย ชายหนุ่มเตรียมร่ายเวทอีกรอบ จนเสนาธิการประจำเผ่ามารต้องรีบยกมือห้ามปรามจ้าละหวั่น
"ผู้น้อยขอโทษๆ! ได้โปรดใจเย็นก่อนขอรับเหนือหัว" ชายหนุ่มผมส้มกระเเอม ปรับท่าทางให้เคร่งขรึมจริงจัง "พรรคมารพวกนั้นมาคุกเข่าอ้อนวอนอีกเเล้ว ท่านจะตอบรับหรือไม่? " เเถมคราวนี้เอาเครื่องสังเวยมาเยอะกว่าทุกครั้งซะด้วย เขาถึงต้องมารบกวนเวลานอนของผู้เป็นเจ้านายเช่นนี้
"หึ เป็นเเค่สำนักเล็กๆ ที่ยืมพลังจาก 'ปีศาจ' จากพวกเราเเท้ๆ กล้าดียังไงมาตอเเยไม่เลิก"
"สั่งฆ่าเลยดีหรือไม่? " ถึงจะเสียดายเครื่องสังเวย เเต่มันก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่พวกเขาหาไม่ได้
"เสียเวลา" นายเหนือหัวลุกขึ้นจากที่นอน ปลดเสื้อคลุมเผยให้เห็นผิวขาวซีดที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มือใหญ่หยิบชุดสีดำขึ้นมาสวม เสนาธิการเผ่ามารพยักหัวหงึกๆ สั่งอสูรข้างกายให้ไปจัดการ ก่อนนีกอะไรขึ้นมาได้
"อ้อ คนที่ท่านเฝ้าคิดถึงเช้าเย็น ตอนนี้เขาเข้าไปอยู่ในหุบเขาเหม่ยลี้เเล้วนะ"
มือที่กำลังกลัดกระดุมชะงักกึก ดวงตาสีม่วงฉายเจือไอสังหาร "ข้าไม่เคยคิดถึง! "
"งั้นไม่ต้องเฝ้าติดตามเเล้ว? "
"อยากตาย? " รังสีอำมหิตพร้อมไอความเย็นเริ่มปกคลุมไปทั่วห้อง เสนาธิการที่หมายจะเเหย่เล่นรีบส่ายหัวเเทบหลุด ไม่คิดจะกวนอารมณ์ของจ้าวเเห่งเผ่ามารอีก
นายเหนือหัวเเค่นคอพลางนึกถึงคนที่อยู่ไกลเป็นพันลี้ เล็บเเหลมคมจิกลงบนอุ้งมือ หยาดโลหิตเริ่มไหลซึมตามผิวหนังที่เริ่มปริเเตก
จนกว่าจะหมดลมหายใจ ข้าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายมีชีวิตอย่างสงบสุขเป็นเเน่
โทษที่การทรยศหักหลังข้า เจ้าต้องชดใช้เป็นพันเท่า!!!
……………………………….
"ฮัดเช้ย! "
สือโถวจามออกมาเสียงดัง บ้ะ สงสัยจะเป็นหวัดเสียเเลัวมั้ง เขายกมือลูบจมูกเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเจียอิงที่เอาเเต่ยืนเงียบ
"โกนเสร็จรึยังพี่สาว? "
"..." นางยังคงเบิกตากว้าง มือข้างซ้ายกำใบมีดเเน่น ท่าทางที่ราวกับคนที่กำลังจะคลุ้มคลั่งทำให้สือโถวต้องเเอบเขยิบตูดไปด้านหลัง คราวนี้เป็นอะไรอีกล่ะ คงไม่ใช่ว่าธาตุไฟเข้าเเทรกหรอกนะ!
"เป็นอะไรพี่สาว ทำไมถึ-"
"ไปตายซะ! " ถังเจียอิงขว้างใบมีดทิ้งลงพื้น หันหลังวิ่งร้องไห้ออกจากห้อง
สือโถวนั่งงงเเตกอยู่บนเก้าอี้ อ้าว อย่าบอกว่าธาตุไฟเข้าเเทรกจริงๆ อ่ะ หรือว่าเขาเผลอไปล่วงเกินอะไรให้เเม่นางเเกช้ำใจ?
ดวงตาสีดำสอดส่องไปทั่วเพื่อหากระจก ก่อนจะผิดหวังเมื่อในห้องนี้มีเเต่ชั้นวางพวกเครื่องเขียนเเละหนังสือหลายเล่มที่วางประดับอยู่
เอาเถอะ สงสัยหน้าเขาจะโหดเกินจนนางรับไม่ได้กระมัง สือโถวปัดความหดหู่ออกจากหัวใจ นั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปยังภายนอกหน้าต่าง
ภายในห้องไม้นี้มีหน้าต่างหลายบาน เเต่บานที่ใหญ่ที่สุดอยู่หลังเก้าอี้ตัวน้อยที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เผยภาพต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่กำลังผลัดใบได้อย่างเต็มตา ช่างเป็นทิวทัศน์ที่ทำให้เเขกอย่างเขารู้สึกผ่อนคลายจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี
สือโถวหลับตาฟังเสียงน้ำตกที่ลอยเเผ่วเบามากับสายลม ยิ้มข่มขื่นพลางนึกในใจ
คนที่รับหน้าที่ดูเเลหนีออกไปเเบบนี้เเล้ว เขาควรจะทำอะไรต่อดีล่ะ…
……………………
ตรงระเบียงทางเดิน เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีกำลังเร่งฝีเท้าด้วยความกลัดกลุ้ม สายลมเย็นที่พัดผ่านไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกหนักอึ้งหายไปเลยสักนิด
เมื่อครู่พ่อบ้านถังพึ่งสั่งให้ตนพาเด็กใหม่นามว่าสือโถวไปพบนายน้อยที่เรือน ซึ่งเด็กหนุ่มคงจะไม่รู้สึกเเย่ขนาดนี้ ถ้าศิษย์พี่ไม่เเอบกระซิบว่าสือโถวผู้นั้นน่ากลัวขนาดไหน
นายน้อยคิดอะไรอยู่ ถึงรับโจรเขามาเป็นศิษย์ร่วมสำนัก!
"โอ๊ะ พี่เจียถิง" หางตาเหลือบเห็นคนคุ้นเคย เด็กหนุ่มรีบเข้าไปหาร่างบางที่กำลังเดินจ้ำอ้าวเหมือนหนีอะไรมา
"พี่ไม่สบายหรือ หน้าเเดงก่ำเชียว"
เจียเจียเผลอยกมือกุมหน้า ตวาดเสียงก้อง "ข้าไม่ได้เขินซะหน่อย! "
"ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านเขินเลยนะ..." คนถูกตวาดเเย้งเสียงเบาด้วยความงุนงง
ถังเจียอิงชะงัก สะบัดหน้าหนีไปอีกทางพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "เรียกข้าไว้เเบบนี้มีธุระอะไร"
"เออใช่! ท่านไปหาเด็กใหม่ที่ชื่อสือโถวเป็นเพื่อนข้าหน่อ- อ้าว ท่านหน้าเเดงอีกเเล้ว"
"บอกว่าไม่ได้เขินไง!!! "
"เอ่อ ข้าก็ไม่ได้บอกว่าท่านเขิ-"
"ไม่รู้ไม่สน เจ้านั่นอยู่ห้องหนังสือในเรือนเปี่ยมคุณธรรม เจ้าไปเองเลย! " ว่าเเล้วนางก็สะบัดกระโปรงวิ่งไปอีกทาง
"ฤดูเเดงเดือดมาหรือไรกัน? " เด็กหนุ่มเกาหัว เเอบบ่นพึมพำใส่บุตรสาวของพ่อบ้านถังไม่ได้
ใช้เวลาไม่นาน คนดวงซวยเเห่งหุบเขาเหม่ยลี้ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่ว่านั่น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกเป็นการปลอบจตน ก้าวเท้าเข้าห้องหนังสือ
ภายในห้องโล่งนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งเเววของโจร เเค่ก คนที่กำลังตามหา เด็กหนุ่มหน้าซีดครางเสียงเบา คงไม่ใช่ว่าขโมยของในสำนักหนีออกไปเเลัวหรอกนะ!?
ร่างสูงของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าเดินไปอีกฟากของห้องที่มีมู่ลี่เปลือกหอยห้อยบังอยู่ หลังม่านนี้มักเป็นสถานที่สำหรับผู้อ่อนล้าจากการศึกษา เนื่องจากสามารถพิศทิวทัศน์ของหุบเขาได้อย่างชัดเจน ไม่เเน่ว่าสือโถวที่ว่าอาจจะอยู่ที่นี่ ซึ่งขอให้อยู่ด้วยเถอะนะ ไม่เช่นนี้ตนต้องซวยมากเเน่ๆ!
กริ้ง กริ้ง
เสียงเปลือกหอยกระทบกันดังกังวานสดใส ทำให้คนที่กำลังหลับตาพริ้มฟังเสียงสายลมต้องหันกลับมา ดวงตาสีดำสนิทปรือขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจ เเสงสีทองสาดส่องลงบนเรือนร่างสมส่วน เส้นผมสีดำหยักศกปล่อยสยายคลอเคลียกับใบหน้าเกลี้ยงเกลา
ภาพตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มผู้มาเยือนถึงขั้นลืมหายใจ
"เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า? " เห็นเด็กหนุ่มในชุดสำนักเเบบเดียวกันเเดงก่ำคล้ายจะเป็นลม สือโถวจึงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
"อือ! อือ! " ร่างสูงส่ายหัวจนเเทบหลุด เผลอยกมือกุมอกโดยไม่รู้ตัว "จะ เจ้าคือสือโถว? "
"อืม"
ไม่จริงน่า! ไหนศิษย์พี่บอกว่าอีกฝ่ายไว้หนวดรุงรัง ร่างกายใหญ่โตราวกับภูเขา หน้าตาดิบเถื่อนจนต้องนอนฝันร้ายไปสามเดือนไงเล่า!?
นี่มันไม่เหมือนที่อีกฝ่ายเคยบรรยายไว้เลยสักนิด!!
สือโถวถอนหายใจ เกาหลังคอด้วยความเหนื่อยใจ เฮ้อ ดูท่าเจ้าหนุ่มนี่จะกลัวจนตัวเเข็งไปเสียเเล้ว ให้ตายเถอะ
"ข้าไม่ใช่โจร เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก"
"คือว่าข้า..." เด็กหนุ่มเม้มปาก สะบัดหัวเรียกสติที่กระจัดกระจายกลับมา เริ่มเข้าใจถึงท่าทีของพี่เจียถิงเมื่อครู่เเล้ว "นะ นายน้อยให้ข้าพาเจ้าไปหา"
"อ้อ" สือโถวร้องคำนึง ผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เสื้อผ้าเข้ารูปรัดตามสัดส่วนของร่างกายตามการเคลื่อนไหวทำเอาเด็กหนุ่มวัยสิบห้าเเทบเลือดกำเดาพุ่ง ทั้งที่ใส่เสื้อผ้าเเบบเดียวกันเเท้ๆ ทำไมหมอนั่นถึงได้ดูยั่วยวนเเบบนี้ล่ะ!
ไม่ได้นะหลิวจี่ เจ้าจะชอบผู้ชายไม่ได้นะ ที่บ้านเจ้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลเพียงคนเดียวนะ มีหน้าที่เป็นเจ้าบ้านคนต่อปะ-
"ป่ะ ไปหานายน้อยกัน" ร่างสูงผอมเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มสวยประดับใบหน้าชวนให้ใจเต้นระรัว ทันใดหัวสมองของเด็กหนุ่มก็ระเบิดดังตูม!
ฮือๆ ท่านพ่อ! ท่านเเม่! ข้าขอโทษ!!
…………………………….
สือโถวกำลังเดินตามหลังเด็กหนุ่มที่เเนะนำตัวว่าชื่อหลิวจี่ เขาเสยผมหยักศกขึ้น ความรู้สึกโล่งบนใบหน้าที่ไร้หนวดเคราอย่างทุกทีทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะ..
ขวับ
พึ่บ!
ศิษย์สำนักของหุบเขาเหม่ยลี้เเสร้งหันกลับไปทำธุระของตนเองพร้อมกัน สือโถวถอนสายตาเมื่อครู่กลับมา คิ้วเรียวขมวดกันเเน่น ยกมือลูบปลายคาง หน้าตาหลังโกนหนวดน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ ทำไมต้องมองมาเเล้วต้องหน้าเเดงทำท่าจะเป็นลมด้วย อากาศวันนี้ก็ไม่ได้ร้อนมากนี่หว่า
"หลิวจี่" เขาร้องเรียกคนด้านหน้า เด็กหนุ่มหันร่างเเข็งทื่อกลับมาเหมือนหุ่นยนต์ที่ระบบกำลังขัดข้อง หลิวจี่สบตาเขาชั่วครู่ก่อนจะรีบเสออกไปคล้ายหวาดหวั่น
"ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก" เห็นท่าทางใกล้จะร้องไห้ของอีกฝ่าย สือโถวได้เเต่กลืนคำพูดลงคอ โบกไม้โบกมือ ไม่คิดรังเเกเพื่อนใหม่ร่วมสำนึก
กะจะถามซะหน่อยว่าข้าน่ากลัวมากเรอะ? เเต่คำตอบดันเเปะอยู่บนหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้เเล้ว
ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยไว้หนวดใหม่ก็ได้
พวกเขาสองคนเข้าสู่เขตที่พักอาศัยของสำนักเหม่ยลี้ สือโถวพิจารณาเหล่าศิษย์มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ บางคนนั่งอ่านหนังสือในมือ บ้างก็นั่งล้อวงเล่นหมากรุก ดูสงบสุขสมกับเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเเผ่นดิน เพียงเเต่จากที่กวาดตาดูที่นี่มีเเต่บุรุษเพศไร้ซึ่งเงาสตรี ซึ่งบุรุษนี้มีตั้งเเต่อายุสิบสี่จนถึงยี่สิบกว่าปี
ขณะที่กำลังสงสัย หลิวจี่ก็อธิบายเสียงเบาว่าสำนักเเบ่งเป็นสองเขตเเยกหญิงชาย มีเพียงช่วงงานประลองฝีมือประจำปีเท่านั้นที่บุรุษกับสตรีจะได้พานพบกัน
สือโถวผิวปากอีกครั้ง บ๊ะ อย่างกับโรงเรียนชายล้วนกับหญิงล้วนที่อยู่ข้างกันเเหน่ะ
"ถึงเเล้ว"
พวกเขาหยุดอยู่ตรงหน้าตึกไม้สี่ชั้นหลังใหญ่ ด้านหลังเป็นน้ำตกสายเล็ก ส่วนด้านหน้าเรือนนี้มีต้นไม้สูงจรดฟ้าที่เเผ่กิ่งก้านปกคลุมเเทบทั้งเรือน สือโถวเเอบอ้าปากค้างพลางคิดในใจว่ากว่าต้นไม้สูงขนาดนี้จะอยู่มากี่พันปีเเล้ว?
"นายน้อยอยู่ชั้นบนสุด เจ้าขึ้นไปหาได้เลย เพราะทั้งชั้นมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น"
"อ่า ขอบใจเจ้ามากนะหลิวจี่"
"อ่ะ อืม"
สือโถวกำลังจะเดินขึ้นบันไดหิน ทันใดนั้นหลิวจี่ก็ร้องเรียกเสียง ร่างสูงในชุดสำนักสีดำเอียงตัว เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"เจ้า หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาข้าได้ ขะ ข้าอยู่เรือนกระเรียนขาว เเล้ว เเล้ว..." หลิวจี่หน้าเเดงก่ำพูดอย่างกระตุกกระตัก
สือโถวอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ลงไปตบไหล่ของเด็กหนุ่มดังบ้าบ "เจ้าเองถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้เช่นกัน เห็นอย่างนี้หมัดมวยข้าไม่เบาเชียว! "
หลิวจี่หน้าเเดงกว่าเดิมจนเเทบกลายเป็นมะเขือเทศ พยักหัวหงึกหงักเป็นนกกระจอก
"คนในสำนักเลือดลมเดินดีกันจังเเหะ" สือโถวพึมพำ โบกมือลาเพื่อนใหม่ "เเล้วเจอกัน สหาย! "
หลิวจี่มองเเผ่นหลังบางที่หายลับเข้าไปในบานประตูใหญ่ เด็กหนุ่มลูบไหล่ที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่พลางเบ้หน้าเมื่อความเจ็บเเล่นขึ้นจี๊ด
ตัวเเค่นั้นเเต่เเรงเยอะเป็นบ้า
…………………….
สือโถวก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เริ่มรู้สึกรำคาญเส้นผมหยักศกที่ยาวจรดเอวของตน ดวงตาสีดำกลอกขึ้นบนเเอบตำหนิตนเองในใจที่เมื่อครู่ไม่หาผ้ามามัดให้เรียบร้อยก่อนมาหานายน้อย
โฮกกกกก
ฟ่อออออ
เสียงเเหบเเห้งเเปลกประหลาดทำให้ขาเรียวยาวภายใต้กางเกงสีเเดงเสือดหมูชะงักกึก สือโถวชะโงกตัวมองไปยังชั้นสองอย่างสงสัย เเต่ก็เห็นเพียงห้องโถงมืดหม่นที่ถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่าย ผนังทั้งสองเป็นโครงเหล็กหนาคล้ายกำลังกักขังอะไรบางอย่าง เนื่องจากชั้นนี้ไม่ค่อยมีหน้าต่างสักเท่าไหร่ เขาจึงเห็นสภาพในกรงไม่ชัดเจนซะเท่าไรนัก
พอนึกถึงใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาของโจวเจว่ย สือโถวก็ต้องปัดความคิดไร้สาระออกจากหัว
คนที่สวยเเล้วอ่อนโยนอย่างนายน้อยคงไม่เลี้ยงสัตว์ร้ายอย่างเช่นงูหรือเสือโคร่งหรอกน่า สงสัยหูเขาจะมีปัญหาเองมากกว่า
เเต่พอขึ้นไปอีกชั้น เขาก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งด้วยความตกใจ
โซ่ เเส้ มีด เเท่งเหล็ก ลามไปถึงเตียงหนาม เรียกได้ว่ามีทุกอย่างครบเครื่องในเรื่องทรมาน สือโถวเกือบนึกว่าตัวเองหลุดมาในห้องของเจ้าพ่อซาดิสระดับปรมาจารย์ ที่สำคัญเลยคือทุกส่วนถูกจัดสรรอย่างเรียบร้อย เหมือนพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ
สะ สงสัย เอ่อ ใช่! ห้องนี้ต้องเป็นของตงฉินเเน่ๆ!
ว่าเเต่สำนักฝ่ายธรรมะมี 'อะไร' เเบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
"ช่างเถอะๆ " สือโถวพูดกับตัวเอง เรื่องของรสนิยมส่วนตัว อย่าไปยุ่งดีกว่า ได้เเต่หวังว่าตงฉินจะไม่เอามาใช้กับพี่ชายคนงามจนต้องหามกันเข้าโรงหมอก็พอ
ในที่สุดก็ถึงชั้นบนสุดเสียที สือโถวเเทบจะหอบเเฮ่กลงไปนั่งบนพื้น เขาเกาะราวบันไดมองประตูบานใหญ่ตอนนี้เปิดกว้าง
สือโถวปรับลมหายใจเหนื่อยหอบ กล่าวขออนุญาตเจ้าของห้องก่อนเดินเข้าไป
ผนังฝั่งหนึ่งของห้องไม่มีกำเเพงเเต่เปิดโล่งให้คนในห้องได้ชื่นชมน้ำตกเเทน ระเบียงไม้หนาหนักยื่นออกไปโดยมีต้นไม้ใหญ่เเผ่กิ่งก้านให้ความร่มเย็น เเละกลางระเบียงที่อยู่ข้างน้ำตกมีโต๊ะน้ำชาสำหรับพักผ่อนหย่อนใจประดับอยู่
ศิษย์คนใหม่ของหุบเขาเหม่ยลี้ตะลึง
ไม่ใช่เพราะทิวทัศน์ เเต่เป็นเพราะบุรุษทั้งสองที่กำลังนั่งสนทนาตรงระเบียง
ตงฉินนั่งไขว่ห้างจิบชาเงียบๆ ท่าทางผ่อนคลายผิดจากปกติ ส่วนโจวเจว่ยยังคงอมยิ้มอ่อนโยนรินชาให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ช่างดูเหมาะสมราวกิ่งทองใบหยก
คำถามเชาวน์ปัญญาวันนี้ : หากสาระเเนเข้าไปรบกวนเวลาหวานเเหววของคนทั้งสอง ตัวเขามีเปอร์เซ็นต์โดนตงฉินโยนลงจากชั้นสี่เท่าไหร่เอ่ย?
ตอบ : ล้านเปอร์เซ็นต์!!
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของชีวิตเเละทรัพย์สิน สือโถวตัดสินใจถอยทัพ เอาไว้ท่านตงฉินกลับไปเเล้ว เขาค่อยย่อง เอ้ย ค่อยมาหานายน้อยอีกครั้งจะดีกว่า
"จะไปไหนหรือ? "
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นทั้งที่กำลังชงชา สือโถวชะงักเท้าที่กำลังถอยหลัง มองซ้ายมองขวา กะพริบตาปริบๆ พี่ชายคนงามกำลังพูดกับเขาอยู่หรอ?
"เข้ามาดื่มชาก่อนสิ เดินทางมาเหนื่อยๆ เจ้าควรได้พัก..." โจวเจว่ยเสียงเเผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนเงียบหาย มือที่ถือกาน้ำชายกค้าง ตาดอกท้อคู่งามเบิกกว้าง
ตงฉินเห็นสหายของตนเงียบไปจึงขมวดคิ้วสงสัย มองตามสายตาของโจวเจว่ย ทันใดนั้นถ้วยชาในมือพลันร่วงหล่น
เพล้ง!
"..."
"..."
“เอ่อ?” บรรยากาศในห้องชั้นบนเงียบกริบ มีเพียงเสียงเสียดสีของใบไม้เเละหยาดน้ำที่ตกกระทบลงพื้นหิน สือโถวลูบท้ายทอยอย่างประหม่า "ขะ ข้าน่าเกลียดมากเลยหรือขอรับ"
"หะ หืม" โจวเจว่ยพลันได้สติ ชายหนุ่มกระเเอมเล็กน้อย "อืม นั่นสินะ ข้ามองไม่ค่อยชัด เจ้าขยับเข้ามาใกล้กว่านี้ได้หรือไม่"
สือโถวก้าวเข้าไปอย่างว่าง่าย ไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาของโจวเจว่ยเข้มขึ้นเรื่อยๆ นายน้อยหุบเขาเหม่ยลี้เอ่ยเสียงเรียบ
"ไกลไป เข้ามาอีก"
"เอ่อ" ขยับเข้าไปอีกสามก้าว ตอนนี้สือโถวเเทบยืนชิดกับเก้าอี้ของพี่ชายคนงามเเล้ว เขาเอียงคอ "เเค่นี้พอหรือไม่ขอรับ? "
"ไม่"
"เอ๋? " ยังอีกงั้นหรอ นายน้อยสายตาสั้นขนาดไหนกันเนี่ย!?
พรึ่บ!
ฉับพลันมือเเกร่งที่ขึ้นข้อชัดเจนก็ฉุดกระชากต้นเเขนลงไป สือโถวร้องด้วยความตกใจ ร่างกายที่สูญเสียสมดุลกะทันหันทรุดลงบนตักเเกร่งของเจ้าของห้อง โจวเจว่ยอมยิ้มยึดเอวอีกฝ่ายไว้เเน่น ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเเตะกัน
"อื้ม ต้องเเบบนี้สิ"
"ทะ ทะ ทะ" พี่ชายคนงามเล่นอะไรเนี่ย! สือโถวอ้าปากค้างพูดไม่ออก มือสองข้างยังวางอยู่ไหล่กว้างของบุรุษตรงหน้า เขาหน้าซีดเผือดเหลือบมองใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
ชิบหาย! หน้าทะมึนเป็นก้นหม้อพร้อมฆ่าคนเลยเว้ย!!
"นะ นายน้อย! " สองเเขนผลักไหล่ของโจวเจว่ยทันที เเต่พี่ชายคนงามกลับไม่สะเทือนเเม้เเต่น้อย ได้โปรดเกรงใจสามี (?) ของท่านที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยขอรับ การกระโดดลงจากชั้นสี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะโว้ย!
"หืม? มีอะไรหรือ? "
"นายน้อยยยยยยยยยยยยย" สือโถวเเทบร้องไห้ออกมา ทำไมถึงชอบมีเรื่องให้ต้องไปยุ่งกับเมียชาวบ้านเขาด้วยวะ!
โจวเจว่ยหัวเราะร่วน "ตรงนี้ไม่มีม้านั่งเหลือเเล้ว นั่งตักข้าไม่ดีรึ? "
ไม่ดีโว้ย!
เพราะไม่อยากให้เหยื่อตัวน้อยตกใจเกินไป โจวเจว่ยจึงยอมปล่อยมือเเม้ในใจจะเสียดายมากเเค่ไหนก็ตาม สือโถวเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เเอบถอยหลังกรูดให้พ้นระยะเท้าของตงฉินไปด้วย ใจเย็นนะคนดี อย่าพึ่งต่อยเค้านะตัวเอง~
"เเล้วใครโกนหนวดให้ละ? " โจวเจว่ยเท้าคางถามคล้ายไม่ใส่ใจ
"พะ พี่เจียถิงขอรับ"
"อืม" นายน้อยคนงามยกชาขึ้นมาจิบ
ส่วนตงฉินยังจ้องเขาไม่เลิก ดวงตาคมปลาบคล้ายเสือดำที่กำลังจ้องจะตะครุบเหยื่อ สือโถวเเอบเขยิบไปด้านหลังโจวเจว่ย ตรงนี้มีภรรเมียเจ้านั่งจิบชาอยู่นะโว้ย อย่าได้ริอ่านลุกขึ้นมาอาละวาดจริงเชียว
โจวเจว่ยขยับยิ้ม เงยหน้ามือสือโถวอีกครั้ง "ถ้าถามว่าน่าเกลียดมั้ย... ก็น่าเกลียดมาก"
"ง่ะ" ก็รู้อยู่หรอกว่าคงน่าเกลียด เเต่พอโดนพูดเเบบนี้เขาอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้
"เจ้า... ไม่ได้ส่องกระจ-"
เพล้ง!
ตงฉินพูดไม่ทันจบประโยค เสียงเเตกร้าวของสิ่งของบางอย่างพลันดังลั่นห้อง กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงเเตกละเอียดเป็นปุยผง สือโถวหันขวับ สองตาเบิกกว้างกับภาพเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์
"..." ตงฉินนิ่งเรียบ หรี่ตาลง
"เเย่จังน้า ทำไมกระจกถึงเเตกได้ละเนี่ย"
“เหอะ” รองหัวหน้าหน่วยอินทรีโลหิตมองสหายด้วยสายตารู้ทัน
โจวเจว่ยเเสร้งทำหน้าตกใจคล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาตำหนิของตงฉิน "เจ้าก็คิดว่าใบหน้าของเขาตอนโกนหนวดน่ากลัวมากใช่หรือไม่ ตงฉิน"
ตงฉินถอนหายใจ เบนสายตาไปทางฝั่งน้ำตก ตอบรับในลำคอเสียงเบา
"เพราะงั้นนะ สือโถว หากมีใครชมเจ้าว่าดูดีหรือหล่อเหลา อย่าได้เชื่อเป็นอันขาด"
"ขะ ขอรับ"
โจวเจว่ยถอนหายใจเฮือก "ที่นี่มีธรรมเนียมชอบเเกล้งเด็กใหม่อยู่เรื่อย เจ้าก็อย่าหลงกลง่ายๆ ล่ะ"
สือโถวพยักหัวหงึกๆ พี่ชายช่างเป็นคนดีเหลือหลาย สมเเล้วที่เป็นคนงามเเห่งหุบเขา!
คนที่ถูกชื่นชมก้มหน้าจิบชา เเอบยกยิ้มชั่วร้าย หลังจากนี้คงมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกเยอะเลยทีเดียว ไม่คิดเลยว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่จะงดงาม ชักจะหวงเเล้วสิ
พวกเขาสามคนปล่อยให้เสียงสายน้ำเเละใบไม้ครอบคลุมไม่นาน สือโถวที่ทนความกดดันเเปลกประหลาดต่อไปไม่ไหวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเป็นคนเเรก
"เอ่อ นายน้อยเรียกข้ามาพบมีเรื่องอะไรหรือขอรับ? "
"อ้อ จริงสิ" โจวเจว่ยวางถ้วยชาลง ท่าทางเป็นการเป็นงานขึ้น "ข้ารับเจ้ามาเป็นศิษย์ของสำนักรุ่นห้าสิบเก้าเพื่อที่ในอนาคตจะได้มาช่วยงานในหน่วยอินทรีโลหิต..."
"อ้อ"
"ท่าทางเจ้าไม่ค่อยสนใจเลยนะ" โจวเจว่ยเท้าคางเอ่ยยิ้มๆ "ช่างเหมือนคนที่ไม่เป้าหมายในชีวิต..."
สือโถวยืนนิ่ง
จะว่าไปเเล้ว... ก็ไม่มีเป้าหมายจริงๆ นั่นเเหละ
เพราะสำหรับคนที่เคยตายไปเเล้วครั้งหนึ่ง
ยังจะเหลือเป้าหมายอะไรให้ไล่ตามอีกกันล่ะ?
……………………
ความคิดเห็น